เรื่องของพลังจิต

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย thanan, 6 มีนาคม 2005.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot]ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ [/FONT][FONT=&quot](Para-Normal Phenomena)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เรื่องราวต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตเหนือสำนึกชั้นแรกของคนเราที่ดูเหมือนจะเป็นปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติ หญิงคนหนึ่งมองเห็นภาพบุตรชายของเธอกำลังจะตายทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนและน่าแปลกที่หลังจากนั้น อีก [/FONT][FONT=&quot]2 ชั่วโมง เธอก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าบุตรชายของเธอได้ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิตแล้ว<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การทดลองการส่งกระแสจิตที่ประเทศเชคโกสโสวาเกีย ได้มีการทดลองโดยให้ผู้ส่งกระแสจิตนึกภาพว่าตนเองกำลังถูกฝังทั้งเป็น ผลปรากฏว่าผู้รับกระแสจิตเกิดอาการหอบหืดเหมือนคนขาดออกซิเจน การสื่อสารทางจิต [/FONT][FONT=&quot](Telepathic message) สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ในระยะทางหลายพันไมล์ได้อย่างสบาย แม้จะต้อง " ส่ง " ผ่านตะกั่วหรือเหล็ก ซึ่งสามารถกั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการแผ่รังสีได้ก็ตาม ไม่มีอะไรที่จะสามารถกั้นขวางการสื่อสารทางจิตได้ เพราะกระแสจิตไม่ใช่คลื่นที่มี ลักษณะหยาบเหมือนคลื่นไฟฟ้า แต่เป็นพลังที่ละเอียดอ่อนจนอยู่เหนืออำนาจของกาลเวลาและสถานที่ (space and time) ปรากฏการณ์ทางจิตดังกล่าวเรามักเรียกว่าการรับรู้ของประสาทพิเศษ (Extra-Sensory Perception หรือ ESP) คนธรรมดาอย่างเรา ๆ จะเกิดปรากฏการณ์ตาทิพย์ (ESP) ขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้ 8 - 10 ครั้งในชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่จิตใจระดับแรก ๆ (จิตสำนึกและจิตใต้สำนึก) ของเรา มีความสงบนิ่งมากพอเพราะได้รับการผ่อนคลายหรือกำลังมีใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแท้จริง ทำให้ความสามารถในการรับรู้ของจิตเหนือสำนึก สามารถจะผ่านเข้าสู่จิตสำนึกได้ ปรากฏการณ์เหล่านี้จึงไม่ใช่ " เหตุการณ์มหัศจรรย์ " หรือ "อภินิหาร" แต่อย่างไรเลย เป็นพียงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นกับเราสักครั้งเท่านั้นเอง<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] การเข้าถึงจิตเหนือสำนึกอย่างทันทีทันใด<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] (Instant Enlightment)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคของเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่มี<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตเหนือสำนึกชั้นที่สอง[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]

    [FONT=&quot](Subtiminal Mind)[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การมองเห็นความจริงของชีวิต [/FONT][FONT=&quot](Discrimination)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]และการไม่ติดยึด [/FONT][FONT=&quot](Non-attachment)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ใครเล่าจะคาดคิดว่าจิตเหนือสำนึกชั้นที่สอง หรือที่ เรียกว่า Subtiminal mind <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ของมนุษย์เรานี้มีจริงและมีอำนาจลึกล้ำยิ่งใหญ่จนสุดที่เราจะคาดคำนวณได้ ตามปกติมนุษย์ราจะสามารถเข้าใจได้แต่เฉพาะสิ่งที่เรารู้สึกได้และมองเห็นได้มากมายหลายชนิดที่ไหลล้อมรอบตัวเราอยู่ เพราะอวัยวะในการรับความรู้สึกของเรามีขอบเขตจำกัด สามารถรับรู้ได้แต่เฉพาะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสั้น ๆ ส่วนคลื่นความถี่สูง ๆ เช่น[/FONT][FONT=&quot] รังสีอุลตราไวโอเล็ต, รังสีแกมมา, รังสีเอ็กซ์, รังสีคอสมิก…. ซึ่งมีอยู่ถึง 99% ในจักวาลนั้น มนุษย์เราไม่สามารถมองเห็น และรู้สึกได้ จึงมีนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งกล่าวว่า "มีใครบ้างไหมที่รู้จักโลก รู้จักชีวิต ที่แท้จริง ซึ่งอยู่นอกเหนือจากสิ่งที่ตาเรามองเห็น"<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อเราสามารถฝึกจิตใจจนสามารถเข้าสู่สภาวะจิตเหนือสำนึกชั้นที่สองนี้ได้ อวัยวะรับความรู้สึกต่าง ๆ ของเราจะไวขึ้น จะรู้สึกได้ถึงคลื่นต่าง ๆ รอบตัวเรา จิตสำนึกของเรา[/FONT][FONT=&quot] จะแผ่ขยายขึ้นจนเรามีความรู้สึกเหมือนกับว่าเราเป็นส่วน[/FONT][FONT=&quot]หนึ่งของโลก ของจักรวาลแห่งความไม่สิ้นสุด [/FONT][FONT=&quot](the infinite) คนที่สามารถพัฒนาจิตใจจนมาถึงสภาวะนี้ จะรู้สึกว่ากระแสคลื่นมากมายหลายชนิดในจักวาลกำลังไหลผ่านเข้าออกจากตัวอย่างไม่สิ้นสุด และแผ่รังสีออกไปทุกทิศทุกทางจนไม่ทราบว่ามีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ใดและจะไปสิ้นสุดที่ใด ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจและมองเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามความเป็นจริง ผู้ที่เข้าถึงสภาวะนี้จะมีชีวิตที่อิสระเสรีอยู่เหนือกาลเวลาและอาณาเขต (Space & time) มีความเข้าใจโลกเข้าใจชีวิตอย่างแจ่มแจ้ง (enlighten) จะมองโลกซึ่งคนปกติเห็นว่าเป็นเพียงละครฉากเล็ก ๆ เพียงฉากหนึ่งจะเกิดดวงตาที่ล้ำลึกเลิกติดยึดกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง (non-attachment) ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพราะเขาได้เข้าสู่สภาวะคนที่เข้าใจชีวิตอย่างแจ่มแจ้งแล้ว เรามาดูตัวอย่างชีวิตของคนที่เข้าถึง Subtiminal mind กันดีกว่า[/FONT]
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot]การเห็นสภาพตามความเป็นจริงของโลกและชีวิต[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot](True discrimination)<o:p></o:p>[/FONT]

    <o:p> </o:p>
    [FONT=&quot]คนส่วนมากมักจะหลงติดยึดกับสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เช่น ความเป็นหนุ่มเป็นสาว[/FONT][FONT=&quot], ทรัพย์สมบัติ, คนหรือของที่รัก….ฯลฯ และคิดว่าตัวเองจะได้เป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ตลอดไป แม้ว่าเราจะเคยเห็นความชราของคนที่มีอายุมากขึ้น เคยเห็นคนที่ร่ำไห้เสียใจเมื่อสูญเสียคนรักหรือสิ่งของที่รัก แต่เรามักจะลืมคิดไปว่าวันหนึ่งเราจะต้องแก่และตาย ในที่สุด วันหนึ่งเราต้องสูญเสียสิ่งที่เรารักหรือคนที่เรารัก วันหนึ่งเราจะต้องจากสิ่งที่เรารักไป ฯลฯ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ผู้ที่เข้าถึงจิตเหนือสำนึกชั้นที่สอง [/FONT][FONT=&quot] Subtiminal Mind) แล้วจะเกิดดวงตาพิเศษ (discrimination) ที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่ว ๆ ที่สามารถมองเห็นความจริงของโลกของชีวิตว่า มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะปราศจากความเสียใจต่อการพลัดพราก การสูญเสียสิ่งที่รักและไม่มีความเกรงกลัวต่อความตาย<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตเหนือสำนึกชั้นสูงสุด[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot](The Subtle Causal Mind)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตใจที่ร่ำร้องหาความสุขที่แท้จริง[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อความปรารถนาที่จะมีความสุขที่แท้จริงหรือความสุขที่เป็นนิรันดร์มีมากขึ้นจนท่วมท้นสรรพางค์กาย จิตใจทั้งหลายของเราก็จะร่ำร้องหาความสุขที่นิรันดร์นี้เพียงอย่างเดียว[/FONT][FONT=&quot] นี่แหละคือสภาวะของจิตใจของบุคคลที่เข้าถึงจิตเหนือสำนึกชั้นสูงสุด<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] จิตเหนือสำนึกชั้นสูงสุดนี้เปรียบได้กับประตูสุดท้ายก่อนที่เราจะก้าวเข้าสู่สภาวะที่สมบูรณ์ที่สุดของมนุษย์หรือ ทางพุทธศาสนาเรียกว่านิพพาน จิตเหนือสำนึกขึ้นสูงสุดจึงเปรียบได้เป็นจิตใจชั้นบาง ๆ ชั้นสุดท้ายที่ห่อหุ้มตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ (true self, spirite) ผู้ที่เข้าถึงจิตเหนือสำนึกชั้นสูงสุดนี้แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองได้พัฒนาจิตใจจนกระทั่งเกือบเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงแล้ว และขณะนี้ตัวเองแทบจะรอคอยการเข้าสู่สภาวะที่สมบูรณ์สูงสุดนั้นไม่ไหวแล้ว ผู้ที่เข้าถึงสภาวะนี้แล้วคนหนึ่งได้อธิบายความรู้สึกของตนเองว่า "ความทุกข์ทรมานใจของฉันที่ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะที่สูงสุดนี้ได้เปรียบ ได้กับความรู้สึกของขโมยที่ทราบว่ามีถุงทองที่มีมูลค่ามหาศาลได้ถูกวางไว้ที่ห้องถัดไป ซึ่งมีเพียงฝาไม้กระดานบาง ๆ กั้นอยู่ ความรู้สึกของขโมยที่อยากจะหาทางทำลายฝาหนังกั้นห้องเพื่อไปเอาทองคำก็เหมือนกับความรู้สึกของฉันเวลาที่นั่นแหละ"[/FONT]
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot]สภาวะของความเป็นพุทธะ[/FONT][FONT=&quot](ระดับจิตใจส่วนลึกที่สุดของคนเรา)<o:p></o:p>[/FONT] [FONT=&quot]เส้นด้ายที่ขาดรุ่งริ่งย่อมไม่สามารถร้อยผ่านรูเข็มได้ฉันใด [/FONT][FONT=&quot] คนที่ติดยึดกับสิ่งใดในโลกอย่างเหนียวแน่น (เงิน, อำนาจ, ชื่อเสียง, ความเป็นของฉัน, ความเป็นพวกฉัน…….) ย่อมไม่มีโอกาสเข้าสู่สภาวะความสุขที่เป็นนิรันดร์ (อาจเรียกในชื่อต่าง ๆ กันเช่น สภาวะของความเป็นพุทธะความสุขที่แท้จริงของชีวิต, ความรักความเมตตาที่ยิ่งใหญ่, สภาวะนิพพาน, ความไม่แบ่งแยก, การไม่มีอัตตา, ระดับจิตใจส่วนลึกที่สุดของคนเรา ฯลฯ) ได้ฉันนั้น เมื่อใดเราได้มีการพัฒนาจิตใจให้ละเอียดอ่อนขึ้นความปรารถนา (desire) ที่จะเข้าสู่สภาวะที่สมบูรณ์ที่สุดของชีวิตหรือความสุขที่เป็นนิรันดร์จะมีมากขึ้น ความติดยึดและความปรารถนาในสิ่งอื่น ๆ จะน้อยลง รวมไปถึงความรู้สึกติดยึดที่จะเป็น "ตัวฉัน" "ของฉัน" จะค่อย ๆ น้อยลง จนในที่สุดจิตใจของเราจะเต็มเปี่ยมไปด้วย ความรัก ความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ (Univeral love) ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ และใน<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]วินาทีนั้นเองที่เราพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต[/FONT][FONT=&quot] (Etermal Happiness) ถ้าที่มืดมิดเป็นเวลานานสามารถสว่างขึ้นได้ทันทีด้วยไม้ขีดเพียงก้านเดียวฉันใด ความรู้แจ้งเห็นจริง (enlighten) ของคนเราย่อมเกิดขึ้นได้ในพริบตาเดียวฉันนั้น เมื่อใดที่ความยึดมั่นในสิ่งต่าง ๆ ของเราสูญสลายไป (egoless) เมื่อนั้นความสุขที่เป็นนิรันดร์ (Eternal happiness) จะเกิดขึ้นทันที<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ความติดยึดว่าสิ่งโน้นสิ่งนี้เป็นของเรา [/FONT][FONT=&quot] ตัวเราเป็นของเรา (อัตตา) เปรียบได้กับขวดบรรจุน้ำเต็มที่ถูกวางอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ น้ำในขวดเปรียบได้กับความรู้สึกที่ว่าตัวเราเป็นของเรา (อัตตา) ในคนเราแต่ละคน ซึ่งถูกแยกออกจากน้ำในมหาสมุทร ซึ่งเปรียบได้กับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลจักรวาล (ธรรมชาติ) ขวดน้ำเปรียบได้กับความเชื่อฝังใจต่าง ๆ ที่คนเราได้รับการถ่ายทอดและอบรมสั่งสอน (Condition) สืบทอดกันมาที่ทำให้คนเราเกิดความรู้สึกแบ่งแยก (Bondage) ว่าเป็นของฉัน ของเธอ พวกฉัน พวกเธอ ฯลฯ เช่น ความเกลียด (Hatred) ความรู้สึกว่าเราเหนือกว่าคนอื่น (Superiority complex) ความรู้สึกที่ว่าเราด้อยกว่าคนอื่น (Inferiority Complex) ความ อิจฉาริษยา (Jealous) ฯลฯ เมื่อขวดแตก (เราสามารถขจัดความรู้สึกที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกต่าง ๆ ได้ ) น้ำในขวดก็จะไหลไปรวมกับน้ำในมหาสมุทร ความรู้สึกว่าตัวเราเป็นของเราก็จะสูญไปความรู้สึกที่ว่าเราคือส่วนหนึ่งของจักรวาล(ธรรมชาติ) จะเข้ามาแทนที่ เราจะเข้าใจตัวเองและทุกสรรพสิ่งในจักรวาลอย่างแจ่มแจ้ง(enlighten)ด้วยตัวเองความรักความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ต่อทุกสรรพสิ่งในจักรวาล จะบังเกิดขึ้น ในจิตใจของเรา ความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างตัวเราและสรรพสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาลจะไม่มีอีกต่อไป ซึ่งสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด นี้เป็นสภาวะที่ไม่สามารถอธิบายด้วยชื่อและรูปร่างได้ เป็นสภาวะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสุดท้ายปลายทาง มีแต่ความสุขที่เป็นนิรันดร์ ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ซึ่งในพระพุทธศาสนาเรียกสภาวะนี้ว่า “นิพพาน”<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]หนทางที่จะไปสู่สภาวะนี้นั้นจะได้กล่าวถึงในตอนต่อ ๆ ไป[/FONT]
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การเตรียมการฝึกจิต<o:p></o:p>

    [FONT=&quot] เลือกสถานที่<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อเริ่มที่จะฝึกจิต ก่อนอื่นเป็นการดีที่จะหาสถานที่เงียบ ๆ ในการบำเพ็ญพยายามหาที่ที่ห่างไกลความวุ่นวายอึกทึก [/FONT][FONT=&quot] สถานที่ดังกล่าวอาจเป็นห้องพัก ห้องนอนหรือสวน หลังบ้านหรือที่ใดก็ตามที่สะดวก เมื่อพบสถานที่ที่เหมาะสมแล้ว ก็ใช้บำเพ็ญเพียรเป็นประจำ เมื่อการฝึกจิตก้าวหน้าแล้วอาจฝึกจิต ณ ที่ใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องหลีกเร้นอีกต่อไป ควรจำไว้ว่าเมื่อการฝึกจิตมั่นคงแล้ว สถานที่ใดก็ตามสามารถเป็นที่ฝึกจิตได้<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] <o:p></o:p>[/FONT]
    เลือกเวลา<o:p></o:p>

    [FONT=&quot]เวลาเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรเลือก [/FONT][FONT=&quot] เวลาใดก็ตามที่เลือกแล้วควรรักษาไว้เฉพาะการบำเพ็ญทางจิตเท่านั้น ในระหว่างเวลาดังกล่าวควรกำหนดปล่อยวาง ลืมสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด ทั้งกิจการประจำวันและความวิตกกังวล ความชอบและไม่ชอบใจทั้งหลายไม่ให้สิ่งใดในโลกเข้ามาขัดขวางการฝึกจิตได้ ตัดสินใจให้แน่วแน่ลงไปว่าเวลานั้น เป็นเวลาสำหรับการฝึกจิตเท่านั้น เมื่อการฝึกจิตได้พัฒนาไปดีแล้วทุกเวลาคือการฝึกจิต เมื่อเข้าสู่สภาวะนั้น การฝึกจิตจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตโดยธรรมชาติควรชำระล้างร่างกายก่อนการฝึกจิต เพื่อไม่ให้เกิดความรำคาญตัวมากเกินไปในขณะฝึกเวลาฝึกควรเป็นเวลาก่อนอาหาร หากฝึกหลังอาหาร จะอึดอัด จิตเข้าสมาธิได้ยากแม้ได้ก็อยู่ไม่นาน เพราะกระเพาะต้องทำงาน และจิตต้องรับผิดชอบออกมารับรู้อยู่<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ครูกรรมฐาน[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ผู้เริ่มใหม่อาจจะรู้สึกอยากมีใครสักคนช่วยแนะนำหรือบอกวิธีการฝึกให้หากมีเพื่อนที่ฝึกจิตอยู่แล้ว ลองพูดคุย กับเขาดู เขาอาจแนะนำได้ ถ้าพบหนังสือหรือบทความเกี่ยวกับ การฝึกจิตลองอ่านและพิเคราะห์ดูสิ่งเหล่านั้นพอแนะนำได้ ถ้าสามารถพบครูสอนกรรมฐาน จำไว้ว่า ครูเป็นเพียงเพื่อน ร่วมทางหรือผู้นำทางคนหนึ่งเท่านั้น เขาไม่อาจฝึกจิตแทน ใครได้ เขาไม่อาจกระจ่างสว่างใจแทนผู้ใดได้ หากผู้ใดสามารถพัฒนาการฝึกจิตจนมีสติสมบูรณ์ ชัดเจนและมั่นคงแล้วเมื่อนั้นสัมปชัญญะอันสะอาดแน่แน่วจะเป็นครูสอนตนเอง ครูที่แท้จริงอยู่ในตัวนั่นเอง
    [/FONT]
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot]หลักการฝึกจิตให้มีพลัง[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] การฝึกจิตใจให้ทรงพลัง มั่นคง เข้มแข็ง มีหลักอยู่หกประการคือ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]หนึ่ง [/FONT][FONT=&quot]ฉลาดในการเข้า ก่อนฝึกจิต พึงตระหนักไว้ทุกครั้งว่า [/FONT][FONT=&quot] ขณะนี้เรากำลังจะลดการทำงานของจิตลง ปล่อยอารมณ์ออกไปจากพันธะผูกพัน ดังนั้นต้องเริ่มให้กาย ซึ่งทำงานสัมพันธ์กับจิตทำงานน้อยลง เริ่มตั้งแต่อิริยาบทนั่งควรกระทำอย่างนุ่มนวล กำหนดตัวเอง ปิดหู ปิดตา ปิดจมูก ปิดลิ้น ปิดความรู้สึกทางกายเสีย ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามเราจะไม่สนใจ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]สอง[/FONT][FONT=&quot] ฉลาดในการตั้งอยู่ ในขณะที่ฝึกจิตจนทรง สมาธิแล้ว ลมหายใจจะละเอียดมากหรือบางทีหายใจอยู่แต่ ไม่รู้สึกว่าหายใจเลย หรือบางครั้งหยุดไปเลย ไม่ต้องตกใจ ในขณะที่ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้น แสดงว่าจิตกำลังแยกจากกาย (แต่ไม่แยกออกจากกาย) ขณะนี้จิตจะรู้ตัวในตนเองเต็มที่เรียกว่าสัมปชัญญะสมบูรณ์ ทรงสภาวะนี้ไว้ เพื่อให้จิตบูรณา ตัวเอง จิตจะแข็งกำลังมากเมื่อเข้าไปอยู่ในตัวเอง เมื่อออกมาแล้วสติจะมีอานุภาพ ความรู้สึกจะปลอดโป่ง เบาสบาย ปัญญาจะเฉียบแหลม แตกฉาน<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]สาม[/FONT][FONT=&quot] ฉลาดในการออก ในขณะที่ปฏิบัติการฝึกจิต จนทรงสมาธินั้น ร่างกายจะพักผ่อนลึกมาก ลึกกว่าการนอนหลับหลายเท่า บางครั้งถึงกับลมหายใจแผ่วละเอียด จนจับความเคลื่อนไหวไม่ได้ ดังนั้น ขณะที่จะเลิกจากการฝึกสมาธิ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ควรให้ร่างกายมีเวลาปรับบ้าง หย่าหุนหันหรือรีบเลิก หากมีเวลาควรหลับตาอยู่เฉย ๆ ก่อนสักระยะหนึ่ง [/FONT][FONT=&quot](ประมาณ 1-3 นาที) ค่อย ๆ เคลื่อนไหวร่างกายบางส่วนก่อน เพื่อให้ร่างกาย ปรับการทำงานให้สู่ระดับปกติ หากเลิกฝึกด้วยกิริยาที่เร็วเกินไป อาจจะมึนศีรษะ งง หรือหน้ามืด นั่นแสดงว่า ออกจากสมาธิเร็วเกินไปร่างกายปรับตัวไม่ทันให้รีบหลับตาลงแล้ว นอนพักสักครู่อาการดังกล่าวจะหายไป เมื่อร่างกายปรับตัวได้เหมาะสมแล้ว จึงค่อยออกมา จะเป็นการดีถ้าจะพยายามประคับประคองสภาวะจิตที่อิ่มเอิบนั้นไว้ด้วยการค่อย ๆ ออกจากการฝึกช้า ๆ ลืมตาช้า ๆ เคลื่อนไหวช้า ๆ พูดช้า ๆ การประคองการทำงานของจิตใจในกิจกรรมด้วยความเนิบช้า จะทำให้จิตทรงสติในการทำงานได้ ดีมากจนกว่าจะชำนาญจึงค่อย ๆ เพิ่มอัตราเร็วในการทำงานขึ้น<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]สี่ [/FONT][FONT=&quot] ปฏิบัติด้วยความเคารพ ฝึกจิตให้ได้ผลดี ต้องปฏิบัติ[/FONT][FONT=&quot] ด้วยความตั้งใจ ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติ ไม่ทำเล่น ๆ ขณะปฏิบัติไม่ลืมตา หรือลุกขึ้นมาโดยทันทีทันใด ไม่ว่าอะไร จะเกิดขึ้น แม้จะต้องตายก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงบุคคลหรือภารกิจ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ใดมารบกวน ควรกำหนดเวลาปฏิบัติเป็นเวลาเดียวกันประจำ และห้ามมิให้ใครเข้ามา[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]บกวนในเวลานั้น[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ห้า[/FONT][FONT=&quot] ปฏิบัติสม่ำเสมอ การฝึกจิตนั้นต้องปฏิบัติเป็นประจำ สม่ำเสมอ เช่นเดียวกับร่างกาย เมื่อเราต้องการให้เจริญเติบโตก็ต้องป้อนอาหารให้ทุกวัน เมื่อต้องการให้สะอาด ก็ต้องชำระล้างทุกวัน จิตก็เช่นกัน เมื่อต้องการให้จิตสะอาดผ่องใส ปราศจากทุกข์ ก็ต้องชำระทุกวัน เมื่อต้องการให้จิตมีพลังและมีปัญญา ก็ต้องหมั่นฝึกทุกวันเป็นประจำ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]หก[/FONT][FONT=&quot] ฝึกให้เป็นที่สบาย ประการนี้สำคัญมาก การฝึกจิตด้วยการบังคับจิตนั้นเป็นอันตราย แต่การฝึกจิตโดยการปล่อยจิตก็ไม่ได้ผล จิตนั้นเสมือนโคเปลี่ยว บังคับไม่ได้มันจะขวิดเอา หากปล่อยก็ไม่ได้ มันจะหนีเข้าป่าไป จิตก็ดุจเดียวกัน หากบังคับมาก จะมีอาการปวดศีรษะ หากฝืนมากจะปวดต้นคอ หรือร้อนตามหน้าผาก หากปล่อยจิตตามสบาย จิตก็จะกระเจิงไปกับอารณ์ต่าง ๆ อย่างไม่เป็นเรื่องเป็นราว ดังนั้นเคล็ดลับของการฝึกจิตให้ได้ผลดีคือต้องประคับประคองจิต<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อปฏิบัติได้ตามหลักหกประการนี้แล้วโดยสมบูรณ์[/FONT][FONT=&quot] สมาธิจิตจะดี จิตจะทรงตัวตลอดเวลาแม้ในขณะปฏิบัติงาน[/FONT]
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    กุศลกรรมนำจิตใจสู่ความสงบ<o:p></o:p>

    [FONT=&quot]กุศโลบาย ในการฝึกจิตคือจะต้องมีกุศลกรรมพอสมควร กุศลกรรมนี้ จะทำให้ใจมีความสุขในระดับหนึ่ง[/FONT][FONT=&quot] มีความอิ่มเอิบระดับหนึ่ง การสร้างความดีนั้นเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับสำนึกในส่วนลึก เพราะสำนึกในส่วนลึกนั้นเป็นปัญญาญาณเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้อง จึงเลือกสรรได้อย่างเหมาะสมด้วยเลือกสรรได้อย่างเหมาะสม จึงมีแต่ความดีงามเท่านั้นที่เกิดขึ้น<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]กุศลกรรมจะสถิตย์อยู่ในสำนึกละเอียดอ่อน ความสุขที่อยู่ในระดับประณีตละเอียดอ่อน จะมีพลังอำนาจที่จะทำให้ทรงตัวระดับหนึ่ง อย่าลืมว่าสิ่งใดก็ตามที่ละเอียดประณีต[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]มันจะมีพลังมากกว่าระดับหยาบ จิตใจก็เช่นกัน ถ้าอยู่ใน[/FONT][FONT=&quot] ระดับหยาบก็มีอานุภาพน้อย ถ้าอยู่ในระดับละเอียดประณีตก็จะมีอานุภาพมาก เพราะเหตุนี้ ถ้าเรามีกุศลกรรมสร้างความดีที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ใจเราก็จะเกิดปัสสัทธิ ปัสสัทธิ คือ ความสงบระงับ เป็นปัสสัทธิอันเกิดจากความอิ่มใจ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]คลื่นสมองในขณะที่ทำสมาธิ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การค้นพบทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับคลื่อนสมองเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้ยอมรับกระบวนการทำสมาธิ[/FONT][FONT=&quot] เพื่อพัฒนาจิตใจของนักปราชญ์โบราณมากยิ่งขึ้น จากการค้นคว้าและทดลอง นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่า สมองของคนเราประกอบด้วยเซลล์ประสาทหลายพันล้านเซลล์แต่ละเซลล์ได้สร้างกระแสไฟฟ้าเล็ก ๆ ขึ้น ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วทำให้เกิดคลื่อนแม่เหล็กไฟฟ้าหรือคลื่อนสมองซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของจิตใจ (การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์) จากการต่อเครื่องมือที่ใช้วัดคลื่นสมองเข้ากับศีรษะของคนเรา ทำให้พบว่า คลื่นสมองที่เกิดขึ้นในสภาวะจิตสำนึกตื่นตัวตามปกติเป็นคลื่นเบตา (Beta wave) ซึ่งเป็นคลื่นที่มีความถี่รวดเร็วไม่สม่ำเสมอ อันเป็นการชี้วัดถึงความกระสับกระส่ายวุ่นวายของจิตใจคนปกติทั่วไป ความถี่ 13 หรือมากกว่า13 รอบ/ วินาที มีจังหวะที่ไม่แน่นอน[/FONT]
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    จังหวะของการท่องภาวนา<o:p></o:p>

    คลื่นเบตา (Beta wave)<o:p></o:p>

    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การท่องสัมมาอะระหังอย่างนุ่มนวลและมีจังหวะอยูภายในระหว่างการทำสมาธิ จะทำให้คลื่นเบตาที่มีจังหวะเร็วและไม่แน่นอนนั้นค่อย ๆ สงบลงกลายเป็นคลื่นอัลฟา [/FONT][FONT=&quot]Alpha wave) ที่มีจังหวะช้าและแน่นอนกว่า ในไม่ช้าผู้ทำสมาธิก็จะเข้าสู่สภาวะที่สงบเยือกเย็นของจิตใจ ความถี่ช้ากว่าประมาณ 8 รอบ/วินาที มีจังหวะแน่นอนขึ้นและมีพลังงานสูงกว่า Beta wave<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จังหวะของการท่องภาวนา[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]คลื่นอัลฟา [/FONT][FONT=&quot](Alpha wave)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]โดยการเอาใจจดจ่อกับสัมมาอะระหังต่อไป คลื่นสมองของผู้ทำสมาธิก็จะมีความถี่ที่ช้าและแน่นอนขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นคลื่นเธตา [/FONT][FONT=&quot](Theta wave) ที่มีพลังงานทางจิตอย่างมหาศาล ในสภาวะที่กำลังเข้าสู่จิตใจระดับลึกนี้ ความถี่ประมาณ 4 รอบต่อวินาที (Theta state) นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าป็นสภาวะที่คนเราจะเกิดความคิดสร้างสรรค์ การหยั่งรู้เองความสามารถในการสื่อสารทางจิตและมีความสงบทางจิตสูงที่สุดและจะเกิดดวงตาพิเศษ[/FONT] [FONT=&quot](True discrimination) คนที่จิตใจพัฒนาถึงระดับนี้ <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] จะมีความสุภาพ [/FONT][FONT=&quot](gentleness) ความอดทน (patience) ความเยือกเย็น (serenity) ความสดชื่นเบิกบาน (cheerfulness) ความอ่อนน้อมถ่อมตน (humility) ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (magnanity) และจิตใจที่มั่นคงไม่หวั่นไหว(undisturbed concentration)<o:p></o:p>[/FONT]

    [FONT=&quot]ขณะที่ผู้ทำสมาธิมีจิตใจสงบมากขึ้น มีใจที่จดจ่อกับภาวนามากขึ้น คลื่นสมองของเขาก็จะช้าลงจนกลายเป็นคลื่นเดลตา [/FONT][FONT=&quot](Delta wave)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]คลื่นเดลตา[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] (Delta wave)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ระดับพลังงานของคลื่นเดลตาเพิ่มขึ้น พร้อมกับความปิติสุขในจิตใจจะมีมากขึ้น จนกระทั่งคลื่นสมองของผู้ทำสมาธิดูเหมือนกับว่า [/FONT][FONT=&quot]“หยุดนิ่ง (เป็นเส้นตรง)” ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลดูเหมือนว่าหยุดการเคลื่อนไหว ความรู้สึกแบ่งแยกว่า<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]คลื่นของจักรวาล [/FONT][FONT=&quot](Cosmic wave)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] คลื่นสมองของผู้ทำสมาธิ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เป็น [/FONT][FONT=&quot]“ ตัวฉัน ” “ พวกฉัน ” “ อัตตา ” จากสรรพสิ่งต่างๆ ในจักรวาลไม่มีเหลืออยู่ต่อไปอีกแล้ว ในพริบตานั้นเองผู้ทำสมาธิ จะเข้าสู่สภาวะของความเป็นพุทธะที่อยู่เหนือขอบเขตของกาลเวลาสถานที่ และคำอธิบายใด ๆ และสภาวะนี้เอง คือเป้าหมายสูงสุดของการทำสมาธิ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot]กฎเหตุและผลและกรรมในพระพุทธศาสนา[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT] [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]สิ่งหนึ่งที่ดลใจให้คนจำนวนมากมาสนใจในพระพุทธศาสนา ก็คือการอธิบาย กฎของธรรมชาติด้วยภาษาที่เรียบง่ายของพระพุทธองค์ ซึ่งผู้ใดสามารถเข้าใจและปฏิบัติตัวตามกฎของธรรมชาติข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นหลักสำคัญยิ่งที่พุทธศาสนิกชนควรทราบก็คือ คำสอนที่พระอัสสชิได้แสดงแก่อุปติสสะปริพาชก [/FONT][FONT=&quot](ต่อมาคือพระสารีบุตร อัครสาวกของพระพุทธเจ้า) ที่ว่า “ธรรมใด ๆ ทั้งหลายย่อมมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตทรงแสดงเหตุและความดับของธรรมเหล่านั้น “ คำสอนนี้พอจะพูดเป็นภาษาง่าย ๆ ได้ว่า “สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น (effect) ย่อมต้องมีที่มา หรือสาเหตุ (cause) ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง (no cause) และพระพุทธองค์สามารถอธิบายได้ถึงที่มาของสาเหตุและผลที่จะเกิดขึ้นของสิ่งต่าง ๆ ”<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกในจักรวาลนี้ จะไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะต้องมีที่มา หรือสาเหตุ เช่น น้ำเกิดจาก[/FONT][FONT=&quot] Hydrogen + Oxygen ผลมะม่วงในสวนที่บ้าน เกิดจากมีคนเอาเม็ดมะม่วงไปเพาะในดิน รดน้ำ, ใส่ปุ๋ย ฯลฯ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    คนที่ชีวิตมีความสุขกว่าคนอื่น เพราะมีวิธีการดำเนินชีวิตที่ชาญฉลาดกว่าคนอื่น

    [FONT=&quot] การบังเอิญจึงไม่มีอยู่ในคำสอนของพระพุทธศาสนาการที่เราไม่ทราบเหตุของสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้น มิใช่จะหมายความว่าเหตุของสิ่งเหล่านั้นจะไม่มี เหตุย่อมมีอยู่ก่อนผลทุกเรื่องเช่น การที่เราเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ร่ำรวยหรือยากจน การที่เรามีรูปร่างหน้าตาสวยงามหรือไม่สวยงามกว่าคนอื่น การที่เราเรียนหนังสือเก่งหรืออ่อนกว่าคนอื่น การที่เรามีความสุขหรือความทุกข์มากกว่าคนอื่น ฝนตก ฟ้าร้อง ฯลฯ ล้วนแต่ มีที่มาทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราจะทราบถึงเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นหรือไม่เท่านั้น จากกฎของเหตุและผลนี่เองที่จะนำเราไปสู่หลักการสำคัญอีกประการหนึ่งของพุทธศาสนา คือ เรื่องของกรรมที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อความทุกข์หรือความสุขของคนเรา เราคงคุ้นเคยกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า การกระทำใด ๆ ย่อมนำมาซึ่งปฏิกริยาตอบสนอง หรือ ผลของ การกระทำ (any action brings reaction) ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของสิ่งมีชีวิต หรือไม่มีชีวิตก็ตาม เช่น การวิพากษ์วิจารณ์อย่างหยาบคายต่ออีกบุคคลหนึ่งความรู้สึกที่ไม่ดีต่อบุคคลอื่น ก้อนหินที่ตกลงในน้ำหรือ ภูเขาไฟที่กำลังพ่นลาวาออกมา ฯลฯ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ในทุกการกระทำ [/FONT][FONT=&quot](action) ย่อมต้องทำให้เกิดปฏิกริยาตอบสนอง หรือผลของการกระทำ (reaction) เสมอ <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ในพระพุทธศาสนาก็มีแนวคิดคล้ายคลึงกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่กล่าวมาข้างต้น<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]โดยแบ่งการกระทำของคนเรา[/FONT][FONT=&quot] ออกเป็น 2 ด้าน คือ การกระทำจากภายนอกหรือพฤติกรรมที่มองเห็นได้เช่น การเดิน การวิ่ง การทำงาน ฯลฯ และการกระทำจากภายในหรือพฤติกรรมที่มองเห็นไม่ได้ เช่น ความอิจฉา ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความเสียใจ ฯลฯ และมองการกระทำทั้ง 2 ด้านนี้ว่าเป็นผลลัพธ์จากการกระทำบางอย่างในอดีต เป็นแหล่งกำเนิดของการกระทำบางอย่างต่อไปในอนาคต จากการที่พระพุทธศาสนามองว่าการกระทำ (action) ของคนเราอาจเกิดจากพฤติกรรม ที่มองเห็นได้ และมองเห็นไม่ได้ ดังนั้นแหล่งกำเนิดของ “ กรรม ” ตามแนวพระพุทธศาสนา ก็คือ จิตใจของคนเรานั่นเอง ซึ่งคนเราสามารถแสดงการ กระทำจากจิตใจที่อาจไม่มีการแสดงอะไรให้เห็นจากท่าที ภายนอกเลย ผลของการกระทำ (reaction) ของการกระทำใด ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อใด? การที่เราจะเข้าใจโลก เข้าใจชีวิตและรู้จักวิถีการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขนั้นเราควรที่จะเข้าใจกฎของ ธรรมชาติอีกข้อหนึ่งว่า “ผลของการกระทำใดๆ จะเกิดขึ้นในสภาพที่เหมาะสมเท่านั้น <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]โดยไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นทันทีหลังจากการกระทำนั้นๆ[/FONT][FONT=&quot]” เช่น เราทำความดีในวันนี้เราอาจจะไม่ได้รับผลของความดีในวันนี้ทันที แต่เราอาจจะได้รับในเดือนหน้า หรืออีกหลายๆ ปีข้างหน้า เราทำความชั่ววันนี้เราอาจจะไม่ได้รับผลของความชั่วที่เราทำในวันนี้ แต่เราอาจจะได้รับในอนาคตข้างหน้า ฯลฯ ผลของการกระทำใดๆ (reaction) ที่กำลังรอสภาวะที่เหมาะสมที่จะเกิดขึ้น เรียกว่า โซ่ของการกระทำหรือโซ่กรรม (potential reaction) ซึ่งโซ่กรรมนี้อาจเกิดขึ้นหลังจากที่เราได้ทำการกระทำใด ๆ เป็นระยะเวลาอันยาวนานก็ได้ เช่น เราทำการคอรัปชั่นในวันนี้ เราอาจจะถูกจับในอีกหลาย ๆ ปีข้างหน้า เราเริ่มสูบบุหรี่ในวันนี้ เราอาจจะเป็นโรคร้ายในอีกหลายๆ ปีข้างหน้า เราเริ่มออกกำลังกายในวันนี้อีกหลายๆ เดือนหรือหลายปีข้างหน้าเราจึงจะมีรูปร่างที่สวยงาม<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]โซ่กรรม [/FONT][FONT=&quot](potential reaction) ของคนเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ๆดังนี้<o:p></o:p>[/FONT]
    <!--[if !supportLists]--> 1.[FONT=&quot] [/FONT]<!--[endif]--> [FONT=&quot]ชนิดสืบทอด คือ พวกลักษณะโซ่กรรม ที่ได้สืบทอดมาตั้งแต่ชีวิตก่อนของคนเรา โซ่กรรมชนิดนี้ จึงเป็นสิ่งที่เรามีติดตัวมาตั้งแต่ก่อนที่จะเกิด [/FONT][FONT=&quot]* โซ่กรรมชนิดสืบทอดนี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้คนเราที่เกิดขึ้นมาแต่ละคนมี ความแตกต่างกัน ตั้งแต่สถานที่เกิด รูปร่าง หน้าตา สีผิวลักษณะภายนอก นิสัยใจคอ ฯลฯ<o:p></o:p>[/FONT]
    <!--[if !supportLists]--> 2.[FONT=&quot] [/FONT]<!--[endif]--> [FONT=&quot]ชนิดที่ถูกยัดเยียด คือ พวกลักษณะโซ่กรรมที่คนเราจะได้รับจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อของคนในครอบครัว ค่านิยมของสังคม การศึกษาที่ได้รับ ฯลฯ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    <!--[if !supportLists]--> 3.[FONT=&quot] [/FONT]<!--[endif]--> [FONT=&quot]ชนิดที่เกิดจากตัวเราเอง คือ พวกลักษณะโซ่กรรมต่าง ๆ ที่เราได้ทำขึ้น [/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จากการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เช่น การทำร้ายผู้อื่น การพูดนินทาหรือพูด เสียดสีผู้อื่น การช่วยเหลือผู้อื่น ฯลฯ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]*ในพระพุทธศาสนา มองเรื่องการเกิดใหม่ (reincamation) ของคนเราเป็นปรากฎ-<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การณ์ธรรมชาติธรรมดาของสิ่งมีชีวิตที่จะต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด ตามกฎของเหตุและผล [/FONT][FONT=&quot](cause and effect) ดังในนิทานชาดกที่แสดงให้เห็นถึงการบำเพ็ญบารมี ในชีวิตต่างๆ ของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป (นิพพาน)[/FONT]
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot]การขาดสิ้นโซ่กรรม [/FONT][FONT=&quot](potential reaction) <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ในพระพุทธศาสนา[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ตราบใดที่การดำเนินชีวิตของเรายังขึ้นกับโซ่กรรมที่ติดตามเรามาหรือตราบใดที่เรายังดำเนินการสร้างโซ่กรรมใหม่ต่อไปเรื่อยๆ เราจะไม่มีวันพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]หรือนิพพานได้ ผู้ที่ต้องการจะหมดสิ้นโซ่กรรมจึงต้องทำหน้าที่สำคัญ [/FONT][FONT=&quot]2 ประการ คือ<o:p></o:p>[/FONT]
    <!--[if !supportLists]--> 1.[FONT=&quot] [/FONT]<!--[endif]--> [FONT=&quot]เร่งโซ่กรรมที่ยังคงมีอยู่ในตัวเราให้ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]2. ไม่ทำโซ่กรรมใหม่ให้เกิดขึ้นอีกจากการศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์อย่างลึกซึ้ง โยคีและนักบวชโบราณได้พบว่าโซ่กรรมต่างๆ ของคนเราจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วที่สุดในสภาพที่จิตใจระดับลึกๆ ของคนเราได้ทำงานอย่างเป็นอิสระจากการทำงานของประสาทสัมผัส (จิตสำนึก) ซึ่งสภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้ เช่นในขณะที่เรานอนหลับและฝัน หมดสติเป็นเวลานานๆ ป่วยหนักไม่ได้สติ ใกล้จะสิ้นชีวิต ฯลฯ เพื่อที่จะเป็นการเร่งโซ่กรรมที่มีอยู่ในตัวเราให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี่เอง นักบุญ โยคี นักบวช ในสมัยโบราณได้หากระบวนการต่างๆ * ในการให้ประสาทสัมผัสหยุดการทำงานหรือทำงานน้อยที่สุด เช่น การหลบหลีกเสียงและสิ่งเร้าต่างๆ จากภายนอก โดยไปอาศัยอยู่ตามป่าตามเขาที่สงบเรียบ การฝึกควบคุมหลอดเสียงด้วยการไม่พูด การฝึกเพ่งสิ่งของบางอย่างเป็นเวลานานๆ การ ควบคุมลิ้นด้วยการอดอาหาร การฝึกทำจิตใจให้สงบโดยไม่คิดอะไรเลย การเอาใจจดจ่อกับลมหายใจเข้าออกเป็นเวลานาน ๆ <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การฝึกสติด้วยการเคลื่อนไหว การเอาใจจดจ่อกับการสวดมนต์เป็นเวลานานๆ ฯลฯ ซึ่งจากพุทธประวัติที่เราได้ศึกษากันมา เราคงได้เคยพบว่า เจ้าชายสิทธัตถะได้ทดลองใช้วิธีของดาบสและนักบวชตามสำนักต่างๆ ด้วยพระองค์เอง และนำส่วนดีของกระบวนการทางจิตของสำนักต่าง ๆ มารวบรวมเข้ากับสิ่งที่พระองค์ค้นพบด้วยพระองค์เอง เป็นการทำสมาธิในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นวิธีสากลที่คนทุกเพศทุกวัย ทุกชนชั้นวรรณะ สามารถปฏิบัติได้ ด้วยวิธีการที่[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นของหนังสือ ดังนั้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกอะไรเลยที่ผู้ที่เริ่มทำสมาธิตามแนวพุทธศาสนาอย่างถูกต้องนี้ จะพบว่าชีวิตของตัวเองมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก อาจได้พบกับความสุขอย่างใหญ่หลวง หรือพบกับความทุกข์ระทมอย่างมากมาย หรือได้พบกับความสุขความทุกข์สลับกันไปมา เพราะโซ่กรรมในอดีตต่างๆ ถูกเร่งให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจากการทำสมาธินั่นเอง นอกจากการทำสมาธิแล้วการลดความทุกข์ของผู้อื่น โดยการเสียสละความสะดวกสบายส่วนตัวของเราก็จะเป็นการเสริมแรงเร่งให้โซ่กรรมที่มีอยู่ ในตัวเราได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วที่เป็นเช่นนี้เพราะมนุษย์ทุกคนมีความโน้มเอียงตามธรรมชาติอยู่แล้วที่ต้องการจะได้รับโซ่กรรม ที่ให้ผลทางด้านบวก [/FONT][FONT=&quot](โซ่กรรมที่จะให้ความสุขกายสบายใจ) แต่ต้องการหลีกหนีโซ่กรรมที่จะให้ผลทางด้านลบ (ความทุกข์กายทุกข์ใจ) การรู้จักเสียสละความสะดวกสบายส่วนตัวเพื่อลดความทุกข์ผู้อื่น (อย่างเหมาะสม) ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะเร่งโซ่กรรมที่จะให้ผลด้านลบเกิดขึ้นในชีวิตอย่างรวดเร็ว เราจะไม่ทำโซ่กรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องคิดและต้องทำสิ่งต่างๆ เราจะคิดและทำสิ่งต่างๆ อย่างไรที่จะมีโซ่กรรมใหม่ๆ ตามมาน้อยที่สุด กระบวนการต่างๆ เหล่านี้อาจช่วยเราได้บ้าง ฝึกกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยความรักและเมตตาอย่างแท้จริง (Universal love) โดยไม่หวังสิ่งใดเป็นการตอบแทนการกระทำเช่นนี้ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่กระทำได้ง่ายๆ แต่ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากมาก เพราะคนเราส่วนใหญ่ถูกอบรมมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ที่จะทำอะไรก็หวังที่จะได้รับสิ่งตอบแทน ดังนั้นการทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่จะทำให้เราเกิดความรักความเมตตาขึ้นในจิตใจ และเราก็จะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย เช่น การเลี้ยงดูลูกด้วยความรักความเมตตาอย่างแท้จริงโดยไม่หวังว่าลูกจะต้องทำอะไรเป็นการตอบแทนเราบ้าง การช่วยเหลือผู้อื่นโดย ไม่หวังสิ่งใดเป็นการตอบแทนเลย ฯลฯ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] การฝึกมองลึกเข้าไปในสรรพสิ่งทั้งหลายจนเห็นถึงความเป็นพุทธะที่มีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง (รวมทั้งความเป็นพุทธะในตัวเราเองด้วย) และปฏิบัติกับทุกสรรพสิ่งด้วยความรู้สึกที่ เรากำลังปฏิบัติต่อความเป็นพุทธะ จิตใจเราจะไม่มีความรู้สึกที่เย่อหยิ่ง ลำพอง แต่เราจะมีความรู้สึกที่อ่อนน้อมและเป็นมิตรกับทุกสิ่งทุกอย่าง การกระทำด้วยความรู้สึกเช่นนี้เองทำให้การกระทำใด ๆ ของเราไม่มีโซ่กรรมติดตามมา เพราะเป็นการกระทำที่ไม่มีผู้ลงมือกระทำและผู้ถูกกระทำ (action with out doing actionlessness) การทำสมาธิจะช่วยให้เรา<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เกิดความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตประจำวันได้รวดเร็วขึ้น[/FONT]
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot]การเกิดใหม่[/FONT][FONT=&quot] (reincarnation) และความสุขที่แท้<o:p></o:p>[/FONT] [FONT=&quot]จริงของชีวิต[/FONT][FONT=&quot] <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อเราเข้าใจเรื่องโซ่กรรม เราจะเข้าใจดีว่าการเกิด[/FONT][FONT=&quot] ใหม่ของคนเรา (reincarnation) <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นเรื่องธรรมดา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโซ่กรรมที่มีติดตัวเรามาแต่อดีต ถ้าเรามีโซ่กรรมที่ดีในอดีตเราก็จะเกิดขึ้นมาในสภาวะที่ดี ถ้าเรามีโซ่กรรมที่ไม่มีในอดีตเราก็จะเกิดขึ้นมาในสภาวะที่ไม่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีเหตุและผล และขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง เมื่อใดที่เราสามารถทำให้หมดสิ้นโซ่กรรม [/FONT][FONT=&quot](ทั้งโซ่กรรมด้านบวกและด้านลบ) เราก็จะพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต หรือที่เรียกว่านิพพานในพระพุทธศาสนา และเราก็จะไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]พุทธศาสตร์[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ศาสตร์แห่งการรู้จักตัวเอง[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] <o:p></o:p>[/FONT]
    คนเราส่วนใหญ่ในสังคมมักจะใช้เวลาไปกับการศึกษาสิ่งต่างๆ รอบตัว บางคนมีความสามารถในหลาย ๆ ด้าน มีความรอบรู้ในสาขาวิชาต่างๆ มากมาย แต่ขาดความรู้ที่สำคัญที่สุดของชีวิต ซึ่งก็คือความรู้เกี่ยวกับตัวเอง บางคนนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก จนอายุ 10 ปี 20 ปี หรือตายจากโลกไปแล้ว ยังไม่เคยได้ศึกษาเกี่ยวกับร่างกายและจิตใจของตัวเองอย่างจริง[FONT=&quot]จังเลย เมื่อไรก็ตามที่คนเรายังใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปศึกษาสิ่งนอกตัว หรือไขว่คว้าสิ่งต่าง ๆ นอกตัว เมื่อได้สิ่งนี้ก็ต้องการสิ่งโน้น เมื่อได้สิ่งโน้นก็ต้องการสิ่งนั้น ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จิตใจของเราจะไม่มีวันสงบและมีความสุขที่แท้จริงได้เลย เราอาจจะได้สิ่งต่างๆ ที่เราต้องการในชีวิต มีเงินทองมากมาย มีบ้านช่องที่ใหญ่โต มีอำนาจเกียรติยศชื่อเสียง แต่ในหัวใจลึกๆ ของเราก็ยังมีความรู้สึกว่าไม่พอ เรายังต้องการสิ่งอื่นๆ อีก ชีวิตที่เต็มไปด้วยความอยาก ความต้องการทางวัตถุอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นนี่แหละ คือชีวิตของคนธรรมดาทั่วๆ ไปที่จะต้องได้พบกับความทุกข์ระทม ความผิดหวัง ความสูญเสียและเศร้าโศก เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความต้องการของจิตสำนึกของเรา และเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งที่เราได้มานั้นจะอยู่กับเราตลอดไป การทำความรู้จักกับจิตสำนึกและการควบคุมจิตสำนึกของเราด้วยการ[/FONT][FONT=&quot] ใช้ชีวิตในขอบเขตของจริยธรรมในพุทธศาสนา จึงเป็นสิ่งจำเป็นเริ่มแรกในการพัฒนาชีวิตของเรา เราไม่สามารถมองเห็นเงาของดวงจันทร์ในทะเลสาปที่มีคลื่นลมแรงได้ฉันใด เราย่อมไม่สามารถเข้าถึงสภาวะของความเป็นพุทธะที่มีอยู่ในตัวเราในขณะที่จิตใจของเรายังเร่าร้อนวุ่นวายสับสนได้ฉันนั้น เราจึงต้องมีวิธีการที่จะบริหารร่างกายและชำระล้างจิตใจ ในแต่ละระดับให้บริสุทธิ์สะอาด โดยจะละเลยระดับใดระดับหนึ่งไม่ได้ (ร่างกาย, จิตสำนึก, จิตใต้สำนึก, จิตใจส่วนลึก) จนเข้าสู่สภาวะของความเป็นพุทธะหรือระดับจิตใจส่วนลึกที่สุดของคนเรา<o:p></o:p>[/FONT]

    [FONT=&quot]กระบวนการที่จะช่วยทำให้เราได้เข้าถึงสภาวะของความเป็นพุทธ เป็นกระบวนการที่ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องกันมาหลายพันปี อย่างมีแบบแผนที่แน่นอนเพื่อให้คนทั่วไป[/FONT][FONT=&quot] สามารถปฏิบัติได้อย่างสะดวกในชีวิตประจำวัน โดยจะเริ่ม จากการพัฒนาด้านร่างกายด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างพอเหมาะ การออกกำลังกายอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ เพื่อที่จะให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาจิตใจ เมื่อร่างกายของเราได้รับการพัฒนาให้สะอาดบริสุทธิ์ และแข็งแรงแล้ว จากนั้นจะมีการพัฒนาด้านจิตใจด้วยการฝึกทำสมาธิ โดยละความสนใจต่อเสียงและสิ่งเร้าต่างๆ นอกตัว หันกลับเข้ามาศึกษาสิ่งที่มีอยู่ ภายในตัวเราเอง<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]หลักพุทธศาสตร์อันล้ำลึกที่กล่าวมานี้ สามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันของมนุษย์ได้ทุกคน การฝึกนี้ทำให้ร่างกายแข็งแรง สวยงาม มีสุขภาพดี มีอายุยืนนาน มีอารมณ์มั่นคง จิตใจเยือกเย็น แจ่มใส มีความอ่อนน้อม ถ่อมตน ความจำดี มีความคิดสร้างสรรค์สูง มีความรู้สึกที่ไวต่อเหตุการณ์ล่วงหน้า มีจิตใจกว้างขวาง มีความรักและความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ ขณะที่ฝึกฝนจิตใจของผู้ฝึกจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ และความรู้สึกแบ่งแยกเป็นพวกเขาพวกเรา พวกฉัน พวกเธอ ที่เกิดจากอัตตา [/FONT][FONT=&quot](ego) ก็จะค่อยๆ จางหายไปจากจิตใจ ดวงจิตที่เคยวุ่นวายสับสนเหมือนกระจก ที่ขุ่นมัวจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดวงจิตที่สงบสะอาด เหมือน กระจกที่ใสจนเราเห็นสภาวะของความเป็นพุทธะที่มีอยู่ในตัวเราเองถ่านหินดำสนิทที่เคยอยู่ใต้แผ่นดิน สามารถนำมาเจียระไนให้กลายเป็นเพชรที่ส่องแสงเจิดจ้าได้ฉันใด บุคคลธรรมดาๆ ที่จิตใจเต็มไปด้วยปัญหาความวุ่นวายสับสน ก็สามารถพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นคนที่สมบูรณ์* (Self-realized person) อันเป็นสมบัติอันล้ำค่าของโลกได้ฉันนั้น คนที่สมบูรณ์นี่แหละคือเป้าหมายที่สูงสุดของชีวิตมนุษย์ และเป้าหมายของ การพัฒนาคนตามแนวพุทธศาสตร์ <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]* คนที่เข้าถึงสภาวะความเป็น<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] พุทธะ หรือสภาวะนิพพาน[/FONT]
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [FONT=&quot]วิธีทำสมาธิแบบง่าย ๆ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ทำสมาธิ[/FONT][FONT=&quot] เพื่อให้จิตสงบ มีพลัง มีประโยชน์ในปัจจุบันคือทำให้ใจสบาย คลายทุกข์ (ไม่ต้องใช้เงิน) หนักแน่น มั่นคง อารมณ์แจ่มใส เบิกบาน สมองแจ่มใส ความจำดี ทำงานมีประ-สิทธิภาพ สุขภาพดี นอนหลับสบาย รักษาโรคได้หลายอย่าง เรียนหนังสือเก่ง ที่สำคัญ ได้บุญมาก<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]วิธีทำสมาธิ[/FONT] [FONT=&quot]ทำได้หลายวิธี สะดวกที่สุดคือ วิธีกำหนดลมหายใจ [/FONT][FONT=&quot](อาณาปาณสติ) เพราะเราหายใจอยู่แล้วทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกอริยาบท แม้ยืน - นั่ง - นอนบนรถ แต่ท่านั่งดีที่สุดเช้ามืดดีมาก นั่งขัดสมาธิแบบพระพุทธรูป เท้าขวาทับซ้าย มือขวาทับซ้าย ตัวตรงหน้าตรง มีสติสัมปชัญญะ หลับตาตามสบาย ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องต้องข่มตา ทำใจให้สบายที่สุด ๆ รวมความรู้สึกทั้งหมดไปอยู่ที่ปลายจมูก พยายามรู้ที่ลมหายใจ ลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ เพียงแต่รู้เฉย ๆ ไม้ต้องปรับแต่งลมปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ สิ่งที่ทำหน้าที่รู้คือ ให้จิตรู้เฉย ๆ ทำดังนั้นเรื่อยไปตามปรารถนา 5 - 10 - 20 นาที หมั่นทำบ่อย ๆๆ ถ้าจิตบริสุทธิ์จะเกิดสมาธิได้เร็ว เด็ก 6 - 12 ขวบ สามารถทำให้เกิดสมาธิได้ใน 10 15 นาที เมื่อจิตเริ่มสงบลง มือจะรู้สึกอุ่นขึ้น จะรู้สึกกายเบามือเบา จะรู้สึกเริ่มสว่างขึ้น อาจรู้สึกอุ่นขึ้น บางคนจะรู้สึกหลับ (เพราะสติตามไม่ทัน) เมื่อจิตสงบมากขึ้นจะรู้สึกตัวลอย บางคนจะรู้สึกตัวโยกโคลง อาจรู้สึกน้ำตาไหล บางคนอาจรู้สึกตัวพองหรือตัวเล็ก คือจิตเกิดปีติหรือขึ้นอุปจารสมาธิ จิตสงบขึ้นไปอีก บางคนจะรู้สึกลมหายใจน้อยลง ๆ คือลมละเอียดขึ้น จนที่สุดเหมือนไม่ได้หายใจ และจะรู้สึกกายที่อยู่นั้นหายไป นั่นคือสมาธิถึงขั้นอัปปนาสมาธิ อย่าสนใจภาพหรือสิ่งใดที่เกิดขึ้น สนใจแต่เพียงลมหายใจเท่านั้น<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] หมายเหตุ ถ้ามึนหรือปวดศรีษะ เอาจิตไปไว้ท้ายทอย หรือสะดือ <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot](นึกถึงท้ายทอย)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ถ้านอนไม่หลับเอาจิตไปไว้ที่ลำคอใต้ลูกกระเดือก<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ถ้าต้องการเสริมสร้าง (ไอคิว) เอาจิตไปไว้ที่กลางกระหม่อม<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]นึกถึง พุทโธบ่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อออกนอกบ้านจะแคล้วคลาด[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ปลอดภัย[/FONT][FONT=&quot] ทำได้ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา หญิง - ชาย ทั้งรวย และจนทำได้ทุกสถานที่<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p>
    </o:p>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o:p>ขอขอบคุณข้อมูลที่มีสาระจาก</o:p>[/FONT]

    http://www.geocities.com/lotus4th/karma3.htm
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พลังธาตุละเอียดของธาตุจิต​

    1. ธาตุหยาบกับธาตุละเอียดเป็นโลกธาตุซึ่งประกอบไปด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ

    2. อากาศธาตุและวิญญาณธาตุเป็นธาตุที่มีบารมีและบุญ ซึ่งส่วนใหญ่จะส่งผลในทางที่ดี

    3. เมื่อธาตุละเอียดผลักดันให้วิญญาณธาตุขยายตัวออกเป็นฌาณไปสู่โลกุตรธรรม ก็จะสามารถแก้กรรมเก่า ประหารกิเลสและมาร

    4. ผู้บรรยายธรรมและผู้สอนการนั่งสมาธิที่ปฏิบัติไม่ได้ถึงฌาณ มักประพฤติไปในทางที่ผิดศีลธรรม ชีวิตจะประสบแต่ภัยวิบัติดังเช่นผู้หลงอำนาจที่นำประเทศชาติไปในทางเสียหาย ดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวันนี้

    5. มนุษย์ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ แม้จะนับถือศาสนาต่างกัน ก็สามารถปฏิบัติสมาธิกันได้ทุกคน เพราะมีธาตุธรรมเดียวกันหมด

    6. พลังธาตุละเอียดของธาตุจิตมีอำนาจบารมีเหนือธรรมชาติ และไม่มีศาสนาใดๆ เทียบ เท่าได้

    7. จิตหลุดพ้นเป็นพลังธาตุจิตที่มั่นคง ทำหน้าที่กำกับดูแลธาตุที่ด้อยกว่าในโลกียธรรมให้ไปรับกรรมของผลบุญหรือบาปที่ทำไว้ในอดีต และจะส่งผลในชาติหน้า ทุกชาติและทุกภพด้วยจิตสำนึกของตนเอง เมื่อดับขันธ์ไปแล้ว ก็จะไปจุติในโลกธาตุและวิญญาณธาตุเป็นอัตตา
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พลังจิตเท่านั้นทำให้เกิดบุญ​

    จิตเป็นพลังอำนาจธรรมชาติของสิ่งที่มีชีวิต เช่นโลกธาตุและวิญญาณธาตุอันนับประมาณไม่ได้ ผู้ใดปฏิบัติถึงจะรู้แจ้งสัจธรรมและจะมีบารมีเหนือธาตุอเนกอนันต์ในที่สุด ซึ่งบุญอันนี้เกิดขึ้นจากการปฏิบัติสมาธิอย่างเดียว ไม่ต้องอาศัยสิ่งปรุงแต่งขึ้นของมารในโลกนี้มาช่วยอีกต่อไป ก็สามารถบังคับใจไปในทิศทางธรรมะเดียวกันหมด และจะไม่มีความคิดแตกต่างกันเกิดขึ้นอีกเช่นทุกวันนี้ เพราะสัตว์โลกมีธาตุธรรมอันเดียวกัน จะต้องมีการเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นกัน ทำไมจึงมาแตกแยกความคิดกันเพื่อประสงค์อันใด ธรรมะก็ไม่ใช่ของบุคคลใด ทุกชีวิตจะต้องอยู่ใต้กฎแห่งกรรมนี้ ฉะนั้น ผู้ที่เข้าถึงมีหน้าที่ถ่ายทอดวิชาธรรมะแก่มนุษย์โลกโดยไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์เห็น ที่มนุษย์ทำ ปฏิบัติตามกันมาจนทุกวันนี้นั้นมันเป็นของทางโลก ผู้ที่มีพลังจิตสูงมีญาณหยั่งรู้พฤติกรรมเหล่านี้มาตลอด จงเข้าใจกันว่า เราเกิดมาเป็นหนึ่งเดียวกันหมด

     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    วงจรพลังจิต

    จิตเป็นวิญญาณธาตุ เป็นที่ตั้งของบุญ เกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติสมาธิจิตเพียงทางเดียวเท่านั้น และมีอำนาจบังคับใจให้อยู่ในธรรม ไม่ให้ฟุ้งซ่านและทำตามอารมณ์ของตน

    ฌาณเป็นพลังจิตที่แผ่ขยายวงกว้างเป็นวงกลมเป็นรัศมีออกจากกายไม่มีที่สิ้นสุด สามารถหยั่งรู้เกิดปัญญาและอำนาจบารมีขึ้นมาตามความละเอียดของธาตุเมื่อจิตหลุดพ้นระหว่างยังมีชีวิตอยู่ ก็ทำหน้าที่ปกครองโลกธาตุและวิญญาณธาตุ ถ้าดับขันธ์ไปแล้ว จิตจะจุติเป็นอัตตาในธาตุจิต จะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก มีหน้าที่กำกับดูแลบาปบุญคุณโทษของสรรพสัตว์ตามกรรมดีหรือกรรมชั่วที่ได้สะสมมาในปัจจุบันไปส่งผลชาติหน้าตลอดไป

    ชีวิตต้องอาศัยจิต จึงจะเกิด ฉะนั้น มนุษย์จะต้องเสริมสร้างให้จิตเข้มแข็งด้วยการปฏิบัติสมาธิจิต ถ้าจิตมัวหมอง ชีวิตจะไม่ราบรื่นพบแต่อุปสรรคอยู่เนือง ๆ
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อนันตพลังทางจิต

    จิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายมีอยู่ในตัวของเราและจิตของเราก็มีอยู่ในสิ่งที่มีชีวิตทุกๆ ชีวิตของโลกธาตุและวิญญาณธาตุอันนับประมาณมิได้ ใครปฏิบัติสมาธิได้สูงจะมีอำนาจบารมีหน้าที่การปกครองเหนือกว่าผู้ที่ไม่ปฏิบัติหรือผู้ที่ปฏิบัติน้อยกว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อมาแสวงบุญด้วยการปฏิบัติสมาธิเท่านั้นเพื่อให้หลุดพ้น
    การศึกษาเรื่องศีลธรรมและวิชาชีพต่างๆ ก็ไม่ช่วยให้สังคมดีขึ้นและชีวิตก็ไม่ประสบความปรารถนาและมั่นคงได้ การบรรยายธรรมก็เช่นกัน จะต้องไปตามธรรมชาติของกฎแห่งกรรมด้วยการปฏิบัติทางจิตให้เกิดฌาณ จึงจะรู้แจ้งสัจธรรม มิฉะนั้นแล้ว การสอนธรรมก็จะคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงและทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดได้
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]
    ภพนิพพาน เป็นที่ประทับของทุกๆพระองค์ที่ตรัสรู้แล้ว ทำหน้าที่กำกับดูแลพฤติกรรมในธาตุจิตของโลกียธรรมชั่วนิรันดร

    ภพโลกันตร์ เป็นที่ประทับของทุกๆ พระองค์ที่ควบคุมสรรพสัตว์ที่มีกรรมติดตัวมา นับจากกายมนุษย์ธาตุหยาบลงไปจนถึงพวกนรกของฝ่ายมิจฉาทิฐิ ภพนิพพานและภพโลกันตร์จะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป และมีอิทธิพลต่อภพเอนกอนันต์อย่างมากตลอดเวลา เพื่อยึดสิทธิการปกครองของแต่ละฝ่าย ให้เป็นของฝ่ายตนแต่ผู้เดียวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้ใดปฏิบัติสมาธิยิ่งสูงขึ้นไปจากโลกมนุษย์ไปสู่ชั้นสวรรค์และชั้นพรหมแล้ว ก็จะรู้ว่าอาจถูกฝ่ายมารหรือฝ่ายมิจฉาทิฐิเบียดเบียนบังคับให้ตกต่ำลงมาให้เป็นฝ่ายเขา จะทำให้การปฏิบัติสมาธิหวั่นไหว จะเจริญภาวนาต่อไปไม่ได้อีกเท่าที่ควร ส่วนฝ่ายสัมมาทิฐิให้โอกาสผู้กระทำผิดแก้ตัวอีกครั้ง และกลับใจมาอยู่กับฝ่ายตนเช่นเดียวกัน

    ภพเอนกอนันต์ เป็นภพเวียนว่ายตายเกิดของพวกสัตว์โลก พวกเทพ พวกพรหมและพวกนรก การปรับตัวเองให้สูงขึ้นหรือต่ำลงขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเขาเองทั้งสิ้นส่งผลชาติหน้า

    1) มนุษย์ที่มีบรมจักรและมหาจักรคอยปกป้องรักษาอยู่ จะมาเสวยสุขในโลกในชั้นวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ และแพศย์ พวกนี้มีบุญติดตัวมา

    2) มนุษย์ที่มีจุลจักรดูแล อยู่ในชั้นวรรณะศูทร มีบุญน้อย กับสัตว์เดรัจฉานที่ มีแต่บาปเท่านั้น จะต้องมาใช้กรรมอีกเช่นเดียวกัน

    เรื่องบุญและบาป บุญเกิดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติสมาธิอย่างเดียว ส่งผลให้ไปสู่สุคติภพต่างๆได้ชาติหน้าชาติเดียวเท่าจำนวนบุญมากหรือน้อยที่ปฏิบัติได้ในปัจจุบันชาติ จะเป็นกี่ชาติก็ตาม จะต้องไปแบบเดียวกันนี้ชั่วนิรันดร์ บุญส่งผลให้โลกธาตุและวิญญาณธาตุที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์อีกไปอยู่ตามชั้นวรรณะต่างๆ จะต้องอาศัยผลบุญมากหรือน้อยจากปางก่อนทั้งสิ้น ส่วนที่มีบาปมากๆ ติดตัวมาเกิดเป็นสัตว์นรกไปและสัตว์ที่อยู่ในโลกนี้ จะเป็นสัตว์ป่า สัตว์เนื้อหรือสัตว์เลี้ยงนั้น ขึ้นอยู่กับบาปติดตัวมาลดหลั่นลงไปตามกรรมที่สร้างขึ้นในอดีตชาติ บุญและบาปจากปางก่อนและที่สร้างขึ้นมาใหม่อีก ส่งผลไปสู่ชาติหน้าได้ชาติเดียว ในภพเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น กรรมส่งผลเร็วแบบสายฟ้าแลบให้ตกจากชั้นพรหม ชั้นเทพ ชั้นโลกมนุษย์และชั้นนรกไปสู่ที่ต่ำสุดคือภพโลกันตร์ได้ในชั่วพริบตาในชาติหน้าชาติเดียว แต่บุญในวิญญาณธาตุส่งผลช้า ให้สูงขึ้นเป็นขั้นๆทุกชาติไป ไม่เหมือนกับมนุษย์ผู้ปฏิบัติได้สูงในปัจจุบันชาติ สามารถข้ามภพข้ามชาติแบบก้าวกระโดดด้วยตนเองได้ในชาติหน้าชาติเดียวอย่างรวดเร็วไม่ต้องสงสัย
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อำนาจพลังธาตุจิต

    ธาตุหยาบประกอบไปด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟเป็นธาตุที่รับอารมณ์อยู่ในโลกกามภพ ไม่มีอำนาจสั่งการ จะต้องมีธาตุจิตที่มั่นคง จึงจะสร้างภพสร้างชาติได้สำเร็จด้วยบุญบารมีอำนาจกำลังฤทธิ์สิทธิเฉียบขาดเท่าที่ปฏิบัติถึงถ้าขาดคุณธรรมแล้วจะทำให้ธรรมะเสื่อม มีแต่สร้างปัญหาให้กับทางโลก

    ธาตุจิตเป็นของเราโดยแท้และอยู่กับเราชั่วนิรันดร ให้ชีวิตแก่สรรพสัตว์ไปตามภพภูมิจากบุญหรือบาปส่งผล และใช้เป็นจุดเดินวิชาในศูนย์รวมธาตุเดียวกันนี้ ไปทำลายฐานที่ตั้งของอธรรมให้หมดสิ้น แล้วมาครองธาตุหยาบ วิญญาณธาตุและวัตถุธาตุที่ปรากฏเห็นในการปฏิบัติธรรมให้เป็นของเราหมดโดยสิ้นเชิง ถ้ามีสิ่งใดมากระทบกายเราจากภายนอกทำให้หงุดหงิด จะต้องเร่งฌานจัดการให้สิ่งนั้นๆสลายไป และให้กลับสู่ปกติโดยเร็ว จึงจะเอาชนะมารได้ ถ้ายังไปยึดติดมันอีก ธาตุจิตก็จะออกจากกายหยาบไป ไม่มีพลังคุ้มครอง ก็จะถูกอวิชชาชักจูงไปในทางที่ผิดได้ง่าย จะไม่เป็นตัวของตนเองอีกต่อไป ชีวิตก็จะไม่ผ่องใสจะมีแต่ ทุกข์ โศก โรค ภัย ขาดศีลธรรมและบุญที่จะมาช่วยแก้กรรมเก่าของตนเองได้ มีแต่ทุกข์ภูมิเป็นที่อาศัย ตรงกันข้ามกับผู้ที่บรรลุธรรมก็จะเสวยสุขในภพสวรรค์หรือภพพรหมขึ้นไปในชาติหน้า

    วิชามรรคผลเป็นวิชาอิสระเป็นการสร้างตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ปราศจากกิเลสตัณหา ปฏิบัติกันได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติและศาสนา ให้ความรู้กฎธรรมชาติของธรรม และเข้าใจรู้แจ้งกฎแห่งกรรมเป็นอย่างดี เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องของทุกองค์ศาสดาที่ได้แสดงธรรมให้รู้เห็นซาบซึ้งเป็นที่ประจักษ์มาแล้วในอดีต

    ธาตุต่างๆก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งฝ่ายสัมมาทิฐิและมิจฉาทิฐิมีปรากฏอยู่ทุกหย่อมหญ้า พร้อมที่จะเข้าไปทำลายพวกที่มีธาตุจิตที่อ่อนกว่าให้เป็นของพวกตนเป็นประจำ ฉะนั้นจงเตรียมพร้อมใช้สมาธิกำจัดมันเสีย ก่อนที่จะถูกมันเข้ามาแทรกซึมยึดธาตุจิตของเราได้ ก็จะเป็นอันตรายกับตัวเราเอง
     
  18. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    ขอร่วมสนทนาธรรม...


    เนื้อหาบทความดีมากครับ เรียบเรียงจากพื้นไปสู่บั้นปลายด้วย
    ขอบคุณที่แนะนำกระทู้ดีๆ นะครับ และคงขอร่วมวงสนทนาธรรม


    อนึ่ง คุณ แวนโก๊ะได้กล่าวว่า...

    ถ้าดับขันธ์ไปแล้ว จิตจะจุติเป็นอัตตาในธาตุจิต
    จะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก

    ข้าพเจ้าคิดว่าท่านรู้แจ้งในสภาวะนั้นจริงๆ แต่เกรงว่าการกล้าใช้คำว่า "อัตตา"
    จะเป็นปัญหาในภายหลัง เพราะโดยคำศัพท์ว่า "อัตตา" นั้น มีคำว่า "อวิชชา"
    คือ ความหลงว่ามีตัวตนของตนประกอบอยู่ด้วย


    หากใช้คำอื่นได้ไหม? เช่น เป็น อัตลักษณ์?, ตัวตนที่แท้?, จิตเดิมแท้? ฯลฯ
    ลองเลือกหาคำที่ใช้อธิบายมาสิครับ แล้วอธิบายลักษณะจิตอรหันต์โดยละ
    เว้นการใช้คำว่า "จุติเป็นอัตตาในธาตุจิต" เพราะเสี่ยงต่อการขัดแย้งไตรปิฎก
    มากเลย ป้องกันการเกิดปัญหาในการเผยแพร่ภายหลังด้วย
     
  19. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    สภาวะจิตเมื่อพระอรหันต์ตายลง

    จิตจะจุติออกจากภพเดิม เป็นจิตดวงสุดท้ายในภพนั้น แล้วเป็นอิสระ
    จากภพใดๆ ไม่มีภพต่อ ไม่มีชาติต่อ ไม่เกิด "ปฏิสนธิจิต" ต่อในชาติ
    ภพใดๆ อีก

    จะคงอยู่เช่นนั้น ตามไตรปิฎกท่านว่า "นิพพาน" เป็นปรมัตถธรรมที่
    มีความเป็นลักษณะเพียง "อนัตตา" เท่านั้น ไม่มีความเป็นทุกขังและ
    อนิจจัง นั่นย่อมหมายความว่านิพพาน อยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยน สุขเช่นนั้น
    ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่ใช่สภาวะของ "อัตตา"

    คงต้องเลี่ยงคำว่า "อัตตา" ในการอธิบายสภาวะนี้แล้วครับ เพราะใน
    พระไตรปิฎกท่านระบุไว้ว่า "นิพพาน" เป็นลักษณะของ "อนัตตา" ชัดเจน


    หรือท่านคิดว่าอย่างไร?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กรกฎาคม 2007
  20. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,998
    ค่าพลัง:
    +5,064
    ประเด็นเรื่องจิตกับใจ


    ผมเห็นสอดคล้องกับคุณแวนโก๊ะนะ และคิดว่าคุณแวนโก๊ะเห็นจริง
    อนึ่ง คุณแวนโก๊ะอธิบายว่า

    "จิตคือธาตุรู้ธาตุรู้เป็นธาตุสากลมีสภาพเป็นอรูป ไม่มีตัวตนแต่แทรกในทุกสิ่งที่
    มีการปรุงประกอบกันที่เรียกว่าสังขาร

    อันนี้ จะเกิดความสับสนได้กับ "ปริจเฉทรูป" ซึ่งเป็นรูปว่างซึ่งแทรกในทุกสิ่ง
    เช่นกัน อันที่จริง สิ่งต่างๆ ก็ประกอบกันมา แต่ประกอบอย่างไรละ? คือ จิต
    เองไม่ได้อยู่โดดๆ แต่จิตเท่านั้น จิตมีวิญญาณขันธ์เข้ามาคลุมดูแลไว้ เชื่อม
    กับกายเนื้ออีกที สิ่งที่เราเห็นเวลาเข้าวิญญาณสานัญจายตนะ ก็คือ วิญญาณ
    แต่จิตเล็กมาก มองไม่เห็น เพราะจิตดูจิตตัวเองไม่ได้ อุปมาก็เหมือนคนเรา
    ต้องดูกระจก ถึงมองเห็นตัวเอง หากไม่ใช้ใจดูจิต ก็ไม่เห็นจิต หากไม่ใช่จิต
    ดูใจ ก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้จักใจ และหลงทำอะไรตามใจ


    ดังนี้ สิ่งที่จิตรู้เห็นนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเป็นวิญญาณขันธ์มากกว่า คือ
    วิญญาณ หรือ ออร่า หรือ ปราณ นั่นแหละ อย่างเดียวกัน ซึ่ง จิตจะเคลื่อน
    ไปมาในขอบข่ายของวิญญาณนี้ อย่างรวดเร็ว อุปมาเหมือนปลาว่ายใน
    ทะเลอย่างปลอดภัย


    จิต อาศัยวิญญาณเป็นที่เกิด อาศัยอายตนะเป็นที่เกิด คำว่าเกิดนั้น
    มันก็แค่หมายถึง การสังเกตุเห็นได้ว่ามีจิต ณ เวลาหนึ่งๆ ว่าไปที่นั่น
    ที่นี่ เท่านั้นเอง มันไม่ได้ เกิดตายๆ วนเวียนเหมือนคนเรา เพียงแต่
    มันเปลี่ยนแปลงไปตลอด ในรูปแบบต่างๆ เราถึงเรียกว่ารูปแบบเก่า
    ดับ รูปแบบใหม่เกิดแทน แล้วใช้ "นาม" เรียกจิตที่เกิดเหล่านั้น


    ประเด็นนี้คิดว่าอย่างไร?...
     

แชร์หน้านี้

Loading...