อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ปัจจุบันยุคแห่งเทคโนโลยี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย โซ, 30 สิงหาคม 2014.

  1. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ท่านทั้งหลายมีความเห็นกันอย่างไร เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในปัจจุบัน มุมมองท่านคิดว่ามีความจำเป็นที่จะทำให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองได้หรือไม่ ท่านจะมีความคิดเหมือนผมหรือไม่ แม้จะดูไม่เหมาะกับผู้ที่เข้าถึงแก่นของธรรม จะมองว่าเป็นการอวดอุตริ หรือผู้เป็นภิกษุก็เป็นอาบัติได้


    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุ ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวพึงเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนพึงเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝ่ากำแพง ภูเขาไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ พึงผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ พึงเดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์...ก็ได้”
    “ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่าเราพึงได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์... ถ้าภิกษุจะถึงหวังว่าเราพึงกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ จิตมีราคะ จิตมีโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ มีโทสะ มีโมหะ ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่าเราพึงระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือพึงระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง.... พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง .... ว่าในภพโน้นเรามีชื่อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้.....
    “ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า เราพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลวประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม... ด้วยประการฉะนี้เถิด ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน ไม่เหินห่างจากฌาน ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคารฯ”

    อากังเขยยสูตร มู. ม. (๘๕-๘๙)


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=MquAYxmonOc"]คำทำนายพระพุทธศาสนา หลวงปู่มั่น - YouTube[/ame]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2014
  2. โลโป

    โลโป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +1,714
    ปาฏิหาริย์มีสามอย่างคือ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าอึดอัด ระอา เกลียดอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์ อนุสาสนิปาฏิหาริย์สรุปใจความสั้นๆ คือนับถือพระรัตนตรัย รักษาจุลศีล รักษามัชฌิมศีล รักษามหาศีล มีสติเจริญสมาธิ มีความรู้สึกตัวในการกิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มรส ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ทำความรู้สึกในการยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ละการประทุษร้าย ละถีนมิทธะ ละอุทธัจจกุกกุจจะ ละวิจิกิจฉา ละนิวรณ์ฯ
     
  3. โลโป

    โลโป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +1,714
    ดูกรเกวัฏฏ์ เราเล็งเห็นโทษในอิทธิปาฏิหาริย์อย่างนี้แล จึงอึดอัด ระอา เกลียดอิทธิปาฏิหาริย์

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
    84000 ��и����ѹ�� :: 84000.org :: ��ҡ��� �Ф��еҸ���� �ѹ�ԯ��� �С���� ���Ի����� �ͻй���� �Ѩ�ѵ�ѧ�ǷԵѾ� �ԭ���Ե� ����黮ԺѵԾ֧����ͧ ���ӡѴ���� ������¡����������Ҵ� ����觷���ù�������赹 ����觷�������੾�е� ��оط���
     
  4. โลโป

    โลโป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +1,714
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ไกลจากกิเลส พระองค์ละขาดแล้วจากความรัก ความชัง ความเกลียด ความหลง พระองค์ไม่มีความเกลียดในความหมายที่มนุษย์และสัตว์มีต่อกัน "เกลียด" เป็นคำสมมติใช้อธิบายความรู้สึกให้คนทั่วไปฟังแล้วเข้าใจตามได้ ไม่ได้หมายถึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ายังมีความรู้สึกเกลียดชัง ในการเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้า บางสมัยพระองค์ทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ปราบอิทธิปาฏิหาริย์ หลังจากปราบฤทธิ์ได้พระองค์เลิกใช้ฤทธิ์เปลี่ยนมาใช้ธรรม สมัยต่อมาพระองค์บัญญัติพระวินัยห้ามพระใช้อิทธิปาฏิหาริย์ "เรา (ตถาคต) เล็งเห็นโทษในอิทธิปาฏิหาริย์อย่างนี้แล จึงอึดอัด ระอา เกลียดอิทธิปาฏิหาริย์" การอธิบายสมมติต้องมีบัญญัติมีคำอธิบาย เรียกชอบว่าเกลียด เรียกเกลียดว่าชอบ ใช้ได้เหมือนกันถ้าคนฟังเข้าใจ ถ้าโยนให้ตำราโยนให้ภาษา คนนั่งเถียงกันทะเลาะกันเพราะคนหนึ่งเรียกก้อนหินอีกคนหนึ่งเรียกก้อนกรวด ความจริงก้อนหินไม่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นก้อนหิน. เพราะอุปาทานมี ภพจึงมี เพราะอุปาทานไม่มี ภพจึงไม่มี.
     
  5. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    อภิญญาเป็นความไม่ประมาท ไม่เห็นทุกข์-ไม่เห็นธรรม คนเรามันอวดแข่งกันได้
     
  6. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    1.ให้ทาน
    2.สวดมนต์
    3.ทำสมาธิ
    4.อริยสัจจ์สี่
    5.สติปัฐฐานสี่
    6.เทียบกับสังโยชน์
     
  7. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ทางเป็นพระโสดาบัน อนัตตะลักขณะสูตร
    ทางเป็นพระสกิทาคามี แค่ภาวนาให้เข้าใจว่า ศีลรวมใจด้วยหรือไม่อย่างไร
     
  8. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ทางอริยะ พิจรณาละสักกายะทิฏฐิ
     
  9. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    อภิญญา ที่บริสุทธิ์จริงๆ มักถูกใช้อย่างเป็นธรรม ผู้ที่มีอภิญญาอย่างแท้จริงจะทราบถึงตรงนี้ดี อภิญญาที่ถูกนำมาใช้อย่างไม่เป็นธรรมย่อมเสื่อมไปจนหมดสิ้น

    ดังนั้น ไม่ต้องไปกังวลกะใคร จะอวดหรือไม่อวดอุตริ เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา

    แล้วเรื่องของเรา คืออะไรเอ่ย??? อิอิอิ
     
  10. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    อวิชชาแปด
    สี่ข้อแรก คือไม่รู้ ใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    อีกสี่ข้อ คือ
    5. ปุพฺพนฺเต อญฺญาณํ (ไม่รู้ในส่วนอดีต - absence of knowledge of the past)
    6. อปรนฺเต อญฺญาณํ (ไม่รู้ส่วนอนาคต - of the future)
    7. ปุพฺพนฺตาปรนฺเต อญฺญาณํ (ไม่รู้ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต - of both the past and the future)
    8. อิทปฺปจฺจยตาปฏิจฺจสมุปฺปนฺเนสุ ธมฺเมสุ อญฺญาณํ (ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันจึงเกิดมีขึ้นตามหลักอิทัปปัจจยตา - of states dependently originated according to specific conditionality)

    ในพระสุตตันตะ จะมีพระสูตรหลายพระสูตร ว่าด้วยอดีตของใครต่อใคร ที่มีกรรมผูกพันกันมาอย่างไร มาเป็นอะไรๆ ในชาตินี้ หรือชาติหน้าจะไปเป็นใครต่อใคร
    นี่เป็นวิชชาของความรู้ในที่มาที่ไป
    อภิญญา ก็ว่าด้วยความรู้อันยิ่ง ไปถึงอาสวักขยญาณ
    การเข้าไปรู้ อดีต อนาคต รู้กรรม รู้ชาติหน้ามี รู้บาปรู้บุญ ก็เป็นวิชชา คนมีปัญญา ย่อมเข้าถึงปัญญาญาณได้ เป็นสัมมาทิฏฐิสิบฝ่ายโลกย์
     
  11. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    วันนึงถ้าผมได้บวชในบวรพุทธศาสนา แล้วเกิดได้ฌานมีฤทธิ์ อภิญญาขึ้นมา สามารถแสดงฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน เดินบนผิวน้ำ หายตัว แปลงร่าง แยกร่าง ทำได้หลายอิทธิวิธีจนเป็นที่ประจักษ์ ท่านจะมองผมเป็นอย่างไร เมื่อผมก็สอนให้พุทธบริษัทให้กระทำดำเนิน ยึดมั่นเข้าถึงแก่นธรรม ในอริยมรรค
     
  12. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ถึงตอนนั้น ก็จะมีแต่คนวิ่งเข้าหาคุณ เพื่อไปขอหวยบ้าง ขอให้ช่วยโน้น นั้น นี้บ้าง
    หลังจากนั้นก็จะเป็นแบบปากต่อปาก คนจะแห่มาหาคุณเยอะขึ้น แล้วสื่อมวลชนก็จะตามมา
    นักข่าวจะวิ่งตามไปทำรายการกับคุณ
    แล้วคุณจะต้องออกสื่อ ให้สัมภาษณ์ ออกรายการคุณวูดดี้บ้าง
    ออกรายการคุณสรยุทธบ้าง รายการวาไรตี้บ้าง รายการโน้น นั้น นี้
    ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 ช่อง 8 ช่อง 11 และ อีกเป็น 10 ๆ รายการ
    แล้วทุกคนก็จะให้คุณแสดงอภิญญาโชว

    หนังสือ นิตยสารก็จะขอนัดคุณถ่ายแบบ แล้วคุณก็จะได้มีรูปตัวเองขึ้นหน้าปก the Day
    เป็นรูปกำลังเหาะอยู่ หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงภาพคุณ กำลังเหาะบ้าง
    แยกร่างบ้าง ดำดินบ้าง เดินบนน้ำบ้าง หายตัวบ้าง ฝรั่งก็จะมาทำข่าว คุณก็จะดังทั่วโลก
    แล้วคุณก็จะกลายเป็นซุปตาร์ คุณก็จะไม่มีเวลาว่างอีกต่อไป เพราะจะมีคิวนัดอีกเพียบ...
    บางทีเขาอาจจะจัดรายการให้คุณไปเฉาะ กับหมอดูดัง ๆ ด้วย
    แล้วเขาอาจจะจับคุณมาร่วมรายการกับบุคคลพลังจิต ดัง ๆ ทั้งหลายแล
    และคงจะมีอะไรที่จิตนการไม่ออกอีกเยอะ

    วงการดำ วงการขาว วงการสีเทา วงการบันเทิง วงการการศึกษา วงการศาสนา
    วงการทหาร วงการตำรวจ วงการหมอ ฯลฯ คุณอาจจะต้องเจอหมด
    เพราะเขาอาจจะขอคุณไปช่วยจับผู้ร้ายบ้าง จับคนค้ายาบ้าบ้าง เพราะเขาจับไม่ทัน
    คุณเหาะไปจับได้เลย เขาอาจจะให้คุณเป็นนักสืบด้วย เพราะคุณหายตัวได้
    บางทีพวกอำนาจมืด อาจจะอยากได้ตัวคุณด้วยซ้ำ
    FBI คงจะต้องการคุณมาก ๆ เลย เพราะถือว่าคุณมีผลต่อความมั่นคงของมนุษย์ชาติ
    บางทีเขาอาจจะส่งคุณไปเจราจาติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวก็ได้
    เผลอ ๆ มนุษย์ต่างดาวอาจจะติดต่อคุณมาด้วยซ้ำ!!

    คุณก็จะรวยมีเงินทอง มีผู้คนแวดล้อม มีเพื่อน มีสาว ๆ มากมาย
    คุณอาจจะเจอสาวที่สเปกมากเลย แล้วคุณก็จะตกหลุมรักเธอ
    สุดท้ายอภิญญาคุณก็เสื่อม เพราะถ้าคุณรักษาพรหมจรรย์ไม่ได้ อภิญญาก็เสื่อม
    พอคุณอภิญญาเสื่อม คุณก็คือคนธรรมดาคนหนึ่ง ทุกคนก็เชิ่ดใส่คุณหมด.
    (เพราะหาประโยชน์ในตัวคุณไม่ได้แล้ว)

    สุดท้ายมันก็เหมือนกับว่า เขาสนใจคุณที่ตัวอภิญญา ไม่ใช่ที่ตัวธรรม
    มันก็เหมือนกับว่า คนสนใจคุณ เพราะคุณรวย มีตัง ไม่ใช่สนใจเพราะว่า คุณเป็นตัวคุณ
    เมื่อไรคุณไม่มีตัง เขาก็เชิ่ดใส่ ก็เหมือนกับ เมื่อไรที่คุณหมดอภิญญา ความสำคัญคุณก็หมดไป

    ถึงคราวนี้ คุณจะเข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าถึงสั่งห้ามแสดงอภิญญา
    ทำไมการแสดงอภิญญาให้ฆราวาสดู เป็นเหมือนการที่เป็นผู้หญิงโชวของลับ

    ก็เพราะคนนั้นมีหลายประเภท
    และเวลาคนจะเก็ท ก็เก็ท ที่คุณแสดงธรรม เป็นเหตุเป็นผลให้เขาเห็น
    ไม่ใช่ว่าเขาจะเก็ท เพราะคุณเหาะได้ ลอยได้ หายตัว มุดดิน แยกร่าง เดินบนน้ำได้ ที่ไหนกัน?

    การที่คนจะเก็ท ก็เพราะคุณแก้ไขปัญหา ข้อสงสัยเขาได้
    การที่คนจะเก็ท ก็เพราะคุณพูดความจริง แล้วพูดให้คนที่เชื่อผิด ๆ
    ลดทิฐิ มานะ ของเขา ให้หันมาฟังคุณได้
    การที่คนจะเก็ท ก็เพราะคุณมีเมตตา กรุณา มุธิตา อุเบกขา
    คุณอยากให้เขาได้ดี คุณอยากให้เค้าเข้าใจความจริง พบแต่สิ่งดี ๆ
    และคุณก็วางใจเป็นกลางได้ ถ้าเขาบึนปากใส่คุณ แลบลิ้นใส่คุณ
    การที่คนจะเก็ท คุณจะต้องเก็ทก่อน เข้าใจสัจธรรมมากกว่าเขา ถึงจะสอนเขาได้

    สรุปแล้วไม่เห็นจะต้องมีการใช้อภิญญาตรงไหนเลย ถ้าจะแสดงธรรม...
     
  13. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    มีอีกอย่าง การที่ไม่ให้พระแสดงอภิญญานั้น เพราะว่า เป็นการให้โอกาสพระที่ไม่มีอภิญญาได้แสดงธรรม
    ไม่งั้น คนก็หันไปเชื่อ พระอภิญญา กันหมด ไม่มีใครมาฟังพระที่ไม่มีอภิญญา
    กลายเป็นดาบสองคม

    แทนที่ธรรมมะจะเจริญ ก็กลายเป็นการฆ่าตัวตาย สะงั้น
     
  14. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    ถ้าจะกล่าวถึงอภิญญา(ความรู้ยิ่ง) ที่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ ควรกล่าวให้ครบ

    ไม่ควร กล่าวเพียง อภิญญาห้า


    ควรจบลงด้วย อาสวักขยญาณ อันเป็นอภิญญาอันสูงสุด ที่จะควบคุมอภ้ญญาข้ออื่น
    และ ปิดวงจรทั้งหมด เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจ



    .......กินยาไมครบโดส ก็อาจเป็นพิษหรือเสริมความแข็งแรงของโรค

    ต้องกินยาให้ครบโดส ตรงวิธีการ โรคก็จะหาย เชื้อจะไม่กำเริบ.......
     
  15. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    คุณเหาะได้ลอยได้ แต่คุณแสดงธรรมได้โหล่ยโถ่ย เขาก็ไม่เก็ทคุณอยู่ดี คุณว่าจริงไหม?
    (ไม่ได้ว่าคุณนะ ยกตัวอย่างเฉย ๆ)
     
  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    พระอรหันต์ ทุกองค์ ทรงไว้ซึ่งอภิญญา(ความรู้ยิ่ง)

    แม้แต่สุกขวิปัสโก ก็มีอภิญญา คือ อาสวักขยญาณ

    ----------------------------------------------------------



    พระอรหันต์ 4 คือ
    1.สุกขวิปัสสก (ไม่มีญาณวิเศษใดๆ นอกจากรู้การทำอาสวะให้สิ้นไป (อาสวักขยญาณ) อย่างเดียว)

    2.เตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา 3 คือบุพเพนิวาสานุสสติญาณ (รู้ระลึกชาติได้) จุตูปปาตญาณ (รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย)อันเป็นที่เกิดจากการเข้าใจในกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริงจึงรู้เหตุการณ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งสิ้น อาสวักขยญาณ (รู้ทำอาสวะให้สิ้น)


    3.ฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา 6 คือทิพฺพจักขุ ตาทิพย์ (คือฤทธิที่สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ใกล้ไกลได้ มีพระอนุรุทธะ เป็นเอกทัคคะ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านการมีตาทิพย์ คือสามารถมองเห็นโลกใบนี้ ราวกับ มองเม็ดมะขามป้อมบนฝ่ามือ) ทิพยโสต หูทิพย์อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ (โดยเฉพาะมโนมยิทธิการแยกร่างและจิต เป็นฤทธิที่แสดงได้เฉพาะพระอรหันต์ประเภทฉฬภิญโญเท่านั้น ) เจโตปริยญาณ (ทายใจผู้อื่นได้) บุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติได้ ) และอาสวักขยะญาณ (ญานที่ทำให้อาสวะสิ้นไป)


    4.ปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4) คือแตกฉานในความรู้อันยิ่ง 4 ประการ ได้แก่ อัตถปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในอรรถ ธัมมะปฏิสัมภิทาความแตกฉานในธรรม นิรุตติปฏิสัมภิทาความแตกฉานในภาษา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในปฏิภาณไหวพริบ




    พระอรหันต์ 5 คือ
    1.ปัญญาวิมุต
    2.อุภโตภาควิมุต
    3.เตวิชชะ
    4.ฉฬภิญญะ
    5.ปฏิสัมภิทัปปัตตะ



    ---------------------------------------------


    คำขอขมาพระรัตนตรัย

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะฯ (ว่า 3 จบ)
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ (ถ้าหลายคนว่า … ขะมะตุโน ภันเต ฯลฯ)

    หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดีด้วยทางกายก็ดี หรือวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี และมีเจตนาก็ดี ไม่มีเจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระสัมมรสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กันยายน 2014
  17. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    หลายท่าน


    ด้วยวาสนาเก่า กรรมเก่า ที่เคยกระทำบำเพ็ญมาแต่อดีต แต่อาจลืมไปแล้ว

    เมื่อ ดำเนินสัมมาปฏิบัติ อบรมจิตไว้ในอริยมรรค อริยผล ก็บังเกิดมีอภิญญาต่างๆขึ้นมาเอง แต่การมีของท่านนั้น มีศีล มีอริยมรรค อริยผล คุมอยุ่ จึงเป็นไปเพื่อการไม่ก่อภพชาติ





    ส่วนการตั้งจิต ตั้งใจ ไว้ผิด ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผล ก็มีฤทธิ์เกิดได้เช่น
    หูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติ ทำนายอนาคต ดลธาตุทั้งหกให้เป็นไปตามปรารถนา ฯลฯ เราอาจเรียกว่าฤทธิ์ได้ แต่ไม่ได้เป็นอภิญญาที่ตรงทางมรรคผล ไม่มีอาสวักขยญาณคุมแล้ว ก็เสี่ยงต่อความหลง นำไปสู่การก่อภพชาติ ได้
     
  18. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ขอบคุณมากครับสำหรับข้อคิดเตือนใจ ที่ทุกท่านสละเวลานั่งพิมพ์ข้อความเตือนใจ
    เป็นแนวความคิด ในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ข้อนั้นย่อมพึงมีความเป็นไป
    โดยถูกต้องที่สุดแล้วโดยความเป็นพระสัพพัญญููในปัจจุบันชาติที่สุดแห่ง ความสิ้นของภพชาติ
    โดยได้เสียสละอบรมสั่งสมบุญบารมีมาแล้วในอสงไขยกัปล์นับไม่ถ้วน

    สิ่งที่ทุกท่านกล่าวมาย่อมดีและถูกแล้ว ไม่เสียเปล่าเพราะกระทู้นี้ย่อมมีคนมาชมก็หลายท่านอยู่
    ได้รับแง่มุมมองของสิ่งเหล่านี้ ได้ให้ข้อสติเตือนใจ ว่าสิ่งที่เราศรัืทธานั้น เรามีความศรัทธาแบบไหนอย่างไร
    เชื่อชื่นชม ศรัทธา ที่มุมมองไหน

    สิ่งที่ผมตั้งกระทู้มานี้ เพื่อจะเสนอมุมมองของการสร้างศรัทธา ที่เราจะเผยแผ่ศาสนาของเรานี้
    ให้เข้าไปอยู่ในใจของคนในโลกนี้้ ที่ต่างชนชาติ ศาสนา ให้เข้าใจแก่นแท้ของ การมีชีวิตที่ละเอียดลึกซึ้งมาก
    การที่เราจะให้เปลี่ยน ในเรื่องความเชื่อ ความศรัทธา และทัศนคติเดิมในปัจจุบันยุคนี้ย่อมได้ยาก
    เพราะมันได้เข้าไปแล้วในสายเลือดลึกลงไปแล้วในความศรัทธา ที่มีและเกิดฝังลึกมาแล้วในครั้งบรรพบุรุษ
    ฉนั้นผมจึงมีความคิดที่เป็นประเด็นนี้ว่า ต้องมีของ ของที่เป็นความจริงพิสูจน์ได้เป็นที่ประจักษ์

    แสดงให้คนทั่วโลกได้เห็นถึงอานุภาพของความศรัทธา ที่จะเกิดได้นั้นมันมาจากการปฏิบัติของผู้ที่มีศีลธรรม
    บำเพ็ญเพียรตบะอย่างแรงกล้าน่าศรัทธาเลื่อมใส ผมมองมันเป็นกุศลบายอย่างหนึ่งที่สามารถสร้างศรัทธา
    แรงจูงใจเลื่อมใส ให้เกิดเป็นปฐมภูมิแห่งความมีและเป็นสร้างภูมิธรรมที่มีอยู่แต่เดิมที่เราได้หลงมันมานานแสนนานแล้ว
    เพราะผมมีความเชื่อว่า เริ่มแรกนั้นการที่พระพุทธศาสนาหยั่งลงรกรากปักฐานได้นั้น ส่วนหนึ่งมาจาก
    อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรานั้นได้แสดงไว้เป็นที่ประจักษ์มาแล้ว เช่นไปโปรดชฎิลสามพี่น้อง

    หรือโปรดผกาพรหม หรือวันเทโวโรหณ อย่างนี้เป็นต้น ผู้คนได้สดับเห็นอย่างนี้ ย่อมมีความเชื่อ ศรัทธา
    บังเกิดขึ้นแล้วโดยเป็นที่ประจักษ์ แม้ความมีอิทธิฤทธิปาฏิหารย์นี้ผู้มีความเป็นปกติ ของผู้มีศีลปัญญาปฏิบัติ
    ที่บารมีเต็มล้นแล้ว ย่อมไม่มีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ที่เป็นกิเลสอกุศลครอบงำ ย่อมเล็งเห็นโทษ หรือคุณประโยชน์เหล่านี้
    ย่อมไม่กระทำการอันพร่ำเพื่อเป็นลาภยศหวั่งสิ่งใด กระทำไปเพื่อประโยชน์ของหมู่สัตว์เป็นหลักใหญ่
    สิ่งที่ทรงห้ามไว้นั้นย่อมเป็นประโยชน์แล้ว อันยิ่งยวดของผู้ปฎิบัติที่จะข้ามหลุดพ้นในวัฏฎะอันไกล้นี้

    แต่เราผู้มีความที่ยังจะประโยชน์ธรรมเหล่านี้ได้หยั่งลึกลงไปในสัตว์ทั้งหลายให้เป็นผู้มีความเชื่อ ความศรัทธา
    เป็นปฐมธรรม ก็เลยมีความคิดว่า สิ่งเหล่านี้มีคุณประโยชน์อยู่บ้างตามกาลสมควร ธรรมที่พุทธองค์ทรงบัญญัติกล่าวมานั้น
    ย่อมดีแล้วทุกถ้อยคำ เราเป็นผู้เดินตามแห่งธรรมนั้น ย่อมเล็งเห็นคุณวิเศษทุกถ้อยคำ เราจะต้องปฎิบัติตามกฎนั้นอย่างระมัดระวัง

    มันเป็นแบบตัวอย่างของการเรียกความศรัทธาให้บังเกิด วันหนึ่งความศรัทธาตั้งมั่น มีความรู้เพียร ปัญญามาก
    เป็นผู้ขวานขวายในธรรม บารมีล้นเต็มเปี่ยมแล้ว ย่อมเลือกในความเชื่อ ความศรัทธา ละวางในสิ่งนั้นที่คิดว่าไม่มควรยังประโยชน์ได้อีกต่อไป
    ย่อมเห็นความไม่มีอะไรที่แปลกประหลาด พิศดารอีกต่อไป ย่อมละวางเองได้ และจะสิ้นสุดได้เองตามวาระนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2014
  19. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ มันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจะสั่งสมมา ถ้าความคิดแบบโลกๆ ก็ต้องบอกว่า "ดี" มันสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นได้ในหมู่คนทั่่วไป แต่ในพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สรรเสริญ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ เหล่านี้ ซึ่งมันเป็นของเกิด ดับ ไม่คงที่ มีสภาพไม่ต่างจาก ของทั่วไป ที่พระองค์สรรเสริญ คือ ปาฏิหารย์ การเข้าไปเห็นขันธ์ 5 เป็นของเกิด ดับ เป็นของไม่เที่ยง ซึ่งมันพาให้เบื่อหน่าย คลายอุปาทานลง ไม่ทำเพื่อสะสม เพื่อได้ เพื่อมี เพื่อเป็น

    พระพุทธองค์เข้าไปเห็น การเกิด ดับ เห็นความไม่คงที่ คงทน ของขันธ์5 ของทุกสรรพสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่ อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ก็ไม่คงที่ คงทน และอาจเป็นที่มาของความเข้าไปยึดติดของอุปาทานอีก ถ้ามีพระสงฆ์ผู้เป็นพระอรหัต์ แสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ต่อหน้าชาวบ้านทั่วไป ชาวบ้านพวกนั้นจะศรัทธาอะไร ระหว่าง "อิทธิฤทธิ์"หรือ "ธรรมะ" กันแน่

    น้อยคนที่จะไปสนใจธรรมะ แต่จะไปสนใจในอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ซะมากกว่า เพราะกิเลสในใจมนุษย์ ที่คิดว่า ถ้าตนเองทำได้อย่าง พระที่แสดงฤทธิ์นั้น ตนจะได้เหนือกว่าผู้อื่น
     
  20. จิตเปโม

    จิตเปโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2012
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +253
    เป็นอุบายวิธีสอนพระในครั้งพุทธกาล คือตั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธุ์
    ที่ยกมาท่านสอนว่าอิทธิฤทธิ์ ดังที่พระกล่าวที่ยกมาให้อ่าน
    จะทรงอยู่ได้ "ถ้าไม่เหินห่างจากฌาน "

    เราห้ามคนไม่ให้ฝักใฝ่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้หรอก

    ทุกวันนี้เราจะฝากพุทธศาสนาใว้ที่ผู้ใดผู้หนึ่งไม่ได้
    พวกเราเองต่างหากที่จะรักษาศาสนาใว้ ที่ใจของเรา
    มันธรรมดาที่ต้องมีเสื่อมไปตามกาล

    ผู้ที่เข้าใจหลักคำสอน ก็มีมาก ผู้กำลังทำลายศาสนาก็มีมาก
    เราเองแต่ละทำความเข้าใจและตั้งใจปฏิบัติกันไปเถอะนะครับ
    ศาสนาไม่ได้อยู่กับพระหรือใครเลย อยู่ที่พวกเราชาวพุทธทุกคนนี่แหละครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...