เรื่องเด่น เทวดา- เธอรู้ไหม วิริยะบารมีคืออะไร

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 26 ตุลาคม 2017.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    ?temp_hash=b8808726db7f6c061ab365b4f8347cf4.jpg






    วิริยะบารมี


    เมื่อกี๊ หลังจากนั่งสวดมนต์น้อมถวายในหลวงรัชกาลที่๙ เหมือนที่เคยทำทุกวันเสร็จ ก็เผลอเคลิ้มๆฝันๆไปว่า...(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เป็นเพียงความฝัน อย่าเชื่อจนกว่าจะได้ปฏิบัติและพิจารณาให้เข้าใจด้วยตนเอง)

    เดินไปเจอปราสาทแห่งหนึ่ง เป็นแก้วเป็นเพชรทั้งหลัง ใหญ่โตสวยงามมาก หน้าปราสาทนั้น มีเทวดาท่านหนึ่งยืนอยู่ ท่านยิ้มให้ และเรียกผมให้เข้าไปหา และคุยด้วยว่า...

    เทวดา- เธอปรารถนาวิริยะธิกะหรือ?

    ผม- ครับ

    เทวดา- เธอรู้ไหม วิริยะบารมีคืออะไร

    ผม- ก็หมายถึงการทำความเพียรครับ

    เทวดา- เพียรทำอะไรล่ะ

    ผม- เอ่อ... ก็เพียรทำความดี เพียรสร้างบารมี มังครับ

    เทวดา- เธอยังไม่เข้าใจ วิริยะบารมี ไม่ใช่ความเพียรทั่วไป

    ผม- แล้วต้องเพียรยังไงครับถึงเป็นวิริยะบารมี

    เทวดา- วิริยะบารมี คือการเพียรเพื่อละกิเลส โลภ โกรธ หลง ให้หมดไป ถ้าไม่ใช่เพียรละกิเลส มันเป็นวิริยะเฉยๆ ไม่ใช่วิริยะบารมี

    ผม- วิริยะ กับ วิริยะบารมี ไม่เหมือนกันเหรอครับ

    เทวดา- ไม่เหมือนสิ วิริยะเฉยๆ คือเพียรทำอะไรสักอย่างเช่น เพียรอ่านหนังสือสอบ เพียรทำงาน หรือแม้แต่เพียรในการโกงคนอื่น ก็เป็นวิริยะ มันแค่เพียรเฉยๆ เพียรแบบนั้น มันไม่เกิดบารมี เราจึงเรียกว่า วิริยะเฉยๆ ไม่ใช่วิริยะบารมี

    ผม- อ้อ แปลว่าการเพียรแบบทางโลก ไม่ใช่วิริยะบารมี

    เทวดา- ก็ไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมด ต้องบอกว่า การเพียร ด้วยใจที่เป็นทางโลกต่างหาก ไม่ใช่วิริยะบารมี แต่การเพียรในโลกนี้ บางอย่างก็เป็นวิริยะบารมีได้ ถ้าใจที่ทำความเพียรนั้นเป็นธรรม

    ผม- อ้อ วัดกันที่ใจ ไม่ใช่การแสดงออกทางกายสินะครับ

    เทวดา- ใช่ เธออย่าลืมว่า บารมี แปลว่า เต็ม อะไรที่เต็ม ก็คือกำลังใจเต็ม ดังนั้น ความเพียรที่จะทำให้เกิดวิริยะบารมี จึงต้องเป็นความเพียรที่มาจากใจที่เต็มด้วยธรรม ไม่ใช่ดูแค่การแสดงออก บางคนทำท่าคร่ำเคร่งสร้างบุญ แต่ใจเต็มไปด้วยกิเลส อยากทำเพื่อข่มเพื่อโชว์คนอื่น แบบนั้นไม่ใช่วิริยะบารมี แต่บางคนเขาอยู่ง่ายๆ เห็นใครลำบากก็ช่วย เห็นอะไรเป็นประโยชน์ก็ทำ ด้วยใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ด้วยใจเสียสละ อันนั้นก็เป็นวิริยะบารมี

    ผม-อ้อ ครับ ต้องเป็นความเพียร ที่สร้างด้วยใจที่ต้องการละกิเลส โลภ โกรธ หลง ถึงจะเป็นวิริยะบารมีสินะครับ

    เทวดา- ใช่ เพราะเมื่อเราเพียรละโลภ โกรธ หลง ใจมันก็สว่าง มันก็มีกำลัง นั่นล่ะบารมีเกิดแล้ว สะสมแล้ว

    ผม-อย่างนี้ คนที่พากเพียรเรียนหนังสือ ทำงานตามหน้าที่ของตนทางโลก จะเป็นวิริยะบารมีไหมครับ

    เทวดา-อันนั้นคือวิริยะเฉยๆ ถ้าเธอเพียรเรียนหนังสือเพราะอยากรวย อยากเท่ มันก็ได้แค่วิริยะ แต่ถ้าเธอเพียรเรียนเพื่อ เอาความรู้ไปช่วยสังคม เพื่อหางานหาเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ แบบนั้นก็นับเป็นวิริยะบารมีได้ เพราะเป็นความเพียรที่เป็นประโยชน์ แต่ก็ยังไม่นับเป็นวิริยะบารมีที่เต็มดีนัก เพราะเธออย่าลืมว่า บารมีคือกำลังใจเต็ม แม้เธอเพียรเรียนเพื่อหาเงินมาดูแลพ่อแม่จะเป็นเจตนาที่ดี แต่บางครั้งจิตมันยังมีความอยากความร้อนรนอยู่มาก อยากจบไวๆจะได้หาเงินมาดูแลพ่อแม่ไวๆ ร้อนใจอยากให้ข้อสอบที่ทำไป ออกผลเร็วๆ นั่นล่ะมันทำให้จิตเศร้าหมองอยู่เป็นระยะๆ แม้ทำด้วยเจตนาดี บารมีมันก็เกิดไม่เต็มที่ เพราะใจมันไม่เต็ม มันมืดๆมัวๆไปด้วยกิเลสผสมปนเปกันไป

    ผม-แปลว่าถ้าจะสร้างวิริยะบารมีให้สมบูรณ์นี่ จุดเริ่มต้นในการทำความเพียรทุกครั้ง ต้องเพื่อละกิเลสก่อน จึงจะได้บารมีเต็มที่เหรอครับ

    เทวดา- ถ้าเริ่มด้วยเจตนาเพียรเพื่อละโลภโกรธหลง จิตมันสว่าง มันเบานะ กำลังใจมันก็เต็มง่าย แถมความเพียรนั้นก็จะสำเร็จง่ายขึ้นด้วย ระหว่างเพียรไป อยากไป กับเพียรไป ละไป อันไหนมันสบายกว่าล่ะ

    ผม- ถ้าเพียรไป อยากไป มันก็ทุกข์เยอะครับ เพราะมันอยากให้ได้ไวๆ ใจมันก็จะร้อนรนไปด้วย เลยเหนื่อยกว่าเดิม แจ่ถ้าเพียรไปละไป มันก็เหมือนตั้งใจทำไปเรื่อยๆตามหน้าที่ ใจมันก็คงจะชิลล์ๆสบายๆกว่าครับ แต่ทางโลกเค้าชอบบอกว่า เราต้องเอาความอยากมาขับเคลื่อนชีวิตให้ใจสู้นี่ครับ มันถึงจะประสบความสำเร็จ

    เทวดา- อะไรคือความสำเร็จของชีวิตเหรอ เงิน อำนาจ ชื่อเสียงเหรอ ของเหล่านั้นเราสร้างมันขึ้นเพื่อจะทำให้ใจเรามีความสุขไม่ใช่เหรอ แล้วเธอจะเดินทางอ้อมทำไม ใจก็อยู่กับตัวเราอยู่แล้ว แค่เราเพียรละความอยาก ใจมันก็เบาสบาย ก็สุขแล้ว จะไปเพียรหาเงิน เพื่อมาทำให้ใจสุขทำไม ทั้งอ้อม ทั้งเหนื่อยแก่งแย่งวุ่นวายไปหมด

    ผม- ก็จริงครับ เพียรละกิเลสในใจซะ ทุกอย่างก็จบเลย แต่ เอ... ถ้าวิริยะบารมีคือเพียรละกิเลส งั้นพระโพธิสัตว์ที่ทำบารมีตัวนี้ ไม่กลายเป็นสำเร็จอรหันต์ไปหมดก่อนเหรอครับ

    เทวดา- จะพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า ท่านก็มีจุดหมายเดียวกันคือการดับทุกข์ในใจ เพียงแต่พระพุทธเจ้าท่านอธิษฐานพ้นทุกข์ แล้วขอสอนคนให้พ้นทุกข์ตามท่านได้ด้วย มันต่างกันตรงอธิษบานบารมี แต่ก็ปลายทางเดียวกัน ดับทุกข์เหมือนกันหมด

    ผม-- อ้อ เข้าใจละครับ งั้นแสดงว่าต่อไปเวลาผมตั้งใจสวดมนต์ทำบุญสร้างบารมี ต้องตั้งใจให้มั่นๆไว้ก่อนเสมอว่า เราเพียรทำความดีนี้เพื่อละโลภโกรธหลงในใจ

    เทวดา- นั่นล่ะคือเคล็ดสำคัญในการสร้างบารมี จงอย่าลืมเสมอว่า บารมีคือการทำกำลังใจให้เต็ม ถ้าทำด้วยกิเลสความอยาก มันจะไม่มีทางถมความอยากนั้นให้เต็มได้ เธอต้องทำความดีเพื่อละความอยาก เมื่อไม่อยาก ใจมันก็เบา ก็สว่าง ก็เต็ม เมื่อเริ่มต้นทำความเพียรใด ด้วยใจที่เป็นวิริยะบารมีเช่นนี้ วิริยะตัวนั้น ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรมก็จะสำเร็จ เต็มสมบูรณ์ได้ง่ายขึ้นไปด้วย บารมีทุกตัวทั้งสิบทัศน์ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ต้องเริ่มด้วยตัวนี้ทั้งสิ้น ไปสำรวจกำลังใจตัวเองในการสร้างบารมีให้ดีว่าสร้างด้วยกำลังใจแบบไหน ถ้าสร้างเพื่อละกิเลส บารมีนั้นก็จะเต็มไว ถ้าสร้างด้วยความอยาก มันจะไม่เต็ม

    ผม- โอ้โห ยากนะครับ สร้างโดยไม่อยาก

    เทวดา- เบื้องต้นมันก็ต้องอยากก่อนล่ะ อยากสร้างบารมี แต่เมื่อขยับสูงขึ้น มันก็ต้องละอยากดีตัวนั้นไป เหมือนคนว่ายน้ำ ถ้ายังว่ายไม่แข็ง มันก็ต้องเกาะห่วงยางไปก่อน แต่พอเริ่มว่ายแข็งแล้ว มันก็ต้องโยนห่วงยางทิ้งไป ถึงจะว่ายได้เร็วขึ้น เธอต้องเลือกเอาด้วยกำลังใจของเธอเอง

    ผม- สาธุครับ แล้วยังมีเคล็ดอย่างอื่นในการสร้างบารมีอีกไหมครับ

    เทวดา- "พอ" ถ้าเธอรู้จักความพอ ใจเธอจะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เธอจะรู้ได้เองในที่สุดว่า วิริยะบารมีนี้ เธอเพียร"พอ"หรือยัง




    *******************************************************************************

    รอบทิศ ไวยสุศรี

    https://www.facebook.com/robtis?hc_...-9cW24IHgAlyuqK7E6UH4KeKc_3xoTFm4XVM4&fref=nf
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2017
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460



    ถวายพระเกียรติสูงสุดแด่พระองค์
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    24852661_2050695968540246_5294052417671568022_n.jpg

    **************************************


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. ryuma9

    ryuma9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    1,261
    ค่าพลัง:
    +1,178
    สาธุกับ จขกท. ครับ
     
  5. aneka9119

    aneka9119 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +47
    โมทนากับท่าน จขกท.ด้วยนะครับ
    ได้ประโยชน์มากทีเดียว
     
  6. pandykub

    pandykub Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +62
    อนุโมทนาด้วยครับ
    ธรรมใดที่เป็นไปเพื่อการละ โลภะ ราคะ โทสะ โมหะ ถือว่าปฏิบัติได้ตรงแล้ว ยังสัมมาทิฏฐิให้มีแล้ว อย่าลืมตรวจทาน บารมีที่ได้กระทำแล้วด้วยนะครับ จะทำให้จิตชุ่มชื่นมีกำลังยิ่งขึ้นไป
    เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    ..คำสอนพ่อ..

    “...ความอดทน คือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้น ทำไมมันถึงน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่เด่นดัง คือ ดูมันคร่ำครึ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่คร่ำครึ ต้องมีความอดทน ในเวลาข้างหน้าจะเห็นผลในความอดทนของตนเองแน่นอน...”

    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
    ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น
    วันที่ 18 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2540


    ?temp_hash=7ab050f6f77c748c3405e7d66af3385e.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. Norawon

    Norawon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +208
    สาธถุคับ
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,318
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,460
    รอบทิศ ไวยสุศรี
    1 พฤษภาคม 2019
    วันก่อนได้มีโอกาสคุยกับปู่โพธิสัตว์เรื่องหลวงปู่ต้นกัปป์ ปู่แนะนำว่าเวลาพระเหล่านี้เจอได้ยากมาก ท่านไม่ค่อยเปิดเผยตัวง่ายๆ ถ้าได้เจอท่าน ให้เรากราบแล้วบอกกับท่านก่อนว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงกึ่งพุทธกาลมาแล้ว ในยุคของพระโคดม เพราะท่านเหล่านี้อยู่มานาน ต้องบอกท่านก่อน แล้วท่านจะเทศน์โปรดในสิ่งที่เหมาะสมกับเวลาเอง
    ช่วงนี้พอมีเวลาว่างหลังเคลียร์งานเสร็จ เลยลองกำหนดจิตแบบที่ปู่บอกไว้ดู ก็พบว่าจิตได้วิ่งไปเจอพระองค์ใหญ่ในถ้ำลึก พอก้มลงกราบแล้วตั้งจิตบอกเวลายุคสมัยกับท่านแล้ว ก็ได้ยินเสียงท่านพูดสอนว่า (เป็นแค่นิทานอ่านเพลินๆนะครับ อย่าได้เชื่ออะไรจนกว่า จะได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ด้วยตนเอง)

    อ้อ ผ่านพุทธกาลมาครึ่งทางแล้วหรือ เวลาในโลกนี้ช่างยาวนานนัก แต่เวลาทางธรรมไม่ได้ยาวนานเลย มันแค่ลัดนิ้วมือเดียว เหมือนแค่หลับแล้วตื่นขึ้น เพราะธรรมเป็นอกาลิโก ธรรามเป็นสิ่งไร้เวลา ไม่ขึ้นกับเวลา เมื่อใดเราพบธรรม เมื่อนั้นก็เป็นธรรมเช่นนั้นเอง ไม่เกี่ยวข้องกับอดีตปัจจุบันหรืออนาคต เกี่ยวข้องกับเกิดหรือแก่หรือตาย ไม่มีเลย มันเป็นแค่ธรรมอันเป็นเนื้อเดียวกันอันนิ่งสนิทหยุดสนิทจากกระแสวุ่นวายทั้งปวง

    ในยุคปัจจุบันของเธอนี้ ที่เธอว่ากันว่ามันวุ่นวายนักหนา มันลำบากนักหนา มันไม่ใช่เพราะยุค ไม่ใช่เพราะใคร ไม่ใช่เพราะอะไรเลยนอกจากใจเธอ ใจเธอต่างหากที่วุ่นวาย การเกิดแก่เจ็บายมันมีมาทุกยุคทุกสมัยทุกเวลา ตั้งแต่สมัยเราอยู่เมื่อต้นกัปป์จนมาถึงปัจจุบันนี้มันก้เหมือนกันทั้งหมด ยุคของความทุกข์จึงไม่มีจริง ทุกข์สุขมันอยู่ที่ใจเธอนี้ว่าเธออยู่กับธรรมอย่างไร ถ้าเธออยู่อย่างไม่เข้าใจโลก โลกก็สร้างความทุกขืให้เธอตลอดเวลา จะมีเงินทองอำนาจศาสตราแค่ไหนก็ทุกข์ แต่ถ้าเธอเข้าใจโลก จะลำบากยากจนเจ็บไข้ได้ป่วยมีสงครามโรคภัยแค่ไหน มันก็ไม่ทุกข์ มันเป็นสุขอยู่ที่ใจ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้เราหนีโลก พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทรงสอนให้เราอยู่ในโลก อยู่อย่างเข้าใจโลก มันถึงจะเห็นธรรม โลกก็คือธรรม ธรรมมันอยู่ในโลก มองไปสิ ธรรมทั้งนั้น ธรรมทุกอณู เกิดแก่เจ็บตายนั่นไงธรรมทั้งนั้น

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทรงสอนมา ก็ไม่เกินเรื่องนี้ แค่ให้เข้าใจว่าทุกสิ่งในโลกล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ความดับไปไม่ใช่ทุกข์ แต่จิตที่ไม่ยอมให้ดับต่างหากที่ทำให้มันทุกข์ คนมันจะตาย ไปห้ามไม่ให้ตายได้หรือ คนมันจะแก่ ไปห้ามไม่ให้มันแก่ได้หรือ คนมันจะเจ็บไปห้ามไม่ให้มันเจ็บได้หรือ มันทุกข์นี่ มันฝืนธรรม ฝืนะรรมชาติ มันก้ทุกข์ ก็กังวล ก็ทรมาน แล้วก้ต้องวนเวียนอยู่ในโลกต่อไป เพราะเธอสร้างวงเวียนแห่งทุกขืขึ้นในใจตัวเอง พระอรหันต์ท่านไม่ได้มีอะไรพิเศษมหัศจรรย์หรอก ท่านแค่เข้าใจโลก เข้าใจว่า เออ มันก็เกิดขึ้นแล้ว มันก็ต้องแก่ลง มันก็ต้องเจ็บ มันก็ต้องตายต้องดับสลายลงทุกอย่าง ก็มองมันอย่างเข้าใจ มันแค่เป็นไปตามธรรมชาติ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทุกข์ในใจเรา ใจมันก็ไม่ไปยึดไปดึงในสิ่งที่ยึดที่ดึงไว้ไม่ได้ มันไม่ฝืน มันก็ไม่ทุกข์ไง ก็แค่นั้น ความตายไม่ใช่ความทุกข์ ความที่จิตไม่ยอมให้ตายนั่นต่างหากที่ทำให้ทุกข์ ไอ้คนตายบางคนมันไปสวรรคืไปนิพพานไปสบายแล้วก็มี แต่ไอ้คนอยู่มันดันทุกข์ ไม่อยากให้เขาตายจากเราไป มันได้เหรอ เขาไปสบายแล้ว แต่ดันมาทุกข์ มันผิดปกติใช่ไหม นั่นคือไม่เข้าใจธรรม คนเข้าใจธรรมเป็นคนปกติ เป็นคนสงบเย็น เพราะธรรมะมันสงบเย็น มันเดินไปตามเหตุปัจจัยของมันเช่นนั้นเอง มันก็มีแค่นั้น ไม่ได้มีอะไรพิศดาร

    จะทำอะไรขอให้เข้าใจโลกอย่างที่มันเป็น มันก็จะเข้าใจธรรม พอเข้าใจธรรมจิตมันก้สว่างสดใส คราวนี้อยากรู้อะไรที่ละเอียดลึกซึ้งลงไปมันก้รู้ได้หมด จะรู้อดีตอนาคต มันก็เรื่องของเหตุปัจจัยในธรรมนี้เอง อยากเหาะเหินเดินอากาศ มันก็เพราะเข้าจะรรมนี่เอง อยากอายุยืนเป็นแสนเป็นล้านปีแบบเรา มันก็อยู่ในธรรมนั่นเอง เอาให้เข้าใจธรรมก่อน เอาให้จิตมันสะอาดสว่างสงบเย็นซะก่อน อยากรู้อะไรก็จะรู้ได้เองด้วยกำลังของเธอ ไม่ใช่ไปพะวักพะวงทะยานอยากเป็นนั่นเป็นนู่น แต่ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร ยังไม่เข้าใจเลย ไปอยากในสิ่งที่ไม่เข้าใจมันก็ทำไม่ได้ พอไม่ได้ดังใจ มันก็ทุกข์อีก เสียเวลานะ ทำใจให้มันใสซะก่อน เหมือนน้ำที่พัดมา มันก็ไม่เห็นก้น พอน้ำมันหยุดพัด มันก็เห็นก้นบึงละว่ามีอะไรบ้าง เพราะน้ำมันใสมันหยุดแล้ว ทีนี้ก็ค่อยมองไปดูว่าจะเอาอะไรจากก้นบึงมาใช้ประโยชน์ได้บ้างก็ทำไป ไม่ใช่ว่าน้ำก็ยังพัดแรง ก้นบึงก็มืดตื๋อ มองไม่เห็นอะไร ก็ไปคาดไปเดาเอาเองว่ามันมีทองมีเพชร ก็ไปงมไปดำอยากเอามันขึ้นมา ดำลงไปในบึงที่มีแต่ตะกอน มันก็มืดทึบ ต่อให้มีเพชรอยู่จริงเธอก็หาไม่เจอ ทั้งที่มันก็อยู่ตรงก้นบึงนั่นละ เพราะมันมืดบอด งมลงไปก็ได้แต่กรวดทราบ หรือซวยหน่อยไปติดเอาไม้เอาหลุมอะไรเข้า ก็อาจบาดเจ็บจมน้ำตายไปได้ แต่ถ้ารอให้น้ำมันนิ่ง ทำใจให้ใสให้เบาสบาย มันก็ไม่ต้องไปขวนขวายอะไรให้มันลำบาก พอมันนิ่งแล้ว แค่มองลงไปก็รู้แล้วว่าเพชรว่าทองมันอยู่ตรงไหน บางทีมันอยู่แค่ใกล้ๆตลิ่ง ไม่ต้องงมลงไปลึกให้เสียเวลาก็ได้ แค่เอื้อมมือไปหยิบก็ได้แล้ว มันก็มีแค่นั้นนะหลักกรรมฐาน

    ทำใจให้สงบก่อน ให้มันนิ่งมันใสก่อน แล้วจะเอาอะไรก็ค่อยพิจารณาเอา แต่ต้องทำให้มันนิ่งก่อน ให้มันเย็นก่อน ทำยังไงล่ะให้มั่นนิ่งมันใส ก็ต้องหมั่นฝึกมัน เพราะเรามันปล่อยจิตวุ่นวายไปในความคิดตัวเองมาไม่รู้กี่ภพชาติ จิตมันพันตูกันไปหมด ยิ่งไปพยายามดึงพยายามดัน มันก็ยิ่งพันกันไปใหญ่ เธอต้องหาหลักให้ได้ก่อน แล้วค่อยแกะจากหลักนั้นไป เอาหลักที่เชื่อใจได้ พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นั่นล่ะหลักใจที่มั่นใจได้ เอาท่านเป็นองค์กรรมฐานไป จะพุทธา ธัมมา สังฆา นุสสติ ก็ฝึกไปตามที่ถนัด นึกถึงพระถึงเจ้า นึกถึงธรรมะคำสอนของท่าน นึกถึงพระสงฆ์ที่สืบทอดพระศาสนามา หมั่นนึกเอาไว้เป็นหลักใจ ใจมันก็จะมีหลักที่มั่นคง ที่มีกำลัง พระท่านนิ่งแล้ว ไม่ขยับสั่นไหวไปกับกระแสโลกทั้งปวงแล้ว เธอก็เอาท่านเป็นหลักยึดไว้ มีอะไรก็นึกถึงท่านเอาไว้ จับท่านให้มั่น จะทุกข์โศกวุ่นวายอย่างไร อย่าได้ทิ้งพระ นึกถึงท่านเป็นอารมณืในใจไว้เสมอ จิตมันจะเบาจะแจ่มใสจะมีกำลังได้ง่าย ทำไปทุกวันทุกเวลาทุกอิริยาบถ อย่าลืมว่ะรรมะเป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาล อย่ามัวมานั่งนึกว่าเดี๋ยวรอดึกๆค่อยสวดมนต์ภาวนา เดี๋ยวรอวันพระค่อยเจริญกรรมฐาน ความตายมันไม่รอเราด้วยหรอก มันนึกจะแก่จะเจ็บจะตายเมื่อไหร่ใครจะไปรู้ อย่าได้ประมาทกับชีวิต เราตายได้ทุกลมหายใจ แค่หายใจเข้าแล้วไม่ออกก็ตายแล้ว แค่หายใจเข้าแล้วไม่ออก็ตายแล้ว มันตายง่ายเหลือเกิน อย่าได้ประมาท ต้องนึกถึงพระให้มั่นเอาไว้อย่างไม่มีกาล คือนึกไว้ทุกเวลาโอกาสที่นึกได้ ให้ท่านเป็นหลักใจเป็นธงชัยให้กับชีวิตไปตลอดทุกอริรยาบถ ทุกลมหายใจเข้าออก พอใจอยู่กับพระไปมากเข้าๆ ใจมันก็ใกล้พระมากเข้าๆ พระท่านมีอะไร ใจเราก็มีแบบนั้น พระท่านสว่างอย่างไร ใจเราก็สว่างอย่างนั้น อยากรู้อยากเห็นอยากทำอะไร ใจมันสว่างใจมันมีกำลังมันก็ทำได้ทั้งนั้น

    มันก็แค่นั้น จะยุคไหนสมัยใด มันก็แค่นั้น ธรรมไม่มีกาล สำหรับเราแล้วมันไม่มีกาลนะ ให้จิตมันเข้าใจในธรรม ให้จิตมันอยู่กับพระเอาไว้ จะกาลเวลาโอกาสใดๆใจก็มีสุข แต่ถ้าใจห่างธรรม ห่างพระ จะอยู่ในกาลในโอกาสไหนๆ มันก็เป็นทุกข์ เวลาไม่ได้ทำให้เราทุกข์ ใจเราที่ไม่เข้าใจธรรมในเวลานั้นต่างหากที่ทำให้เราทุกข์

    ยุคของเธอมันอาจจะมีภัยพิบัติมากหน่อย มีโรคภัยมากหน่อย นั่นมันของดีนี่ มันเห็นธรรมชัดเจน เห็นความเกิดแก่เจ็บตายชัดเจน เห็นความไม่ประมาทได้ชัดเจน จะตายเมื่อไหรก็ไม่รู้ มันช่วยเร่งจิตให้ไม่ประมาท ให้หมั่นทำความดีนะ ยุคนี้น่ะ โพธิสัตว์ทั้งหลายลงมาเกิดกันนับจำนวนไม่ถ้วน นี่มันยุคทองของท่านเลย เป็นยุคที่เหมาะสมในการสร้างบารมี เพราะมีภัยมาก มีทุกข์มาก ยิ่งง่ายต่อการสร้างบารมี เพราะมันมีข้อสอบให้ฝึกอยู่ทุกช่วงเวลา นั่นคือคนเขามองดลกเป็น โลกตอนนี้ไม่ใช่ทุกข์ แต่เป็นช่วงทองในการปฏิบัติธรรมให้มั่นคง ทำไว้เป้นบารมีสั่งสมไว้

    ตายไปตอนนี้รออีกไม่นานก็ถึงยุคของพระศรีอาริย์ ก็ลงมาฟังธรรมจากท่านเพียงเล็กน้อย ก็พ้นโลกแล้ว แต่ก็ต้องสั่งสมบุญบารมีไว้ เพราะยุคของท่านเป้นยุคของผู้มีบุญ คนมีบาปมันไปไม่ได้ แต่คนมีบุญมันไปได้ง่าย ก็แค่หมั่นสัง่สมบุญเอาไว้ ทานศีลภาวนาทำไปสิ ยุคนี้ทำสะดวกง่ายดายกว่ายุคไหนๆ

    ยุคทองนะยุคนี้ หมั่นทำดีไว้ เทพพรหมท่านไม่ทิ้งหรอก บุญดีมันไม่ทิ้งหรอก มันจะช่วยเธอเอง หมั่นทำไป เราขออำนวยพรให้เธอทั้งหลายจงสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ อันไม่ผิดศีลธรรม อันเป็นไปเพื่อความพ้นโลก อยากเจอพระพ้นโลก จงทำจิตให้พ้นโลก จำไว้นะ อยู่ในโลก แต่ทำจิตให้พ้นโลก แล้วจะเจอพระพ้นโลกอย่างเราได้


    เครดิต ดร.รอบทิศ ไวยสุศรี
     

แชร์หน้านี้

Loading...