เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    กบง.ทุ่มเงินกองทุนฯอุ้มดีเซลต่อ

    [​IMG]


    24 มกราคม 2554 เวลา 15:32 น.<SCRIPT>var fbShare = {url: 'http://bit.ly/heZsml' }</SCRIPT><SCRIPT src="http://widgets.fbshare.me/files/fbshare.js"></SCRIPT>


    <!-- end facebook-share --><!-- end main-sns --><!--end articleDetailPanel-->กบง.นับถอยหลังเงินกองทุนน้ำมันฯอุ้มดีเซล5,000 ล้านบาท
    อีก26 วันหมดหลังเพิ่มชดเชยดีเซลบี3อีก 30 สต.


    นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานคณะ
    กรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ
    เพิ่มอัตราการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลเฉพาะบี3 อีก 30 สต./ลิตรจากเดิม
    ที่ชดเชยอยู่ 1.65 บาท/ลิตร เป็น 1.95 บาท/ลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมัน
    เชื้อเพลิงมีเงินไหลออกเพิ่มเดือนละ 328 ล้านบาทเป็น เดือนละ 3,667 ล้าน
    บาท โดยจะยังใช้เงินกองทุนน้ำมันฯวงเงิน 5,000 ล้านบาทเดิมให้หมดก่อน
    ซึ่งหลังจากเพิ่มการชดเชยดีเซลครั้งนี้จะใช้สามารถพยุงราคาดีเซลไม่ให้เกิน
    30 บาท/ลิตรได้อีก26 วัน เท่านั้น

    ปัจจุบันกระทรวงพลังงานได้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯรักษาระดับราคาดีเซล
    ไปแล้ว 2,096 ล้านบาท และยังเหลือวงเงินอยู่ 2,904 ล้านบาท แต่
    หากหมดวงเงินดังกล่าวแล้วจะมาพิจารณาอีกครั้งว่าจะใช้มาตรการใดมาดูแล
    ราคาดีเซลอีก โดยจะหารือในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
    (กพช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน

    อย่างไรก็ตามแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงที่ผ่านมาได้ปรับสูงขึ้น
    ต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 92-93 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
    ทำให้ราคาดีเซลตลาดสำเร็จรูปอยู่ที่ระดับ 109.26 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
    ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันของผู้ค้าน้ำมันลดต่ำลง โดยเฉพาะดีเซล บี3
    อยู่ที่ 98 สต./ลิตร ส่วนบี5 อยู่ที่ 1.15 บาท/ลิตร

    "ช่วงนี้ยังมีเงินเหลือในก้อน 5,000 ล้านบาทเดิมที่ใช้อุ้มดีเซลอยู่
    ก็ให้ใช้ไปก่อน ถ้าราคาน้ำมันโลกขึ้นอีกก็เรียกประชุมกบง.เพื่อหามาตรการ
    ดูแลได้ไม่มีปัญหา ซึ่งระหว่างนี้จะต้องติดตามสถานการณ์น้ำมันอย่างใกล้ชิด
    ส่วนจะเพิ่มเพดานเงินชดเชยดีเซลหรือการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯเพิ่มจาก
    ดีเซลหรือไม่ยังไม่ขอตอบตอนนี้ ให้เงินหมดก่อนค่อยมาว่ากัน"นพ.วรรณรัตน์กล่าว

    นพ.วรรณรัตน์ กล่าวว่า การเพิ่มอัตราชดเชยดีเซลบี3 ครั้งนี้ทำให้มี
    ราคาขายปลีกที่แพงกว่า บี 5 แค่30 สต./ลิตร อาจไม่จูงใจให้คนใช้น้ำมัน
    บี5 ที่เป็นพลังงานทดแทน นั้น คงไม่เป็นไร เพราะระหว่างนี้ปริมาณปาล์ม
    น้ำมันในระบบก็ยังไม่ปกติ การที่ส่วนต่างราคาเหลือน้อยก็ทำให้ปริมาณ
    ใช้บี5ลดลงไปเช่นกัน
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสาเหตุที่ กบง.ยังไม่ได้มีการพิจารณาถึงการขยายเพดาน
    วงเงินกองทุนน้ำมันฯในการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร
    เนื่องจากเห็นว่าราคาน้ำมันตลาดโลกเริ่มอ่อนตัวลงและมีการเทขายทำกำไร
    จึงเห็นว่าควรจะติดตามสถานการณ์น้ำมันอย่างใกล้ชิดก่อนที่จะตัดสินใจ
    ถึงมาตรการดังกล่าวจะดีกว่า




    โพสต์ทูเดย์ ข่าว : กบง.ทุ่มเงินกองทุนฯอุ้มดีเซลต่อ
    <IFRAME height=69 src="http://widgets.fbshare.me/files/fbshare.php?size=large&url=http://bit.ly/heZsml&title=" frameBorder=0 width=53 allowTransparency scrolling=no></IFRAME>
    <IFRAME height=69 src="http://widgets.fbshare.me/files/fbshare.php?size=large&url=http://bit.ly/heZsml&title=" frameBorder=0 width=53 allowTransparency scrolling=no></IFRAME>
     
  2. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    เรือเจ้าพระยาจ่อปรับค่าโดยสาร


    [​IMG]

    • 24 มกราคม 2554 เวลา 17:20 น.

    เรือด่วนเจ้าพระยาอั้นไม่ไหว เตรียมเสนอกรมเจ้าท่าในสัปดาห์หน้า
    ขอปรับค่าโดยสารอีก1บาท/ระยะ หลังราคาดีเซลขยับ29.99บาท/ลิตร

    นาวาโทปริญญา รักวาทิน กรรมการผู้จัดการบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด
    กล่าวว่า สมาคมเรือไทย เตรียมเสนอขอปรับขึ้นอัตราค่าเรือโดยสารขึ้นอีก
    ระยะละ 1 บาท ต่อกรมเจ้าท่าในสัปดาห์หน้า เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซล
    ได้ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร ในปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการ
    เรือด่วนได้ตรึงอัตราค่าโดยสารมาเป็นระยะเวลา 1 ปี ส่งผลให้ผู้ประกอบการ
    ต้องแบกรับต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นประกอบรัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้น
    ต่ำเพิ่มขึ้นเมื่อต้นปี 2554

    การขอปรับขึ้นราคาในครั้งนี้เป็นไปตามข้อตกลงกับคณะกรรมการพิจารณา
    เกี่ยวกับเรือเดินประจำทาง ที่ได้ระบุเกณฑ์การปรับอัตราค่าโดยสารโดยแยก
    ช่วงการพิจารณาราคาน้ำมันออกเป็น 2 ช่วง คือระดับราคา 25-28 บาท
    ต่อลิตร ปรับขึ้นระยะละ 1 บาท และระหว่าง 28-31 บาทต่อลิตร ปรับขึ้นอีก
    ระยะละ 1 บาท ขณะเดียวกันจะขอให้คณะกรรมการพิจารณาปรับขึ้นอัตรา
    ค่าโดยสารเรือข้าฝากอีก 0.50 สตางค์ต่อเที่ยว โดยจะให้มีผลในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้

    อย่างไรก็ตามในแต่ละปีบริษัทต้องใช้น้ำมันดีเซลประมาณ 2.5-3 ล้านลิตร
    ขณะที่ปริมาณผู้โดยสารมีประมาณ 35,000-40,000 คนต่อวัน หรือ
    ประมาณ 11 ล้านคนต่อปี รายได้ในปีที่ผ่านมา 135 ล้านบาท ซึ่งผล
    ประกอบการกำไรข้างต้นในปี 2553 อยู่ที่ร้อยละ 7 ซึ่งลดลงจากร้อยละ 12-15 เมื่อปี 2547

    หากมีการปรับขึ้นค่าโดยสารอีกระยะละ 1 บาทจะส่งผลให้ เรือด่วนเจ้าพระยา
    (ธงส้ม) คิดค่าโดยสารจากเดิม 14 บาทตลอดสาย เป็น 15 บาทตลอดสาย ,
    เรือด่วนเจ้าพระยา (ธงเหลือง) จากเดิม 19 บาท เป็น 20 บาท และเรือด่วน
    เจ้าพระยาธงประจำทางธรรมดา จากเดิม 9-13 บาท เป็น 10 -15 บาท
    ส่วนเรือข้ามฝากจะปรับขึ้นจากเดิม 3 บาท เป็น 3.50 บาท

    สำหรับสาเหตุที่ผู้ประกอบการเรือโดยสารยังไม่มีการปรับเครื่องยนต์มาใช้ก๊าซ
    CNG เนื่องจากเรือต้องแบกรับน้ำหนักของปริมาณถังก๊าซเกือบ 1 ตัน
    ประกอบกับปัจจุบันไม่มีเครื่องยนต์ที่สามารถรองรับกับเชื้อเพลิง CNG ได้ดี
    ซึ่งผู้ประกอบการต้องดัดแปลงเครื่องยนต์เองซึ่งไม่ได้มาตรการ
    จึงมีความจำเป็นต้องชะลอการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ออกไปก่อน


    โพสต์ทูเดย์ ข่าว : เรือเจ้าพระยาจ่อปรับค่าโดยสาร
     
  3. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    หุ้น24ม.ค.ร่วงหนักปิดลบ 42.89 จุด

    [​IMG]

    24 มกราคม 2554 เวลา 16:54 น.


    หุ้นวันที่ 24 ม.ค.ร่วงนักปิดที้ 963.68จุด ลดลง 42.89 จุด
    จากแรงเทขายหุ้นขนาดใหญ่

    ตลาดหุ้นวันที่ 24 ม.ค. ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 963.68 จุด ลดลง 42.89 จุด
    หรือ 4.26% มูลค่าการซื้อขาย 37,402 ล้านบาท จากแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่

    นายเทิดศักดิ์ ทวีธระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า
    ดัชนีหุ้นไทยลงแรง เนื่องจาก ความกังวลเรื่องแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ
    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีมากถึง 7,703 ล้านบาท และวันนี้(24 ม.ค.)
    น่าจะขายต่อเนื่อง เพราะหุ้นที่ปรับตัวลดลงจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่

    ปัจจัยนี้ได้สร้างความกังวลให้กับผู้ลงทุนในประเทศ และกดให้ดัชนีหุ้นไทย
    ลดลงแรงมากกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาคซึ่งไม่ได้ปรับตัวลดลงแรง
    อย่างไรก็ตาม แรงขายของนักลงทุนต่างชาติคาดว่าเป็นขายเพื่อปรับพอร์ต
    ทำกำไร โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ ขายสุทธิเป็นจำนวน 25,240 ล้านบาท
    คำแนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะกลางและยาวในขณะนี้เห็นว่าเป็นจังหวะเหมาะสม
    จะเข้าไปทยอยรับซื้อหุ้ นพื้นฐานดี มีเงินปันผลรองรับเช่นหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์

    โพสต์ทูเดย์ หุ้น-ทอง : หุ้น24ม.ค.ร่วงหนักปิดลบ 42.89 จุด
     
  4. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    สัญญาณอันตรายมากมาย

    ไทยเราหวังไว้มากกับอุตสาหกรรมยานยนต์
    แต่ถ้าน้ำมันแพงขึ้นเรื่อยๆก็เตรียมตัวได้เลยครับ
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

    State of the Union........by Lyndon Larouche


    สุนทรพจน์สรุปภาพรวมของวิกฤติเศรษฐกิจและการเมืองของโลก โดยวุฒิสมาชิก นักการเมืองอาวุโส และอดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ลินน์ดอน ลารูช...


    " Or the United State goes to hell, and if the United State goed to hell. The World go to hell. That's the reality. "


    " There is no way that this nation can survive under the continuation of the this president (Barack Obama) in office. He should be throw out of office. And he must be thrown out of office now "


    " Brazil is ready to go, Russia on the edge of going "



    ...Lyndon Larouche, State of the Union


    <IFRAME class=youtube-player title="YouTube video player" src="http://www.youtube.com/embed/y-kL4El8KS8?rel=0" frameBorder=0 width=500 height=311 allowfullscreen="" type="text/html"></IFRAME>


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อัตราการว่างงานทั่วโลกปี 2010 สูงเป็นประวัติการณ์แม้เศรษฐกิจกระเตื้อง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>25 มกราคม 2554 09:01 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    การว่างงานทั่วโลกสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2010

    เอเอฟพี - องค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือไอแอลโอเตือน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ได้แปลว่าทำให้เกิดการจ้างงาน เนื่องจากอัตราการว่างงานในโลกยังสูงเป็นประวัติการณ์ ถึง 205 ล้านคน ในปี 2010

    ไอแอลโอชี้ว่า แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นอย่างชัดเจนในหลายประเทศ แต่อัตราการว่างงานทั่วโลกอย่างเป็นทางการยังคงอยู่ที่ 205 คน ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปี 2009 และยังมากกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 2007 ถึง 27.6 ล้านคน

    ไอแอลโอคาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานทั่วโลกจะอยู่ที่ 6.1% หรือเท่ากับ 203.3 ล้านคนในปีนี้

    องค์กรด้านแรงงานของยูเอ็นแห่งนี้ระบุว่า กว่าครึ่งหนึ่งของการว่างงาน ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2007 อยู่ในประเทศอุตสาหกรรม และสหภาพยุโรป ซึ่งคนหนุ่มสาวจำนวนมาก ที่เข้าสู่วัยทำงานไม่สามารถหางานทำได้

    ส่วนในประเทศกำลังพัฒนา เช่น บราซิล คาซัคสถาน และไทย อัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ไอแอลโอเสริม

    นอกเหนือจากการว่างงานแล้ว ประชากรโลกประมาณ 1,530 ล้านคนยังประสบกับภาวะการงานไม่มั่นคง เช่น เป็นแค่ลูกจ้างชั่วคราว ไอแอลโอสำทับ

    "ภาวะการจ้างงานที่ไม่มั่นคงนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนับตั้งแต่ปี 2008 ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงจากอัตราการลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ"

    สำหรับตัวเลขการว่างงานของคนหนุ่มสาวก็น่าท้อแท้ใจ โดยมีถึง 78 ล้านคนที่ว่างงานในปี 2010 เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2007 ที่มีเพียง 73.5 ล้านคน
    Around the World - Manager Online -
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นสพ.ยุโรปยักษ์ใหญ่อีก 4 ฉบับร่วมเปิดโปงเอกสารลับจากวิกิลีกส์
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>24 มกราคม 2554 09:15 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    เว็บไซต์จอมแฉ วิกิลีกส์

    เอเอฟพี - หนังสือพิมพ์สเวนสกา ดัคบลาเดตของสวีเดนเผย สื่อรายใหญ่ 3 ฉบับเข้าร่วมสบทบกับหนังสือพิมพ์นอร์เวย์เปิดโปงเอกสารลับกว่า 250,000 ชิ้น ที่หุ้นส่วนของเว็บไซต์จอมแฉ “วิกิลีกส์” ได้มาแต่เพียงผู้เดียว

    มาร์ติน โจนส์สัน ผู้บริหารระดับสูงของหนังสือพิมพ์รายวันสวีเดนฉบับดังกล่าวเผยว่า หนังสือพิมพ์อาฟเทนโพสเทนของนอร์เวย์ ได้แชร์ข้อมูลจำนวนมากที่ได้มากับสื่อยักษ์ใหญ่ในเดนมาร์ก เยอรมนี และสวีเดน

    เขาระบุว่า หนังสือพิมพ์อีก 2 ฉบับที่ร่วมมือกันในครั้งนี้ได้แก่ ดี เวลท์ของเยอรมนี และโปลิติเกนของเดนมาร์ก

    โจนส์สันเสริมว่า เนื้อหาของข้อมูลดังกล่าวมีเป็นจำนวนมากมายเสียจนควรทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อให้ง่ายขึ้น โดยทั้งสเวนสกา และอาฟเทนโพสเทนต่างก็เป็นสมาชิกของกลุ่มสื่อไชบ์สเตดของนอร์เวย์

    จำนวนสื่อที่ได้เอกสารลับซึ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นนั้นสร้างความเสื่อมเสียให้กับยุทธศาสตร์ของจูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ ในการควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลจำเพาะเหล่านั้น

    ทั้งนี้ เว็บไซต์จอมแฉได้บรรลุข้อตกลงกับหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ 5 ฉบับ คือ นิวยอร์กไทมส์ เลอ มอนเดของฝรั่งเศส เอล เปส์ของสเปน เดอะการ์เดียนของอังกฤษ และเดอร์ สปีเกลของเยอรมนี ในการเปิดโปงเอกสารลับทางการทูตอย่างค่อยเป็นค่อยไป

    อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดที่ชัดเจนของข้อตกลงดังกล่าวยังไม่ได้รับการเปิดเผย

    ขณะที่หนังสือพิมพ์อาฟเเทนโพสเทนก็ปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่าได้รับฐานข้อมูลดังกล่าวมาได้อย่างไร ทว่า ตั้งแต่ได้มาเมื่อธันวาคมปีที่แล้ว หนังสือพิมพ์รายวันฉบับนี้ก็เอาแต่ตีพิมพ์แฉ โดยไม่สนใจขั้นตอนที่แอสซานจ์กำหนดให้เป็นไปอย่างช้าๆ

    ด้าน สเวนสกา ดัคบลาเดตนั้น ได้ตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวกับข้อมูลลับเหล่านั้นมาจนถึงตอนนี้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 8 ชิ้นแล้ว ผู้อำนวยการสำทับ
    Around the World - Manager Online -
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ชาวเน็ตหนุนวิศวกรเปิดโปงปัญหารถไฟใต้ดิน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>25 มกราคม 2554 09:04 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    นาย จง จีจัง วิศวกรผู้กล้าท้าชนกับความตายด้วยการเปิดโปงจุดบกพร่องของรถไฟใต้ดินเมืองกว่างโจว - เอเอฟพี

    เอเอฟพี - ความไม่ชอบมาพากลโผล่ให้เห็นบ้างแล้วสำหรับโครงการขยายเครือข่ายระบบบริการขนส่งมวลชนรถไฟใต้ดินในจีน เมื่อบุรุษนามว่า จง จีจัง ออกมาเปิดโปงข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยของรถไฟใต้ดินในเมืองกว่างโจว แต่ถูกขู่ฆ่าเอากันถึงตาย !

    วิศวกร วัย 68 ปีผู้นี้ได้ใช้ช่องทางอินเทอร์เน็ตในการนำข้อเท็จจริงมาตีแผ่ต่อสาธารณชน และกลายเป็นคนดังในโลกออนไลน์ เขาเป็นนักรบผดุงคุณธรรมอีกคนหนึ่ง ที่กล้าท้าทายการก่อสร้างระบบรถไฟใต้ดิน ที่กำลังเฟื่องฟูและเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญด้านเทคโนโลยีของจีน นักรบออนไลน์เหล่านี้กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที

    นายจง ได้รับฉายาว่า “คุณตาผู้ท้ามฤตยู” เพราะเรื่องที่แกกำลังต่อสู้นั้น เป็นประเด็นอ่อนไหวทีเดียว โดยโครงการขยายเครือข่ายรถไฟใต้ดินในเมืองกว่างโจว ได้ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่นายจงกลับออกมาเปิดโปงปัญหา เข้าทำนองสุภาษิตหมูจะหาม เอาคานเข้ามาสอด ผลก็คือ

    “ มีโทรศัพท์มาขู่ผมหลายครั้ง เตือนให้รู้ตัวว่า มีคนเตรียมจะทำให้ผมง่อยเปลี้ยเสียขา” นายจงเปิดเผย

    “บางคนถึงขนาดบอกกับผมว่า จะกำจัดผมไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก พวกมันบอกจะขับรถทับผม เสร็จแล้วก็กินเหล้า แล้วรอให้ตำรวจมาจับ จะได้เจอแค่ข้อหาเมาแล้วขับ แต่ไม่ต้องติดคุก เพราะมีเส้น” แกว่า

    หลังจากออกมาแฉข้อมูล บริษัทด้านการตรวจสอบคุณภาพก็ปฏิเสธต่อสัญญาทำงานให้กับนายจง แกเล่าว่า ในตอนแรกได้พยายามใช้ช่องทางต่าง ๆ เพื่อรายงานปัญหาที่พบ รวมทั้งหน่วยงานของรัฐบาล ที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่มีคำตอบกลับมา

    ในที่สุดจึงหันมาพึ่งอินเทอร์เน็ต จัดการสร้างบล็อกขึ้นมา แล้วเล่าถึงงานก่อสร้างคอนกรีต ที่ไม่ได้มาตรฐาน เรื่องจึงแพร่สะพัดเป็นไฟลามทุ่ง โดยช่วงนั้นเมืองกว่างโจวกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์เสียด้วย

    อินเทอร์เน็ตได้ให้โอกาสทองแก่ผู้ต้องการเปิดโปงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาและเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างนายจง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสื่อมวลชนหลักถูกทางการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ขณะที่จีนมีผู้เข้าอินเทอร์เน็ตมากที่สุดในโลกถึง 450 ล้านราย

    นอกจากนั้น แม้ทางการมีวิธีเซ็นเซอร์เว็บไซต์ ที่รับไม่ได้ ด้วยระบบ ที่ถูกตั้งฉายาให้ว่า “กำแพงไฟมหึมาของจีน” (Great Firewall of China) แต่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการใช้ระบบproxy sever เว็บไซต์ที่ถูกปิดก็สามารถเข้าอ่านได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว โดยรองศาสตราจารย์หยาง กั๋วปิน แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับการบรรลุผลทางการเมือง โดยใช้โลกออนไลน์เป็นเครื่องมือระบุว่า การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือต่อสู้เป็นกระแสนิยมที่กำลังมาแรง

    แค่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เรื่องอื้อฉาวหลายกรณีได้รับแรงหนุนจากชาวเน็ต จนนำตัวคนผิดมาลงโทษได้ เช่นเมื่อเดือนต.ค. ที่ผ่านมาลูกชายนายตำรวจใหญ่ของมณฑลเหอเป่ย วัย 22 ปี ทำให้สังคมออนไลน์ต้องออกมาโวยวาย เมื่อคุณชายน้อยรายนี้เมาแล้วขับ และรถไปชนนักศึกษา 2 คนเข้า คนหนึ่งถึงแก่ความตาย เมื่อกลุ่มพลเมืองดีขัดขวางไม่ให้หลบหนี หมอนี่ก็ตะโกนก้องว่า “พ่อกูคือ หลี่ กัง”

    แต่ด้วยกระแสกดดันของชาวเน็ต ในที่สุดลูกชายนายตำรวจใหญ่ก็ถูกจับ และจะถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีในศาล

    อย่างไรก็ตาม ไม่ควรชะล่าใจว่า อินเทอร์เน็ตจะเป็นอาวุธต่อสู้ ซึ่งมีประสิทธิภาพที่สุดของ“คุณตาผู้ท้ามฤตยู” เพราะผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ถึงอย่างไรก็ตาม อิทธิพลของอินเทอร์เน็ตยังถูกจำกัดอยู่มากในเมืองจีน

    ศาสตราจารย์ หู หยง ผู้เชี่ยวชาญด้านอินเทอร์เน็ตของมหาวิทยาลัยปักกิ่งชี้ว่า การพึ่งพลังชาวเน็ตในการต่อสู้แต่เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอ เพราะสื่อกระแสหลักยังมีบทบาทใหญ่โตมาก และทางการสามารถสั่งห้ามสื่อกระแสหลักรายงานเหตุการณ์บางเหตุการณ์ได้

    ขณะที่เดวิด บันดูร์สกี้ นักวิจัยโครงการสื่อมวลชนจีนของมหาวิทยาลัยฮ่องกงเตือนว่า รูปแบบใหม่ ที่เกิดในโลกออนไลน์ เช่น ไมโครบล็อก ย่อมถูกควบคุมมากขึ้นกว่าเดิม

    “ถ้าเราคิดว่าอินเทอร์เน็ตกำลังจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับรากแล้วละก้อ นั่นเป็นการอ่านสถานการณ์ปัจจุบันในจีน ที่ไร้เดียงสา” เขาระบุ

    สำหรับการต่อสู้ของนายจงนั้น ทางการเมืองกว่างโจวยอมรับว่า รถไฟใต้ดินมีจุดบกพร่องหลายข้อจริง แต่ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยแต่อย่างใด เรียกว่าใช้บริการได้ หายห่วง !
    China - Manager Online -
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 24 มกราคม 2554 17:10
    [​IMG]
    นักวิเคราะห์คาด ธนาคารกลางสหรัฐอาจเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในเดือนม.ค.ปีหน้าสกัดเงินเฟ้อ
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110120/show_ads_impl.js"></SCRIPT>สำนักข่าวบลูมเบิร์กอ้างนายลอว์เรนซ์ ไมเยอร์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มมีแรงส่งภายในกลางปีนี้ และสมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายเฟดสายเหยี่ยว อาจหาทางเพิ่มความเข้มงวด
    นายไมเยอร์ทำนายว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายเฟด ซึ่งมีกำหนดประชุมครั้งแรกของปี 2554 ในสัปดาห์นี้ จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนม.ค.2555
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทั่วโลกร่วมประนามเหตุระเบิดสนามบินมอสโก

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 25 มกราคม 2554 09:46
    [​IMG]

    ผู้นำจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก พากันประนามเหตุระเบิดสนามบินมอสโก ขณะปธน.เมดเวเดฟ เรียกประชุมฉุกเฉิน สั่งตรวจเข้มความปลอดภัยทั่วประเทศ
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110120/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐ ออกมาประนามถึงเหตุระเบิดพลีชีพ ที่สนามบินโดโมเดโดโว ทางตอนใต้ของกรุงมอสโก รัสเซีย ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 35 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 130 คน ว่าเป็นการกระทำที่เลวร้าย
    ขณะนางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ระบุว่า เป็นพฤติกรรมที่ขี้ขลาด และสเปน ประนามว่า เป็นการก่อการร้ายที่ชั่วร้าย ส่วนนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เรียกร้องทั่วโลกอย่าปล่อยให้กลุ่มก่อการร้ายได้รับชัยชนะจากการก่อพฤติกรรมเช่นนี้
    ทางด้านประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟ ผู้นำรัสเซีย ซึ่งประนามเหตุระเบิดดังกล่าวว่าเป็นการก่อการร้าย ได้เรียกประชุมฉุกเฉินเจ้าหน้าที่ระดับสูง พร้อมสั่งให้เพิ่มความเข้มงวดด้านการตรวจสอบความปลอดภัยทั่วประเทศ
    ทั้งนี้ นางเอเลนา กาลาโนวา โฆษกสนามบินที่เกิดเหตุ เผยว่า เหตุระเบิดเกิดขึ้นในบริเวณที่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงได้อย่างเสรี ซึ่งเป็นสถานที่พบปะระหว่างผู้โดยสาร กับบรรดาญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หลังจากผ่านการตรวจออกมาแล้ว
    นางกาลาโนวา ให้รายละเอียดด้วยว่า ในจำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั้น มีอย่างน้อย 20 ราย ที่อาการสาหัส

     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กองทุนโลกถูกละลายไปกับคอรัปชั่น

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 24 มกราคม 2554 18:49
    กองทุนโลก ที่เหล่าคนดังร่วมกันบริจาค ได้ละลายไปกับการคอรัปชั่น ส่วนยาก็ถูกเอาไปขายต่อในตลาดมืด
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110120/show_ads_impl.js"></SCRIPT>เงินกองทุนโลก (The Global Fund) ถึง 2 ใน 3 ของมูลค่าทั้งหมด 21,700 ล้านดอลลาร์ ที่เหล่าคนดังร่วมบริจาค ถูกคอร์รัปชั่นไป โดยมีสาเหตุจากการใช้เอกสารปลอม หรือการเก็บบัญชีที่ไม่เหมาะสม และยาที่ได้รับบริจาคถูกขายต่อในตลาดมืด
    กองทุนนี้ มีจุดประสงค์หลักเพื่อต่อสู้กับโรคโรคเอดส์ วัณโรคแ ละมาลาเรีย ซึ่งพบการคอร์รัปชั่นในโครงการที่เกี่ยวข้องในหลายประเทศ
    คนดังที่สนับสนุนกองทุนนี้เช่น โบโน่ นักร้องชื่อดัง โคฟี่ อันนาน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ คาร์ล่า บรูนี่ สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของฝรั่งเศส และบิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอร์ฟ
    ผู้ตรวจสอบกองทุนนี้ระบุว่า ผู้บริจาคควรมองว่า การพบเหตุคอร์รัปชั่นนี้จะเป็นประโยชน์แก่คนที่ต้องการจะบริจาคเงินในอนาคต เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ขณะที่ประเทศผู้บริจาคบางส่วนอย่างสวีเดน ได้สั่งระงับเงินบริจาคประจำปีมูลค่า 85 ล้านดอลลาร์จนกว่า
    จะมีการแก้ปัญหานี้
    <!-- Tags Keyword -->
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    หุ้น'ไทย-อินโดฯ-ฟิลิปปินส์'เป้าหมายต่างชาติลดพอร์ต

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 25 มกราคม 2554 06:41
    [​IMG]
    ตลาดหุ้นไทย วานนี้ถูกต่างชาติถล่มขาย ร่วงหนัก 42 จุดดิ่ง 4%ทรุดแรงสุดในเอเชีย ชี้หุ้นกลุ่มTIP เป้าหมายใหญ่ทุนนอกปรับพอร์ต
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110120/show_ads_impl.js"></SCRIPT> บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (24 ม.ค.) ดัชนีหุ้นลดลงอย่างรุนแรงตั้งแต่เปิดตลาด จนมาปิดการซื้อขายที่ 963.68 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของวัน ลดลง 42.89 จุด หรือ 4.26% มูลค่าการซื้อขาย 37,402 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,576 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 44.32 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 4,049 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนภายในประเทศ ซื้อสุทธิ 6,670 ล้านบาท
    แหล่งข่าวจาก โบรกเกอร์ กล่าวว่า วันนี้ต้องจับตาดูว่าดัชนีหุ้นจะปรับลดลงตั้งแต่ช่วงเช้าหรือไม่ เนื่องจากดัชนีปรับลดลงรวมประมาณ 10% ทำให้โบรกเกอร์ต้องเรียกหลักประกันเพิ่ม (call margin) ตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งหากนักลงทุนไม่สามารถนำเงินมาวางเพิ่มได้โอกาสที่จะถูกบังคับขาย ก็มีโอกาสสูง แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนรายย่อย เป็นฝ่ายซื้อสุทธิก็ตาม
    นอกจากนี้ทั้งนักลงทุนสถาบันทั้งใน และต่างประเทศ ก็มีการยืมหุ้นออกมาขาย (short sell) เนื่องจากประเมินว่าดัชนีหุ้นอยู่ในช่วงปรับฐานลงอย่างรุนแรง ทำให้มีการชอร์ตเซล หุ้นขาลงเพื่อทำกำไรขาลง จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ ดัชนีปรับลดลงค่อนข้างแรง
    นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า การปรับลดลงของดัชนีเป็นไปตามตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้น TIP เนื่องจากทั้ง 3 ตลาดหุ้น คือ ตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นอินโด และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ให้ผลตอบแทนมากที่สุดในตลาดหุ้นเอเชีย ดังนั้นกลุ่มดังกล่าว จึงเป็นเป้าหมายของกองทุนต่างประเทศที่จะถูกเทขาย โดยตลาดหุ้นอินโด และฟิลิปปินส์ ถูกเทขายไปแล้ว 10% ส่วนตลาดหุ้นไทย ก็ปรับลดลงแล้วประมาณ 10% จากจุดสูงสุดที่ ดัชนีระดับ 1,050 จุด
    อย่างไรก็ตามการที่ดัชนีหุ้นที่ปรับลดลงรวม 10% คาดว่าแรงขายจากต่างประเทศอาจจะไม่หนักมากแล้ว เพราะทั้งตลาดหุ้นอินโด และฟิลิปปินส์ ขณะนี้เริ่มปรับลดลงน้อยลง และก็เริ่มยืนได้แล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นไทย
    จับตาโบรกเรียกหลักประกันเพิ่ม
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เมื่อเม่าตามรอย VI



    ช่วงนี้ตลาดร่วงแบบไม่ปรึกษาใคร วันศุกร์กำลังปวดหัวกะการดีบัคโค้ดอยู่ เลยกะว่าเปิดพอร์ตดูแก้เครียดซะหน่อย แต่เปิดแล้วต้องรีบปิดกลับไปเหมือนเดิม กลับไปนั่งหัวฟูทำงานยังเครียดน้อยกว่าดูการล่มสลายของพอร์ตตัวเองค้า T_T


    มีนักลงทุนหน้าใหม่ ที่คิดจะลงทุนแนว VI ตามแนวทางของท่านปรมาจารย์แอบอ่านอยู่รึเปล่า อิอิ...

    บ่อยครั้งที่เห็นคำถามในเวปบอร์ดต่างๆแนวๆว่า ท่านปรมาจารย์คนนี้ถือหุ้นตัวไหนอยู่บ้าง จะได้ไปซื้อตาม (เม่าก็เป็นหนึ่งในนั้น) ซึ่งควรระวังให้ดี แม้จะเป็นหุ้นตัวเดียวกัน แต่ตอนที่ท่านปรมาจารย์ซื้อกับตอนที่เม่าซื้อมันต่างกรรมต่างวาระ มิเช่นนั้นอาจสูงศักดิ์แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเหมือนเม่าน้อยในตอนนี้ได้นะจ๊ะ

    [​IMG]

    [​IMG]


    เขียนโดย joop joop
    รูปภาพและข้อความในบล็อก maoinvestor อนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต creative common <<<-- ฟังยากเนอะ - -'' พูดจาภาษาเม่าคือ ถ้าอ่านแล้วชอบ โดน ตรง ก็เอาไปแบ่งปันต่อได้อย่างอิสระ แต่กรุณาให้เครดิตบล็อก ไม่ดัดแปลงแก้ไข ไม่ใช้เพื่อการค้า ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะคะ
    Maleang-Mao Investor: เมื่อเม่าตามรอย VI
     
  14. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    เงินเฟ้ออาการสาหัส นักลงทุนตั้งการ์ดรับ

    • 25 มกราคม 2554 เวลา 07:28 น
    ปัญหาเงินเฟ้อกำลังลุกลามไปทั่วโลก ประเดิมด้วยกลุ่มตลาดเกิดใหม่
    ในเอเชีย เหยื่อรายล่าสุดในภูมิภาคนี้ คือ สิงคโปร์ ซึ่งเปิดเผยตัวเลข
    ช่วงเดือน ธ.ค. 2553 กระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 4.6% จาก 3.8% ช่วง
    เดือน พ.ย. นับเป็นการปรับขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 2 ปี

    โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

    [​IMG]

    ปัญหาเงินเฟ้อกำลังลุกลามไปทั่วโลก ประเดิมด้วยกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย
    เหยื่อรายล่าสุดในภูมิภาคนี้ คือ สิงคโปร์ ซึ่งเปิดเผยตัวเลขช่วงเดือน
    ธ.ค. 2553 กระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 4.6% จาก 3.8% ช่วงเดือน พ.ย.
    นับเป็นการปรับขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 2 ปี

    สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง เมื่อปัญหานี้ได้ระบาดไปถึงยุโรปแล้ว หลังจากที่
    มีการเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อของกลุ่ม Eurozone ช่วงเดือน ธ.ค. ปี 2553
    ซึ่งปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.2% สูงกว่าเป้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) กำหนดไว้
    ที่ 2%ขณะสถานการณ์เงินเฟ้อในอังกฤษส่อเค้าน่าเป็นห่วงเช่นกัน เพราะ
    ขึ้นมาอยู่ที่ 3.7% และคาดว่าจะทะลวงขึ้นมาเหนือระดับ 4% ในอีกไม่นาน
    ซึ่งสูงกกว่าเป้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) กำหนดไว้ถึง 2 เท่า

    ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือ ประเทศที่กำลังเผชิญกับวิกฤตหนี้สาธารณะ
    กลับต้องพบกับปัญหาเงินเฟ้อซ้ำเติม ดังเช่นกรณีของไอร์แลนด์ ที่ต้องรับ
    ทั้งความช่วยเหลือจาก EU และ IMF แต่ความช่วยเหลือนับหมื่นล้านยูโร
    ไม่อาจสกัดกั้นเงินเฟ้อที่ทะลุ 1.3% ได้ จากตัวเลขเดือน พ.ย. ที่ 0.6%
    นับเป็นการปรับเพิ่มถึงเท่าตัว

    แนวโน้มที่เริ่มน่าเป็นห่วงในยุโรป ยังผลให้ ECB ต้องออกโรงเสริมความมั่นใจ
    ให้กับทุกฝ่าย โดยฌอง โคลด ตริเชต์ กล่าวผ่านหนังสือพิมพ์วอลสตรีต
    เจอร์นัล ว่า “ในสถานการณ์ที่มีภาวะเงินเฟ้อเป็นภัยคุกคามต่อสินค้าโภคภัณฑ์
    ธนาคารกลางทุกแห่งจะต้องใช้ความรอบคอบ และระมัดระวังว่าจะไม่มีผล
    กระทบจากภาวะเงินเฟ้อรอบที่ 2”

    อย่างไรก็ตาม คำกล่าวของตริเชต์บ่งชี้ว่า ECB กังวลกับปัญหานี้ แต่ยังเชื่อว่า
    เป็นเพียงปฏิกิริยาระยะสั้น หรือเป็นเพียงเงินชั่วครั้งคราว ไม่มีรอบที่ 2
    (ซึ่งหมายความว่า เป็นปัญหาเงินเฟ้อในระยะยาวอย่างแน่นอน) ไม่เพียง
    เท่านั้นคำพูดนี้แฝงนัยบางประการ ซึ่งจะกล่าวต่อไปในส่วนถึงมูลเหตุที่ทำให้
    ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงยิ่งขึ้น

    ทั้งนี้ ไม่เพียงเกิดภาวะแพร่ระบาดของภาวะเงินเฟ้อเท่านั้น แต่ปริมณฑลของ
    ผลกระทบยังสั่นสะเทือนไปถึงกลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น
    แต่แรกเริ่มนั้นผู้บริโภคเป็นกลุ่มแรกที่ต้องบอบช้ำจากราคาสินค้าและบริการ
    ที่แพงขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย อันเป็นประชากรส่วนใหญ่ของ
    ประเทศ ยังผลให้รัฐบาลต้องเร่งรักษาเสถียรภาพด้านราคา เพื่อป้องกันเหตุ
    วุ่นวายทางสังคม อันจะกระทบไปถึงสถานะทางการเมืองของรัฐบาลนั้นๆ
    ในเวลาต่อมา กลุ่มนักลงทุนเริ่มเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบบ้าง โดยเฉพาะ
    อย่างยิ่งผู้ที่ลงทุนกับพันธบัตรของรัฐบาล ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ
    เนื่องจากเงินเฟ้อเป็นปัจจัยลบโดยตรงต่อการลงทุนประเภทนี้

    ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่และนายทุนส่วนน้อย จึงต่างรับผลกระทบจาก
    ปัญหาเดียวกันและด้วยความวิตกที่คล้ายคลึงกันนั่นคือ กำลังซื้อของตัวเอง
    กำลังถดถอยลงอย่างรวดเร็ว

    จากการสำรวจโดยบริษัท Northern Trust พบว่า นักลงทุนทั่วโลก
    62 ราย เชื่อว่าปัญหาเงินเฟ้อจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในช่วง 6 เดือน
    ต่อจากนี้ และอีก 53 รายเชื่อว่า จะมีการขึ้นดอกเบี้ยภายในช่วงไตรมาสแรก
    ปัญหาเงินเฟ้อส่วนหนึ่ง (ซึ่งอาจเป็นส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ) มาจากการที่
    ประเทศตะวันตกพิมพ์และปั๊มเงินเข้าสู่ระบบอย่างล้นหลาม ทั้งสหรัฐและยุโรป
    โดยเฉพาะสหรัฐที่อ้างสิทธิในการพิมพ์ธนบัตรโดยไม่ต้องอิงกับทองคำสำรอง
    ได้ตามใจชอบ ดังที่ล่าสุดได้ใช้มาตรการ QE2 และอาจมี QE3 ติดตามมาอีก
    ในอนาคต

    การพิมพ์ธนบัตรในกรณีของสหรัฐนั้น มีจุดประสงค์ก็เพื่อซื้อพันธบัตร
    ของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จีนจะเข้ามาระดมซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
    อย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการมีอิทธิพล
    เหนือเศรษฐกิจสหรัฐในทางอ้อม แต่แล้วเงินเหรียญสหรัฐกลับยิ่งอ่อนค่าลงยัง
    ผลให้นักลงทุนเริ่มผละหนี

    ส่วนสถานการณ์ของยุโรป การอัดเงินเข้าสู่ระบบยิ่งทำให้นักลงทุนแห่หนี
    ไปยังตลาดเกิดใหม่ที่มีความคึกคักและปลอดภัยกว่า เนื่องจากพันธบัตร
    ของยุโรปแทบไม่เหลือความน่าเชื่อถืออีกต่อไปในหลายๆ ประเทศ เว้นเพียง
    เยอรมนี และอาจกล่าวได้ว่า อนาคตของ Eurozone อยู่ในกำมือของเยอรมนี
    ซึ่งมีสถานะทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ดังจะเห็นได้จากระดับ
    ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ปรับขึ้นมาเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน และสูงสุด
    นับตั้งแต่เยอรมนีรวมชาติเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว

    อนึ่ง การที่ ECB ไม่แสดงอาการร้อนอกร้อนใจต่อทิศทางเงินเฟ้อ ก็เพราะ
    ยังจำเป็นจะต้องพิมพ์ธนบัตรต่อไปเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่บั่นทอน
    ความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากกว่า ทว่า การทำเช่นนี้เท่ากับดึงประเทศที่ไม่มี
    ปัญหาให้ต้องแบกรับปัญหาไปด้วย ดังเช่นเยอรมนีที่คัดค้านการกระทำเช่นนี้มา
    โดยตลอด

    นอกจากนี้ เยอรมนีเพียงประเทศเดียวไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น เพราะนี่คือ
    สิ่งเกิดขึ้นกับ “กลุ่ม”มิใช่ “ปัจเจก” นักลงทุนจึงผละหนีเช่นกัน และเข้าทำนอง
    หนีเสือปะจระเข้โดยแท้ เพราะช่วงที่สหรัฐเผชิญกับวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจ
    ถดถอยนั้น นักลงทุนฝากความหวังไว้ที่ยุโรปค่อนข้างมาก ว่าจะเป็นทางเลือกที่
    “น่าจะ” ปลอดภัยกว่า

    ด้วยปัจจัยรุมเร้ารอบด้านยังผลให้เม็ดเงินเหล่านั้นเริ่มไหลทะลักไปยังภูมิภาค
    ต่างๆ โดยเฉพาะเอเชีย ทำให้เงินเฟ้อในภูมิภาคทะลุเป้าในทันตา สิ่งที่ตามมา
    คือ รัฐบาลของนานาประเทศพยายามปิดกั้นกระแสไหลบ่าของทุนนอก นับว่า
    เป็นอีกคราที่นักลงทุนเริ่มตระหนักว่า ปริมาณเงินที่ล้นทะลักในระบบเศรษฐกิจ
    โลกนั้น เป็นภัยคุกคามต่อตัวเองมากเพียงใด

    ด้วยเหตุนี้นักลงทุนจึงหันไปลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กันอย่างโกลาหล
    ไม่ว่าจะเป็นทองคำ น้ำมัน ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ดังจะเห็นได้ว่า หลังจากที่
    ตลาดเกิดใหม่เริ่มตั้งปราการสกัดทุนนอก ปรากฏว่าราคาน้ำมัน
    ถีบตัวขึ้นมาในทันที และเมื่อใดก็ตามที่น้ำมัน สินค้าทุกประเภทจะแพง
    ตามไปด้วย เนื่องจากเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญที่สุด

    ในระยะแรกนั้นราคาทองคำและน้ำมันปรับขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่นับว่าหวือหวา
    รุนแรง จนกระทั่งมีปัจจัยลบเข้ามารุมเร้าทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาด
    เพราะประจวบเหมาะกับที่ยุโรปมีสภาพการณ์ที่ย่ำแย่ลง มิหนำซ้ำสินค้า
    โภคภัณฑ์หลายตัวยังได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ตั้งแต่สินค้าเกษตร
    ไปจนถึงพลังงาน อย่างเช่นถ่านหิน กลายเป็นแรงกระหน่ำให้การลงทุนในตลาด
    โภคภัณฑ์ร้อนแรง

    นายทุนหรือนักลงทุน เป็นกลุ่มคนที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้สะดวกกว่า
    ผู้บริโภคทั่วๆ ไป การที่นักลงทุนโยกย้ายหนีปัจจัยลบจากประเทศหนึ่งสู่อีก
    ประเทศหนึ่ง จากตลาดหนึ่งสู่อีกตลาดหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นนี้ได้
    เป็นอย่างดี

    ในช่วงเวลาที่เงินเฟ้อกำลังคุกคามรอบด้าน นักลงทุนกลุ่มหนึ่งอาจเริ่มได้รับผล
    กระทบ แต่มีอีกจำนวนไม่น้อยที่เชื่อมั่นว่า ตลาดโภคภัณฑ์คือตลาดที่มั่นคงที่
    สุด ยิ่งเงินเฟ้อรุนแรงเพียงใด ยิ่งสามารถกอบโกยได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

    อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังมีเหตุผลที่จะต้องกังวลกับปัญหานี้ อย่างน้อยใน
    ฐานะผู้บริโภค และอย่างน้อยปัญหาเงินเฟ้อจะส่งผลสะเทือนต่อเสถียรภาพทาง
    การเงิน หากเกิดความวุ่นวายถึงขั้นจลาจลดังที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่ง
    ขณะนี้ ประธานาธิบดี นิโกลาส์ ซาร์โกซี ในฐานะประธานกลุ่ม G20 ถึงกับต้อง
    กำหนดแนวทางเพื่อสกัดกั้นราคาสินค้าแพง และป้องกันจลาจลจากวิกฤต
    อาหารที่สุ่มเสี่ยงจะปะทุขึ้นอยู่รอมร่อ

    ด้วยเหตุนี้ต่อให้การลงทุนมีความยืดหยุ่นหรือรู้หลบเป็นปีกเพียงใด
    ย่อมหลีกไม่พ้นความเสี่ยงที่กำลังก่อตัวขึ้นรอบด้าน
    ถึงที่สุดแล้วปัญหาเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นหอกทิ่มแทงนักลงทุนเอาง่ายๆ


    ที่มา : โพสต์ทูเดย์ วิเคราะห์ : เงินเฟ้ออาการสาหัส นักลงทุนตั้งการ์ดรับ
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เอฟเอโอเตือนโลกอาจเผชิญวิกฤติอาหารอีกครั้ง


    [​IMG]

    เอฟเอโอ 25 ม.ค. - องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) เตือนโลกอาจเผชิญกับวิกฤติอาหารอีกครั้ง

    รายงานขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) เตือนโลกใกล้จะเผชิญกับวิกฤติอาหารอีกครั้ง หลังจากที่ดัชนีราคาอาหารทั่วโลกทำสถิติปรับตัวพุ่งขึ้นเมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว สร้างความหวั่นเกรงว่า โลกอาจเผชิญกับวิกฤติอาหารแพงเหมือนเมื่อปี 2551 ซึ่งส่งผลให้เกิดจลาจลในหลายประเทศ ทั้งยังส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ไปจนถึงการขาดดุลการค้า

    นายฌากส์ ดิอุฟ ผู้อำนวยการเอฟเอโอ เตือนว่า ปัญหาราคาอาหารทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี ตราบใดที่นานาชาติยังไม่สามารถแก้ปัญหาระบบการเกษตรที่ไม่สมดุล รวมทั้งปัญหาการกีดกันทางการค้า. - สำนักข่าวไทย

    วันอังคาร ที่ 25 ม.ค. 2554


    การว่างงานทั่วโลกทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์


    [​IMG]

    เจนีวา 25 ม.ค. - องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) เตือนว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่ได้ทำให้เกิดการจ้างงาน และอัตราการว่างงานในโลกยังคงมีถึง 205 ล้านคน ในปีที่แล้วซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์

    ไอแอลโอชี้ว่า แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นอย่างมากในหลายประเทศ แต่อัตราการว่างงานในโลกยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปี 2552 มิหนำซ้ำยังมากกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 2550 ถึง 27.6 ล้านคน

    ไอแอลโอคาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานของประชากรโลกในปีนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 6.1 หรือมีจำนวน 203.3 ล้านคน โดยกว่าครึ่งหนึ่งตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมาเกิดขึ้นในประเทศอุตสาหกรรมและสหภาพยุโรปซึ่งคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่เข้าสู่วัยทำงานไม่สามารถหางานทำได้ ส่วนในประเทศกำลังพัฒนา เช่น บราซิล คาซัคสถาน และไทย พบว่าการว่างงานอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ

    ไอแอลโอระบุด้วยว่า นอกจากการว่างงานแล้วยังมีประชากรโลกประมาณ 1,530 ล้านคน มีงานทำไม่ถาวร สถานการณ์นี้แทบไม่เปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงจากช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งสภาวะเช่นนี้ลดลงอย่างมากและต่อเนื่อง

    สำหรับตัวเลขของคนหนุ่มสาวที่ว่างงานในปีที่แล้ว พบว่ามีถึง 78 ล้านคนทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2550 ที่มีเพียง 73.5 ล้านคน.- สำนักข่าวไทย

    วันอังคาร ที่ 25 ม.ค. 2554


    น้ำท่วมแอฟริกาใต้ตายแล้ว 123 ราย


    [​IMG]

    แอฟริกาใต้ 25 ม.ค. - อุทกภัยในประเทศแอฟริกาใต้ คร่าชีวิตประชาชนไปแล้ว 123 คน รัฐบาลต้องประกาศให้เทศบาล 33 แห่งเป็นเขตภัยพิบัติ

    รัฐบาลแอฟริกาใต้กล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยในเดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น 123 คน ส่วนใหญ่อยู่ที่จังหวัดควาซูลู-นาทาล บ้านเรือนหลายพันหลังได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมในพื้นที่นครโจฮันเนสเบิร์ก รวมไปถึงในจังหวัดทางภาคเหนือและตะวันออก ชาวบ้านกว่า 20,000 คน ได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลต้องประกาศให้เทศบาล 33 แห่งจาก 8 ใน 9 จังหวัดเป็นเขตภัยพิบัติ ส่วนที่ประเทศโมซัมบิกถูกน้ำท่วมหนักเช่นกัน ประชาชนกว่า 13,000 คน สูญเสียบ้านเรือนหรือได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมสูง

    ทรานสเนท กลุ่มศึกษาด้านการขนส่งลำเลียงของแอฟริกาใต้ กล่าวว่า ฝนที่ตกหนักในเดือนนี้กระทบต่อการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ส่งผลต่อการส่งออกถ่านหินและข้าวโพด. - สำนักข่าวไทย

    วันอังคาร ที่ 25 ม.ค. 2554

    ฮือฮา จีนจะสร้าง"นครหลวง"ใหญ่สุดของโลก
    [​IMG]

    <TABLE class=A14 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ฮือฮา จีนจะสร้าง"นครหลวง"ใหญ่สุดของโลก รองรับประชากร 42 ล้านคน


    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ว่า จีนได้วางแผนจะสร้างนครหลวงใหญ่ที่สุดของโลก เพื่อรองรับประชากรจำนวน 42 ล้านคน โครงการดังกล่าวซึ่งใช้ชื่อว่า"เปลี่ยนลุ่มแม่น้ำเพิร์ลให้เป็นหนึ่ง"จะครอบคลุมพื้นที่ 16,000 ตร.ไมล์ ใหญ่กว่าราชอาณาจักรเวลส์ 2 เท่า โดยนครหลวงแห่งนี้จะครอบคลุมพื้นที่กว้างของใจกลางกลางเขตแหล่งผลิตสินค้าของประเทศ ประกอบด้วยเมือง 9 เมือง ได้แก่ โฟซา,ดองกวน,ซูไฮ่,เจียงหมิน,ฮุ่ยโจว และจ้าวจิ้ง และเทียบเท่ากับเศรษฐกิจจีนเป็นจำนวน 1 ใน 10

    นอกจากนี้ โปรเจ๊คส์นี้ยังวางแผนจะแล้วเสร็จภายใน 6 ปี โดยมีการสร้างระบบสาธารณูปโภคระดับใหญ่โต 150 แห่ง ตั้งแต่ด้านการขนส่ง พลังงาน,น้ำประปา เครือข่ายโทรคมนาคม ของทั้ง 9 เมืองรวมด้วยกัน ด้วยงบประมาณใช้ 190,000 ล้านปอนด์ และมีการสร้างทางรถไฟเชื่อมระหว่างนครหลวงแห่งนี้กับฮ่องกงด้วย

    โครงการนี้ยังจะสร้างทางรถไฟเดินทางภายใน 29 เส้น มีความยาว 3,100 ไมล์ ใช้ระยะเวลาราว 1 ชม.เดินทางระหว่างศูนย์เมืองต่าง ๆ และคาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านรายจ่ายค่าโทรศัพท์ของประชาชนลง 85 %

    นอกจากนี้ จะมีการปรับปรุงและพัฒนาโรงพยาบาลและโรงเรียนหลาย ๆ แห่งด้วย ขณะที่ประชาชนในเขตนครหลวงนี้ ยังจะสามารถเลือกใช้บริการของพวกเขากับเมืองใดได้ รวมทั้งสามารถใช้อินเตอร์เนทค้นหาโรงพยาบาล หรือสถานที่อื่น ๆ ที่เหมาะสมแก่พวกเขาด้วย

    สำหรับปัญหาเรื่องมลพิษ ซึ่งถือเป็นปัญหาหลักของลุ่มแม่น้ำเพิร์ลเพราะเนื่องจากเป็นเขตอุตสาหกรรม ก็จะมีการแก้ไขภายใต้นโยบายหนึ่งเดียว และคาดว่าราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้า สามารถรวมกันเป็นหน่วยเดียวได้

    ทั้งนี้ ก่อนช่วงสิ้นศตวรรษนี้ จีนได้วางแผนจะย้ายประชากรที่แออัดไปยังเมืองต่างๆ และกำลังสร้าง"เขตเมือง"ที่สามารถรองรับประชาชนได้ราว 50 ล้าน ถึง 100 ล้านคน และสร้าง"เขตกลุ่มเมือง"ที่รองรับประชาชนจำนวน 10-25 ล้านคน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน
    </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1163
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ ชะตากรรมผู้บริโภค-แม่ค้าไทย ในวันสินค้าจีนบุก
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=center align=left>25 มกราคม 2554 18:57 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    บนพื้นที่กว่า 2 ล้านตารางเมตร ย่านบางนา กำลังเกิดอภิโครงการอย่าง ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ ที่มีมูลค่ากว่า 4.5 หมื่นล้านบาท โดยความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ที่ดูจะเป็นความภาคภูมิใจของ อลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพราะเชื่อว่าสามารถดึงเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศอย่างมหาศาล

    ทว่า การเข้ามาของอี้อูโมเดลหรือรูปแบบธุรกิจค้าส่งของจีนครั้งนี้กลับถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นไปในทำนองเดียวกันกับที่ดูไบ สเปน หรือรัสเซีย ที่ต่างก็ได้รับผลกระทบมากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่รัฐบาลของประเทศนั้นๆ จะตั้งรับอย่างไร แต่สำหรับไทยซึ่งรู้กันอยู่ว่ามาตรการรับมือมักเป็นเรื่องท้ายๆ ที่ถูกนึกถึง จึงสร้างความวิตกกังวลแก่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก และกลาง หรือเอสเอ็มอีของไทย บางรายถึงกับเชื่อว่านี่จะเป็นการทำลายตลาดในเมืองไทยเลยทีเดียว

    วิทยายุทธ์กังฟู กำลังจะคร่ามวยไทย

    จากบทเรียนเอฟทีเอหรือเขตการค้าเสรีไทย-จีน ที่เปิดประตูให้สินค้าเกษตรของจีนเข้ามาสร้างความเสียหายแก่เกษตรกรไทยถ้วนหน้า ก่อให้เกิดความวิตกกับผู้ประกอบการหลายฝ่ายที่นำเข้าสินค้าจากประเทศจีน หรือผู้ประกอบการที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์คล้ายคลึงกับสินค้าของประเทศจีน เพราะด้านราคาและคุณภาพที่ประเทศไทยอาจสูงกว่า จะทำให้ผู้บริโภคเดินหน้าสู่ ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ ที่มีกำหนดสร้างเสร็จในปี 2556 อย่างไม่มองกลับหลัง

    ด้านข้อมูลของ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สรุปได้ว่า การเข้ามาของสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ จากประเทศจีนมีทั้งเข้าสู่ประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ส่วนที่ลักลอบเข้าประเทศก็มีอัตราและปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จุดนี้เป็นเหตุที่แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดของสินค้าไทย ถือเป็นการคุกคามที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศ

    ปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้สินค้าจีนได้รับความนิยมคงหนีไม่พ้นราคาที่ถูกอย่างล่อเป้า ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ จึงเป็นแหล่งร่วมสินค้าจีนถู๊ก...ถูก ส่วนคุณภาพจะถูกหรือแพงคงเป็นเรื่องที่คนไทยต้องพิจารณาดู

    แต่อีกประการสำคัญที่ต้องใส่ใจ คือจีนอาจกำลังใช้ไทยเป็นศูนย์กลางเพื่อกระจายสินค้าไปยังยุโรป และสหรัฐฯ เพราะสินค้าจีนมีชื่อเสียงด้านลบ ทั้งเรื่องคุณภาพ และการปนเปื้อน จึงทำให้สินค้าเข้าสู่ตลาดทั้งสองแหล่งได้ยาก แต่หากไปจากไทย และติดตราว่าผลิตในไทยทั้งที่ไม่ใช่ ก็จะทำให้การส่งออกง่ายกว่า แต่อาจสร้างผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ไทยได้ในอนาคต...

    สินค้า 'จีน' มั่นใจว่าปลอดภัยแค่ไหนกัน?

    เป็นสิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดอีกประการหนึ่ง ด้านความปลอดภัยในตัวสินค้าจีนที่ผ่านมามีกรณีสารปนเปื้อนในสินค้าโดยสื่อทุกแขนงประโคมข่าวโด่งดังไปทั่วโลก อย่างกรณีนมผงปนเปื้อนเมลามีนเกือบ 200 ตัน, กรณีเครื่องสำอางปนเปื้อนสารตะกั่วในระดับอันตราย, กรณีแบตเตอรี่ปลอมคุณพต่ำที่ก่ออันตรายต่อระบบประสาท, ทางเดินหายใจ รวมถึงสินค้าคุณต่ำอื่นๆ เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ขนม ฯลฯ ที่จะก่ออันตรายแก่ผู้บริโภค ฉะนั้น ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ ย่อมหมายความว่าอาจทำให้สินค้าปนเปื้อนจำนวนมากเล็ดลอดเข้าสู่ตลาดและกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง

    เมื่อนำข้อกังวลนี้ไปสอบถาม สารี อ๋องสมหวัง ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เธออธิบายในภาพใหญ่ก่อนว่า ทิศทาง ณ ขณะนี้ บ้านเราดูจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหารที่ส่งออกมากกว่าอาหารที่คนภายในประเทศต้องบริโภค ดังนั้น การทะลักเข้ามาของสินค้าจีนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหากไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดอาจก่อปัญหา

    “พอดีเราทำโครงการอาหารปลอดภัย เป็นการพัฒนากลไกการเฝ้าระวังด้านอาหารของผู้บริโภค ซึ่งเราพบว่า อาหารที่เราตรวจ ส่วนหนึ่งเป็นอาหารที่นำเข้ามา โดยเฉพาะอาหารที่เข้ามาจากจีนก็มีปัญหา เช่น เห็ดหอมมันมีพวกยาฆ่าแมลงเป็นสารพิษตกค้างอยู่ หรือพวกส้ม เห็ดหูหนูขาว มีสารฟอกขาว แม้กระทั่งผัก ข้อมูลขององค์การอาหารและยาเองก็พบว่า ผักที่เข้ามาก็มีปัญหา”

    หรือในกรณีของเครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีน ทางมูลนิธิฯ ก็เคยได้รับการร้องเรียนว่าชำรุดหลังจากซื้อมาใช้เพียงไม่กี่วัน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ทราบว่า ผลกระทบจากสินค้าด้อยคุณภาพเหล่านี้มีมากน้อยเพียงใด

    อย่างไรก็ตาม สารี เสนอว่ารัฐจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการอุดหนุน และให้ความสำคัญในการปกป้องผู้บริโภคภายในประเทศมากกว่านี้ ขณะเดียวกัน จะต้องมีการควบคุมมาตรฐานคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด รัดกุม และบังคับใช้อย่างเคร่งครัด เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ทางด้านผู้บริโภคเองก็คงต้องอาศัยข้อมูลในการซื้อหาให้มากขึ้น แทนที่จะเน้นแต่ของราคาถูกเท่านั้น เพื่อรับมือกับคลื่นสินค้าจากแดนมังกร

    ประตูน้ำ สำเพ็ง และโบ๊เบ๊ ระส่ำ!

    รมช.พาณิชย์ คงรู้สึกว่านี่เป็นผลงานชิ้นโบแดง แต่มุมมองของผู้ประกอบการธุรกิจไทยตัวเล็กๆ หลายสาขากลับรู้สึกว่าน่าจะเป็นผลงานชิ้นโบดำมากกว่า เมื่อพิจารณาจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจีนที่มีราคาถูกกว่า ทั้งภาคเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องหนัง เครื่องสำอาง ชิ้นส่วนรถยนต์ ของเล่น ฯลฯ ทำเอาย่านธุรกิจอย่างประตูน้ำ สำเพ็ง และโบ๊เบ๊ผวา เพราะอาจถูกทุนจีนกวาดออกจากตลาด เนื่องจากไม่สามารถสู้ในเรื่องราคาที่ถูกกว่าของจีนได้

    เพียงใจ แซ่จิว เจ้าของร้านค้าขนมขบเคี้ยว ย่านพาหุรัด แสดงออกถึงความกังวลกับการเข้ามาของศูนย์การค้าขนาดใหญ่อย่าง ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ ประการแรกน่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคประเภทเดียวกัน แต่มั่นใจว่าผู้บริโภคจะดำเนินชีวิตด้วยความคุ้นเคย เลือกซื้อสินค้าจากแหล่งเดิม

    “ผลกระทบมันต้องมีแน่นอนอยู่แล้วแหละ แต่ว่าเราคงต้องดูสินค้าที่เขาจะเอามาลงว่ามีอะไรบ้าง แต่ว่าถ้าเป็นเสื้อผ้าคงไม่มีปัญหาเท่าไหร่ เพราะเสื้อผ้าที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นของไทยอยู่แล้ว ถ้าเกิดมีเกิดขึ้นจริงๆ คนเขาอาจจะไม่ไปก็ได้เพราะมันไกลนะ แล้วคนไทยเขาคงคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่า อีกอย่างถ้ามีมาเปิดก็อาจอยากให้เปิดไปที่เดียวเลยที่นั่น ไม่อยากให้ขยายสาขาเยอะแยะ เดี๋ยวมันจะไปเหมือนพวกโลตัส คาร์ฟูรไง พวกโชว์ห่วยตายหมด เพราะเขาขายไม่ได้”

    สินค้าหลายประเภทผู้ประกอบการของไทยก็นำเข้ามาจากประเทศจีนโดยตรง ด้านผู้ประกอบการรายย่อยอย่าง สมศรี แซ่วุ่น เจ้าของร้านเซรามิก ย่านสำเพ็ง มองว่า ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของตนและพื้นที่ค้าขายย่านสำเพ็งอย่างหนักเช่นกัน แต่เห็นช่องทางที่โครงการนี้เสนอต่อผู้ประกอบการรายย่อยโดยคำเชื้อเชิญให้ไปจำหน่ายสินค้าที่ ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์

    “ขายที่สำเพ็งมา 10 ปีแล้ว ได้ข่าวเหมือนกันว่าเขาจะมีมาเปิดที่นี่ เพราะมีโบว์ชัวมาแจกให้ไปลงจองพื้นที่ แต่คงไม่ไปหรอก ยังอยากขายที่นี่มากกว่า มันมีผลกระทบทั้งหมดแหละ เพราะร้านแถวนี้ก็ไปรับจากจีนมาขายเหมือนๆกัน ขนาดแค่ยังไม่เปิดที่ผ่านมาก็ขายไม่ค่อยดี ถ้าเขามาเปิดคนก็คงไปซื้อตรงที่นู้นเพราะมันถูกกว่าแน่นอน”

    ซึ่งช่องทางหนึ่งที่ผู้ประกอบการรายย่อยจะอยู่ได้ อาจต้องสละทำเลร้านจากที่เดิมๆ แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ สมศรี กล่าวว่า การไหลเข้ามาของคนเชื้อสายจีนเพิ่มขึ้น ด้านคู่ค้าในบริเวณเดียวกันก็เป็นชาวจีนเสียส่วนใหญ่ และจำหน่ายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่า แต่มองเห็นต่างว่าสินค้าจากจีนมีคุณภาพและราคาถูก

    “ตอนนี้ย่านนี้คนจีนเข้ามาขายเองเยอะมาก และเขาจะขายถูกกว่า เห็นเขาว่ารัฐบาลที่จีนให้เงินกู้ เพื่อมาขายของที่นี่ ถึงเวลาเขาก็เอาเงินไปคืน แต่ถ้าเขาไม่อยากขายก็แค่ขายเอาแค่ทุนคืนพอ อย่างที่ร้านตอนแรกเป็นสินค้าที่สั่งทำจากไทย แต่มันไม่ดี เหมือนของมันคุณภาพไม่ดี เทียบกับของจีนไม่ได้เลย ก็เลยบินไปสั่งทำที่นู้น ไปเลือกสินค้าว่าจะเอาไรมาขายบ้าง แล้วบินเอากลับมา อีกอย่างของที่นู้นถูกกว่า และสวยกว่าที่ไทยด้วย”

    อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของอภิโครงการอย่าง ‘ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์’ น่าจะทำให้หลายฝ่ายกังวลมากกว่าโล่งใจ แต่ถ้าจะปิดกั้นคงลำบาก เพราะมีข้อตกลงด้านการค้าเสรีร่วมกันระหว่างไทย-จีน คราวนี้คงเป็นโจทย์ให้ผู้ประกอบการไทยพิจารณาถึงคุณภาพสินค้า ราคา และบริการของตน เพื่อความอยู่รอดของภาคธุรกิจสืบไป...

    >>>>>>>>>
    เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
    ภาพ : ธนารักษ์ คุณทน
    Daily News - Manager Online - 䪹
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โอบามาแถลงนโยบายประจำปี เสนอลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ-พร้อมร่วมงานรีพับลิกัน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>26 มกราคม 2554 10:20 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ กล่าวแถลงนโยบายประจำปี 2011

    เอเอฟพี/เอเจนซี - ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ แถลงนโยบายประจำปีต่อสภาคองเกรส หรือสเตท ออฟ เดอะ ยูเนียน โดยเสนอการปรับลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ และเน้นการลงทุนเพื่อการสร้างงาน พร้อมกับยืนยันว่าสามารถทำงานร่วมกับพรรครีพับลิกันที่ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ได้

    ประธานาธิบดีโอบามาแถลงนโยบายประจำปี ซึ่งประชาชนหวังให้พรรคเดโมแครต และรีพับลิกันรับผิดชอบการบริหารงานร่วมกัน โดยยื่นข้อเสนอที่จะจำกัดค่าใช้จ่ายภายในประเทศเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งเขาระบุว่าสามารถลดการขาดดุลงบประมาณได้ถึง 400,000 ล้านดอลลาร์ในเวลา 10 ปี

    อย่างไรก็ตาม การะงับค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะไม่นำไปใช้กับบางโครงการ เช่น ประกันสังคม และโครงการประกันสุขภาพของรัฐ ซึ่งเป็นหัวใจของปัญหาขาดดุลในอเมริกา ตามความประสงค์ของพรรครีพับลิกัน

    "เราจะเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน หรือไม่ไปไหนกันทั้งหมด ปัญหาที่เราเผชิญอยู่นั้นใหญ่กว่าพรรค และใหญ่กว่าการเมือง" เขากล่าว

    โอบามาเรียกร้องให้มีการสร้างงาน "สปุตนิก โมเมนต์" ซึ่งป้อนโดยการลงทุนใหม่ๆ ในการวิจัย และการศึกษา เช่นเดียวกับช่วงการแข่งขันทางอวกาศในปี 1950

    เขาบอกกับชาวอเมริกันว่าระเบียบเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไปแล้ว พร้อมกับเรียกร้องให้มีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อต่อสู้กับการท้าทายจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างอินเดีย และจีน

    "ใช้ โลกเปลี่ยนไปแล้ว การแย่งชิงงานเป็นเรื่องจริง แต่นั่นไม่ควรทำให้เราท้อแท้ มันควรท้าทายเรา" ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว

    นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังเรียกร้องให้มีการอุดช่องโหว่ทางภาษี และใช้เงินสะสมเพื่อลดอัตราภาษีอากรเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี ขณะที่รีพับลิกันต้องการให้อัตราภาษีลดลง แต่ไม่ตั้งใจให้ลดช่องว่างทางภาษี
    [​IMG]

    การแถลงนโยบายต่อสภาคองเกรสของผู้นำสหรัฐฯ

    โอบามายังใช้การแถลงนโยบายประจำปีของเขาบอกกับชาวอเมริกันถึงความคืบหน้าในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ทั้งสงครามในอัฟกานิสถาน และอิรัก การฟื้นสัมพันธ์กับรัสเซีย กระชับสัมพันธ์กับอินเดีย และการควบคุมการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลก

    ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า ในปีนี้ถึงกำหนดที่จะสิ้นสุดการส่งทหารอเมริกันไปยังอิรักด้วยความเชิดหน้าชูตา และย้ำแผนการเริ่มถอนทหาร 97,000 นายออกจากอัฟกานิสถานในเดือนกรกฎาคมนี้ แม้จะยังคงมีภัยคุกคามจากอัลกออิดะห์อยู่

    เขายังประกาศว่า สหรัฐฯ มีหน้าที่ในการลดภัยคุกคามจากนิวเคลียร์ เป็นการส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการลดแรงกดดันต่อเกาหลีเหนือ และอิหร่าน แม้จะมีความพยายามให้ทั้งสองประเทศร่วมเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ก็ตาม

    ขณะที่โอบามาเร่งเร้าสภาคองเกรสให้ผ่านข้อตกลงการค้าเสรีกับเกาหลีใต้โดยเร็วที่สุด หลังจากการเจรจาต่อรองครั้งล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเริ่มมีการแสดงความกังวลในอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ แล้ว

    Around the World - Manager Online -
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รมต.คลินตันออกโรงหนุน ปธน.เม็กซิโก “ล้างบาง” แก๊งค้ายา
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>25 มกราคม 2554 18:07 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ฮิลลารี คลินตัน (ซ้าย) และแพตทริเซีย เอสปิโนซา (ขวา) แถลงข่าวร่วมกัน หลังเสร็จสิ้นการหารือ ณ เมืองกวานาวาโต เม็กซิโก

    เอเอฟพี - รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฮิลลารี คลินตัน ประกาศสนับสนุนเต็มที่กับแผนปราบปรามแก๊งยาเสพติดด้วยวิธีตาต่อตาฟันต่อฟันของประธานาธิบดี เฟลิเป กัลเดรอน ผู้นำเม็กซิโก วานนี้ (24) โดยระบุว่า การกวาดล้างขั้นเด็ดขาด “เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง”
    [​IMG]
    แพตทริเซีย เอสปิโนซา รัฐมนตรีต่างประเทศเม็กซิโก

    ทั้งนี้ มีสมาชิกแก๊งค้ายาเสพติดถูกสังหารมากกว่า 34,600 คน ตั้งแต่ประธานาธิบดี กัลเดรอนสั่งกำลังทหารหลายพันคนเข้าประจำการ เพื่อล้างบางแก๊งอาชญากรรมเมื่อปี 2006 ท่ามกลางข้อกล่าวหาที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว กรณีเจ้าหน้าที่ทหารใช้อำนาจหน้าที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

    “สิ่งที่ประธานาธิบดี กัลเดรอน ทำเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง” คลินตัน กล่าวในการแถลงข่าว ณ เมืองกวานาวาโต รัฐกวานาวาโต พร้อมด้วยแพตทริเซีย เอสปิโนซา รัฐมนตรีต่างประเทศเม็กซิโก เธอระบุว่า “พวกแก๊งค้ายาไม่มีทางยอมแพ้แต่โดยดี”

    อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีคลินตัน ก็ยอมรับว่า รัฐบาลภายใต้การนำของกัลเดรอนยังคงต้องถูกตรวจสอบ เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการปฏิรูประบบศาลยุติธรรม ทว่า เธอได้ยกย่อง “ความคืบหน้า” ในการแก้ปัญหายาเสพติด การพบกันระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และเม็กซิโก ในเมืองกวานาวาโตครั้งนี้มีจุดประสงค์ เพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศบ้านพี่เมืองน้อง

    แม้มีการจับตัวหรือวิสามัญฆาตกรรมหัวหน้าแก๊งรายใหญ่จำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทว่ายังคงมีข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงจากสงครามยาเสพติดเกิดขึ้นรายวัน โดยตั้งแต่วันอาทิตย์ (23) มีอย่างน้อย 30 ชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับยาเสพติด รวมทั้งเกิดเหตุยิงนักฟุตบอลเสียชีวิต 7 คนระหว่างการแข่งขันในเมืองชิวดัดฮัวเรซ ใกล้กับชายแดนสหรัฐฯ

    [​IMG]

    ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ

    เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายซึ่งสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจไป 1 รายทางตอนกลางของเม็กซิโก และวัยรุ่นได้รับบาดเจ็บอีก 3 รายจากลูกระเบิดมือในเมืองมอนเตร์เรย์ ทางตอนเหนือ

    เจ้าหน้าที่เม็กซิโกสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ร่วมมือกันปราบปรามแก๊งยาเสพติดมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทว่า เอกสารที่วิกิลีกส์นำออกมาเผยแพร่ได้สร้างความตึงเครียดให้เกิดขึ้นระหว่างทั้ง 2 ประเทศ โดยข้อมูลดังกล่าวระบุว่า นักการทูตสหรัฐฯ รายหนึ่งได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของกองทัพเม็กซิโกในการเอาชนะแก๊งค้ายาเสพติด นอกจากนี้ เมื่อวันอาทิตย์ หนังสือพิมพ์เอลพาอิสของสเปน ได้เผยแพร่เอกสารทูตสหรัฐฯ ซึ่งระบุถึงความกังวลกรณีชายแดนเม็กซิโก-สหรัฐฯ ซึ่งสามารถลักลอบเข้า-ออกง่ายดาย

    สหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่สำหรับแก๊งค้ายาเสพติดเม็กซิโก ส่วนเม็กซิโกเองก็เป็นแหล่งทำกำไรมหาศาลของพ่อค้าอาวุธในสหรัฐฯ

    สงครามยาเสพติดคร่าชีวิตผู้คนในเม็กซิโกไป 15,273 คน ในปี 2010 ทำให้ปีที่ผ่านมาเป็น 365 วันที่มีผู้เสียชีวิตจากสงครามยาเสพติดมากที่สุด นับตั้งแต่ประธานาธิบดีกัลเดรอนเข้ารับตำแหน่ง

    กลุ่มฮิวแมนไรท์วอตช์ออกมาประณามสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนของกองกำลังความมั่นคงเม็กซิโกว่า เข้า “ขั้นวิกฤต” แล้ว
    Around the World - Manager Online -
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โสมขาวกำหนดวันเจรจาทางการทหารกับโสมแดงเดือนหน้า
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>26 มกราคม 2554 09:06 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ทหารโสมแดงในบริเวณหมู่บ้านปันมอนจมทางเหนือ ซึ่งถือเป็นเขตสงบศึก

    เอเอฟพี - เกาหลีใต้เสนอจัดการเจรจาด้านการทหารในระดับคณะทำงานกับเกาหลีเหนือในเดือนหน้า โดยจะถือเป็นการหารือกันครั้งแรกนับตั้งแต่โสมแดงยิงถล่มเกาะชายแดนโสมขาวอย่างรุนแรงในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

    กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ส่งข้อความถึงรัฐบาลเกาหลีเหนือ โดยระบุว่าการเจรจาหารือดังกล่าวจะมีขึ้นในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่หมู่บ้านปันมอนจม บริเวณชายแดน

    การประชุมดังกล่าวมีเป้าหมายที่การกำหนดเวลา สถานที่ และวาระสำหรับการเจรจาในระดับที่สูงกว่า โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าจะจัดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูง เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างประเทศตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

    สำหรับการเจรจาที่ปันมอนจมนั้นจะเป็นการพบปะกันครั้งแรกนับตั้งแต่เปียงยางระดมยิงถล่มเกาะยอนพยองของโสมขาวเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน คร่าชีวิตพลเรือน และเจ้าหน้าที่รวม 4 ราย อันเป็นเหตุให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ขณะที่ถ้อยแถลงของกระทรวงรวมชาติของโซลยังได้เร่งเร้าให้เปียงยางยินยอมจัดการเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์แยกออกไปต่างหากด้วย

    โฆษกรายหนึ่งของกระทรวงชี้ว่า การเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์เป็นเรื่องจำเป็นในการพิสูจน์ความตั้งใจของเปียงยางที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์ สร้างสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี และพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง 2 เกาหลี

    Around the World - Manager Online -
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จนท.จีนระบุสหรัฐฯยังจะ 'ไร้เทียมทาน'ไปอีก20ปี
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>26 มกราคม 2554 03:00 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เอเจนซี - เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านวางนโยบายของจีน ระบุสหรัฐฯจะยังสามารถรักษาฐานะเป็นผู้ครอบงำโลกอย่างชนิดไร้ผู้ท้าทาย ไปได้อีกอย่างน้อย 20 ปี ดังนั้นแดนมังกรจึงควรพยายามดำเนินนโยบายที่มีทั้งด้านการยืนกรานรักษาสิทธิ์ และทั้งด้านการยับยั้งชั่งใจอย่างสมดุลกัน

    เล่อ อี๋ว์เฉิง อธิบดีกรมวางแผนนโยบาย กระทรวงการต่างประเทศจีน แสดงความคิดเห็นเช่นนี้ตั้งแต่ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ของจีนจะไปเยือนสหรัฐฯในสัปดาห์ที่แล้ว และก็ดูจะเป็นการสะท้อนความคิดเห็นซึ่งอยู่เบื้องหลังความพยายามตลอดการเยือนสหรัฐฯ 4 วันของประมุขแดนมังกร ซึ่งทั้งมุ่งทำให้วอชิงตันกลับมีความมั่นใจในสายสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายขึ้นมาใหม่ ขณะเดียวกันก็ผลักดันข้อเรียกร้องข้อเสนอของปักกิ่งไปด้วย

    จุดเลวร้ายที่สุดของวิกฤตการเงินระดับโลกคราวนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทว่าผลพวงอาฟเตอร์ช็อกของมันยังคงแสดงฤทธิ์เดชกระทบกระเทือนพวกเศรษฐกิจมั่งคั่งร่ำรวยทั้งหหลาย และกำลังเร่งรัดกระบวนการ “การถ่ายโอนครั้งประวัติศาสตร์ในดุลแห่งอำนาจระหว่างประเทศ” เล่อกล่าวเช่นนี้ในบทความของเขาซึ่งตีพิมพ์อยู่ในวารสาร “กิจการต่างประเทศปริทัศน์” (Foreign Affairs Review) ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ภาษาจีนที่ดูแลโดยกระทรวงการต่างประเทศ

    อย่างไรก็ดี จีนจะต้องไม่ทักทักว่า สหรัฐฯกำลังบาดเจ็บหนักจนอยู่ในภาวะเสื่อมทรุดตกต่ำชนิดไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้ว หรือว่าสหรัฐฯกับจีนกำลังจะกลายเป็นมหาอำนาจที่ใกล้ทัดเทียมกันในเร็วๆ นี้แล้ว เล่อเขียนไว้ในบทความซึ่งตีพิมพ์ในวารสารฉบับที่เพิ่งส่งถึงสมาชิกผู้บอกรับในต้นสัปดาห์นี้ แม้ตัววารสารจะระบุว่าเป็นฉบับของปลายเดือนธันวาคม 2010

    “จากการที่พวกมหาอำนาจตลาดเกิดใหม่กำลังเติบโตด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนแบ่งเค้กของสหรัฐฯก็กำลังยิ่งหดตัวลงโดยเปรียบเทียบ และดังนั้นข้อเท็จจริงจึงมีอยู่ว่าการได้เปรียบของวอชิงตังกำลังหดเล็กลงเรื่อยๆ” เล่อเขียนไว้เช่นนี้

    “แต่สหรัฐฯถึงอย่างไรก็เป็นสหรัฐฯ สหรัฐฯยังคงเป็นผู้สร้างผลผลิตประมาณหนึ่งในสี่ของเศรษฐกิจโลก, เป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งอย่างชนิดไร้เทียมทานทั้งด้านการทหาร, วิทยาศาสตร์, และนวัตกรรม, และเราก็จะต้องไม่ดูเบาประเมินต่ำเกี่ยวกับความสามารถของสหรัฐฯที่จะปรับตัวและฟื้นฟูอำนาจของตนขึ้นมาใหม่”

    “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความแข็งแกร่งและอิทธิพลของสหรัฐฯจะยังคงก้าวนำล้ำหน้าไปไกล และจะยังไม่มีใครมาเทียบได้ภายในระยะเวลา 20 ถึง 30 ปีข้างหน้า”

    ความคิดเห็นบางส่วนของอธิบดีกรมวางแผนนโยบายการต่างประเทศของจีนผู้นี้ เคยตีพิมพ์เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วในโกลบอลไทมส์ หนังสือพิมพ์ในเครือเหรินหมินรึเป้า ที่เป็นกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และทางวารสาร ฟอเรนจ์ แอฟแฟร์ รีวิว ก็บอกว่า บทความชิ้นนี้ของเขาเขียนขึ้นโดยดึงเอาหลายๆ ส่วนมาจากรายงานอย่างเป็นทางการหลายๆ ชิ้นในระยะหลังๆ มานี้ของเขา ในเรื่องว่าด้วยพัฒนาการระหว่างประเทศ

    เล่อกล่าวย้ำในบทความว่า ขณะที่จีนกำลังก้าวผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจ ปักกิ่งก็ไม่ได้ต้องการเลือกอย่างชัดเจนว่า ตนเองเป็นเพื่อนฝูงหรือเป็นคู่แข่งขันท้าทายของสหรัฐฯตลอดจนชาติตะวันตกก้าวหน้าอื่นๆ ทั้งนี้น่าสังเกตว่าท่าทีการแสดงความคิดเห็นในช่วงหลังๆ นี้ของกระทรวงการต่างประเทศจีนก็ดำเนินอยู่ในแนวทางเช่นนี้เหมือนกัน

    ในบทความที่ หยาง เจี๋ยฉือ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เขียนเอาไว้ในวารสารภาษาจีน “การระหว่างประเทศศึกษา” (International Studies) ซี่งส่งถึงสมาชิกผู้บอกรับในวันจันทร์(24) เช่นเดียวกัน ได้เขียนเอาไว้ว่า “สถานการณ์ระหว่างประเทศกำลังเกิดการปรับตัวอย่างกว้างไกลมากสืบเนื่องจากวิกฤตการเงินคราวนี้”

    “ทว่าบรรดาประเทศกำลังพัฒนายังจะต้องเผชิญกับความยากลำบากและอุปสรรคสิ่งท้าทายจำนวนมาก” เขาเขียนไว้เช่นนี้

    ในปี 2010 จีนบังเกิดข้อพิพาทบาดหมางกับหลายๆ ประเทศอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เป็นต้นว่า การที่สหรัฐฯประกาศขายอาวุธให้ไต้วัน, ข้อพิพาทด้านดินแดนกับญี่ปุ่น, ประเด็นปัญหาเรื่องเกาหลีเหนือ, ตลอดจนการที่สหรัฐฯจัดการซ้อมรบในบริเวณใกล้น่านน้ำของจีน ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้เจ้าหน้าที่ด้านการต่างประเทศปั่นป่วนสับสน และพวกนักวิเคราะห์ได้ออกมากล่าวเตือนภัยว่า ปักกิ่งกำลังจะหันไปใช้นโยบายที่แข็งกร้าวมากขึ้น

    บทความของเล่อได้ปฏิเสธคำเตือนภัยเหล่านี้ แต่ก็ระบุว่าจีนไม่ควรยินยอมให้ถูกผลักไสไปไหนต่อไหนตามชอบใจ

    Around the World - Manager Online -
     

แชร์หน้านี้

Loading...