เคยทำอาบัติสังฆาทิเสสตอนบวช สึกแล้วผิดไหมครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย วิศว, 12 กันยายน 2009.

  1. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    เคยทำอาบัติสังฆาทิเสสตอนบวช สึกแล้วผิดไหมครับ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ปิดบังไว้แล้วสึก เธออุปสมบทใหม่ ไม่ปิดบังอาบัติเหล่านั้นพึงให้ปริวาสในกองอาบัติตามที่ปิดบังไว้ครั้งก่อน แล้วให้มานัตแก่ภิกษุนั้น

    ห้าม มรรคผลอยู่ตอนนี้แน่นอน ถ้าไม่แก้ อาบัติ

    ต้องบวชอุปสมบทใหม่ใหม่แล้วไป เข้า ปริวาสกรรม ตามจำนวนวันที่ปกปิดไว้ครับ ปิดไว้ ปีหนึ่ง ก็อยู่ใช้กรรมปีหนึ่ง แล้วมาอยู่มานัต อีก 6 ราตรี แล้ว ออกอัพพาน ถึงจะแก้ได้ครับ

    ปริวาส การอยู่ชดใช้เรียกสามัญว่าอยู่กรรม,
    เป็นชื่อวุฏฐานวิธี (ระเบียบปฏิบัติสำหรับออกจากครุกาบัติ)อย่างหนึ่ง

    ปริวาส มี ๓ อย่าง คือ ปฏิจฉันนปริวาสสโมธานปริวาส และ สุทธันตปริวาส ;

    ซึ่งภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้
    จะต้องประพฤติเป็นการลงโทษตนเองชดใช้ให้ครบเท่าจำนวนวันที่ปิดอาบัติก่อนที่จะประพฤติมานัตอันเป็นขั้นตอนปกติของการออกจากอาบัติต่อไป,

    ภิกษุประสงค์จะออกจากอาบัตินั้น พึงห่มผ้าเฉวียงบ่าเข้าไปหาสงฆ์จตุรวรรค (๔ รูป )
    แล้วเปล่งวาจาขอมานัตต์ ๖ ราตรี

    มานัตต์ คือ ระเบียบวิธีปฏิบัติเพื่อจะให้ตนหมดจดจาก อาบัติสงฆาทิเสสที่ได้ต้องไปแล้ว

    การบอกต่อสงฆ์เพื่อขอมานัตต์
    ซึ่งมานัตต์นี้มีกำหนดตามพระวินัยไว้ ๖ ราตรีเท่านั้น เมื่อครบก็ขออัพภาน
    ๖ ราตรีนี้ต้องเป็น ๖ ราตรีที่สมบูรณ์ ถ้าทำผิดกฏที่ต้องทำให้ละเมิดราตรีใด
    ราตรีหนึ่ง ก็ต้องอยู่ให้ชดใช้ให้ครบราตรีที่กำหนดไว้ คือ ๖ ราตรี

    ในระหว่างประพฤติมานัตต์จะถูกจำกัดสิทธิ หลายประการ เช่น จะออกจากอาวาส
    นั้นไปค้างคืนที่อื่นไม่ได้ จะร่วมฉันกันภิกษุผู้ไม่ต้องอาบัติไม่ได้ จะร่วมสังฆกรรมบางอย่าง กับสงฆ์ปกติไม่ได้ แม้บวชแล้วหลายพรรษาก็ต้องนั่งท้ายแถวภิกษุปกติที่แม้บวชในวันนั้น และต้องกล่าวคำรายงานตัว ต่อสงฆ์ทุกวัน หรือนัยหนึ่งก็คือ กล่าวประจานตัวนั่นเอง (ภาษาวินัยเรียกว่า สมาทานมานัตต์ และบอกมานัตต์)ต่อสงฆ์ทุกวัน หากมีภิกษุที่อยู่วัดอื่น มาธุระยังวัดทีตนกำลังประพฤติมานัตต์อยู่นั้น
    ก็ต้องมารายงานตัว (ประจานตัว) ว่าตนได้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสและกำลังประพฤติมานัตต์อยู่ จะยินดีให้ภิกษุทีแม้มีพรรษาน้อยกว่าทำสามีจิกรรม(กราบไหว้และ ลุกต้อนรับเป็นต้น) ไม่ได้ ฯลฯ ซึ่งวัตรต่าง ๆ เป็นต้นเหล่านี้จะต้องประพฤติให้เคร่งครัด

    หลังจากเปล่งวาจาขอประพฤติมานัตต์แล้ว (เนื้อความของคำขอมานัตต์ เป็นภาษาบาลี ระบุถึงข้ออาบัติสังฆาทิเสสที่ต้นได้ล่วงละเมิดเข้า )

    การประพฤติมานัตต์ ๖ ราตรี นี้รียกว่า อัปปฏิจฉันนมานัตต์ เพราะ
    ภิกษุผู้ต้องอาบัติไม่ได้ปกปิดไว้ แต่หลังจากที่ต้องแล้ว รีบยอมรับผิด จึงเป็นเพียงแต่ขอมานัตต์ จากสงฆ์แล้วประพฤติมานัตต์ ๖ ราตรีเท่านั้น
    ๑.๒ เมื่อประพฤติมานัตต์ครบ ๖ ราตรีแล้ว ก็จะมาถึงขั้นตอนที่เรียกว่า อัพภาน
    อัพภานเป็นขั้นตอนของ
    การยอมรับภิกษุผู้ที่ได้ประพฤติมานัตต์มาครบ ๖ ราตรีแล้วเข้ามาเป็นภิกษุที่ไม่มีอาบัติติดตัวเหมือนแต่ก่อน
    ตามรูปศัพท์ อัพภาน แปลว่า การเรียกเข้าหมู่ หรือ การยอมรับกลับเข้าพวก นั่นเอง
    โดยมีภิกษุสงฆ์วีสติวรรค (๒๐ รูป) ร่วมเป็นสักขีพยาน โดยก่อนอื่นภิกษุผู้ประพฤติมานัตต์ครบ ๖ ราตรีแล้วนั้น ต้องเข้าไปหาสงฆ์ประณมมือเปล่งวาจากล่าวคำขออัพภานเป็นภาษาบาลีโดยมีเนื้อหาระบุถึงการล่วงละเมิดอาบัติสังฆาทิเสส ของตนพร้อมบอกว่าได้อยู่ปริวาส(สำหรับภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้เลยวันคืนที่ตนต้อง) และประพฤติมานัตต์ครบ ๖ ราตรีแล้ว ขอให้สงฆ์รับเข้าหมู่ด้วย ต่อแต่นั้นภิกษุรูปหนึ่งในสงฆ์ ก็จะสวดประกาศ (ภาษาทางวินัย เรียกว่า กรรมวาจาให้อัพภาน) รับภิกษุรูปนั้นกลับเข้าหมู่เป็นภิกษุปกติผู้ไม่มีอาบัติสังฆาทิเสสติดตัวแล้ว

    ในกรณีที่ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายข้อ ปกปิดแต่ละข้อไว้ไม่เท่ากันนานบ้าง น้อยบ้าง หรือจำ จำนวนอาบัติ และหรือ เวลาที่ปกปิดไว้ไม่ได้บ้าง เป็นต้น ควรจะเข้าปริวาสแบบสุทธันตปริวาส

    สิ่งสำคัญคือ การเข้าปริวาสต้องเข้าแบบสังวาสเดียวกัน
    คือ ถ้าบวชธรรมยุติต้องเข้าปริวาสในสังกัดวัดธรรมยุติ
    ถ้าบวชมหานิกายต้องเข้าปริวาสในสังกัดวัดมหานิกาย
    ถ้าต่างสังวาสกัน ปริวาสเป็นโฆฆะ

    พระพุทธได้ตรัสไว้ว่า “ สาปัตติกัสสะ ภิกขะเว นิรยัง วทามิ ติรัจฉานโยนิง วา “
    แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีอาบัติ (ติดตัว) จำต้องไปนรกบ้าง กำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง . นอกจากนี้แล้ว ท่านทั้งหลายคงจะเคยได้ยินคำว่า ปฏิบัติธรรมไม่ขึ้นกันมาบ้าง
    ครุกาบัติ หรือ อาบัติหนัก เป็นโทษข้อหนึ่งสำหรับภิกษุผู้ล่วงละเมิดเข้าแล้ว ซึ่งจะเป็นอุปสรรคทำให้มิอาจจะบรรลุมรรคผลได้
    มีอุปสรรคอยู่ ๔ ประการที่ขัดขวางการบรรลุมรรคผลนิพพานของผู้ที่แม้มีบารมีพอที่จะบรรลุธรรมแล้ว นั่นก็คือ
    ๑. อนันตริยกรรม ๕ ประการ
    ๒. อริยุปวาท (ด่าว่า ให้ร้าย พระอริยะเจ้า)
    ๓. ต้องครุกาบัติ (คือมีอาบัติหนักติดตัว) สำหรับผู้เป็นภิกษุ
    นั่นก็คือ แม้ผู้นั้นหากจะมีบารมีพอจะบรรลุมรรคผลได้ในปัจจุบันชาตินี้ หากไปล่วงละเมิดกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ ข้อข้างต้นแล้ว ก็เป็นอันหมดสิทธิ แถมท้ายด้วยการได้ไปอบายภูมิเป็นของกำนัลอีก และประการที่ ๔ สุดท้าย หากผู้นั้นแม้จวนเจียนจะบรรลุมรรคผลนิพพานอยู่รอมร่อแล้ว(เจริญสติปัฏฐานจนวิปัสสนาญาณคือสังขารุเบกขาญาณเกิดแล้ว) ทว่าผู้นั้นได้ปรารถนาพุทธภูมิ ผู้นั้นก็ไม่อาจจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้เช่นกัน เพราะท่านได้ตั้งสัจจะที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อ่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เพราะถ้าบรรลุมรรคผลเสียก่อนแล้วหากเป็นพระอรหันต์ก็จะต้องปรินิพพานในปัจจุบันชาติ หากเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ ก็จะต้องเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ ซึ่งสำหรับผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นท่านจำเป็นต้องบำเพ็ญบารมีอีกต่อไป
    เพราะฉะนั้น การที่ภิกษุหากต้องอาบัติข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ไม่แก้ไขให้ถูกต้องตามระเบียบวุฏฐานวิธี(การออกจากอาบัติ) อาบัติที่ติดตัวอยู่นั้นก็จะเป็นโทษอย่างมากต่อตัวภิกษุรูปนั้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต


    ดังนั้น ผู้ที่เคยบวชแล้วต้องจึงอาบัติสังฆาทิเสสตอนบวช สึกมาแล้ว

    ต้องบวชอุปสมบทใหม่ แล้วเข้าไปขอต่อสงฆ์(๔ รูป ) เพื่อขอมานัตต์
    เพื่อแก้อาบัติสงฆาทิเสสที่ได้ต้องไปแล้ว เพื่อให้พ้นจากกรรมที่ปกปิด
    หากไม่แก้อาบัติสงฆาทิเสส เมื่อสิ้นชีวิตไปจากชาติภพนี้ ไปอบายภูมิ
    โทษทัณฑ์ในนรกภูมิ ครึ่งกัปป์สำหรับผู้ต้องอาบัติสงฆาทิเสสแล้วไม่แก้ไขปกปิด
    และยังไม่สามารถให่การปฏิบัติภาวนาให้เจริญก้าวหน้าได้
    เนื่องจากจิตนั้นมืดดำเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส เนื่องจากมีบาปอกุศลมาก
    สิ่งสำคัญที่สุด คือ ขวางกั้นมรรคผล นิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2009
  2. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    พูดได้อย่างไร..ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร..บาปกรรมหนัก...นรกกินกระบาล

    ศาสนาจะเสื่อม..เพราะพวกหน้าด้านไร้ยางอาย...ไม่เกรงกลัวบาป

    เบียดเบียนพระศาสนา ทั้งทำให้หมู่สงฆ์เดือดร้อน

    ทำให้ผู้ที่จะบวชใหม่ไม่บริสุทธิ์ ถ้าในหมู่สงฆ์มีจำนวนพระภิกษุจำกัด

    กล่าวคือ ในการบวชพระต้องมีจำนวนพระภิกษุอย่างน้อย 5 รูป ในชนบท

    ถ้า 1 ใน 5 รูป มีพระต้องอาบัติสังฆาทิเสสอยู่ร่วมในคณะด้วย การบวชจะไม่บริสุทธิ์

    เพราะมีพระต้องอาบัติสังฆาทิเสสอยู่ร่วมในคณะด้วย ถือว่า การบวชพระไม่สมบูรณ์

    เมื่ออยู่ร่วมกับหมู่สงฆ์ ทำให้มีบาปหนัก เพราะไปนั่งในหัตถบาตรเหนือสงฆ์องค์อื่น

    อยู่ร่วมกับหมู่สงฆ์ รับประเคนปัจจัยไทยทาน บาปทั้งสิ้น


    ที่สำคัญ...การบิณฑบาตรขอข้าวญาติโยมกิน เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยเป็นของที่เนื่องด้วย

    มาจากญาติโยมที่ศรัทธาทั้งสิ้น แต่การประพฤติของผู้บวชทำผิดต้องอาบัติสังฆาทิเสส

    ปกปิดไม่ยอมแก้ไข ทั้งที่ในพระธรรมวินัย ก็มีข้อกำหนดให้แก้ไข แต่ไม่ยอมแก้ไขเอง.
     
  3. kamyont

    kamyont เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    533
    ค่าพลัง:
    +533
    อาบัติสังฆาทิเสส กรรมจะหนักกว่าอาบัติธรรดาครับเพราะปลงอาบัตืฃิไม่หลุดต้องอยู่กำตามจำนวนวันที่เราเริ่มทำจนถึงวันที่เราแจ้งผู้ใดผู้หนึ่งจึงจะหลุดครับการอยู่กรรมคือการอยู่ป่าช้าห้ามพูดจากับใครเมื่อถึงเวลาจะมีผู้มาส่งอาหารให้ครับ ตามที่อาจารย์ผม(หลวงพ่อยงยุทธ ธัมมโกสโล วัดเขาไม้แดง)ท่านสอนไว้ตอนผมบวชนะครับ ท่านให้รักษา ปราชิก 4 สังฆาทิเสส 13 ถ้าจำไม่ผิดนะครับ ส่วนอาบัติทุกกฏสามารถปลงอาบัติได้แต่ต้องไม่ใช้กับพระที่ทำอาบัติข้อเดียวกับเราครับ
     
  4. Rupanama

    Rupanama สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +25
    อาบัติ สังฆาทิเสส เป็น อาบัติ หนัก รองจากปราชิก4 ครับ พระที่ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส นี้ต้องอยู่ปริวาสกรรม จะทำอะไรเกียวกับ พระวินัย เนี้ย มีความระมัดระวังมากๆ ก็ดีน่ะครับ

    ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพระวินัย ก็เหมือนกัน ครับ ต้องระมัดระวังอย่างสูงมากๆ ครับ

    ผมแนะนำว่า กลับไปปรึกษา พระอุปปัชชาย์ ดีกว่าน่ะครับ ว่าควรจะทำอย่างไร
     
  5. ผู้เห็นภัย

    ผู้เห็นภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +476
    ขึ้นชื่อว่าเกิดเป็นคนแล้ว ไม่มีใครที่จะไม่ทำความชั่ว ไม่มีหรอกนะครับ มีทั้งดี และชั่วปะปนกัน ศาสนาพุทธเรา มีเหตุ มีผล อยู่กับข้อเท็จจริง

    ก่อนสิ้นลมก็สำคัญ กำลังใจ เกาะด้านดี ก็ไปรับผลของความดี ที่ทำไว้ แต่ถ้า

    กำลังใจเศร้าหมอง นึกถึงความไม่ดีที่ตนทำไว้ ก็ต้องไปรับผล ของความชั่วที่

    ตัวเองได้กระทำไว้ และอาบัติ ก็แปลว่า บาป หรือความชั่วเช่นนั่นเอง อนันตริยกรรม คือกรรมที่หนัก ปิดสวรรค์ ปิดนิพพาน ตายไปต้องชดไช้ก่อน มีห้าประการ ด้วยกัน ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสไว้

    คือ 1 ทำไห้พระพุทธเจ้าทรงพระโลหิต (ห้อเลือด) ดูเทวทัตเป็นตัวอย่าง 2 ฆ่าพระอรหันต์
    3
    ฆ่าพ่อ 4 ฆ่าแม่ 5 ทำสังฆเพส (ยุยงไห้สงฆ์แตกเป็นฝักเป็นฝ่าย) อันนี้ปิดสวรรค์ นิพาพาน อันนี้เป็นกฏ ตายไปต้องชดไช้ก่อน ความผิด ความชั่วอย่างอื่นไม่เกี่ยว ขึ้นอยู่ที่เจ้าตัว แต่ละคนนะ ปราชิกก็รอดนะ พระท่านบอกไห้สึก
    และมาถือศีลห้าสะ เพราะศีลห้าเป็นศีลของคนธรรมดา ถือได้ไม่ขาดแล้ว
    กำลังของกุศล ความดี ต่ำกว่าเพศบรรชิต
    เราเป็นฆราวาส เป็นคนธรรมดา มีศีลห้ารองรับ ไม่ไช่ศิล227ข้อรองรับ ถ้าทำได้

    กำลังใจรักษาไว้ได้ และพยายามทรงกำลังใจในด้านความดีไว้ในใจ ก็มีโอกาส


    รอดจากนรกได้ เช่นกัน คนที่ไม่ได้บวช แต่ทำความชั่ว ตายไปก็ต้องรับผล

    ของความชั่ว คราวนี้ คนที่ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ถ้าอยากจะกลับไปบวชเป็น

    พระ คืออยากเป็นพระ ยังเป็นไม่ได้ เพราะอาบัติ ยังค้างคาอยู่ ความพระเป็นไม่

    มี คือต้องบวชเป็นเณรเข้าไปก่อน (อันนี้ พระผู้รู้ท่านไห้ความรู้ไว้แบบนี้นะครับ

    บวชป็นพระเลยไม่ได้ครับ) แล้วก็แสดงอาบัติ เสร็จแล้ว ก็ไปอยู่ปริวาสกรรมไห้

    ครบตามที่ตัวเองปกปิดมานานแค่ไหน พออยู่ครบแล้วก็จะมีการสวดญัตติ ก็คือ

    การบวชพระใหม่นั่นเอง สถานที่ปริวาสกรรม จะมีพระที่ทำหน้าที่สวดญัตติ

    ประจำอยู่ครับ เทวดา หรือพหรม ที่พวกท่านอยู่กัน อย่างมีความสุข ทุกคน ทุก

    องค์ ก็มีกรรมชั่วติดตัว กันนะครับ พหรมบางองค์ หมดบุญจากพหรมแทนที่ จะมา

    เกิดเป็นมนุษย์กลับพุ่งหลาวลง นรกไปเลยก็มี อันนี้ไห้ไว้โดยย่อๆนะครับ อ่าน

    ดีๆนะครับ แล้วลองพิจรณาตามเหตุ และผล โชคดีมีชัยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2009
  6. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +3,637
    ชัดเจนครับ

    ชัดเจน ได้ใจความ ไม่ให้ร้ายใคร มีเจตนาดี และสร้างกำลังใจไห้คนได้ดีมาก โมทานา สาธุครับ
     
  7. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +3,637
    สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง สองขาโด่เด่ ก็ต้องมีเซกันบ้าง
     
  8. คิดตรงๆ

    คิดตรงๆ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +3
    ความเห็นผมน่ะครับ การอาบัติสังฆาทิเสส น่าจะนับระยะเวลาเฉพาะในช่วงเป็นพระเท่านั้น หากต้องอาบัตินี้เข้า ก็ต้องกลับมาแก้เสียก่อน ตามวันที่ปิดไว้ เช่น บวช 10 วัน ต้องวันที่ 5 แล้วปิดไว้จนสึกออกมา ก็ต้องนับว่าต้องและปิดไว้ 5 วัน จึงต้องเข้าปริวาส 5 วัน แล้ว อยู่ขอมานัตอีก 6 ราตรี ค่อยขอออกจากอาบัติได้(อัพภาน) คิดว่าอย่างนั้นนะครับ
    เพราะเคยได้ยินอย่างกรณี พระต้องปาราชิก ยิ่งปิดยิ่งกรรมมากสะสมทุกวัน ใครต้องแล้ว ต้องรีบสึกตัวเองทันที เพราะถือว่า ขาดจากความเป็นพระตั้งแต่ต้องปาราชิกแล้ว ไม่มีสิทธิ์ร่วมสังฆกรรมใดๆได้แล้ว ขืนทำไปก็บาปหนักที่ไปอยู่เสมอพระที่บริสุทธิ์ เมื่อสึกแล้ว ก็ไม่ต้องรับกรรมสั่งสมนั้น
    ลักษณะการต้องสังฆาทิเสส ก็น่าจะคล้ายกัน การเข้าปริวาส แก้กรรมนี้ ก็น่าจะต้องอยู่ในเพศของพระด้วย จึงจะได้ เพราะทำผิดในสถานะนั้น สังฆาทิเสส ยังไม่ขาดจากความเป็นพระ เพียงแต่มัวหมอง ต้องทำให้บริสุทธิ์ในเพศบรรพชิตเช่นกัน
     
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,443
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,663
    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=564 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=4>
    สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ



    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="6%">๑.


    </TD><TD vAlign=top width="40%">ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน


    </TD><TD vAlign=top align=right width="7%">๘.


    </TD><TD vAlign=top width="47%">แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="6%">๒.


    </TD><TD vAlign=top width="40%">เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ


    </TD><TD vAlign=top align=right width="7%">๙.


    </TD><TD vAlign=top width="47%">แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="6%">๓.


    </TD><TD vAlign=top width="40%">พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี


    </TD><TD vAlign=top align=right width="7%">๑๐.


    </TD><TD vAlign=top width="47%">ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="6%">๔.


    </TD><TD vAlign=top width="40%">การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถ้อยคำพาดพิงเมถุน


    </TD><TD vAlign=top align=right width="7%">๑๑.


    </TD><TD vAlign=top width="47%">เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="6%">๕.


    </TD><TD vAlign=top width="40%">ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ


    </TD><TD vAlign=top align=right width="7%">๑๒.


    </TD><TD vAlign=top width="47%">เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="6%">๖.


    </TD><TD vAlign=top width="40%">สร้างกุฏิด้วยการขอ


    </TD><TD vAlign=top align=right width="7%">๑๓.


    </TD><TD vAlign=top width="47%">ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width="6%">๗.


    </TD><TD vAlign=top width="40%">สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น


    </TD><TD vAlign=top align=right width="7%">


    </TD><TD vAlign=top width="47%">


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. knowing

    knowing สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอบคุณครับ สำหรับทุกคำแนะนำ ถ้ายังมีอีกก็ขอให้แนะนำเข้ามาเพิ่มนะครับ เพราะจิงๆเป็นอุปสัคในการภาวนามากๆ บางทีกำลังอยู่ในสมาธิที่คิดว่าแนบแน่นก็มีเรื่องเข้ามาในหัว หรือเวลาที่แผ่เมตตานึกถึงตอนที่บวชอยู่นั้น ก็รู้ว่าเราไม่ได้ทำมันอย่างบริสุทธิ ทรมานมากครับ ผมอยากบรรลุธรรมในชาติครับ( อย่างน้อยขอปิดประตูอปายภูมิ ) กลัวจะเป็นกรรมที่อยู่ในจิตเพราะมันรู้ตลอดเวลาเลยครับ

    ยังไงขอบคุณพี่ๆน้องๆทุกท่านจิงๆครับ
     
  11. asura7

    asura7 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +69
    เค้านับราตรีเฉพาะตอนเป็นพระ เท่านั้นครับ สึกเป็นคนธรรมดา ไม่นับ
     
  12. asura7

    asura7 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +69
    สังสัยอีกอย่าง ถ้าตอนผมทำอาบัติไปแล้ว แต่ผมได้ไปบอกอาบัติกับพระ น่าจะครบ 4 รูป (ไม่ได้บอกเป็นคำบาลี แต่บอกว่าต้องอาบัติอะไร ด้วยภาษาปกติ) และไม่แน่ใจว่าพระทั้ง 4 รูปนั้น ได้ปกปิดอาบัติสังฆาทิเลสของตนอยู่หรือไม่(บริสุทธิ์หรือไม่)


    อย่างนี้ถือว่าผมได้บอกอาบัติหรือยังครับ แล้วผมเคยทำอาบัติในมหานิกาย แต่ผมอยากไปบวชในธรรมยุค ไปเข้ากรรมในธรรมยุคเลยได้ไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2012
  13. asura7

    asura7 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +69
    เห็นด้วยครับ ต้องเป็นพระอยู่กรรม ไม่ใช่เณรอยู่กรรมแน่ๆ เพราะทำผิดตอนเป็นพระ ก็ต้องแก้ตอนเป็นพระ

    เหมือนทหารทำผิดต้องเข้าคุกทหาร เลิกเป็นทหารแล้วไปเข้าคุกทหารได้ที่ไหนกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...