อานิสงค์ของการสวดมนต์แปลกับไม่แปลต่างกันอย่างไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ใบไม้ที่หายไป, 16 ธันวาคม 2007.

  1. ใบไม้ที่หายไป

    ใบไม้ที่หายไป Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +49
    อยากถามผู้รุ้ค่ะ ว่าอานิสงค์ของการสวดมนต์แบบแปล กับ ไม่แปล มีอานิสงค์ต่างกันรึไม่อย่างไรคะ แล้วถ้าหลังจากที่เราสวดมนต์แล้วแต่ไม่ได้นั่งสมาธิ ก็อุทิศส่วนกุศลเลย แบบนี้ถือว่าได้บุญมั้ยคะ

    รบกวนด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
     
  2. ปราณยาม

    ปราณยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,638
    วัตถุประสงค์ของการสวดมนต์มีหลายอย่างครับ
    1.เพื่อเคารพและระลึกถึงพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    2.เพื่อทำให้ใจสงบและเป็นสมาธิครับ
    3.เพื่อสิริมงคลและการกำจัดพลังอัปมงคล

    การที่เราสวดมนต์โดยไม่แปลก็เป็นการสวดโดยใช้ภาษาบาลีครับ แบบนี้เป็นเพียงการทำให้เราสงบจิตและถ้าเรามีความเชื่อในพระสูตรนั้นว่าสามารถช่วยเหลือเราได้ก็จะมีศรัทธามากขึ้นแต่เราก็จะเป็นคนที่ไม่รู้อยู่ดีว่า บทสวดมนต์นั้นแปลว่าอะไร แต่ถ้าเราสวดไปพร้อมกับแปลไปด้วยเราก็จะเข้าใจความหมาย มีความรู้และสามารถนำความหมายมาเป็นวิปัสสนาได้ด้วยครับ ในการสวดมนต์ถ้าเราตั้งใจและสวดแบบออกเสียงจะทำให่เรามีสมาธิมากขึ้นเพราะใจเราจะวอกแวกน้อยลง และระหว่างสวดเจ้าที่เจ้าทาง เทวดาหรือวิญญาณที่อยู่ตรงนั้นก็จะมาร่วมสวดหรือฟังด้วย ทำให้เราได้ประโยชน์และบุญมากขึ้นด้วยครับ
    หลังจากสวดมนต์แล้วแผ่เมตตาเลยก็ไม่ผิดครับ เพราะการสวดมนต์ด้วยความตั้งใจก็เป็นบุญอยู่แล้วครับ แต่ถ้าเรามีการนั่งสมาธิด้วยเราก็จะได้บุญของการนั่งสมาธิเพิ่มเติมด้วยครับ
    ขอให้เราตั้งใจทำจิตเป็นสมาธิและกระทำด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า เราก็จะสามารถสะสมบุญได้ตลอดเลยครับ แต่ก็อย่าลืมสั่งสมบุญด้วยการทำทานอื่นด้วยนะครับ
     
  3. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    ผมว่าอานิสงค์มันเท่ากันน่ะครับถึงจะแปล ไม่แปลก็ไม่แตกต่างกันครับ ถ้าเรามีจิตใจที่จะระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์ มีจิตใจที่สงบ บริสุทธิ์ เอาซึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้าเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี หมั่นทำความดี ละความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส บริสุทธิ์ สะอาด


    ขออนุโมทนา...สาธุ....สาธุ....สาธุ ให้ตราบเข้าถึงพระนิพพาน
    ขออนุโมทนา...สาธุ....สาธุ....สาธุ ให้ตราบเข้าถึงพระนิพพาน
    ขออนุโมทนา...สาธุ....สาธุ....สาธุ ให้ตราบเข้าถึงพระนิพพาน
    ข้าจะขอยึดหน่วงเอาซึ่งพระพุทธเจ้า พระปริยัติธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า แลคุณพระพุทธเจ้า แลคุณพระนวโลกุตรธรรมเจ้า แลคุณพระอริยสงฆ์เจ้าในอดีตอนาคตปัจจุบัน จงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าตราบเข้าสู่พระนิพพาน แลข้าจะขอนมัสการกราบไหว้ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า อันเป็นอดีตอนาคตปัจจุบันสิ้นกาลนานทุกเมื่อ แลข้าพเจ้าจะข้อเป็นข้าแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นเจ้าเป็นใหญ่แก่ข้า ขอพระบาทาของพระพุทธเจ้า จงมาประดิษฐานอยู่เหนือเศียรเกล้าแห่งข้าสิ้นกาลทุกเมื่อ ขออาราธนาพระธรรเจ้าทั้งมวลนั้นจงมาประดิษฐานอยู่เหนือเศียรเกล้าแห่งข้าสิ้นกาลทุกเมื่อ ขอพระอริยสงฆ์เจ้าจงมาเป็นเจ้าเป็นหใหญ่ ข้าขอาราธนาคุรแห่งพระอริยสงฆ์
    จงประดิษฐาน อยู่เหนือเศียรเกล้าแห่งข้าสิ้นกาลทุกเมื่อ สิ่งอันอื่นที่จะได้เป็นที่พึ่งแก่ข้าหามิได้ ถ้าเว้นแต่พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้าเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าเที่ยงแท้นักหนา ข้าไหว้ละอองธุลีบาททั้งหลายพระลายลักษณ์สุริยฉาย มงคลทั้งหลายจงมาบังเกิดแก่ข้าด้วยคำสัจนี้เถิด อนึ่งโทษอันใดข้าได้ประมาทพลาดพลั้งไว้ในพระพุทธเจ้าอันเป็นอดีจอนาคตปัจจุบัน ขอพระพุทธเจ้าขอมาอดโทษทั้งปวงนั้นให้แก่ข้าพระพุทธเจ้านี้เถิด ข้าขอกราบไหว้พระธรรมเจ้าทั้ง 2 ประการอันประเสริฐ โทษอันใดข้าได้ประมาทพลาดพลั้งไว้ในพระธรรมเจ้าทั้ง 2 ประการ ขอพระธรรมเจ้าทั้ง 2 ประการจงมาอดโทษทั้งปวงนั้นให้แก่ข้าพระพุทธเจ้านี้เถิด ข้าขอกราบไหว้พระอริยสงฆ์เจ้าทั้ง 2 ประการอันประเสริฐ โทษอันใดข้าได้ประมาทพลาดพลั้งไว้ในพระอริยสงฆ์เจ้าทั้ง 2 ประการ ขอพระอริยสงฆ์เจ้าทั้ง 2 ประการจงมาอดโทษทั้งปวงนั้นให้แก่ข้าพระพุทธเจ้านี้เถิด
    [​IMG]
    [​IMG]

    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  4. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +38,355
    อานิสงค์ไม่น่าแตกต่างกัน แต่ที่จะได้เพิ่มแบบคุณปราณยามว่าถ้าเราเข้าใจความหมายศรัทธาก็จะเพิ่มขึ้น และถ้าพิจารณาให้ดีบทสวดมนต์ก็คือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าถ้าสวดเเล้วเข้าใจนำไปปฏิบัติ นี่คือสิ่งที่จะได้เพิ่มจากการสวดมนต์แบบธรรมดาครับ
     
  5. พระมีความสุข

    พระมีความสุข Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +31
    สวดมนต์ทำให้เกิดจิตที่เป็นกุศล มีสมาธิเพราะมีสติกำกับพร้อมสัมปะชัญญะคอยเตือนให้เรานั้นมุ่งสู่ความสุขที่เกิดจากภายในจิตใจเราครับ แปลหรือไม่แปลมีผลเท่ากันคือจิตเราสงบครับ ขออนุโมทนา
     
  6. ปราณยาม

    ปราณยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ตรงนี้เป็นจข้อความของคุณWebsnowเมื่อหลายปีก่อนครับ

    วิธีสวดมนต์ที่ถูกต้อง <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <HR align=center width="100%" color=#cccffc noShade SIZE=1>
    บทสวดมนต์หลายบทนั้นมีอานุภาพในตัวเองมากมายมหาศาล แต่ต้องขึ้นอยู่กับ
    "
    ผู้สวด" ด้วย มีหลายท่านได้ยินได้ฟังมาว่า คนนั้นคนนี้สวดมนต์บทนั้นบทนี้แล้วจะได้รับสิ่งที่ดีๆ อย่างนั้นอย่างนี้ จึงมีผู้เลือกเอาบทสวดมนต์ต่างๆ มาบอกเล่ากันว่าควรสวดบทไหนขอเรียนให้ท่านทราบด้วยความจริงว่า.การที่สวดมนต์ตามบทสวดมนต์ต่างๆ แล้วได้สมหวังตามความปรารถนา หรือสวดแล้วได้โชคลาภต่างๆ นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "บทสวดมนต์" แต่เพียงอย่างเดียว มีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย

    องค์ประกอบของการได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั้น มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน

    1.
    กรรม
    2.
    ตัวเราเอง
    3.
    ผู้ช่วยหรือสิ่งต่างๆ ช่วย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    1.กรรม มีอัตราส่วน 50 %
    ถ้าคนเราไม่มีส่วนของการกระทำที่ได้เคยทำไว้ในอดีตมาเป็นพื้นฐานแล้ว ไม่มีทางที่จะดีขึ้นมาได้ เปรียบเทียบว่า กรรม ดีที่เราทำนั้น เป็นกำลังพื้นฐานที่รองรับเรื่องราวต่างๆ

    2.
    ตัวเราเอง มีอัตราส่วน 25 %
    ถ้าเราเองไม่ทำตัวให้ดี เพื่อรองรับ หรือรอรับสิ่งที่ดีๆ แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้ดีขึ้นมาได้

    3.
    ผู้ช่วยหรือสิ่งที่มาช่วย มีอัตราส่วน 25 %
    ผู้ช่วยในที่นี้ รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครูบา อาจารย์ ผู้ที่มีจิตดี จิตบริสุทธิ์ พรหม เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯสิ่งเหล่านี้ เป็น "อุปกรณ์" เสริมที่มีความจำเป็น เพื่อให้สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราปรารถนา สมตามความต้องการ<o:p></o:p>

    นี่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัดๆสมมติว่า ถ้าเป็นการสอบ ต้องการคะแนน 50 เพื่อ "ผ่าน"ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้าเราจัดอัตราส่วนแล้วเราต้องใช้ส่วนไหนมากที่สุด
    ถ้าใช้ส่วนที่มากที่สุด ก็คือ ส่วนที่เป็น "กรรม" เรามีอัตราส่วนถึง 50 %
    ถ้าเราเคยทำกรรมดีไว้พอสมควร คือทำกรรมดีไว้เต็มเปี่ยมได้ครบ 50 %
    เราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาคะแนนมาจากไหนมาเพิ่ม เพราะได้ครบ 50 % แล้ว
    เคยสังเกตหรือไม่ว่า คนบางคนแค่เพียง "นึก" ก็ได้สมตามความปรารถนาแล้ว
    ไม่จำเป็นต้อง "ร้องขอ" จากสิ่งใดๆ อีก ก็ได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา
    นั่นก็แสดงว่า บุคคลนั้นได้กระทำ "กรรม" ที่ดีๆ มาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วในอดีต
    แต่ถ้าท่านยังทำความดีไม่เพียงพอ กระพร่องกระแพร่ง หรือขาดตกไปบ้าง สมมติว่ามี "กรรมดี"ได้คะแนนเพียง 30 % จำเป็นที่จะต้องหาคะแนนจากที่อื่นมาเพิ่มให้ครบ 50 คะแนนจะไปเอาจากไหน ก็จากที่เหลือ 2 ส่วนที่เหลือ คือ จากตัวเราเองและผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือ การที่จะไปหาให้ครบ 50 คะแนนนั้น ถ้าเอามาจากตัวเองน่าจะง่ายกว่าไปหาจากคนอื่น เพราะการที่ทำเอง ก็จะได้เอง และได้มากกว่าคนอื่นมา<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทำให้แต่ถ้าถามว่า เราทำเองนั้น ทำดีได้แค่ไหน จริงใจกับการทำความดีได้แค่ไหน หรือทำไปแล้ว ผลที่ได้จะเพียงพอกับคะแนนที่ต้องการหรือไม่

    <o:p></o:p>

    สมมติว่าทำได้อีก 10 คะแนน (จาก 25 คะแนน) เราก็ได้เพิ่มแล้วเป็น 40 คะแนน
    ยังขาดอยู่ 10 คะแนน เราก็ต้องอาศัยผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ เช่น ครูบา อาจารย์ ผู้ที่มี"จิต" ดี "จิต" บริสุทธิ์ เทพ เทวดา พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯเหล่านี้ก็สามารถช่วยท่านได้อีก 10 คะแนน รวมแล้วครบ 50 คะแนน ถือว่า "ผ่าน"นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ และแสดงให้เห็นว่า ทุกส่วนต้องมีการเกื้อหนุนและประกอบกัน ถ้าแค่ผ่าน ก็ใช้เพียง 50 % หรือ 50 คะแนน
    แต่ถ้าจะให้ "เยี่ยม" ต้องใช้คะแนนมากๆ บางคนทำคะแนนได้มากถึง 90 หรือเกือบร้อย
    เช่น ทำแต่กรรมดี มาตั้งแต่อดีต เป็นคนที่ทำตัวเองดี และได้ผู้ช่วยเหลือดี
    เลยทำให้ได้ดี มากยิ่งขึ้น

    <o:p></o:p>

    จำเอาไว้ว่า กรรม 50 ตัวเอง 25 ผู้ช่วยเหลือ 25ไปจัดสัดส่วนเอาเอง ถ้าจะมานั่งรอแต่ให้คนอื่นช่วย (25 คะแนน ซึ่งความเป็นจริง ใครหรืออะไรจะมาช่วยได้ครบ 25 คะแนน) แล้วไม่ทำตัวเองให้ดีๆ ไม่ทำกรรมดีมาแต่ก่อนจะไปได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ หรือจะได้รับสิ่งที่ดีๆ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความเป็นจริง ตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญมีคะแนนถึง 75 % หรือ 75 คะแนน จากการกระทำดีของเราที่ได้เคยทำไว้ ซึ่งก็คือ "กรรม" 50
    ตัวเราเองทำดีด้วย 25 ถ้าทำได้แค่นี้ 75 คะแนนแล้ว ผ่านได้อย่างสบายๆ
    จะมานั่งรอผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือทำไม แค่เพียง 25 คะแนนเอง
    เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทำไมไม่ฝึกตัวเองก่อนให้ตัวเองมี "ดี" พอก่อน ก่อนที่จะไปหา "ดี" จากที่อื่น

    บทสวดมนต์ก็เช่นกัน จัดอยู่ในข้อที่ 3 คือผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ
    อย่าลืมว่าเป็นเพียง "ส่วนประกอบเท่านั้น" คนที่ไม่มี "กรรม" ดีมาก่อน ไม่ได้ทำตัวให้เป็นคนดีก่อน ไม่ทำบุญทำกุศลมาก่อน ให้สวดพระคาถาชินบัญชร 100 จบ 1000 จบก็ไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการหรือเรียกง่ายๆ ว่า อาจจะไม่ได้ดีตามที่หวัง
    แต่การสวดมนต์ก็ได้ "กุศล" แล้ว แต่ได้อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 25 คะแนน

    รู้อย่างนี้แล้วจะมามัวมานั่งทำอย่างใดอย่างหนึ่งทำไมกัน
    ทำทั้ง 3 ส่วนให้สมดุลย์กันไม่ดีกว่าหรือ ?
    ทั้งทำ "กรรม" ดี ทำตัวเองให้ดี (รวมถึงการทำบุญกุศล ปฏิบัติภาวนา ฯลฯ) และหาผู้ช่วยเหลือ
    สิ่งช่วยเหลือที่ดี
    แล้วสิ่งที่คุณต้องการ...ก็จะไม่ไกลเกินความจริง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...