เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [FONT=&quot]สงครามอิรักเป้าหมายคือน้ำมัน(จบ)[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อเร็วๆนี้นายแอแลน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่ายุคแห่งความโกลาหล ([/FONT][FONT=&quot]The Age of Turbulence[/FONT][FONT=&quot]) ในเนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่าสงครามอิรักเป้าหมายคือน้ำมัน [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] แต่หลายคนในภาครัฐบาลอเมริกันออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่เรื่องของน้ำมัน นายพลคอลลิน [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]พาวเวลล์ รัฐมนตรีต่างประเทศของจอร์จ บุช กล่าวว่า[/FONT][FONT=&quot]”สงคราามอิรักไม่ใช่เรื่องน้ำมันแต่เป็นเรื่องของเผด็จการทรราช ดอนัลด์ รัมสเฟล อดีตรมว.กลาโหมระบุว่า”ไม่ใช่เรื่องน้ำมันและไม่ใช่เรื่องศาสนา”[/FONT]
    [FONT=&quot] พอล บรีมเมอร์ ยอมรับว่าได้ยินเรื่องกล่าวหานี้แต่ไม่ใช่ หลายต่อหลายคนออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่เรื่องน้ำมัน แม้กระทั่งนายปีเตอร์ คอสเทลโล รมว.คลังของออสเตรเลียก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องน้ำมัน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] แต่ทุกคนต้องเงียบเมื่อ แอแลน กรีนสแปน ออกมาเขียนว่า[/FONT][FONT=&quot]”ผมรู้สึกเศร้าใจเรื่องของการเมือง ผมเองก็ไม่ค่อยจะสะดวกใจนักที่จะแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า สงครามอิรักในที่สุดแล้วก็คือเรื่องน้ำมัน”[/FONT]
    [FONT=&quot] หลักฐานเบื้องต้นที่ทราบว่าฝ่ายบริหารจอร์จ บุช สนใจน้ำมันอิรักเริ่มจาก นายพอล โอนีล รมว.คลัง(ปี 2001-2003)และฟาเลาะห์ อัล-จิบูรี([/FONT][FONT=&quot]Falah[/FONT][FONT=&quot] Al-Jibury[/FONT][FONT=&quot])ที่ปรึกษาฝ่ายน้ำมันอิรัก[/FONT][FONT=&quot]-อเมริกันและดิลิป ฮีโร นักวิเคราะห์ได้ถกเถียงกัน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ข้อความที่ถกเถียงกันนี้นำมาจากบันทึกความทรงจำของพอล โอนีล หัวข้อแรกที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ([/FONT][FONT=&quot]the[/FONT][FONT=&quot] National Security Council[/FONT][FONT=&quot])นำเสนอต่อ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]จอร์จ บุช เมื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีคือ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]อีรัก เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2001 หรือก่อนจะเกิดเหตุการณ์ 9/11 ถึง 7 เดือน การประชุมของ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]NSC[/FONT][FONT=&quot] วันที่ 1 กุมภาพันธ์จึงเป็นเรื่องหัวข้อประเทศอิรัก[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เอกสารที่เตรียมเสนอต่อที่ประชุมสมาชิกสภาความมั่นคง(รวมทั้งมอบให้กับพอล โอนีล)ได้เตรียมโดยสำนักข่าวกรองด้านกลาโหม ([/FONT][FONT=&quot] the Defense Intelligence Agency =DIA)[/FONT][FONT=&quot] โดยมีการปักธงตามบ่อน้ำมันและเขตการสำรวจน้ำมันในอิรัก รวมถึงรายชื่อของบริษัทน้ำมันอเมริกันที่สนใจอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในอิรัก [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] เอกสารต่อไปของ [/FONT][FONT=&quot]DIA [/FONT][FONT=&quot] มีหัวข้อว่า[/FONT][FONT=&quot]”บริษัทต่างประเทศที่เหมาะสมกับการทำสัญญาในบ่อน้ำมันอิรัก” จากนั้นก็มีรายชื่อบริษัทจากฝรั่งเศส,เยอรมนี,รัสเซียและอังกฤษ ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทเหล่านี้มีความเหมาะสมเพราะเคยเข้าร่วมในการประมูลมา แล้ว ในแผนที่ยังระบุด้วยว่าแหล่งใดคือ”บ่อน้ำมันขนาดยักษ์,บ่อน้ำมันอื่นและการแบ่งปันด้านการผลิต”[/FONT]
    [FONT=&quot]นอกจากนี้ยังมีแผนที่แหล่งน้ำมันที่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมาใช้ในอิรักอีก 9 บ่ออยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอิรักซึ่งเป็นแหล่งที่จะต้องทำการสำรวจต่อไป [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] นายอัล-จิบูรี เปิดเผยเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2005 ในรายการโทรทัศน์ของบีบีซีชื่อ [/FONT][FONT=&quot]Newsnight[/FONT][FONT=&quot] ว่าภายในสัปดาห์เดียวที่จอร์จ[/FONT][FONT=&quot] บุช เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เขามีโอกาสเข้าร่วมประชุมลับครั้งนี้ [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] เดือนมกราคม 2003 แผนการเข้าควบคุมบ่อน้ำมันร่างขึ้นมาโดยกระทรวงต่างประเทศสหรัฐและภายใต้การแนะนำของ เอมมี่ มีเยอร์ แจ๊ฟเฟ แห่งสถาบัน[/FONT][FONT=&quot]the[/FONT][FONT=&quot] James A. Baker III Institute for Public Policy[/FONT][FONT=&quot] มหาวิทยาลัยไรซ์ คำแนะนำระบุว่าจะต้องคงไว้ซึ่งบริษัท[/FONT][FONT=&quot] Iraq National Oil Company[/FONT][FONT=&quot] ซึ่งตั้งมาตั้งแต่ปี 1961 [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แต่จะเปิดทางให้บริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนหลังจากรัฐบาลอเมริกันอนุมัติให้จัดตั้งผู้จัดการซึ่งเป็นคนอิรักทำหน้าที่ดูแลฟื้นฟู[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]สาธารณูปโภคพื้นฐานของน้ำมันที่ถูกทำลายโดยสงคราม เรื่องนี้มีการรายงานไว้ในหนังสือพิมพ์[/FONT][FONT=&quot] the Wall Street Journal [/FONT][FONT=&quot]ฉบับวันที่ 3 มีนาคม 2003 [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] จากรายงานของบีบีซีโดยไม่ทราบเหตุผลกลใด กลุ่มที่มีอิทธิพลในกระทรวงกลาโหมสหรัฐนำแผนการณ์นี้กลับไปทำเอง โดยต้องการขายบ่อน้ำมันอิรักทั้งหมดให้กับบริษัทเอกชนเพื่อจะได้เพิ่มการ ผลิตหรือโควต้าที่กลุ่มโอเปคให้ผลิตส่งออก การเพิ่มผลิตจะทำให้กลุ่มโอเปคอ่อนกำลังลงและจากนั้นจะสามารถสลายกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมัน([/FONT][FONT=&quot]OPEC[/FONT][FONT=&quot])ลงได้[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2002 นสพ.นิวยอร์ก ไทมส์รายงานว่ากระทรวงกลาโหมสหัฐมีแผนการที่จะยึดครองบ่อน้ำมันอิรัก และวันที่ 30 ตุลาคม องค์กรสากลแก๊สและน้ำมัน([/FONT][FONT=&quot]Oil and Gas International )ระบุว่าฝ่ายบริหารจอร์จ[/FONT][FONT=&quot] บุช ต้องการจัดตั้งคณะทำงานระหว่าง 12-20 คน เพื่อ 1.ให้คำแนะนำในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมน้ำมันอิรัก เพื่อจะได้ส่งออกน้ำมันและนำเงินส่วนหนึ่งมาช่วยเหลือกองทัพอเมริกันที่คุ้มครองรัฐบาลอิรักอยู่ 2.พิจารณาการเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มโอเปค และ 3.พิจารณาว่าซัดดัม ฮุสเซน ได้ให้สัญญาเป็นการพิเศษแก่บริษัทน้ำมันที่ไม่ใช่บริษัทอเมริกันหรือไม่[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ปลายเดือนตุลาคม 2002 มูรีน ดาวด์ คอลัมนิสต์ของนิวยอร์กไทมส์เปิดเผยถึงแผนการของบริษัทฮอลลิเบอร์ตัน([/FONT][FONT=&quot] Halliburton[/FONT][FONT=&quot])บริษัทบริการด้านพลังงาน[/FONT][FONT=&quot] ซึ่งรองประธานาธิบดีดิ๊ก เชนีย์ เคย เป็นประธานได้เสนอเอกสาร 500 หน้ากระดาษ(ความลับ)ว่าภายหลังจากเข้าบุกกวาดล้างและยึดครองอิรักแล้วจะ รับมือกับอุตสาหกรรมน้ำมันอิรักอย่างไร[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]มูรีน ดาวด์ เขียนให้ความเห็นไว้ว่า[/FONT][FONT=&quot]”แผนการ(โดยฮอลลิเบอร์ตัน)ได้เขียนขึ้นมาหลายเดือน ก่อนที่จะบุกอิรัก จากนั้นบริษัทก็ไม่ต้องประมูลรับงาน แถมบริษัทนี้ยังเบิกเงินเกิน([/FONT][FONT=&quot]overbill[/FONT][FONT=&quot])จากรัฐบาลสหรัฐอีกด้วย [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกวันนี้ผู้คนยังมองภาพภายหลังจากอเมริกันบุกยึดอิรัก โดยสงสัยว่าทำไมทหารอเมริกันจึงเข้าปกป้องกระทรวงน้ำมันและกระทรวงมหาดไทยของอิรักอย่างเข้มแข็ง แต่ตึกอื่นๆแม้กระทั่งพิพิธภัฑณ์สถานแห่งชาติกลับปล่อยให้คนบุกเข้าไปฉกฉวยเอาทรัพย์สินต่างๆอย่างง่ายดาย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] กฎหมายน้ำมัน ซึ่งจะทำหน้าที่ดูแลน้ำมันว่าจะมีการจัดการและพัฒนาอย่างไร เป็นหนึ่งในหลายร่างกฎหมายที่ฝ่ายบริหารจอร์จ บุช กดดันอิรักให้ดำเนินการ แต่อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรไหวติงจนกระทั่งถึงทุกวันนี้[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ที่สำคัญรัฐบาลอเมริกันก็กำลังฮึ่มๆที่จะเล่นงานอิหร่านอีกประเทศเพราะยังมีน้ำมันอีกหลายบ่อในประเทศนี้ จึงสรุปได้ว่าสิ่งที่อเมริกันทำสงครามในอิรักและประเทศอื่นๆก็คือผลประโยชน์ด้านน้ำมัน [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot](จาก [/FONT][FONT=&quot]The [/FONT][FONT=&quot]Middle East[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot] Daily[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]โดย [/FONT][FONT=&quot]Syed[/FONT][FONT=&quot] Rashid Husain [/FONT][FONT=&quot] ฉบับวันที่ 5 ตุลาคม 2007 )

    Apacnews.net
    [/FONT]
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    European Crisis.......Update

    [FONT=&quot]" ITALY " ..... It's your turn!!!
    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/KY7K6150ozk&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/KY7K6150ozk&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>
    [/FONT]


    โพสต์โดย What's going on in America
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อิตาลีประท้วง"เบอร์ลุสโคนี"

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    วันที่ 14 ธันวาคม 2553


    [​IMG]


    โรม - ตำรวจอิตาลียิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ที่ต่อต้านนายกฯ "เบอร์ลุสโคนี" ขณะสภาลงคะแนนไว้วางใจนายกฯเฉียดฉิว


    ตำรวจอิตาลีใช้ แก๊สน้ำตากับกลุ่มผู้ประท้วงร่วมพัน ที่ชุมนุมหน้าวุฒิสภาใจกลางกรุงโรม พร้อมขว้างปาขวดน้ำ ประทัด และสี เพื่อแสดงความไม่พอใจการบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีซิลวิโอ เบอร์ลุสโคนี ขณะที่สภาลงคะแนนไว้วางใจรัฐบาลของเบอร์ลุสโคนี ผู้จัดการชุมนุมประเมินว่าผู้ประท้วงในกรุงโรมน่าจะมีจำนวนประมาณแสนคน ส่วนในเมืองอื่นก็มีผู้ประท้วงเข้าร่วมหลายพันคน รวมถึงในเมืองมิลานที่ผู้ประท้วงบุกเข้าไปในอาคารตลาดหุ้นเป็นเวลาสั้นๆ วัยรุ่นคนหนึ่งกล่าวว่าหวังว่ารัฐบาลจะล่มในวันนี้ เพราะเป็นรัฐบาลที่ไม่ดีสำหรับคนหนุ่มสาว และไม่คิดเรื่องอนาคตเลย ผู้ที่ออกมาประท้วงประกอบด้วยนักศึกษาจำนวนมาก ที่รายหนึ่งวิจารณ์ว่าการเขียนรายการสิ่งที่เบอร์ลุสโคนีทำผิด คงยาวมาก แต่พื้นฐานคือเขาไม่ได้รับมือวิกฤตเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ชีวิตส่วนตัวของเขาอย่างเรื่องอื้อฉาวทางเพศ ก็ดึงความสนใจเขาไปจากการบริหารประเทศ
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อัตราการว่างงานอังกฤษพุ่งถึง 2.5 ล้านคน
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 ธันวาคม 2553
    [​IMG]
    กราฟอัตราการว่างงานของคนอังกฤษ ปี 2008 - 10
    เอเอฟพี - จำนวนผู้ว่างงานในอังกฤษพุ่งถึงจำนวน 2.5 ล้านคน ข้อมูลจากทางการเปิดเผยออกมาวันนี้ (15) ทั้งนี้ คาดกันว่า เศรษฐกิจเมืองผู้ดีจะมืดมัวยิ่งขึ้น อันเป็นผลจากมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล

    ยอดรวมผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 35,000 คน ในเดือนสิงหาคม-ตุลาคม จนแตะระดับ 2.5 ล้านคน สํานักสถิติแห่งชาติอังกฤษ ระบุในคำแถลง นับเป็นการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ว่างงานครั้งแรกในรอบ 6 เดือน

    สํานักสถิติแห่งชาติอังกฤษ เสริมว่า มีอัตราผู้ว่างงาน 7.9 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ทั้งๆ ที่ช่วง กรกฎาคม-กันยายน มีอัตราผู้ว่างงานเพียง 7.7 เปอร์เซ็นต์

    อย่างไรก็ตาม จำนวนคนลงทะเบียนอ้างสิทธิผู้ว่างงานกลับลดลง 1,200 คน เมื่อเดือนที่แล้ว เหลือ 1.46 ล้านคน

    “ผลรวมจำนวนตัวเลขในปัจจุบันเป็นเครื่องชี้วัด ว่า ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากในการกู้วิกฤตตลาดแรงงาน แม้ว่าเมื่อช่วงต้นปีจะมีแนวโน้มที่ดีก็ตาม” ชาร์ลส์ เดวิส นักเศรษฐศาสตร์ จาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าว

    เขาเสริมว่า “แม้ว่าการจ้างงานในภาคส่วนของเอกชน น่าจะเติบโตขึ้นในปี 2011 แต่การจ้างงานในภาครัฐ คงไม่กระเตื้อง ดังนั้น เราคาด ว่า อัตราการว่างงานจะสูงกว่า 8 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2011”

    อังกฤษกำลังตัดทอนรายจ่ายของภาครัฐ และเพิ่มอัตรการจัดเก็บภาษี ตามแผนการปรับสมดุลงบประมาณ

    สำนักเพื่อความรับผิดชอบต่องบประมาณ องค์กรอิสระของรัฐบาล คาดการณ์ว่า จะมีคนถูกภาครัฐบอกเลิกจ้างประมาณ 330,000 ตำแหน่ง ในอีก 4 ปีข้างหน้า เป็นผลมาจากมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล
    Around the World - Manager Online -
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปรากฏการณ์ตื่นทองคำของคนไทยในยุคปัจจุบัน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ชวินทร์ ลีนะบรรจง, สุวินัย ภรณวลัย</TD><TD class=date vAlign=center align=left>15 ธันวาคม 2553 15:40 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    “กูรู้” ทั้งหลายบอกว่าไม่ได้แล้ว ทุกท่านต้องมีทองคำเก็บเอาไว้เพราะราคาจะพุ่งไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เห็นไหมว่าจาก 12,000 เป็น 15,000 จนกลายมาเป็น 20,000 บาท

    “กูไม่รู้” จึงอยากจะเตือนว่าการตื่นทองคำด้วยการเก็งกำไรของคนไทยในยุคปัจจุบันนั้นล่อแหลมขนาดไหน

    ในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า คนไทยเข้าสู่ยุคตื่นทองคำหรือGold Rush มากกว่ายุคสมัยที่ผ่านมาทั้งหมด แต่มิใช่เป็นยุคตื่นทองคำเพราะไปเจอเหมืองทองคำแต่อย่างใด หากแต่เป็นยุคสมัย “ทองคำของคนโง่” หรือ Fool’s Gold ที่สามารถก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ในทองคำได้โดยง่ายมากกว่า ล่อแหลมขนาดไหนลองมาดูกัน

    ทองคำแม้จะถูกยอมรับนับถือว่าเป็นโลหะที่มีค่ามาตั้งแต่ยุคโบราณ ทั้งนี้น่าจะเนื่องมาจากคุณลักษณะทางกายภาพคือเป็นโลหะที่สามารถนำมาขึ้นรูปทรงต่างๆ ได้ง่ายเพราะมีความอ่อนตัว ไม่เป็นสนิม เป็นมันแวววาวเมื่อได้รับการขัดถู และเป็นแร่ธาตุที่หาได้ยากทำให้มีการค้นพบตามธรรมชาติในปริมาณที่จำกัด แต่มูลค่าที่แท้จริงหรือ intrinsic value ของมันกลับมีน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำ หรืออากาศ

    อาจมีแม่ยกทองคำผู้ที่หลงใหลในทองคำออกมาโต้แย้งทันทีว่า ถ้าทองคำมีมูลค่าที่แท้จริงน้อยกว่าน้ำหรืออากาศ ทำไมราคาน้ำหรืออากาศจึงมีราคาต่ำใกล้เคียงของฟรีไม่สูงเท่ากับทองคำที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

    ดูก่อนแม่ยกทองคำทั้งหลาย การกำหนดราคาสินค้าวัตถุใดใต้หล้านั้น ล้วนแล้วแต่กำหนดมาจากความหายากง่ายเป็นประการสำคัญ หาได้ขึ้นอยู่กับประโยชน์ใช้สอยอันเป็นที่มาของมูลค่าที่แท้จริงแต่เพียงอย่างเดียวไม่

    ทองคำ 1 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหรืออากาศในปริมาณเดียวกันจึงหาได้ยากกว่า แต่มิได้หมายความว่าประโยชน์โดยรวมของทองคำ 1 กิโลกรัมนั้นจะมีมากกว่าน้ำหรืออากาศ เพราะน้ำและอากาศมีจำนวนที่มากกว่าทองคำ ดังนั้นจึงสามารถหามาได้ง่ายกว่า ราคาต่อหน่วยจึงต่ำกว่า แต่หากต้องไปติดอยู่ในเรือดำน้ำหรือกลางทะเลทราย ความยากในการได้มาซึ่งน้ำหรืออากาศจะทำให้ราคาน้ำหรืออากาศแพงกว่าทองคำ เพราะมนุษย์หากต้องการมีชีวิตก็ขาดซึ่งน้ำและอากาศไม่ได้ เหมือนดั่งเทพเทือกขาดซึ่งเนวินผู้มีพระคุณไปไม่ได้เช่นกัน

    ดังนั้นราคาทองคำในปัจจุบันที่สูงขึ้นมาเรื่อยๆ จึงเป็นเพราะเหตุผลของการเก็งกำไรหรือ speculation เป็นประเด็นสำคัญมากกว่าประโยชน์ใช้สอยที่ได้จากทองคำ อย่าได้หลงผิดไปกับการโฆษณาว่าการซื้อทองคำโดยไม่มีการแปรรูปเป็นการลงทุนหรือ investment หากซื้อเป็นทองคำแท่งและนำมาแปรรูปทำเป็นทองคำรูปพรรณออกขายภายหลัง นั่นคือการลงทุนเพราะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มในปริมาณทุนหรือ capital ที่ใส่แรงงาน และหรือเครื่องจักรในการผลิตเพิ่มเข้าไปเพื่อแปรรูป ต่างกันอย่างมากกับการเก็งกำไรที่ซื้อทองคำเข้ามาในสภาพใดก็ขายออกไปในสภาพเดิมที่ซื้อมา แสดงว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทุนเพิ่มเข้าไปในทรัพย์สิน (ทองคำ) ที่ซื้อเข้ามาแต่อย่างใด จะเรียกว่าลงทุนในทองคำได้อย่างไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะตรวจสอบโฆษณาที่ปรากฏตามสื่อว่าหลอกลวงเป็นเท็จหรือไม่กับผู้บริโภค?

    ประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ผ่านมาได้บอกเล่าเรื่องราวของการเก็งกำไรโดยอาศัยวัตถุต่างๆ เป็น veil of value มากมายหลายกรณี เช่น ดอกทิวลิบสีดำในเนเธอร์แลนด์ หรืออสังหาริมทรัพย์ในหลายๆ ประเทศไม่ว่าจะเป็น ฮ่องกง ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ประเทศไทยก็เคยมีประสบการณ์มาก่อน เมื่อราคาเพิ่มขึ้นก็ย่อมต้องมีจุดสูงสุดก่อนที่จะตกลงไป เปรียบได้กับภาวะฟองสบู่ที่เมื่อฟองนั้นลอยโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาเมื่อใดก็จะแตกออกเมื่อนั้น

    ในปัจจุบันข้ออ้างประการเดียวของการปลุกปั่นความโลภให้คนเข้ามาซื้อทองคำก็คือ การเป็นทรัพย์สินที่ใช้เก็บไว้ซึ่งความมั่งคั่งในยามที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง เพราะไม่ว่าจะถือดอลลาร์สหรัฐในรูปแบบของเงินฝากหรือหุ้นที่ออกในหน่วยนับเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าของหลักทรัพย์ต่างๆ เหล่านั้นก็จะเสื่อมค่าลงไปตามมูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ

    ด้วยดอลลาร์สหรัฐที่ถูกใช้เป็น ”เงินของโลก” ที่ใช้เพื่อชำระราคาเมื่อเกิดธุรกรรมอย่างแพร่หลายมาเป็นเวลาเกือบ 1 ศตวรรษนับจากข้อตกลงที่ Bretton Woods เป็นต้นมา การหาเงินสกุลอื่นไม่ว่าจะเป็น หยวน เยน หรือยูโร มาทดแทนก็ไม่สามารถทำได้โดยง่าย ในทำนองเดียวกันการเปลี่ยนมาเก็บความมั่งคั่งจากดอลลาร์สหรัฐมาเป็นเงินสกุลอื่นๆ ก็ไม่สามารถทำได้โดยง่ายเช่นกัน

    สาเหตุก็เพราะไม่มีปริมาณของเงินสกุลอื่นในตลาดระหว่างประเทศจำนวนมากพอที่จะให้คนในโลกเข้ามาถือเพื่อทำธุรกรรมหรือรักษาความมั่งคั่งเอาไว้แทนดอลลาร์สหรัฐที่ตนถืออยู่ได้นั่นเอง

    เงินบาทและทองคำจึงเป็นเป้าหมายของคนที่มีดอลลาร์สหรัฐอยู่ในมือที่ต้องการเก็บรักษาความมั่งคั่ง ค่าเงินบาทและราคาทองคำในตลาดโลกจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับดอลลาร์สหรัฐที่มีค่าตกลงไปเรื่อยๆ

    แต่ดูก่อน คนไทยที่มีรายรับเป็นเงินบาทซึ่งนับวันจะแข็งค่าขึ้นไปเรื่อยๆ หากจะเข้าไปถือทองคำก็ควรระลึกอยู่เสมอในใจตลอดเวลาว่าระหว่างเงินบาทกับทองคำสิ่งใดมีความเสี่ยงมากกว่ากัน เพราะผลตอบแทนย่อมต้องมาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ

    ความเสี่ยงในที่นี้ก็คือความผันผวนในราคานั่นเอง อย่าลืมว่าค่าเงินบาทชั่วๆ ดีๆ ก็ยังมีรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาดูแลไม่ให้ราคาผันผวนมากนัก แต่ทองคำละใครจะเป็นผู้ดูแล? การคาดการณ์แต่ในด้านดีเพียงลำพังอย่างเป็น “มายาคติ” ว่าทองคำนั้นมีแต่ราคาขึ้นไม่มีวันที่ราคาตก ดูจะเป็นการหลอกตัวเองแบบนกกระจอกเทศหรือไม่ที่เอาแต่เพียงหัวไปซุกไว้ในรูก็เชื่อว่าปลอดภัยแล้วจากเสือที่จะมาทำร้าย เพราะเมื่อราคาขึ้นได้ทำไมราคาตกไม่ได้

    ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่มากมาย เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1989 ดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่อยู่ในระดับประมาณ 39,000 เยนก็ถูกโบรกเกอร์ยักษ์ใหญ่ เช่น โนมูระที่ล้มละลายไปแล้ว บอกดังๆ ให้ลูกค้าฟังว่าจะขึ้นไปถึงระดับ 40,000 เยน ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาก็คือดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่นไม่เคยขึ้นไปถึง ซ้ำร้ายยังตกลงถึงระดับต่ำกว่า 10,000 เยน และขึ้นๆ ลงในระดับ 10,000 - 20,000 เยน มากว่า 10 ปีแม้จนกระทั่งปัจจุบัน เช่นเดียวกับวิกฤตเงินกู้ต่ำกว่าระดับหรือ sub-prime crisis ในสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ที่เกิดจากการเก็งกำไรในราคาบ้านทั้งจากผู้กู้และผู้ให้กู้ที่ต่างก็หลอกตัวเองด้วย “มายาคติ” ว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้านไม่มีวันตก การปล่อยให้ผู้กู้ต่ำกว่าระดับที่เป็น sub-prime borrowers ไปซื้อบ้านหลังที่ 2 หรือมากกว่านั้นจึงมีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากมีทรัพย์สินคือบ้านที่เชื่อว่าราคาตกยากเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่เป็นตัวอย่างเพราะราคาก็ตกลงต่ำกว่าที่เคยเป็นได้

    แต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่หน่วยงานในประเทศไทย เช่น คณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ กลต.กลับส่งเสริมไปในทิศทางเพื่อการเก็งกำไรมากกว่า ไม่ว่าจะมีการตั้งกองทุนรวมเพื่อไปเก็งกำไรในทองคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือแปรรูป หรือการเปิดให้มีการซื้อขายอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับทองคำ ทั้งๆ ที่จะมีผู้ผลิตในประเทศที่ใช้ทองคำเป็นวัตถุดิบสักกี่รายที่มีความจำเป็นต้องป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนในราคาทองคำเมื่อเปรียบเทียบกับอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าจะมีผู้ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อปกป้องความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่า กลายเป็นที่ควรมีก็ดันไม่มี แต่ไปมีในสิ่งที่ไม่จำเป็น กลต.ควรจะตระหนักให้ดีกว่านี้!

    ในภาพที่กว้างขึ้นมา สาเหตุที่เป็นต้นตอประการหนึ่งของการเก็งกำไรและการเกิดภาวะฟองสบู่แตกที่ผ่านมาก็คือผลตอบแทนจากการฝากเงินในสถาบันการเงินต่ำกว่าเงินเฟ้อที่เป็นอยู่ ซึ่งส่งผลให้ผู้มีเงินออมต่างก็ขวนขวายหาแหล่งพักพิงให้กับเงินออมของตนเองแทนการฝากเงินกับสถาบันการเงิน

    อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ใช้ไปเพื่อการต่อสู้กับเงินเฟ้อและการเก็งกำไรเพื่อมิให้เกิดภาวะฟองสบู่แตกมากกว่าที่จะเอาไว้เป็นตัวปรับสมดุลเพื่อให้เงินทุนไหลเข้าออกประเทศตามที่ต้องการ ธนาคารกลางในปัจจุบันจึงมีหน้าที่หลักในการรักษาเงินเฟ้อที่กระทบต่อความผาสุกของประชาชนมากกว่าที่จะสนับสนุนให้มีการเจริญเติบโตอันเป็นหน้าที่ของนโยบายการคลังของฝ่ายการเมืองมากกว่า และที่ “กูรู้” ทั้งหลายพึงตระหนักก็คือเครื่องมือ เช่น อัตราดอกเบี้ยก็มีขีดจำกัดในการใช้งาน จะใช้ไขควงไปขันน็อตได้อย่างไร

    คำถามที่เปิดให้ลองคิดดูเล่นๆ ว่า หากประเทศไทยค้นพบเหมืองทองคำหรือพบทองคำที่ซ่อนไว้ถ้ำลิเจียจริง ประเทศไทยจะก้าวไปสู่ความมั่งคั่งโชติช่วงชัชวาลบานบุรีศรีบูรพาหรือไม่?

    คำตอบก็คือไม่ มีหลายประเทศที่ค้นพบแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ เช่น ทองคำ เพชร หรือน้ำมัน แต่ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ปรากฏในภายหลังก็คือ ระดับการพัฒนาประเทศกับระดับการมีอยู่ของทรัพยากรที่สำคัญดังกล่าวไม่ได้ไปด้วยกันแต่อย่างใด กล่าวง่ายๆ ก็คือ แม้ประเทศไทยจะพบทองคำที่ญี่ปุ่นมาซ่อนเอาไว้หรือการพบเหมืองทองคำ บ่อน้ำมัน ก็มิได้เป็นเงื่อนไขที่ทำให้ประเทศได้พัฒนาก้าวหน้าแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามมีหลายๆ ประเทศที่ร่ำรวยหรือมีมากในน้ำมัน ทองคำ หรือเพชร แต่ประชากรส่วนใหญ่ก็ยังยากจนอยู่เหมือนเดิมดุจดังต้องคำสาปจากทรัพยากรที่ค้นพบ

    พลเมืองเข้มแข็งจึงไม่ต้องตกใจเพราะเป็นคำถามและคำตอบเดียวกับเมื่อ ค.ศ.1776 ที่ Adam Smith ได้เคยสงสัยและตั้งเป็นคำถามหักล้างแนวคิดของพวก Mercantilism ที่ประเทศในยุโรปส่วนใหญ่ในสมัยนั้นอาศัยการค้าและล่าอาณานิคมเพื่อให้ได้มาซึ่งโลหะมีค่า เช่น ทองคำ มาไว้ในครอบครองว่าจะทำให้ชาติมีความมั่งคั่งจริงหรือไม่จากหนังสือที่ชื่อ An Inquiry to the Nature and Causes of the Wealth of Nations

    การพัฒนาประเทศจึงมิได้เกิดจากการค้นพบในทรัพยากรดังกล่าวแต่เพียงลำพัง ผลที่ปรากฏอาจเป็นในทางตรงกันข้ามว่า ประเทศที่เป็นต้นแบบการพัฒนาในเอเชียไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน หรือฮ่องกง ต่างก็มีเพียงทรัพยากรคนเท่านั้นที่เป็นหลักในการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าไปได้

    “กูรู้” ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น พิเชียร (อำนาจ) วีระ (ธีระ) บริษัทหลักทรัพย์จัดการทั้งหลาย กลต. และสื่อสารมวลชน พวกคุณมีความรับชอบทางสังคมแค่ไหนในการจะไม่พาคนไปลงเหวแห่งความพินาศด้วยการให้ข้อมูลทำให้เห็นผิดเป็นชอบ ชักจูงให้เห็นว่าการซื้อทองคำเป็นการลงทุนมิใช่การเก็งกำไร

    Daily News - Manager Online -
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คลิประทึก!ชายมะกันใช้ปืนจี้บอร์ดบริหารโรงเรียน ก่อนลั่นไกปลิดชีพตนเอง

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 ธันวาคม 2553 04:54 น.


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> <OBJECT id=ep height=374 width=416 classid=clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000>
























    <embed src="http://i.cdn.turner.com/cnn/.element/apps/cvp/3.0/swf/cnn_416x234_embed.swf?context=embed_edition&videoId=crime/2010/12/14/vo.florida.school.shooting.WJHG" type="application/x-shockwave-flash" bgcolor="#000000" allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always" width="416" wmode="transparent" height="374"></embed></OBJECT></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></P>






    ซีเอ็นเอ็น/เดลิเมล์ - สำนักข่าวต่างประเทศเผยแพร่วิดีโอระทึก เหตุการณ์ชายคนหนึ่งใช้ปืนจี้สมาชิกบอร์ดบริหารของโรงเรียนแห่งหนึ่งในฟลอริดาเป็นตัวประกัน ก่อนลงมือลั่นไกปลิดชีพตนเอง



    ในบันทึกภาพวิดีโอ นายเคลย์ ดุค วัย 56 ปี ใช้สเปรย์สีแดงฉีดพ่นกำแพงห้องภายในโรงเรียนเป็นตัวอักษร "วี" ก่อนชักปืนออกมาพร้อมออกคำสั่งให้ทุกคนยกเว้นบอร์ดบริหารชาย 6 คนของโรงเรียนเบย์ ดิสตริคท์ ในฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ออกไปจากห้อง



    ภาพที่ปรากฎในกล้องวิดีโอบันทึกการประชุมต่อจากนั้นคือนายดุค ชูปืนเล็งไปที่สมาชิกของบอร์ดบริหารโรงเรียนรายหนึ่งที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่กี่เมตร ขณะที่ชายคนนั้นก็แต่ขอร้องว่า "อย่า อย่า"



    ทว่าคำวิงวอนดังกล่าวไม่เป็นผล ดุค ลั่นไกปืนแต่พลาด และระหว่างชายวัย 56 ปีรายนี้เปิดฉากยิงอีกครั้ง สมาชิกบอร์ดบริหารคนดังกล่าวก็ฉวยโอกาสคลานหลบหนีออกจากห้องได้สำเร็จ



    ชั่วอึดใจหลังจากนั้น ดุค ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยิงจนได้รับบาดเจ็บและท้ายที่สุดแล้วเขาก็หันปากกระบอกปืนลั่นไกปลิดชีพตนเองอย่างน่าสลด



    ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ดุค มีท่าทีสงบเยือกเย็นก่อนหน้าเข้าร่วมการประชุม ทว่าเมื่อการประชุมเริ่มขึ้นเขาได้ยืนขึ้นและเดินตรงไปที่กำแพง ก่อนฉีดพ่นอักษรวีด้วยสเปรย์สีแดง ซึ่งคล้ายกับโลโก้ของภาพยนต์เรื่อง 'V for Vendetta'หรือชื่อไทยเพชฌฆาตหน้ากากพญายม



    ทั้งนี้ช่วงหนึ่งของบันทึกวิดีโอดังกล่าว จินเจอร์ ลิตเติลตัน สมาชิกบอร์ดบริหารหญิงของโรงเรียน ที่ถูกสั่งให้ออกจากห้องไปแล้ว แสดงความกล้าหาญด้วยการลอบกลับเข้ามา และแอบย่องไปเบื้องหลังของ ดุค



    ทันใดนั้นเธอกระเป๋าถือเป็นอาวุธฟาดไปที่แขนขวาของ ดุค หวังให้ปืนหลุดจากมือของเขา ทว่ามันไม่ได้ผลและเป็นทาง ดุค ที่ผลักเธอจนล้มไปกองกับพื้น จากนั้นเธอก็ร้องไห้ฟูมฟายแทบขาดสติ แต่โชคดีที่ ดุค แค่มองเฉยๆโดยไม่ได้ทำอะไรก่อนปล่อยตัวเธอออกมา



    แรงจูงใจของการก่อเหตุครั้งนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ในวิดีโอที่บันทึกไว้ได้ ดุค โต้เถียงกับสมาชิกบอร์ดบริการของโรงเรียนเกี่ยวกับกรณีที่ภรรยาของเขาถูกไล่ออกจากงาน



    เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ไม่มีสมาชิกบอร์ดบริหารคนไหนได้รับบาดเจ็บจากเหตถการณ์ครั้งนี้ และมีคนตั้งข้อสงสัยว่าเสียงปืนที่ ดุค ลั่นไกออกมานั้นอาจเป็นกระสุนเปล่า

    Around the World - Manager Online -
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไทม์ยกหนุ่มผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ค'บุคคลแห่งปี'ผู้อ่านโวย'วิกิลีกส์'ชวด
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 ธันวาคม 2553 00:14 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก "บุคคลแห่งปี" ประจำปี 2010 ของนิตยสารไทม์

    เอเอฟพี - มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์สังคมออนไลน์เฟซบุ๊ค เฉือน จูเลียน แอสซานจ์ ครองตำแหน่ง "บุคคลแห่งปี" ประจำปี 2010 ของนิตยสารไทม์ ไปครอง แม้บรรดาผู้อ่านเห็นแย้งว่ารางวัลดังกล่าวควรตกเป็นของผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์มากกว่า

    ซัคเคอร์เบิร์ก ในวัยเพียง 26 ปี กลายเป็นบุคคลอายุน้อยที่สุดตลอดกาลที่ได้รับคัดเลือกให้ขึ้นปกบุคคลแห่งปีของไทม์ ขณะที่ทาง ริชาร์ด สเตงเกิล บรรณาธิการนิตยสารแห่งนี้ ระบุว่าบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ของ ซัคเคอร์เบิร์ก เปลี่ยนแปลงแนวทางการดำรงชีวิตของทุกคนในทุกๆวัน

    แม้ไม่มีข้อสงสัยต่อการมอบรางวัลประจำปี 2010 นี้ให้แก่ ซัคเคอร์เบิร์ก แต่ตัวเลือกดังกล่าวก็ถูกโจมตีจากนักวิจารณ์ออนไลน์บางส่วนว่าเป็นการตัดสินที่มีแรงจูงใจทางการเมือง โดยละเลยที่จะเลือก แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ ซึ่งสร้างความอึกทึกคึกโครมด้วยการเผยแแพร่เอกสารลับทางการทูตของสหรัฐฯที่ชี้ให้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วรัฐบาลทั่วโลกมีแนวคิดอย่างไร

    ในการโหวตอย่างไม่เป็นทางการของ "บุคคลแห่งปี" ผู้อ่านของนิตยสารไทม์ แซ่ซ้องสนับสนุน แอสซานจ์ ตามมาด้วย เลดี กากา นักร้องชื่อดังของสหรัฐฯ แต่ทาง สเตงเกิล ยืนยันว่า ซัคเคอร์เบิร์ก สมควรได้ครองตำแหน่งนี้เพราะว่าเฟซบุ๊คของเขาก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อโลกในขอบเขตที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน

    "สำหรับการเชื่อมโยงผู้คนกว่าครึ่งพันล้านชีวิตและแปลงรูปความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างคนเหล่านั้น(บางอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน) นอกจากนี้เขายังได้รับเลือกสำหรับการสร้างระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารใหม่ๆอันกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และท้ายที่สุดคือสำหรับการปฏิรูปแนวทางการดำรงชีวิตของพวกเรา มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก จึงเหมาะสมต่อตำแหน่งบุคคลแห่งปี 2010 ของไทม์ส" สเตงเกิล กล่าว

    แอสซานจ์ ซึ่งเวลานี้อยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวในลอนดอน ตามข้อหาล่วงละเมิดทางเพศของทางการสวีเดน ได้เพียงลำดับ 3 ของจากการจัดอันดับของนิตยสารไทม์ ตามหลังอันดับ 2 คือกลุ่ม Tea Party ซึ่งทำผลงานยอดเยี่ยมในศึกเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯเมื่อไม่นานที่ผ่านมา
    Around the World - Manager Online -
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "กรณ์" ห่วงศก.ปีหน้า ชี้ ค่าเงินบาท-น้ำมันปัจจัยเสี่ยง แนะจับตาหยวน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 ธันวาคม 2553 05:26 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "กรณ์" มั่นใจปีนี้จีดีพี 7.5% แต่กังวลเศรษฐกิจปีเถาะ ห่วงปัจจัยค่าเงิน-ราคาน้ำมัน "ผันผวน" เฉพาะเงินบาทเชื่อมือแบงก์ชาติจะดูแลได้ เผยล่าสุดกลับมาอ่อนค่าที่ 30.09 แนะผู้ประกอบการปรับตัวรับมือ เพิ่มน้ำหนักเงินหยวนเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น

    นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในปี 2554 ยังมีประเด็นทางเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวโยงกันอยู่ 2 เรื่อง คือ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง และต้นทุนจากการใช้พลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการ ด้านการส่งออกมีภาระเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีต้นทุนที่สูงตามไปด้วย รวมถึงค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้นด้วย แต่สำหรับเศรษฐกิจในปี 53 นี้ ยังมั่นใจว่า จะขยายตัวไม่น้อยกว่า 7.5% อย่างแน่นอน ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศ ที่มีเศรษฐกิจโตสูงมากในโลก

    ช่วงปีที่ผ่านมา ค่าเงินบาทได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายและการอัดฉีดเงินจากสหรัฐฯ ซึ่งประเมินว่าระยะต่อไปจะมีเงินไหลเข้ามาในประเทศอีกมากน้อยแค่ไหน แต่ทั้งนี้มองว่าจะทำให้ค่าเงินบาทยังผันผวนอยู่ รวมทั้งจะแข็งค่าขึ้นอีก เมื่อเทียบดอลลาร์ ซึ่งในส่วนของค่าเงินนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เข้ามาดูแลการเคลื่อนไหวได้ค่อนข้างดีอยู่แล้ว โดยประสานกับธนาคารกลางประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด จึงมั่นใจว่า ธปท.จะดูแลไม่ให้เงินบาทผันผวนมากจนเกินไป

    “แต่เห็นว่าขณะนี้เงินหยวนของจีนเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยจีนมีความพร้อมที่จะให้เงินหยวนเป็นสกุลอ้างอิงในการค้าขายกับต่างประเทศ นับเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เศรษฐกิจโลกจะอิงกับเงินดอลลาร์ลดน้อยลงใน 5-10 ปีข้างหน้า ดังนั้นใสส่วนของผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ต้องต้องให้ความสำคัญกับเงินหยวนมากขึ้น และลดความเสี่ยงจาก การอ่อนค่าลงของดอลลาร์ เพราะเมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลง ทุกคนก็เดือดร้อนกันหมด”

    นอกจากนี้ การที่กลุ่มประเทศอาเซียนรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 55 นั้น จะเป็นการขยายตลาดไทยออกไปจากกว่า 60 ล้านคน เป็นกว่า 600 ล้านคน นับเป็นโอกาสในการทำธุรกิจที่ดี แต่ทั้งนี้เห็นว่าผู้ประกอบการของไทยยังปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งได้มอบหมายให้ธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) เข้าไปช่วยเหลือแล้ว

    “สำหรับประเด็นท้าทายของเศรษฐกิจในปีหน้า คือ การแข็งขึ้นของ เงินบาท และต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น จากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่ยังคงอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ตลอดจนการเคลื่อนไหวของเงินทุนระหว่างประเทศที่มีสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันเงินทุนที่มีการเคลื่อนย้ายในตลาดโลก มีสัดส่วนถึง 30% ของจีดีพีโลก จากเดิมที่มีเพียง 4-5% เท่านั้น” นายกรณ์กล่าว

    ธปท.จับตา ศก.สหรัฐกดดันบาท

    แหล่งข่าวจากสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การที่เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.) เกิดจากทางการสหรัฐได้ประกาศตัวเลขสำคัญด้านเศรษฐกิจที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับทางคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ (FOMC) ได้ออกมายืนยันว่าการทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 2 (QE2) โดยยังไม่มีการเพิ่มปริมาณเม็ดเงิน

    นอกจากนี้ทางสหรัฐเตรียมแผนลดหย่อนภาษี ถือเป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้านหนึ่ง เพราะจะช่วยให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น จึงส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นและเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ขณะที่ค่าเงินอื่นๆ รวมถึงค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าลง

    ส่วนกรณีที่ เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อวันก่อน (14 ธ.ค.) เพราะยังมีเงินทุนไหลเข้ามายังประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งปัจจัยภายในประเทศเองก็ยังมีการทยอยขายเงินดอลลาร์ออกมา

    "เงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่เมื่อเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นช่วงกลางคืน เงินบาทจึงอ่อนค่าลง โดยมีหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอก” แหล่งข่าวจากสายตลาดการเงิน ธปท.กล่าว

    ค่าเงินบาทวานนี้ (15 ธ.ค.) อ่อนค่าต่อเนื่องจากวันก่อน โดยปิดตลาดที่ 30.07/09 บาทต่อดอลลาร์ หรืออ่อนค่าลงจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 30.03/05 บาท/ดอลลาร์

    นักบริหารเงินกล่าวว่า เป็นเพราะดอลลาร์แข็งค่าขึ้นหลังตัวเลขค้าปลีกสหรัฐฯ เดือน พ.ย.ออกมาดี คาดว่า วันนี้ (16 ธ.ค.) เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.00-30.15 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มปริมาณธุรกรรมที่เบาบาง ทำให้แนวโน้มตลาดอยู่ในลักษณะแกว่งตัวแคบๆ ต่อเนื่องถึงสิ้นปี เพราะไม่มีปัจจัยใหม่ ประกอบกับนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนไปแล้ว
    Stock Markets - Manager Online -
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เฟดยันศก.USฟื้น แต่ท่าทีระวังตัวจัด เน้นให้ตระหนักปัญหาการว่างงาน
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 ธันวาคม 2553 05:07 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (เฟด) ซึ่งประชุมหารือเรื่องนโยบายการเงินกันเมื่อวันอังคาร (14) ที่ผ่านมา ส่งสัญญาณสู่ตลาดรับรองแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกัน แต่ด้วยท่าทีระมัดระวังอย่างสูง และในเวลาเดียวกัน เฟดยังเน้นให้ตระหนักถึงปัญหาการว่างงาน ตลอดจนย้ำที่จะดำเนินมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบผ่านการซื้อพันธบัตรมูลค่ารวม 6 แสนล้านดอลลาร์

    คำแถลงที่นำออกเผยแพร่หลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) เที่ยวล่าสุด ให้น้ำหนักสูงแก่ปัญหาความอ่อนล้าในตลาดแรงงาน กับภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนั้น ยังฟันธงว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ สามารถรักษาความต่อเนื่องไว้ได้ โดยใช้คำว่าปรับตัวฟื้นขึ้นมาอย่าง “ช้าๆ”

    “การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อเนื่อง แม้จะเป็นไปในอัตราที่ไม่เพียงพอที่จะลดปัญหาการว่างงาน” เฟดระบุไว้อย่างนั้นในคำแถลงหลังการประชุมเอฟโอเอ็มซี

    ท่าทีดังกล่าวของเฟดออกจะสวนทางกับการคาดการณ์ของกระแสหลักในวอลล์สตรีท ซึ่งนับวันแต่จะมองด้วยสายตาเชิงบวกมากขึ้นตามลำดับ โดยที่ว่านักวิเคราะห์พากันปรับประมาณการทางเศรษฐกิจในทางที่ดีขึ้น บนพื้นฐานของข้อมูลเศรษฐกิจหลายๆ ตัวที่ออกมาดีกว่าคาด ผนวกกับแรงใจจากแผนหั่นภาษีที่ทางการเข็นออกมาใหม่

    กระนั้นก็ตาม ตลาดถือว่าท่าทีล่าสุดของเฟดไม่ได้เป็นข่าวร้าย เพราะเป็นไปตามคาด กล่าวคือไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทางนโยบาย ในการนี้ เฟดยังรักษาอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานไว้ที่ระนาบใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับย้ำคำมั่นเดิมที่จะรักษาดอกเบี้ยให้อยู่ในระนาบต่ำเตี้ยเรี่ยดินเฉกเช่นนี้ไปอีกระยะหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น ยังมีการยืนยันคำประกาศที่จะอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบเป็นมูลค่าเดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อดึงให้ดอกเบี้ยระยะยาวเคลื่อนไหวในระดับต่ำ

    “สิ่งที่ผมคิดก็คือ เฟดพยายามตีปี๊บไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงการประชุมเดือนมกราคม ปีหน้า” กล่าวโดยโจ คินาฮาน ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์ตลาดอนุพันธ์ ค่ายทีดี อเมอริเทรด ในชิคาโก

    ภายหลังเอฟโอเอ็มซีแถลงผลการประชุม ค่าเงินดอลลาร์เขยิบขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินยูโรและเงินเยน เพราะเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณเพิ่มปริมาณสภาพคล่องที่จะอัดฉีดเข้าระบบ ในเวลาเดียวกัน ดัชนีหุ้นดาวโจนส์แทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงหลังได้เห็นและไปปิดท้ายวันในแดนบวกเล็กๆ 0.42%

    **แนวโน้มยังอึมครึม แถมความกังวลด้านเงินตึง**

    ในขณะที่เฟดแสดงอาการรับรู้ถึงความแข็งแกร่งดีขึ้นภายในระบบเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสหรัฐฯก็เน้นให้คำนึงถึงปัญหาหลักสองด้านคือ การว่างงานสูง กับเงินเฟ้อที่เคลื่อนไหวในระดับต่ำ

    “เฟดยังเดินหน้าที่จะเตือนว่าแนวโน้มของตลาดงานกับแนวโน้มในระดับการจับจ่ายใช้สอย ยังไม่เข้มแข็งดั่งที่ตลาดมองกัน” กล่าวโดยแอนดริว วิลคินสัน นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโส ของค่ายอินเทอร์แอคทีฟ โบรกเกอร์ส ในเมืองกรีนิช มลรัฐคอนเนตทิคัต

    นอกจากนั้น พวกนักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตกันว่าเฟดละเลยที่จะแตะไปถึงเรื่องที่ยีลด์ของพันธบัตรพุ่งสูง ซึ่งเป็นปัจจัยที่คุกคามความพยายามของเฟดในอันที่จะลดต้นทุนการกู้ยืมภายในระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ยีลด์ของพันธบัตรประเภท 10 ปีของกระทรวงการคลัง ซึ่งถือเป็นตัวอ้างอิงของตลาดการเงิน ได้พุ่งสูงขึ้นทำสถิติใหม่ๆ ที่ไม่ได้เห็นกันมานานนับจากเมื่อเดือนพฤษภาคมทีผ่านมา

    ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เฟดเปิดปฏิบัติการเข้าซื้อพันธบัตรของกระทรวงการคลัง เพื่อหนุนเนื่องพลังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมา ยังไม่สามารถส่งผลไปขับเคลื่อนตลาดงานให้ได้อุ่นใจกัน

    นับจากปลายปี 2008 จรดจนต้นปีนี้ เฟดซื้อสินทรัพย์ระยะยาวไปแล้วร่วมๆ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ บนความมุ่งหวังที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากเดินหน้าหั่นดอกเบี้ยระยะสั้นลงไปจนเกือบจะเท่ากับศูนย์จุดศูนย์เปอร์เซ็นต์
    Stock Markets - Manager Online - ࿴
     
  10. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    โพสต์ <abbr class="published" title="2010-12-15T15:03:29+00:00">เมื่อ15ธค.53, 10:03 PM</abbr>
    [​IMG]





    แขกรับเชิญ : จิม ซินแคลร์ (Jim Sinclair)


    วันนี้กระทู้เรามีแขกรับเชิญพิเศษครับ
    ไม่พูดถึง สุภาพบุรุษท่านนี้ไม่ได้เลย ในวงการทองคำ

    “จิม ซินแคลร์”(Jim sinclair)

    คุณลุงท่านนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น กูรูทางด้านทองคำ และถือว่าเป็นระดับตำนานเลยก็ว่าได้
    ฉายาเค้าคือ Mr.Gold

    ในปี 1977 จิม ซินแคลร์ หันไปมองราคาทองคำที่อยู่ระดับ 150$/oz ในขณะนั้นแล้วคาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นถึง 900$/oz !! ในอนาคต

    หลังจากนั้น 3 ปีเมื่อโอกาส “ทอง” (จริงๆ) ครั้งที่ 1 เกิดขึ้น ราคาทองคำแตะระดับ 850$
    ไม่กี่วันถัดมา จิม ซินแคลร์ ขายทองคำในพอร์ทของเค้าออกทั้งหมด (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 15 ล้านเหรียญในขณะนั้น)
    ก่อนที่ราคาทองจะโดนทุบลงไปกองที่ระดับ 250$ ในอีกไม่กี่ปี ต่อมา ....

    น่าทึ่ง !!

    เหตุการณ์ในครั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะอัจฉริยะ หรือ ว่ามีข่าววงใน ก็ทำให้
    ต่อมาทุกครั้งที่เค้าพูด วงการทองคำ ต้อง “หยุดฟัง” สิ่งที่เค้าแนะนำ นักลงทุนควรที่จะนำมาพิจารณา

    คุณลุง ก่อตั้ง บริษัท Sinclair Group of Companies ให้คำปรึกษาทางด้านการลงทุนทุกรูปแบบ
    หลังจากนั้นก็ขายบริษัททิ้ง (ตามทองคำที่ขายไป) ผันตัวเองเป็นที่ปรึกษา ทางด้าน โลหะมีค่า ให้กับ ครอบครัวตระกูล HUNT

    ปัจจุบัน จิม ซินแคลร์ เป็น Chairman ของบริษัท Tanzanian Royalty Exploration
    ที่ลงทุนเกี่ยวกับ “ทองคำ” โดยตรง และก่อตั้งเวบไซต์ Jim Sinclair’s Mine Set
    อันโด่งดัง เขียนบทความ รวมทั้งหนังสือเกี่ยวกับการลงุทน มากมาย และยังเป็นแขกรับเชิญออกรายการทีวีอยู่บ่อยครั้ง


    สรุปว่า ลุงแก “ดังไม่ใช่น้อย”


    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลุงพยายามแนะนำสมาชิกภายในบริษัท รวมทั้งนักลงทุนรายย่อยทั่วไปให้ หันมาซื้อทองคำ
    ถึงแม้ว่าราคามันจะแพงขึ้นทุกๆปี

    มีครั้งหนึ่ง คุณลุงจิม มอบของขวัญ ให้สมาชิกทุกคนในที่ประชุม
    ด้วยการ “รับประกัน” (Guarantee) ราคาทองคำ

    นั่นคือหากพวกคุณซื้อทองแล้วปีหน้าราคาไม่ขึ้น ลุงยินดีรับซื้อในราคาที่คาดการณ์ !!

    ปรากฏว่าพอถึงกำหนด ไม่มีใครเอาทองมาขายคืนลุงจิมเลย เพราะ ราคามันขึ้นเลยไปด้วยซ้ำ

    ภายหลังมุกนี้ผมก็ยืมมาใช้ โดยการรับประกันราคาให้ ญาติๆ ที่กลัวการซื้อทองที่ระดับ 18,000 -19,000 โดยบอกว่า
    “หากราคาทองไม่ถึง 2 หมื่นภายในปี 2011 ผมยินดีรับซื้อคืนเองในราคา 2 หมื่นต่อบาท”

    ปรากฏว่าราคาทองแตะและทะลุบาทละ 2 หมื่นไปเรียบร้อย เอาเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาซะด้วยซ้ำ
    ยิ่งปีหน้า 2011 คงไม่มีใครเอามาขายคืนผมแน่ๆ เพราะเชื่อว่าราคาจะทะลุ 2 หมื่นไปไกล.

    นี่คือความน่าทึ่ง ของลุงจิม


    แต่ที่อึ้งที่สุดก็คือเหตุการณ์เมื่อเดือน เมษายน ปี 2008 .

    ลุงจิม ซินแคลร์ : ท้าพนันกับ “ใครก็ได้” ด้วยเงินเดิมพัน 1,000,000 ดอลล่าห์ ว่าราคาทองคำจะแตะระดับ 1,650/oz ก่อนวันที่ 14 มกราคม 2011 !!!!

    Gold will trade at $1650 before the second week of
    January 2011. I am offering a $1,000,000USD wager with
    a financially qualified party that this will occur : Jim Sinclair


    ยินดีรับคำท้าจากทุกสำนักไม่ว่าจะเป็น Bloomberg, CNBC ,CNN หรือใครก็ได้
    ที่ใจถึงและกล้าวางเงินเดิมพัน 1 ล้านเหรียญกับเค้า

    ภายนอกที่ดูสุภาพและขรึมๆ แต่ใจของคุณลุงนั้น “นักเลง” มาก

    เมื่อถามว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ ลุงบอกว่า เค้าเชื่อมั่นในพื้นฐานของทองคำ และต้องการจะให้
    สื่อต่างๆรวมทั้งพวกนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายที่ ชอบพูดหรือนำเสนอว่าทองคือ ฟองสบู่ หรือ ทองคือการลงทุนที่ไม่ดี ได้ลดการวิพากษ์วิจารณ์ลงบ้าง

    วันที่ประกาศ ราคาทองคำในขณะนั้น ประมาณ 900$ ยังไม่ถึงพันเหรียญซะด้วยซ้ำ
    แต่ลุงกล้าตั้งราคาล่วงหน้า ถึง 1650$

    ผลปรากฏว่าไม่มีใครกล้ารับคำท้า......

    แต่ลุงก็ยังยืนยัน ไม่เปลี่ยนแปลง ว่าราคานี้เป็นราคาที่เป็นไปได้ นั่นทำให้ ลุงไม่ต้องเดิมพันกับใคร นอกจาก “คำพูด” ของลุงเอง

    ครั้งแรกที่ผมทราบข่าวเรื่องนี้ ผมรู้สึกได้ถึง “ความเท่ห์” ของลุง พร้อมกับชื่นชมจากใจจริง
    นี่คือ “กูรู” ที่มั่นใจในความรู้ของตัวเอง และ ยิ่งกว่า “ฟันธง” ให้นักลงทุนรายย่อยได้มีความมั่นใจ

    เมื่อผมทราบข่าวนี้ ผมทำการติดตั้งโปรแกรม WIDGET เล็กๆ
    ไว้ที่หน้าจอผมทันที WIDGET ตัวนี้มีหน้าที่

    “นับถอยหลัง จนถึงวันที่ 14 มกราคม 2554” วันครบกำหนดที่ ลุงจิมวางเดิมพัน


    [​IMG]



    WIDGET ผมเริ่มนับถอยหลังจาก กว่า 400 วัน ค่อยๆลดลงๆ เหมือนการกาวันที่ในปฏิทินออกทีละวันๆ จนมาถึงวันนี้
    วันที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่

    มันบอกผมว่า เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 30วันพอดีๆ


    [​IMG]


    ผมไม่อยากจะนับอยู่คนเดียวครับ จึงตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้ เพื่อนๆสมาชิกชาว Thaigold
    ได้ร่วมเป็นสักขีพยาน และ เอาใจช่วยคุณลุง

    เมื่อหลายเดือนก่อนตอนราคาทองคำอยู่แค่ระดับ 1200$ เป้านี้ยังดูเหมือนห่างไกลเหลือเกิน
    แต่ในเวบไซต์ Jim Sinclair’s Mine Set ลุงก็ยังยืนยันเป้าตามเดิมเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อน

    ตอนนั้นลุงจิมพูดว่า

    “ใครก็ตามที่คิดว่า 1650$ เป็นไปไม่ได้เพราะ เค้าคิดว่า “ราคายังห่าง” เทียบกับ “เวลาที่มันเหลือน้อย”
    คนที่คิดแบบนี้เพราะเค้าไม่เคยเห็นตลาดทองคำในปี 1980” (โอกาส “ทอง” (จริงๆ) ครั้งที่ 1)

    จนมาถึงวันนี้ ราคาทองคำ พุ่งมาอยู่ที่ระดับ 1400$ พร้อมๆกับเวลาที่เหลืออีกเพียง 1 เดือน

    มันทำให้ผมตื่นเต้นครับ ........................................................

    เดือนกันยายนที่ผ่านมา
    หลังจากที่ผมติดตาม ลุงมานาน ลุงจิมพูดเป็นครั้งแรกว่า “เค้าอาจจะผิดก็ได้”
    แต่ หากเค้าผิดในเรื่องของเวลา เค้าขอขยับเป้าใหม่

    เป็น 3000-5000$ ในเดือนมิถุนายน 2011 !!!!

    เอากับลุงสิครับ ????

    หากคุณ เพิ่งจะมาอ่านบทความผม คงคิดว่าลุงจิมนั้น เพ้อๆ แต่ไม่ใช่เลยครับ คุณลุงนั้นรู้ดี !!
    ลุงนั้น อยู่ในวงการทองคำมายาวนาน และ คนต่างประเทศที่อยู่ในวงการทองคำนั้นก็รู้
    รู้ว่าถ้าเป็นคนอื่นพูด “คงไม่มีน้ำหนักขนาดนี้”

    ไม่ว่าลุงจิม จะถูกหรือผิด ก็ต้องของชื่นชม ในตัวคุณลุง
    การที่กล้าคาดการณ์ราคาทองคำ ที่ระดับ 1650$ ตั้งแต่ปี 2008 แล้วทองคำมาไกลถึงระดับนี้
    เป็นเครื่องพิสูจน์ระดับหนึ่งแล้วว่า ฉายา Mr. Gold ของคุณลุงไม่ได้ได้มาเพราะฟลุ๊ค

    มาร่วมนับถอยหลังกับผมกันนะครับ ใครที่มีปฏิทินปี 2011 แล้ว วงกลมวันที่ 14 มกราคม
    ไว้เป็นวันสำคัญอีกวันนึงบางทีเราอาจจะได้เห็น บันทึกอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์วงการทองคำ พร้อมกัน .........



    ปล. จากนี้จะพักจริงๆแล้วนะครับ แต่ก็คงแวะเวียนมาพูดคุยกันบ้าง โชคดีมีความสุขทุกคนครับ [​IMG]

    เวบของคุณลุง : Jim Sinclair 's mine set

    รายละเอียดการวางเดิมพัน !!


    Nexttonothing: เมื่อวานนี้, 10:49 PM

    [​IMG]
     
  11. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=2zeMXPwiyeE&feature=player_embedded"]YouTube - Jim Sinclair interview by David Williams in South Africa[/ame]

    [VDO]http://www.youtube.com/watch?v=2zeMXPwiyeE&feature=player_embedded[/VDO]
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Terran (guest): ใครอยากเห็นอุโมงค์วิกิลีก<WBR>ส์ เข้าไปทัศนาได้ครับ http://www.matichon.co.th/<WBR>news_detail.php?newsid=129<WBR>2325970&grpid=01&catid=&su<WBR>bcatid=

    [​IMG]
    [​IMG]
    Dec 16 2010, 5:58 AM
    JimmySiri: ขอบคุณครับคุณ Terran ที่นำมาไห้ชมกัน เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเ<WBR>ป็นเพียงกลุ่มแฮคเกอร์สติเ<WBR>ฟื่องไม่กี่คนนั่งทำงานกัน<WBR>ในห้องนอนหรือห้องทำงานเล็<WBR>กๆ ถ้าได้ดูภาพแล้วลองนึกสิคร<WBR>ับว่า ทั้งหมดนั่นต้องใช้เงินเท่<WBR>าไหร่ แล้วทำไปเพื่ออะไร เพื่อเปิดโปงและผดุงความยุ<WBR>ติธรรมเท่านั้นหรือ เงินเหล่านั้นมาจากไหน แล้วเข้าไปใช้สถานที่อย่าง<WBR>นั้นได้อย่างไร ทำไมต้องในใจกลางยุโรป ถ้าหาต้นตอของเงินเจอแล้ว ก็จะปะติดปะต่อเรื่องราวได<WBR>้ครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 16 2010, 6:03 AM
    JimmySiri: ทีเด็ดที่ "<WBR>Operation Wikileaks"<WBR> จะปล่อยออกมาเพิ่มอีก คงจะประมาณต้นปีหน้า โดยเฉพาะเรื่องธนาคารของสห<WBR>รัฐ ที่เค้าคาดหมายว่าน่าจะทำใ<WBR>ห้ธนาคารขนาดใหญ่ล้มได้ซัก 2-<WBR>3 แห่ง และคาดกันว่าอาจจะเป็น BofA หรืออาจจะเป็นหนึ่งในนั้น ถ้าทำสำเร็จล่ะก็.<WBR>.<WBR>.<WBR>

    [​IMG]
    [​IMG]

    Welcome!!

    "วิกิลีกส์" : ห้องแห่งความลับของโลก
    วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
    [​IMG]

    เมื่อวิกิลีกส์เริ่มเปิดเผยข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ข้อมูลทั้งหมดถูกจัดเก็บโดยผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตของสวีเดน "บาห์นฮอฟ" ซึ่งมีที่ตั้งของศูนย์คอมพิวเตอร์อยู่ที่ "ไพโอเนน ไวท์ เมาต์เทน" ซึ่งเป็นภูเขาหินแกรนิตในเขตสวนสาธารณะ Vita Berg ใจกลางกรุงสต็อคโฮล์ม ประเทศสวีเดน ซึ่งเคยใช้เป็นที่หน่วยป้องกันภัยพลเรือนใช้เป็นสถานที่หลบภัยระเบิดนิวเคลียร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาก่อน



    [​IMG]
    บริเวณทางเข้าศูนย์คอมพิวเตอร์ "ไพโอเนน ไวท์ เมาต์เทน" ซึ่งตั้งอยู่ใต้พื้นดิน 30 เมตร



    [​IMG]
    สถาปัตยกรรมภายในถ้ำถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยสถาปนิกได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ชุด "เจมส์ บอนด์ 007" ในช่วงยุค 1960



    [​IMG]
    เครื่องยนต์เรือดำน้ำของเยอรมันรุ่นเก่า ถูกนำมาดัดแปลงเครื่องสำรองพลังงานฉุกเฉิน



    [​IMG]

    [​IMG]
    เหนือห้องเก็บเสิร์ฟเวอร์ ถูกสร้างเป็นห้องประชุมขนาดเล็ก ล้อมรอบด้วยกระจกใสทั้งหมด



    [​IMG]

    [​IMG]
    เพื่อลดความ "แข็งกระด้าง" ของถ้ำและสถาปัตยกรรมแบบใหม่ จึงมีการประดับตกแต่งด้วยต้นไม้ น้ำตกจำลอง และตู้ปลา




    [​IMG]

    [​IMG]
    วิกิลีกส์ถือสิทธิในการจดทะเบียน "ที่อยู่เว็บไซต์" ในหลายประเทศ และนับตั้งแต่ที่ทางการสวีเดนมีนโยบายที่ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าถึงแหล่งที่มาของข้อมูลต่างๆ สวีเดนจึงเป็นประเทศที่เหมาะสมต่อการใช้เก็บและรวบรวมเอกสารและข้อมูลลับเป็นอย่างยิ่ง



    [​IMG]
    บรรยากาศด้านนอกของ "วิกิลีกส์"



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    สภาพแวดล้อมในการทำงานทั่วไปให้ความรู้สึกเหมือนทำงานท่ามกลางป่าเขาและสายหมอก



    [​IMG]

    [​IMG]

    "วิกิลีกส์" : ห้องแห่งความลับของโลก : มติชนออนไลน์=
     
  13. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    Wikileaks นอกจากจะเป็นจอมแฉแล้ว น่าจะมีคนเอาWikileaksออกมาแฉเสียบ้างแบบนี้ละครับ คนรับข่าวสารจะได้มองเหรียญสองด้าน

    ถ้าเค้าทำเป็นธุรกิจแบบเอาจริงเอาจังแบบธุรกิจดอทคอมแล้วละก็ การมีห้องทำงานที่เลิศหรูแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

    แต่ถ้าเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์โดยไม่หวังผลตอบแทนแล้วละก้อ น่าคิดเหมือนกันครับ ! .. ว่าเค้าเอาเงินทุนจากไหนมาทำ

    ดูแล้วไม่น้อยเลยครับ

    แล้วจุดประสงค์หลักของเค้าคืออะไรกันแน่ โปรดติดตามอย่างใกล้ชิด !!
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center></TD><TD vAlign=center>เศรษฐกิจอเมริกาในมุมมองของผม โดย Putsiland

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    กันยายน 25, 2008
    เริ่มต้น

    ปัญหาหลักๆสำคัญที่มีผลต่อเศรษฐกิจมีดังนี้
    ๑.ปัญหาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย(สำหรับการพานิชย์ยังแข็งแรงอยู่ครับ)
    ๒.ปัญหานำ้มันที่มีราคาสูงขื้นทุกวัน
    ๓.ปัญหาคนตกงานเพระจ้างคนต่างชาติทดแทน(Out Sourcing )

    -ปัญหาที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยเกิดจากคนที่ซื้อบ้านเกินกำลังที่ตนเองจะผ่อนได้
    เหตุเกิดจากรัฐบาลได้ลดอัตตราดอกเบี้ยลงตำ่มากประมาณ ๕.๕% เพี่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชบเซาให้ดีขึ้น
    ผู้คนก็แห่กันไปซี้อครับ บางตนมีบ้านอยู่แล้วก็ขายบ้านตัวเองเพี่อที่จะไปซื้อบ้านที่หลังใหญ่กว่า หรีอเอาบ้านที่มีอยู่
    ไปรีไฟแนนย์เพี่อจะเอาไปดาวย์บ้านหลังที่สอง โดยใช้วิธีกู้ยืมในแบบอัตตราปรับเปลี่อนได้(Adjustable Rate)
    ซึ่งเป็นการกู้เงินที่ผิดวิธีสำหรับคนที่ไม่ใช่นักลงทุน การกู้เงินแบบอัตตราปรับเปลี่อนได้นั้นอัตตราดอกเบี้ยจะตำ่
    และคงที่แค่๕ปีแรกเท่านั้นหลังจากนั้นอัตตราดอกเบี้ยจะขึ้นลงตามสภาพตลาด คนที่กู้เงินแบบนี้คือคนที่ซี้อบ้านมาเพี่อที่
    ตั่งใจจะขายภายใน๕ปี แต่คนก็ยังซึ้อเพราะโลภที่อยากได้บ้านที่ใหญ่กว่าหรีอบ้านหลังที่สองและเห็นว่าดอกเบี้ยตำ่
    บางคนที่ซึ้อเพราะลงทุนก็มีเยอะครับแต่ปล่อยออกไม่ทันในที่สุดก็ต้องโดนยึดเป็นปัญหาใหญ่ไปทั้งประเทศ

    ปัญหาเรี่องนี้ส่วนมากจะเกิดทางใต้ของประเทศในรัฐที่ค่อนข้างใหม่หรีอเป็นเมีองท่องเที่ยวหรีอเป็นเมีองตากอากาศ
    อย่างเช่นฟอร์ลิด้าหรีอ เนวาด้า (ลาสเวกัส) หรีออย่างเมีองที่เพิ่งจะบูมย์เมี่อ๔-๕เมี่อไม่นานมานี้อย่างแอดย์แลนย์ต้า
    และอีกที่ๆเป็นหนักเลยคีอ California ครับ
    อย่าง ลาสเวกัสนี่เพิ่งบูมย์เมี่อ๒๐กว่าปีมานี้เองบ้านส่วนมากยังผ่อนไม่หมดเลย บางคนยังผ่อนดอกเบี้ยอยู่เลยด้วยซำ้
    แล้วอยู่ๆก็ถูกกินสองต่อแบบไม่ได้ตั่งตัว คีออย่างนี้ครับ สมมุติว่าผมซี้อบ้านมาในราคา๕๐๐,๐๐๐เหรียญ ผมวางดาวย์
    ๒๐% เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐เหรียญ ตกลงผมเป็นหนี้แบงย์๔๐๐,๐๐๐เหรียญ หลังจากที่ผมอยู่ได้๖เดีอนเศรษฐกิจตกตำ่มูลค่า
    บ้านตกลงไป๕๐% ตอนนี้บ้านผมมูลค่าเหลีอ๒๕๐,๐๐๐เหรียญ แต่ผมติคหนี้แบงย์อยู่๔๐๐,๐๐๐เหรียญและเงินดาวย์
    ที่จมอยู่ในบ้านอีก เมี่อสถานะการณ์เป็นอย่างนี้มีทางเลีอกอยู่สองทางครับ อย่างแรกคีอปล่อยแบงย์ยึดอย่างที่สองคีอ
    แจ้งล้มละลายครับพี่น้อง แต่ในส่วนของฝั่งอิสห์โค้ดจาก วอย์ชิงตันดีซีจนถึงย่านนิวอิงย์แล่นย์ขึ้นไปยังดีอยู่ครับ
    ถ้าจะลดก็ไม่น่าเกิน๕%อะไรทำนองนั้น จะบางช่วงราคาขึ้นไปด้วยซำ้ อย่างช่วงนิวย์ยอร์คขึ้นไปจนถึงคอนเนคร์ติกัด
    เพราะมีนักลงทุนต่างชาติส่วนมากจากยุโยปเข้ามาลงทุนเยอะมากราคาจึงสูงขึ้นตามความต้องการ
    ย่านแถวๆนี้ฝรั่งเรียก OLD MONEY ครับคีอเป็นย่านที่ครอบครัวมีความมั่นสูงคีอถ้าไม่รวยมากก็ไม่ภาระหนี้สินติดตัวมากจนเกินไป
    เพราะอยู่แถวนี้มา๒-๓ เจนย์เนอเรชั่นแล้ว ไม่มีหนี้สินบ้านที่ต้องผ่อนเพราะบ้านผ่อนหมดตั่งแต่สมัยปู่จนตกมาถึงพ่อแล้วมาถึงคนรุ่นปัจจุบัน
    คนในย่านนี้มีการศึกสูงและฐานะดี เด็กๆฝรั่งที่ทำงานกับผมช่วงซัมเมอร์ย้ายไปอยู่บ้านชายทะเลกันหมด ผมเคยสงสัยเหมีอนกันว่าอายุยังน้อย
    มีบ้านติดทะเล ถามไปถามมาเป็นของปู่ของพ่อส่งต่อกันครับ เมี่อชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับดอกเบี้ยก็ไม่มีอะไรเดีอดร้อน
    คนแถวๆนี้ถึงเดือดร้อนไม่มาก
    สถาบันอันสุดท้ายที่เป็นตนเหตุและน่าโดนด่าที่สุดคีอแบงย์ครับที่คนทั้งประเทศโมโหกันอยู่ตอนนี้ เพราะแบงย์ปล่อยเงินกู้กับคนที่เดรดิคไม่ดีหรีอ
    ไม่มีคุณสมบัติที่จะกู้ได้แต่กลับปล่อยกู้ ที่ว่าน่าด่าที่สุดเพราะถ้าแบงย์ไม่ปล่อยเงินกู้ไร้สาระแบบนี้ปัญหาก็ไม่เกิดมากขนาดนี้
    แล้วพอมีปัญหาแก้ไม่ได้ก็ปัดภาระมาที่รัฐบาล แล้วรัฐก็มาเอาภาษีของประชาชนไปจ่าย ทำให้ตอนนี้เงินช่วยเหลีอเร่งด่วนที่กระทรวงการคลัง
    ขอไป๗๐๐,๐๐๐พันล้านเหรียญนั้นค่อนข้างจะลำบากด้วยเหตุผลดังนี้
    ๑.ถ้าอนุมัติเงิน๗๐๐,๐๐๐พันล้านเหรียญจะเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นมาทันที(เพราะลูกพี่ผมอยากได้เงินก็พิมย์แบงย์เองเลยอย่างที่รู้ๆ)
    ราคาสินค้าในตลาดสูงขึ้นถีง๒-๓เท่าตัว ค่าเงินดอลย์ล่าจะลดลงอวบฮาบ เพราะมีเงินมากเกินไปในตลาด
    ๒.แต่ถ้าไม่อนุมัติอีกไม่มานหลายแบงย์ที่ไม่สามารถพยุงภาระหนี้สินต่อไปได้ก็ต้องประกาศล้มละลายและเป็นปัญหาลูกโซ่ในเวลาต่อมา
    ๓.คนอเมริกาในส่วนที่ไม่ได้สร้างปัญหาเกี่ยวกับหนี้สินก็ตั้งคำถามว่าทำไมพวกเขามารับผิดชอบกับปัญหาที่เขาไม่ได้ก่อ โดยเฉพาะสถาบันการเงินเต่างๆ
    ที่สร้างปัญหาแล้วโยนให้คนอี่นรับผิดชอบ เพราะเงินภาษี๗๐๐,๐๐๐พันล้านที่ขอมานี้เพี่อจะเอาไปจ่ายหนี้ให้กับแบงย์ล้วนๆ ครับ

    -ราคานำ้มัน
    ประเทศอเมริกานำเข้านำ้มันจากต่างประเทศปีละ ๗๐๐ พันล้านเหรียญเพราะสังคมของอเมริกาเป็นสังคมต้องใช้รถ ไม่นับเมีองนิวย์ยอค(New York City)
    ถ้าไม่มีรถอยู่ที่นี่ค่อนค้างลำบากครับ นับถอยหลังไปเกีอบ๒ปีก่อนตอนนำ้มันเริ่มขึ้นใหม่ๆผู้คนเริ่มกังวลถึงขนาดในช่วงฤดูร้อนปีนั้นผู้คนไม่เดินทางไกล จะพักผ่อนอยู่แถวๆบ้านเพราะกังวลบวกกับความกลัวไม่รู้ว่าสถานะการณ์จะเลวร้ายไปกว่านี้หรีอไม่ซึ่งตอนนั้นราคานำ้มันขึ้นจาก๒เหรียญกว่าหน่อยๆไปจนถึง๓เหรียษกว่าต่อGallon หลังจากนั้นฤดูร้อนปีต่อมานำ้มันขึ้นไปถีง๔เหรียญต่อ Gallonคนขับรถกันทั้งประเทศเพราะเลิกกังวลยังไงมันก็ขึ้นอยู่แล้ว
    มัวนั่งกลัวกันอยู่ก็ไม่ต้องทำอะไร มีผู้ใหญ่ที่เป็นอเมริกันที่สนิทกับถามผมว่าจะกังวลไปทำไมยังไงนำ้มันก็ขึ้นราคาเพราะเราซี้อนำ้มันถูกมาตั่งนานแล้ว
    แกยกตัวอย่างง่ายๆประเทศในยุโยปอย่างเซ่น ไอแลนย์นำ้มันที่นั่นGallonละ ๘ เหรียญกว่าๆแล้วเราไปมีสิทธิพิเศษอะไรไปซี้อนำ้มันถูกกว่าชาวบ้านเขา
    ตอนนี้ผ่านฤดูร้อนปีที่๓ นำ้มันที่ขี้นไปเกิน ๔ เหรียญกว่าก็ต้องลดลงมาเหลีอ ๓ เหรียญกว่าเพราะทนเสียงด่าไม่ไหว และบริษัทนำ้มันก็หมดมุขแต่งนิยายหรอกเด็กว่าทำไมนำ้มันขึ้นกันได้ทุกวันทุกวัน ซำ้ที่ร้ายกว่านั้นคีอเศรษฐกิจยำ่แย่กันไปทั้งประเทศแต่บริษัทนำ้มันทำกำไรมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

    เมี่อประเทศมีปัญเกี่ยวกับพลังงานนำ้มันทำให้มีการผลักดันให้มีการหาทางเลีอกอย่างอี่นที่มาทดแทนนำ้มันที่แพงเกินความจำเป็น จนเมี่อประมาณ ๒ เดีอนที่ผ่านมาผมนอนดูทีวีตอนดึกอยู่ดีๆก็มีโฆษณาที่ผมไม่คิดว่ามาเร็วขนาดนี้คีอ Fuel Cell Car หรีอรถที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ที่ใช้นำ้เป็นตัวกลั่นแล้วแยกไฮโดรเจนเพี่อขับเคลี่อนรถ (Hydrogen Vehicle ). ไม่ได้ตี่นเต้นที่เห็นรถนะครับแต่ตี้นเต้นที่ว่าพี่หลุดออกมาขายได้ไง.

    President Obama สั่งเตรียมแผนถอนทหารภายใน๑๖เดีอน
    ปัญหาเศรษฐกิจของอเมริกามีผลกระทบต่อยุโรป
    และมาถึงเอเชีย ข่าวล่าสุดตลาดหุ้นที่ฮ่องกง (HSI)เริ่มมีปัญหาแล้ว
    และที่ร้ายกว่านั้นคือ อเมริกางดนำเข้าสินค้าจากจืนถึง๔๐%แล้ว
    ลูกน้องผมเพิ่งกลับมาจากเมีองจีน บอกผมว่าโรงงานในจีนที่คนฮ่องกงเป็นเจ้าของ
    ปิดหมดแล้ว เขาหนีไปเปิดแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นะครับ

    ส่วนสงครามศาสนานั้นไม่ต้องห่วงครับ
    ปัญหานี้มีมาตั้งแต่พี่กับผมยังไม่เกิด
    แล้วถ้าวันหนี่งพี่กับผมตายจากโลกนี้ไป
    ปัญหานี้ก็ยังอยู่ให้ปวดหัวต่อไป
    แถวๆนั้นเขาก็ยิงเป็นกิจวัตรประจำวันกันอยู่แล้ว
    จะยิงจริง ยิงเล่น ยิงให้ราคานำ้มันมันสูงขึ้น
    ยิงเพี่อของบประมาณ หรีอยิงเพี่อรักษาเอกภาพในคินแดนของตนเอง
    เขาก็ทำได้แค่ยิงกันนะครับ
    ส่วนที่กลัวว่าวันดีคีนดีประเทศในตะวันออกกลางประเทศใดประเทศหนึ่ง
    เกิดใจกล้ากคขีปนาวุทธไปอิสราเอลขึ้นมาจะทำอย่างไร
    ผมขอยกคำตอบเพี่อนผมที่เป็นยิวเคยตอบผมไว้ดังนี้ครับ

    อิสราเอลมีเรีอดำนำ้ตึดขีปนาวุทธอยู่เกีอบร้อยลำ
    โดยสมมุทติฐาน ถ้าประเทศตะวันออกกลางประเทศใดประเทศหนึ่ง
    เกิดยึงขีปนาวุทธใส่อิสราเอลขึ้นมา
    ช่วงจรวดวิ่งสู่อากาศเข้าหาเป้าหมาย
    เรีอดำนำ้ติดขีปนาวุทธของอิสราเอลจะปล่อยสู่ทะเล
    ถึงฝ่ายตรงข้ามจะหาหยุดเรีอดำนำ้แต่จะหยุดลำไหนก่อนละครับ
    หลังจากนั้นเรีอทุกลำยิงขีปนาวุทธตรงไปทุกประเทศในตะวันออกกลาง
    ร้ายแรงขนาดไหนไห้๒ลูกที่ฮิโรชิม่าครับ นั่นแค่๒ลูกนะครับ
    เค้าโม้ให้ฟังในวงเหล้าว่า ถ้ายิงขึ้นมาจรึงๆอย่างแรกที่เกิดคีอ
    ประเทศในตะวันออกกลางหายไปหมดในพริบตา
    อย่างที่สองแรงสั่นสะเทีอนขนาดนั้นบวกกับอานุภาพของกัมภาพรังสี
    ของระเบิดขีปนาวุทธเกีอบร้อยลูก เราตายกันหมดทั้งโลกละครับ
    นี่คีอเหตุผลว่าประเทศในแถบนั้นโดนจับตามมองเป็นพิเศษ
    แค่ได้ยึนข่าวประเทศใดในแถบนั้นแค่พยายามสร้างหรีอมีพรูโตเนียม
    ไว้ครอบครอง ไม่อเมริกาก็อิสราเอลส่งทหารเข้าไปจัดการทันที
    ก่อนที่จะเป็นปัญหาใหญ่สายเกินแก้ เพระไม่มีไครอยากจะเอาชีวิตไปเสี่ยงเพระ
    เพี่อนบ้านสองคนทะเลอะกันหรอกครับ

     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โดย คุณ bum
    เผื่อใครอยากรู้เกี่ยวกับประวัติของชาวยิว และสถานกักกันที่ ทูไนท์โชว์นำมาออกอากาศเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว
    ใครว่างมากก็นั่งอ่านนะจ๊ะ
    <STRONG jQuery1240040951546="2117">ประวัติศาสตร์ยุโรปโบราณมีปรากฎว่าชนชาติยิวคือ</STRONG> ชนหมู่น้อยชั้นต่ำระดับทาสแรงงาน ทำให้ถูกดูแคลนและกลั่นแกล้งเรื่อยมา แต่กระนั้นความเคร่งครัดศรัทธาที่มีต่อศาสนายิวได้กลายเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งชนชาติและเป็นโล่ต้านชะตากรรมอยู่เสมอ เมื่อยุโรปเข้าสู่ยุคคริสต์ศาสนาเรืองอำนาจ ชาวยิวในยุโรปกลับยิ่งถูกเกลียดชังมากยิ่งขึ้น ด้วยการถูกประนามว่า คนยิวคือผู้ทรยศ ยิวคือ "ผู้สังหารพระคริสต์" กระแสความเกลียดชังต่อต้านคนยิว [anti-Semitism] ไหลซึมผ่านกาลเวลามาตลอดประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นตัวสร้างกระแสการเกลียด “ ยิว” จนนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว ต่อมาจนมาถึงศตวรรษที่19 ประเทศเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง Adolph Hitler (1898-1945) ผู้นำพรรคนาซีเริ่มแผนรณรงค์ต่อต้านคนยิวอย่างเป็นระบบ เริ่มด้วยการนิยามคำว่า " คนยิว" ตามสายพันธุ์ อันเป็นการโหมโรงของกฎหมายและคำสั่งต่อต้านคนยิวโดยเฉพาะที่จะมีตามมาอีกนับ ไม่ถ้วน ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 Adolph Hitler ได้เริ่มเคลื่อนย้ายชาวยิวไปแออัดรวมกันอยู่ในเขตที่เรียกว่า"ghetto" [เก็ตโต้] มีการสร้างกำแพงและล้อมรั้วลวดหนามแน่นหนา กลายเป็นเขตสลัมจากผลทางการเมืองที่มีสภาพแร้นแค้นอัตคัด ถูกจำกัดสิทธิ์ในทุกด้าน สินค้าที่ผ่านตลาดมืดเข้ามาในเขตกักกันมีราคาสูงลิบลิ่ว ต่อมาถูกเรียกว่า "death camp" หรือ "ค่ายมรณะ" เหล่านี้ เป็นค่ายที่ถูกสร้างขึ้นบนแผ่นดินประเทศโปแลนด์ในระหว่างถูกยึดครอง มีห้องที่ทำขึ้นพิเศษสำหรับรมแก๊สพิษเพื่อการสังหารโดยที่เหยื่อจะไม่ทราบล่วงหน้าเลย ทหาร นาซีจะนำตัวผู้ถูกกักกันไปยังห้องที่มีลักษณะคล้ายห้องอาบน้ำรวม มีฝักบัวติดไว้ให้อาบ ทุกคนจะได้รับแจ้งว่ากำลังจะถูกทำการชำระล้างเพื่อฆ่าเชื้อโรค หลังจากเสียชีวิตจากแก๊สพิษหมดแล้ว ศพจึงถูกนำไปกองเผาในโรงเผาอีกทีหนี่ง คนยิวที่ยังเหลืออยู่ภายนอก มักจะมองปล่องควันไฟเหล่านี้ด้วยความสงสัยผสมกับความกลัวโดยที่ไม่ทราบถึงความตายที่กำลังรออยู่นี้
    [FONT=Georgia, Times New Roman, Times, serif]เส้นผมของยิวจะถูกโกนออกทุกคน เพื่อนำไปใช้ในการทอเป็น[/FONT]พรม
    <STRONG jQuery1240040951546="2144">เมื่อสงครามสงบลงในปี 1945</STRONG> เหตการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของนาซีเยอรมนีต่อคนยิวครั้งนี้ ถูกเรียกว่า Holocaust ["การเผาผลาญจนสิ้น"] มีผู้ประมาณว่า จำนวนตัวเลขคนตายจากการนี้มีถึงเกือบ 6 ล้านคน ราว 3 ล้านคนถูกฆ่าในค่ายกักกันมรณะ ราว 1.4 ล้านคนถูกยิงตาย และอีก 6 แสนคนต้องตายเพราะทนสภาพในเขตกักกันไม่ไหว แม้ ว่าจะมีผู้ตกเป็นเหยื่อในการฆาตกรรมหมู่ด้วยจำนวนที่มากมายเพียงนี้ แต่กว่าที่จะมีความพยายามในการค้นหาหลักฐานและสืบหาความจริงอย่างจริงจังของ เหตุการณ์ Holocaustกลับต้องใช้เวลาถึงเกือบยี่สิบปี มิเช่นนั้น เรื่อง นี้อาจจะต้องกลายสภาพไป เหลือเป็นเพียงตำนานที่มิอาจพิสูจน์ได้ว่าจริงเนื่องจากหลักฐานพยานส่วนใหญ่ มักจะเป็นเพียงคำบอกเล่าของพยานชาวยิวที่สามารถเอาชีวิตรอดพ้นมาได้เท่านั้น
    เหตุการณ์นี้เป็นการกระทำที่มองมนุษย์ว่ามีค่าต่ำกว่า โดยพวกยิวถูกฆ่าอย่างเ***่ยมโหทารุณ ซึ่งเป็นการกระทำที่เหมือนมิใช่มนุษย์ เหตุการณ์ นี้เมื่อได้เปิดเผยออกสู่สาธารณชน สร้างความสะเทือนใจอย่างมากจนนำไปสู่การออกปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน คุ้มครอง ส่งเสริม สิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่มนุษย์ทุกคนมีได้อย่างเท่าเทียมกันและเสมอภาคกัน โดยที่คนอื่นไม่สามารถจะมาละเมิดได้
    ในสมัยนั้นในความคิดของ ชาวนาซี คิดว่า ชาวยิว ไม่ใช่มนุษย์จึงได้กระทำการเช่นนี้ แล้วหลังจากนั้นจึงได้มีการ เรียกร้องและพูดถึงเรื่องของ "สิทธิมนุษยชน" และแผนการที่จะล้มล้าง ผู้นำนาซี ด้วย.

    หมายเหตุ จุดเริ่มต้นของ คำว่า สิทธิมนุษยชน(Human Rights) หมาย ถึง สิทธิของความเป็นมนุษย์ ในอดีตยังไม่เป็นที่แพร่หลาย จนภายหลังที่ได้มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติแล้ว คำว่า สิทธิมนุษยชน จึงได้ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ในกฎบัตรสหประชาชาติได้กล่าวถึงสิทธิมนุษยชนไว้หลายแห่ง เช่นในอารัมภบท ได้กล่าวถึงความมุ่งหมายของสหประชาชาติไว้ว่า
    “เพื่อเป็นการยืนยันและให้การรับรองถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ในศักดิ์ศรีและคุณค่าของมนุษยชาติ"

    <STRONG jQuery1240040951546="2297">จำนวนผู้เสียชีวิต



    </STRONG>จำนวนที่แน่นอนของผู้ที่เสียชีวิตจากน้ำมือของนาซีอาจจะไม่มีใครล่วงรู้ แต่เชื่อว่ามีจำนวนผู้เคราะห์ร้าย ดังนี้
    • 5-6 ล้านคน เป็นชาวยิว ซึ่งประกอบด้วยชาวโปแลนด์ที่เป็นยิว 3 ล้านคน
    • 1.8-1.9 ล้านคน เป็นชาวคริสเตียนและผู้คนที่ไม่ใช่ชาวยิว แต่ต่อต้านพรรคนาซีและถูกนาซียึดครอง
    • 200,000-800,000 คน เป็นชาวโรมันและชาวยิปซี
    • 200,000-300,000 คน เป็นผู้ที่ไม่มีประโยชน์ในการใช้แรงงาน
    • 80,000-200,000 คน เป็นผู้ที่มาจากสมาคมของยุโรปที่ต่อต้านการกระทำของพรรคนาซี
    • 100,000 คน เป็นผู้ที่นับถือลัทธิคอมมิวนิสต์
    • 10,000-25,000 เป็นพวกรักร่วมเพศ
    • 2,500-5,000 เป็นชาวคริสเตียน นิกายพยานของพระยโฮวา (Jehovah's Witnesses)
    รูล ฮิลเบิร์ก เจ้าของผลงานหนังสือ The Destruction of the European Jews (การสังหารชาวยุโรปเชื้อสายยิว) คาดว่ามีชาวยิวทั้งหมด 5.1 ล้านคนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์การล้างชาติพันธุ์ของนาซี จากสถิติกล่าวไว้ว่า มากกว่า 8 แสนคน เสียชีวิตจากบริเวณเกท-โทและความขาดแคลน, 1.4 ล้านคนเสียชีวิตเพราะถูกยิงทิ้งกลางแจ้ง และมากกว่า 2.9 ล้านคน เสียชีวิตอยู่ในค่ายกักกันนั้นเอง ฮิลเบิร์กประมาณการว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตในประเทศโปแลนด์เป็นจำนวนมากกว่า 3 ล้านคน ตัวเลขที่ฮิลเบิร์กนำมาพิจารณานี้ได้มาจากบันทึกเท่าที่หาได้ จากแหล่งที่น่าเชือถือ


    [FONT=Georgia, Times New Roman, Times, serif]ประวัติศาสตร์ของชาวยิว[/FONT]

    [FONT=Georgia, Times New Roman, Times, serif]ประวัติศาสตร์ของชนชาติยิวนั้นน่าสนใจมาก ทั้งที่เจอโศกนาฎกรรมผลัดถิ่นระหกระเหเร่ร่อนจากถิ่นฐานเดิมบริเวณทะเลแดงกว่าสองพันปี กระจัดกระจายไปยังที่ต่างๆ แต่ไปอยู่ที่ไหนก็มักถูกรังเกียจถูกขับไล่ให้อพยพถิ่นฐานอยู่เรื่อยๆ แต่ว่าเขายังสามารถรักษาความเป็นชาวยิวเอาไว้ได้ จนกระทั่งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องประสบเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ ถูกนาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปกว่า 6 ล้านคน หลังสงครามชาวยิวทั่วโลกจึงรวมพลังร่วมตัวกันก่อตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นมา (โดยความเห็นชอบขององค์สหประชาชาติ) หลังจากที่ต้องเร่ร่อนไม่มีแผ่นดินของตัวเองกว่าสองพันปี ถึงแม้มีประเทศเอกราชเป็นของตัวเองแล้ว แต่ชาวยิวยังต้องยืดยัดต่อสู้กับประเทศอาหรับที่เป็นศัตรูรอบด้าน สัดส่วนประชากรชาวอิสราเอลต่อประชากรชาวอาหรับที่รายล้อมรอบด้านนั้นต่างกันหลายสิบเท่าตัว แต่ชาวยิวก็สู้ได้และไม่เคยแพ้เลยสักครั้งเดียว [/FONT]





    [FONT=Georgia, Times New Roman, Times, serif]น่าสนใจมั้ยว่าอะไรเป็นแรงขับเคลื่อนให้ชาวยิวแกร่ง ฉลาด และฝ่าฟันเคราะห์กรรมครั้งแล้วครั้งเล่าจนดำรงชนชาติของตัวเองมาได้กว่าสองพันปี แล้วน่าแปลกมั๊ยครับว่าอะไรคือจุดด้อยที่ทำให้ชาวยิวต้องเจอกับปัญหาเป็นระยะๆ ตลอดสองพันกว่าปีมานี้ ตั้งแต่ในยุคโบราณแรงขับเคลื่อนของชาวยิวนั้นคือความอยู่รอด ชาวยิวไม่มีถิ่นฐานเป็นของตัวเอง ถ้าไม่สู้ก็ตายแน่ไม่มีกินแน่ ดังนั้นจึงต้องสู้แบบหลังชนะฝา สู้เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง พอสู้แล้วก็ต้องคอยระวังว่าจะถูกคนอื่นเขาจะมาขับไล่อีกรึเปล่า ชาวยิวจึงต้องเลือกอาชีพที่เหมาะสมกับสถานะการณ์ ดูว่าอาชีพไหนที่เคลื่อนย้ายอพยพได้อย่างรวดเร็วเมื่อภัยมา พอเป็นอย่างนี้การเกษตรถูกตัดทิ้งไปโดยปริยาย ขืนไปทำไร่ไถนาที่ดินมันยกหนีได้ซะที่ไหน ชาวยิวจึงเลือกอาชีพที่มีความคล่องตัวสูงอพยพได้เร็วเช่นค้าขายอัญมณี สินแร่ที่มีมูลค่าสูงเป็นต้น เพราะถ้าโดนรุกรานต้องย้ายถิ่นฐานก็เอาเพชรพลอยใส่ห่อไปได้เลย หรือวิชาความรู้ที่ติดอยู่ในสมองเป็น Tacit Knowledge จะอพยพถิ่นฐานไปไหนวิชาก็ติดตัวไปด้วย และยิ่งชาวยิวเป็นชนชาติที่ถูกคนอื่นรังเกียจ ดังนั้นพวกเขาต้องเลือกวิธีการที่ว่าไม่ว่าใครเขาจะชอบหรือไม่ชอบเราก็ตาม แต่เขาต้องยินดีรับเราไว้ กลายเป็นหมากบังคับไปเลยที่ชาวยิวต้องฝึกฝนทักษะ ความรู้ technical skill และ soft skill ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจด้านการค้า ไม่ว่าเจ้าผู้ครองนครหรือกษัตริย์ของประเทศไหนในยุโรปก็ตาม ถึงแม้จะไม่ชอบชาวยิวนัก แต่ถ้าหากต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศตัวเองดีละก็ จำเป็นต้องรับชาวยิวเข้ามา เพราะชาวยิวเข้าไปปั๊บเขามีเน็ทเวิร์คกระจายไปทั่วในหมู่ชาวยิวด้วยกัน (แม้ว่าจะอยู่คนละแคว้นคนละประเทศก็ตาม) เดี๋ยวเศรษฐกิจประเทศนั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง พวกชาวยิวจึงเป็นผู้วางรากฐานการค้า การเงิน การคลังของประเทศนั้นๆ แต่พอทำความเจริญให้ประเทศเขาสักพักหนึ่ง เขาก็หาเรื่องบีบบังคับให้ชาวยิวต้องอพยพเร่ร่อนไปที่อื่นอีก [/FONT]

    [FONT=Georgia, Times New Roman, Times, serif]ด้วยสถานะการณ์ที่บีบบังคับเป็นวัฎจักแบบนี้ นิสัยชาวยิวจึงหันเข้าพึ่งผู้มีอำนาจเสมอ แต่หากเจ้าผู้ครองแคว้นหรือผู้มีอำนาจนั้นสิ้นบุญไป ผู้มีอำนาจคนใหม่ขึ้นมาแทนแล้วเกิดไม่โปรดชาวยิวขึ้นมา ชาวยิวก็ต้องถูกบีบให้อพยพไปที่อื่น (เข้าข่ายฟันแล้วหน่าย เบื่อแล้วทิ้งรึเปล่านี่) ดังนั้นชาวยิวจึงต้องเค้นสมองใช้ความคิดสร้างวิชาที่เป็น Tacit Knowledge ติดตัวอยู่ตลอดเวลา ให้ผู้มีอำนาจต้องตกอยู่ในสภาพถึงแม้ใครจะไม่ชอบฉันแต่ยังง๊ายยังงายก็ต้องใช้ฉัน เข้าทำนอง “ถึงไม่รักแล้ว ก็ทิ้งไม่ลง” เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ละก็ชาวยิวโดนเล่นแบนติดดินแน่ พอยุคสมัยเปลี่ยนไประบอบการปกครองก็เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบบประชาธิปไตย กฎหมายจึงมีความหมายสำคัญมาก ชาวยิวก็หันมาจับเรื่องกฎหมาย อย่างในสหรัฐอเมริกาเราจะเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ด้านการเงินการพานิชย์ ด้านการศึกษา ด้านการค้าระหว่างประเทศ เป็นลูกหลานเชื้อสายชาวยิวทั้งนั้น เขาจะจับสิ่งเหล่านี้ที่มี impact หลักต่อประเทศ อย่างสื่อยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่เป็นของชาวยิว ถึงแม้เขามีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับคนเชื้อสายอื่นในอเมริกา แต่ชาวยิวเขาคุมสื่ออยู่และสามารถชี้นำมติมหาชนในอเมริกาได้ เกิดสงครามยิวกับชาติอาหรับทีไร เราจะเห็นว่ามติมหาชนของอเมริกาจะหนุนชาวยิวเสมอ และเมื่ออิสราเอลมีเรื่องกับใคร ไม่ว่าสังคมโลกจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม สหรัฐอเมริกาจะยืนอยู่ข้างอิสราเอลทุกครั้ง คนยิวเหล่านี้ที่แม้จะมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับชนชาติอื่นในโลก แต่ก็ได้ควบคุมกลไกสำคัญต่างๆ ของประเทศมหาอำนาจที่มีผลต่อความดำรงอยู่หรือความล่มสลายของชนชาติตัวเองได้ ทั้งหมดนี้มาจากรากฐานของแรงขับเคลื่อนที่ชาวยิวมีกว่าสองพันปีที่แล้วคือ...ถ้าสู้ไม่ได้ตายแน่...มันเลยจำเป็นต้องสู้ [/FONT]

    [FONT=Georgia, Times New Roman, Times, serif]การต่อสู้ของชาวยิวนั้นสามารถนำมาเปรียบเทียบกับหลักธรรมพระพุทธศาสนาว่าด้วยอิทธิบาท 4 (ฉันทะ - จิตตะ - วิริยะ - วิมังสา) แรงขับเคลื่อนเพื่อความอยู่รอดทำให้ชาวยิวเห็นประโยชน์ของการต่อสู้การทำงานนั่นคือความอยู่รอด พอเห็นประโยชน์ฉันทะหรือความพอใจในภาระกิจของตนจะเกิดทันที จิตตะคือความจดจ่อ วิริยะคือความพากเพียรในการต่อสู้การดำรงชนชาติก็ตามมา และวิมังสาก็เกิดเป็นลำดับสุดท้ายเมื่อต้องพินิจพิจารณาปรับปรุงหาวิธีการพัฒนาตัวเองให้เฉียบคมกว่าชนชาติอื่น จะจับเรื่องอะไรต้องให้เก่งที่สุด ให้เป็นสุดยอดของสุดยอดในเรื่องนั้นๆ ตามหลักที่ว่าถึงเธอจะไม่รักฉัน แต่เธอก็ทิ้งฉันไม่ได้ นี่คือยุทธศาสตร์ของชาวยิวตลอดกว่าสองพันปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน [/FONT]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2010
  16. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    ปีหน้าทุนอันตราย


    • 16 ธันวาคม 2553 เวลา 07:16 น.






    บอกตรงๆ ว่าช่วงนี้ต้องจับตากับความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด กันแบบไม่กะพริบ เพราะตอนนี้ยิ่งสหรัฐขยับตัวทำอะไรกับเศรษฐกิจ ก็ยิ่งง่ายที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในทันที
    โดย...ธนพล ไชยภาษี


    [​IMG]
    บอกตรงๆ ว่าช่วงนี้ต้องจับตากับความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด กันแบบไม่กะพริบ เพราะตอนนี้ยิ่งสหรัฐขยับตัวทำอะไรกับเศรษฐกิจ ก็ยิ่งง่ายที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในทันที
    เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐก็ประชุมผู้กำหนดนโยบายรอบสุดท้ายของปี 2010 นี้ ได้ผลออกมาก็ทำให้เศรษฐกิจโลกหวาดเสียวกันเล่นๆ อีกครั้ง
    คือเฟดบอกว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ แม้ว่าจะยังอยู่ในโหมดฟื้นตัว การฟื้นตัวนั้นยังไม่รวดเร็ว ไม่แกร่งพอ
    นั่นหมายถึงว่าเฟดจะ...
    1.คงดอกเบี้ยที่ 00.25% ต่อไปอีกนานทีเดียว
    2.เฟดจะเดินหน้านโยบายผ่อนปรนทางการเงินเชิงปริมาณ หรือ Quantative Easing 2 มูลค่า 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ต่อไปเรื่อยๆ
    เฟดยังบอกด้วยว่า เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังที่การฟื้นตัวเป็นไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจกันต่อไป โดยเฉพาะกับมาตรการ QE2 ที่เฟดจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อกดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำไป เรื่อยๆ
    ซึ่งแน่นอนว่ามาตรการดังกล่าว ดังที่รู้กันดีว่าจะทำให้ทุนไหลทะลักจากสหรัฐไหลไปไหนบ้าง
    1.ไหลมายังเอเชีย และประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ทำให้ค่าเงินในเอเชียแข็งปั๋งปีหน้าปัญหาค่าเงินน่าจะรุนแรงกว่านี้
    2.ไหลไปยังตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย น้ำมัน ทอง ราคากำลังพุ่งอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงสำหรับปีหน้าที่ต้องระมัดระวังกันมากขึ้นครับ
    เท่านี้ยังไม่พอ เมื่อก่อนหน้านี้ นายเบน เบอร์แนนคี ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ เจ้าของตำแหน่งผู้ทรงอิทธิพลของโลกจากนิตยสารไทม์เมื่อปีที่แล้ว ก็เคยพร่ำออกมาว่า ยังมีความเป็นไปได้ว่าเฟดจะใช้มาตรการ QE3 ออกมาด้วย
    ถ้าเป็นจริง ก็ถือเป็นข่าวร้ายของเอเชีย 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ก็เพียงพอที่จะทำให้เอเชียกระอักกับค่าเงินกันพอสมควรแล้วในช่วงครึ่งหลัง ของปีนี้
    หากสหรัฐยังจะโปรยเงินเล่นอีกระลอกใหญ่ ปีหน้าจะถือเป็นปีที่เอเชียต้องกระอักกับปัญหาค่าเงินที่น่าจะรุนแรงมากกว่านี้ครับ
    เตรียมตัวกันให้ดีครับ

    ปีหน้าทุนอันตราย
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    Insider by Lindsey Williams

    [FONT=&quot]โพสต์ นี้จะเป็นการถอดความจากบทสนทนาระหว่าง Alex Jones และ Lindsey Williams ครับ ซึ่งเป็น Insider หรือการเปิดเผยข้อมูลจากภายในของฝั่งสหรัฐและคาดการณ์ถึงสิ่งที่คาดว่าอาจจะ เกิดขึ้น โดยผมจะเพิ่ม Comment ส่วนตัว ซึ่งเป็นข้อมูลและตัวเลข ต่างๆ เพื่อให้เห็นความเป็นไปได้ของประเด็นนั้นๆ เพราะฉะนั้นใช้วิจารณญานของตัวคุณเอง และอย่าตระหนกจนเกินไปครับ[/FONT]


    อัพเดตข้อมูลภายในร้อนๆ โดย Lindsey Williams ครับ :


    1.จับตาปัญหาหนี้ของกลุ่มสหภาพยุโรป จะเป็นปัญหาใหญ่ เงินยูโรจะ "ล้ม" ณ จุดใดจุดหนึ่ง ( Euro will collapse at some point )


    ก็ คงเป็นอย่างที่เห็นครับ แต่ไม่มีการระบุกรอบเวลาที่แน่นอนออกมา ส่วนตัวผม "ถ้าเกิด" ก็คิดว่าน่าจะครึ่งหลังของปี 2011 และไม่น่าจะเกินกลางปี 2012 (อย่ายึดกรอบเวลาของผมมากเกินไปนะครับ**) ติดตามข่าวสารอย่างด้วยตัวคุณเอง อย่าอ่านข่าวไทยเพียงอย่างเดียวครับเพราะส่วนใหญ่จะเป็นการแปลตามหลัง ควรตามข่าวนอกเป็นหลัก เพราะไวกว่า (RT & Aljazeera) อ่านวิเคราะห์และติดตามตัวเลขต่างๆได้ยิ่งดีครับ เพราะมันมีสารพัดปัจจัยประกอบกันให้เป็นเหตุการณ์ดังกล่าว ยิ่งรู้เร็วเท่าไหร่ก็ขยับตัวได้ก่อนครับ


    2.หลังจาก ยูโร "ล่ม" แล้ว จะมีเวลาเพียง 2-3 สัปดาห์ "เท่านั้น" ก็จะลามไปที่สหรัฐ นั่นก็อาจจะหมายถึงเงินดอลล่าจะตามไปในที่สุด


    ใน ช่วงเวลา 2-3 สัปดาห์นี้ (ไม่ต้องรอให้ครบครับ ลงมือเลย) เพื่อนๆที่อยู่ในสหรัฐ ซึ่งน่าจะรวมทั่วโลกด้วย ควรที่จะออกจากระบบกระดาษทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ในสหรัฐเช่น IRA, 401K, ประกัน, กองทุนต่างๆ ทั้งหมด บัญชีธนาคาร เอาออกมาให้หมดครับไม่ว่าจะโดนหักเท่าไหร่ แล้วเข้าซื้อเงินหรือทองคำ หรือคอมโมดิตี้อะไรก็ได้ที่เป็นปัจจัย 4 โดยที่ไม่ต้องคิดมากว่าถูกหรือแพงครับ เพราะตอนนั้นคงจะยังไม่แพงถ้าเราขยับก่อน (แต่คงจะแพงกว่าตอนนี้ครับเพราะทิศทางมันไปอย่างนั้น) ลองคิดดูครับ


    หลังจากออกจากกระดาษแล้วถ้าสถานการณ์ไม่ดี หรือเลวร้ายลง ก็เตรียมออกนอกประเทศเลยครับ อย่ารอจนถึงวิกฤติจริงๆครับ เพราะทุกคนก็คิดเหมือนที่คุณคิดครับ ชีวิตสำคัญที่สุดครับ



    ส่วน พี่น้องชาวไทย ก็เช่นเดียวกันครับ ถ้าเกิดขึ้นแล้ว กระดาษทุกชนิด ออกมาให้หมดครับแม้แต่ "เงินบาท" เหลือไว้ใช้หมุนเวียนเท่าที่จำเป็นส่วนตัวและธุรกิจ จะกี่เดือนก็ดูตามความจำเป็นของแต่ละบุคคล หรืออาจจะซัก 3-6 เดือน เพราะถึงซื้อเงินซื้อทองหรือปัจจัย 4 อื่นๆไว้ก็เปลี่ยนเป็นเงินได้อยู่แล้วครับ***

    ประเด็นคือทุนสำรองทางการที่อยู่ในสกุลยู โรและดอลล่าจะกลายเป็นกระดาษเปล่าไปในพริบตา คงประมาทไม่ได้ถ้าสถานการณ์ในยุโรปและอเมริกามาถึงจุดนี้แล้วครับ



    3.น้ำมันจะไปอยู่ที่ $150-$200 ใน 6-9 เดือน / และ $4-$5/แกลลอนในสหรัฐ


    ดู เหมือนสัญญานจะมาแล้วครับ เพิ่งทะลุ $90 ไปเมื่อวันก่อน แล้วดร๊อปลงนิดหน่อยตามดอลล่า รัฐบาลเริ่มเข้ามาดูแล้ว ใกล้เลือกตั้งใหญ่แล้วคงลงมาดูแลเราเป็นพิเศษ ตามดูไปเรื่อยๆ ครับ


    4.ปัจจุบัน FED ต้องพิมพ์เงิน $100 Billion ต่อเดือน ( US$100,000,000,000 ) เพื่อเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอย่างเดียวนะครับ


    แทบ จะไม่มีใครเข้าซื้อพันธบัตรครับ แต่จีนยังซื้อ เพราะคงไม่กล้าทิ้งเช่นกัน และส่วนที่เหลือ FED ก็เลยเข้าซื้อเอง แล้วยังซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะ Deficit หรือการขาดดุลย์ที่เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา ต้องไม่ลืมครับว่า ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาเป็นต้น FED คือผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในปริมาณที่สูงที่สุดในโลกไปแล้ว และในสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดความผิดปกติในตลาดพันธบัตรสหรัฐคือ Bond Yield หรือดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐชนิด 10 และ 30 ปี พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องพันธบัตร 10 ปี อยู่ที่ 3.5x ส่วนพันธบัตร 30 ปี อยู่ที่ 4.6x แล้ว ซึ่งการลากไปต่อลำบากแน่ครับ

    "อันตรายครับ" เพราะถ้าตลาดพันธบัตรสหรัฐล้ม เงินดอลล่าล้มตาม "ทันที" เพราะการที่ FED ประกาศ QE II ออกมามากมายขนาดนั้นก็เพื่อกดไม่ให้ดอกเบี้ยพุ่ง แต่ถ้ายังพุ่งและพุ่งต่อไปอีก ก็คือ QE ไม่ได้ผล แล้วจะยังไงต่อไป QE เพิ่มหรืออย่างไร


    ซึ่ง การที่ FED เข้าไปซื้อมากขนาดนี้ก็หมายถึงว่า GAME OVER ในทางทฤษฏีแล้ว แต่จะลากออกไปยังไงและไปได้นานแค่ไหน ใครจะขยับก่อนตามดูกันต่อไปครับ


    5. ตลาด Comex หรือตลาดซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐ กำลังประสบปัญหาหนัก จากสัญญาช๊อตของขาใหญ่ ที่อาจจะหาทองคำและเงิน ส่งมอบไม่ได้ตามกำหนด


    เพราะ หนึ่ง ปริมาณช๊อตมหาศาลที่มากกว่าแร่เงินที่มีอยู่จริงถึง 7 เท่าตัว คือ แร่เงินที่มีอยู่และพร้อมจะส่งมอบในตลาด Comex อยูที่ 107,000,000 ออนซ์ ในขณะที่กระดาษ หรือที่เรียกว่า Derivative ที่ออกๆ ขายล่วงหน้าไปแล้ว 702,000,000 ออนซ์ และกำลังไล่ถึงกำหนดในปลายเดือนธันวาคมนี้และในเดือนต่อๆ ไป ซึ่งฝ่ายที่ซื้อล่วงหน้าไว้ก็ต้องการทองคำหรือแร่เงินจริงๆ หรือ Physical


    แต่ ราคาก็เป็นอย่างที่เห็นครับ จะไปเอาจากที่ไหนที่ปริมาณและราคาที่ช๊อตกันไว้ ไปไล่ซื้อราคาก็ยิ่งพุ่งขึ้นอีก Comex ก็อุตส่าห์เปิดช่องให้จ่ายเป็น Cash Settlement ได้ หรือก็คือทำอย่างบ้านเราคือหักเงินส่วนต่างสัญญากันไปเลย แต่ขาช๊อตเหล่านี้ก็ต้องจ่ายหลายพันล้านเหรียญครับ ในขณะที่คนซื้อก็ต้องการของจริงกันเท่านั้น กราฟก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็นครับ หน้ามืดแล้ว เปิดตลาดทุบไม่เลี้ยง พอปิดทั้งทองและเงินก็ทำท่าว่าจะวิ่งต่อไปอีกเพราะจีนก็เร่งเก็บ ยุโรปก็หนีตายเข้ามาที่ทองเพราะก็รู้อยู่ว่าดอลล่ามีความเสี่ยงไม่แพ้กัน

    [​IMG]

    ที่ผมเคยแนะนำเวบบล๊อกของ Harvey Organ ไป เกาะติดไว้ได้เลยครับ เพราะถ้ามีอะไรผิดพลาด หรือพวกขาใหญ่ Default หรือผิดสัญญาส่งมอบจริงๆ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ตลาด Derivatives หรือตราสารอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะ Crash ทันที เพราะเหลือเวลาไม่กี่วันครับ และความพยายามทุบราคาก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างที่เห็น อย่างที่เคยบอกครับอาจจะได้เรื่องนี้เป็นของขวัญปีใหม่ครับ


    6.Insider Trading ที่อัตราส่วน 8,218 : 1


    เรื่อง นี้สำคัญไม่แพ้กันครับ คือเหล่าผู้บริหารระดับสูงๆของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ เร่งขายหุ้นออกมาในอัตราส่วน 8,218 : 1 ซึ่งก็คือการ "เร่งขาย เร่งเท" ออกมามากกว่าในสภาวะตลาดปรกติ 8,218 เท่า เค้าทำมาตลอดครับในปีที่ผ่านมา แต่ทำไมหุ้นไม่ตก หรือตกเป็นช่วงๆแล้วเด้งขึ้นมาอีก นั่นก็เพราะเงิน "อุ้ม" ที่ถูกปั๊มขึ้นมาอย่างมหาศาลไงครับ และอีกส่วนก็คือ "แมสเม่า" ที่หลงเชื่อโอบาม่าว่า "ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว" ( แต่ยังเปราะบาง ) แต่ถ้าใครที่ตามดูข้อมูลตลอดจะเห็นสัญญานแปลกๆ ที่เรียกว่า Flash Crash หรือดัชนีหุ้นร่วงแบบฉับพลัน ในช่วงกลางวันแล้วปั๊มกลับขึ้นมาในช่วงก่อนปิดตลาด 2-3 ครั้งในรอบปีที่ผ่านมา


    7.ดอลล่าจะ "ตาย" ลง ภายในปี 2012


    เพราะฉะนั้น.......อ่านสัญญานครับ อ่านสัญญาน

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/_YYTa075NJg&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3 width=640 height=390 type=application/x-shockwave-flash allowScriptAccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/638nMiYoUuU&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3 width=640 height=390 type=application/x-shockwave-flash allowScriptAccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/0CXi1C6v7Gw&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3 width=640 height=390 type=application/x-shockwave-flash allowScriptAccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/7aw8-3J2t6Q&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3 width=640 height=390 type=application/x-shockwave-flash allowScriptAccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>







    The Gold War Phase II.<WBR>.<WBR>.<WBR>by Jimmy Siri บน Facebook​




    โพสต์โดย What's going on in America
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2010
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    European Crisis.......Update

    [FONT=&quot]"GREECE".....It's your turn !!! [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]AGAIN ???[/FONT]
    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Kk7RowFg8vg&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/Kk7RowFg8vg&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปัดคำอุทธรณ์ ศาลอังกฤษให้ประกันตัวผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์แล้ว
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>17 ธันวาคม 2553 02:01 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ เป็นอิสระหลังศาลอนุญาตให้ประกันตัว
    เอเอฟพี - ศาลสูงของลอนดอน อนุญาตให้ประกันตัว จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์แล้วเมื่อวันอังคาร (14) ปฏิเสธคำอุทธรณ์คัดค้านการปล่อยตัวเขาภายใต้เงื่อนไขอันเข้มงวด

    ผู้พิพากษา ดันแคน ออเซลีย์ ได้ปฏิเสธคำยื่นอุทธรณ์เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ของอัยการที่คัดค้านการประกันตัว แอสซานจ์ จนกระทั่งส่งตัวเขาในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสวีเดนเพื่อไต่สวนในข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ โดยศาลเชื่อว่าผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ไม่เสี่ยงต่อการหลบหนีออกนอกประเทศ

    "อนุญาตให้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไข" ผู้พิพากษารายนี้บอกกับชายชาวออสเตรเลียวัย 39 ปี

    หนึ่งในเงื่อนไขของการประกันตัว นายแอสซานจ์ ต้องพำนักอยู่แต่ในซัฟฟอล์ก บ้านพักของหนึ่งในผู้สนับสนุนซึ่งอยู่ห่างจากลอนดอนราวๆ 2 ชม. บนเนื้อที่ 600 เอเคอร์

    ผู้สนับสนุนของนายแอสซานจ์ เป็นคนยื่นขอประกันตัวเขาในวงเงิน 240,000 ปอนด์ และนอกจากเงื่อนไขข้างต้นแล้ว เขายังต้องสวมเครื่องติดตามตัว พร้อมรายงานตัวต่อตำรวจทุกวันในตอนเย็น

    หลังจากทราบผลคำตัดสิน กลุ่มผู้สนับสนุนแอสซานจ์กลุ่มเล็กๆ ที่ทนตากฝนอยู่รอบนอกศาลต่างพากันแสดงความยินดีและตะโกนว่า "การเปิดโปงอาชญากรสงครามไม่ใช่อาชญากรรม"

    ผู้สนับสนุน แอสซานจ์ เชื่อว่าข้อกล่าวหาต่างๆมีแรงจูงใจทางการเมืองเพราะวิกิลีกส์ ก่อความเดือดดาลแก่วอชิงตัน ด้วยการเผยแพร่เอกสารทางการทูตและข้อมูลลับเกี่ยวกับสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน

    Around the World - Manager Online -
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไทมส์ยกแฟชั่นชุดเนื้อของ"เลดี้ กาก้า"เป็นแฟชั่นสุดพิเศษปี 2010
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 ธันวาคม 2553 16:56 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ชุดเนื้อที่เคยสร้างความฮือฮาไปทั่วโลกของ"เลดี้ กาก้า"นักร้องสาวชื่อดังที่ใส่ในงานประกาศผลรางวัล MTV Video Music Awards ได้รับการยกย่องจากบรรณาธิการนิตยสาร Times ให้เป็นแฟชั่นไม่ธรรมดา สุดพิเศษประจำปี 2010

    เมื่อวันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา เลดี้ กาก้า นักร้องสาวชื่อก้องโลกได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการแฟชั่นทั่วโลกเมื่อเธอสวมชุดเนื้อสดที่มีรองเท้า หมวก และกระเป๋าถือทำจากเนื้อสดเข้าชุดกันเดินขึ้นรับรางวัลบนเวที VMAs

    และจากชุดนี้เองที่ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของโลกแฟชั่น จนส่งให้เธอขึ้นเป็นอันดับหนึ่งเจ้าแม่แฟชั่นของนิตยสาร Times โดยสามารถเบียดเอาชนะชุดสวยสุดแปลกของ M.I.A, วีนัส วิลเลียมส์ และ รีฮันนา ไปได้

    โดยบรรณาธิการได้เขียนถึงการแต่งกายด้วยชุดเนื้อของเลดี้ กาก้าไว้ว่า "ถ้าการสร้างสรรค์งานแฟชั่นที่ไม่ธรรมดาของคุณเป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ มันคงน่าเบื่อได้ง่ายๆ ยกทรงติดระเบิด? ติดไฟ ชุดทำจากฟองสบู่? ใช้ผมตนเองทำเป็นโบว์? ไม่มีอีกแล้ว มันต้องเป็นชุดที่ทำจากเนื้อสด ทั้งรองเท้า หมวก และกระเป๋าเข้าชุด และทุกอย่างเป็นของสด "

    "ชุดเนื้อสัตว์ที่เลดี้ กาก้าใส่ในงาน MTV Video Music Awards ได้ทำให้ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าจำนวนมากของวงการเพลงเกิดคำถามขึ้นมามากมายว่า ชุดนั้นมันหมายความว่าอย่างไร? มันทำได้อย่างไร? เธอต้องการซอสปรุงรสไหม? ซึ่งเลดี้ กาก้าได้อธิบายถึงชุดนี้ของเธอไว้ว่า 'ถ้าเราไม่ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง เราก็จะไม่เหลืออะไรเลยนอกจากเนื้อติดกระดูก' อาจจะฟังดูน่าผิดหวัง เราขอเสนอว่าให้คิดว่ามันเป็นศิลปะการตัดชิ้นเนื้อชั้นสูงก็แล้วกัน"
    Entertainment - Manager Online -
     

แชร์หน้านี้

Loading...