เด็กแนว อยากแหวกแนวมาทางนี้

เด็กแนว 'ทางสายกลาง'
มนสิกุล โอวาทเภสัชช์


เริ่มแรกก่อนตั้งกลุ่ม ' รากแก้วของแผ่นดิน' ทั้งสามหนุ่มคือ อานัส ศรีอุทา (โจ้), ศักดินนท์ ศรีแสง (นนท์ ) และชาญชัย สุวรรณสอน (ชัย) นักศึกษาปี 3 มหาวิทยาลัยรามคำแหงชอบไปอ่านหนังสือที่ศูนย์เผยแผ่มรดกธรรมหลวงปู่ชา ซอยรามคำแหง 26/2 บ่อยๆ จนรู้จักกับป้า เพลิน เพชรเกื้อ ผู้อุทิศบ้านมาเป็นศูนย์เผยแผ่มรดกธรรมฯ

ป้าเพลินก็เลยเป็นที่ปรึกษาให้สามหนุ่มทำสิ่งที่ดีงามยิ่งๆ ขึ้น เริ่มตั้งแต่เดินทางไปศึกษาธรรมที่วัดหนองป่าพง และวัดป่านานาชาติ จังหวัดอุบลราชธานี จนกระทั่งเพื่อนคนที่ 4 ซึ่งไม่ได้เอ่ยนามบวชอยู่ยังไม่สึก...

หลังจากนั้นกลุ่ม 'ธรรมปฏิปทา' ก็เกิดขึ้น แต่พอจะทำชมรมเป็นจริงเป็นจังในมหาวิทยาลัยก็ต้องมีที่ปรึกษา มีสถานที่สำหรับพูดคุย จัดเสวนาธรรม ทั้งสามหนุ่มจึงไปปรึกษา รศ.ชลิดา ศรมณี รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ฝ่ายวิทยาเขตปัจฉิมสวัสดิ์-สุวรรณภาศรี (ราม2) ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่คณะรัฐศาสตร์ คำแรกที่อาจารย์ได้ยินชื่อกลุ่มก็ทักท้วงว่า เดี๋ยววัยรุ่นได้ยินชื่อนี้ ก็แตกตื่นหนีหมด แล้วพวกเธอสายไหน

โจ้บอกว่า "สายกลางครับ"

อาจารย์ชลิดาก็บอกว่า "งั้นคุยกันได้"

ทางสามหนุ่มก็เลยไปกราบ พระศรีญาณโสภณ พระอาจารย์ที่วัดพระรามเก้า ผู้เขียน 'เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว' ท่านก็รับเป็นพระอาจารย์ที่ปรึกษาและให้ชื่อ 'รากแก้วของแผ่นดิน' มา ปณิธานของรากแก้วฯ ก็คือ แทนคุณชาติ ศาสนา แทนคุณกษัตรา แทนคุณค่าน้ำนม

โจ้ หนุ่มขอนแก่น นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงปี 3 เล่าว่า การตั้งชมรมพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยยากมาก เพราะเขามีอยู่แล้วเป็นสายวัดพระธรรมกาย แต่อาจารย์ชลิดาก็ช่วยเหลือจนกระทั่งตั้งชมรมได้ โดยเริ่มต้นจากหาสมาชิกให้ได้ 300 คนก่อน จึงจะสามารถตั้งเป็นกลุ่มที่ชัดเจนในมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้

" 300 คนหาอยู่ 3 เดือนจึงครบ เราต้องไปอธิบายเพื่อนๆ ว่า เราจะตั้งกลุ่มไม่ไปสายใดสายหนึ่ง จัดกิจกรรมสวดมนต์ ทำวัตรเย็นทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ไปปฏิบัติธรรมที่วัดต่างๆ "

ในที่สุดกลุ่ม 'รากแก้วของแผ่นดิน' ก็เกิดขึ้นด้วยความอนุเคราะห์ของอาจารย์ชลิดา โดยมีห้อง 403 ตึกสวรรคโลก ในมหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นสถานที่จัดกิจกรรม พอตั้งได้ไม่ถึงเดือน ก็ออกปฏิบัติธรรมสมาทานศีล 8 อดข้าวเย็นครั้งแรก 4 วัน 3 คืนที่วัดป่าตักศิลาย่าโม สีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา สาขาหนองป่าพง ซึ่งมีหลวงพ่อโสภณโอภาโสเป็นเจ้าอาวาส โดยขอรถมหาวิทยาลัยไป และมีอาหารแห้งจากวัดพระรามเก้ามอบให้เป็นเสบียงไว้เดินทาง มีนักศึกษาไปร่วมงานครั้งนั้น 40 คน

"ก่อนไปวัดป่าตักศิลาย่าโม ก็ไปกราบพระศรีญาณโสภณที่วัดพระรามเก้าก่อน ประเด็นที่เราคุยกับพระอาจารย์ในครั้งนั้นคือ ทำไมคนไทยทุกวันนี้ส่งคนแก่เข้าบ้านพักคนชรากันเยอะ ทำไมไม่ดูแลผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้าน พระอาจารย์ให้ข้อคิดว่า มันเป็นวัฒนธรรมที่ไหลย้อยกลับ คือตะวันตกเขามาดูเอาของไทยว่า ทำไมประเทศไทยมีความอบอุ่น มีคนแก่อยู่ที่บ้าน

แต่ของเขาส่งเข้าบ้านพักคนชรา แล้วตอนนี้เราไปดูงานเขากลับนำมาประยุกต์สร้างบ้านพักคนชราให้พ่อแม่อยู่ เขากลับมาเลี้ยงพ่อแม่ปู่ย่าตายายไว้ที่บ้าน พระอาจารย์บอกว่า อีก 200 ปี เราต้องกลับไปดูเอาวัฒนธรรมตัวเองกลับมาใช้" โจ้ กล่าว

พอไปถึงวัดป่าตักศิลาย่าโมจึงมีประเด็นพระคุณของพ่อของแม่พูดคุยกัน จึงกลายเป็นการเสวนาธรรมครั้งต่อมาในชื่อว่า 'สองคนผู้ยิ่งใหญ่' เป็นเสวนาปริศนาธรรมที่มีนักศึกษาสนใจกันมากขึ้น

นนท์ หนุ่มอุบลราชธานี นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ปี 3 เล่าเสริมว่า เมื่อก่อนเล่นเกมคอมพิวเตอร์ข้ามวันข้ามคืน ไม่หลับไม่นอน ไม่ไปเรียนหนังสือด้วย จนที่บ้านเป็นห่วง แต่พอมาเข้ากลุ่มรากแก้วฯ กับเพื่อนๆ ชีวิตเปลี่ยนไปเลย รักการเรียน แล้วก็มีความสุขกับการสวดมนต์ทำวัตรเย็นแปลแล้วก็นั่งสมาธิที่ชมรมช่วง 4 โมงเย็นถึง 5 โมงเย็น

"เวลาวัดมีงาน ก็ไปช่วยงานวัด เมื่อวันวิสาขบูชาปีที่แล้วก็ไปช่วยงานที่สนามหลวง มีผ้าขี้ริ้วผืนเดียวทำความสะอาดที่นั่งสำหรับคนจะมาร่วมงานกัน พระคุณของผ้าขี้ริ้ววิเศษจริงๆ พระอาจารย์บอกว่า ถ้าเราไม่อยู่เฉยไม่มีวันตกงาน กิจกรรมที่เราจะจัดต่อไปในภาคเปิดของปีการศึกษา 2548 คือ กิจกรรมรับน้อง"

ชัย หนุ่มจากสกลนคร คณะรัฐศาสตร์ปี 3 เล่าเพิ่มเติมถึงกิจกรรมกลุ่มว่า คือเรากำลังจะเปลี่ยนภาพพจน์ที่พ่อแม่เป็นห่วงกันว่ามีการรับน้องที่พาไปสำมะเลเทเมา แต่เราจะเปลี่ยนเป็นพาน้องไปทำบุญ ไปนั่งสมาธิภาวนา ไปช่วยเหลือคนแก่ที่อยู่บ้านพักคนชราที่บางแคเป็นกิจกรรมแรก

" ส่วนกิจกรรมต่อไปเป็นการเสวนาธรรม ตั้งใจไว้ว่าจะเชิญพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือท่านว.วชิรเมธี ผู้เขียนธรรมติดปีก มาเป็นพระวิทยากร หลังจากนั้นกิจกรรมที่ 3 ก็จะจัดอบรมจริยธรรมและศีลธรรมช่วงพฤศจิกายน และธันวาคม เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีการสอบในรามคำแหง" นนท์ เสริม

ยังมีกิจกรรมอีกมากมายสำหรับกลุ่ม 'รากแก้วของแผ่นดิน' ที่ประกาศตัวเองว่า 'เดินทางสายกลาง' แต่ก็มักจะถูกอาจารย์และเพื่อนๆ แซวว่า 'สายวัดป่า' ซะมากกว่า เพราะไปปฏิบัติธรรมแต่ละแห่งก็เป็นวัดป่าทั้งนั้น

สามหนุ่มกระซิบฝากบอกน้องๆ เพื่อนๆ ว่า ที่สำคัญคือ ในช่วงปีกว่าที่ผ่านมา การเรียนของทั้งสามคนดีมาก เพราะมีสมาธิมากขึ้น มีความละเอียดสุขุมมากขึ้น ใจเย็นและมีความสุขกับอะไรง่ายๆ จึงทำให้เป็นคนประหยัดไม่ค่อยรบกวนเงินของคุณพ่อคุณแม่มากมายในการศึกษาด้วย อีกทั้งยังได้ช่วยเหลือเพื่อนๆ ที่มีความทุกข์จากความรัก อกหัก รักคุด ให้หันมารักพระธรรมกันจนเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ด้วย

ถ้าเพื่อนๆ น้องๆ สนใจจะพลิกชีวิตตัวเองจากเด็กแนวสุดโต่งมาเป็นเด็กแนวทางสายกลางไกลๆ ไปหัดปักกลดกลางวัดป่าที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ อยู่กับธรรมชาติแท้ๆ ละก็ติดต่อได้ที่กลุ่มรากแก้วของแผ่นดิน ที่ห้อง 403 ตึกสวรรคโลก มหาวิทยาลัยรามคำแหง โทรศัพท์ 0-9076-4308 ทุกวันทุกเวลาไม่มีวันหยุดราชการ

(bb-flower สำหรับเด็กแนว 'ทางสายกลาง' ทุกคนค่ะ

 

เราก็แนว แนวอด แนวไม่มีอะไรจะกิน

 

เป็นตัวอย่างที่หาได้ยากในวัยรุ่นยุคใหม่

 

ดีครับโมทนากับน้องๆที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกคนด้วยนะ

 

ขอเป็นกำลังใจในสิ่งที่ดีงาม
และขอนุโมทนาสาธุด้วยครับ

 

ดีใจที่เยาวชนของชาติ มีแนวทางที่ดีๆแบบนี้เป็นครรลองแก่ทางเดินชีวิต
*** ขอให้ชมรมมีสมาชิกเยอะๆ และมีแนวทางปฏิบัติธรรมทางพุทธที่กว้างขวางไม่เน้นสายใดสายหนึ่ง(หมายถึงไปวัดไหนก็ได้หากมีการฝึกกรรมฐานที่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา)ตามคอนเสปเดิมคงน้องตลอดไปครับ