อาจารย์ฟ้อนชดใช้กรรม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ไม้ขีด, 18 มีนาคม 2015.

  1. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--> อาจารย์ฟ้อนชดใช้กรรม

    ท่านผู้ที่มีอายุเลย 50 ปีไปแล้ว หรือประมาณ 60 ปีแล้วคงจะจำเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างหนึ่งได้ นั่นคือวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เวลาประมาณ 01.00 น. ประเทศเราได้ถูกกองทัพญี่ปุ่น บุกยกพลขึ้นบก ทางชายทะเลภาคใต้ คือที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมๆ กันก็บุกยกพลขึ้นบก โจมตีมาลาเซียและสิงคโปร์ในขณะเดียวกัน โดยญี่ปุ่นประกาศสงครามเข้าร่วมกับเยอรมันนี เรียกว่า ฝ่ายอักษะ สู้รบกับอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย อเมริกา ฯลฯ รวมเรียกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร


    ในวันนั้น ทหารไทย ตลอดจนยุวชนทหารไทย ได้แสดงวีรกรรมไว้มาก โดยทำการต่อสู้กับทหารที่เข้าโจมตีอย่างยอมตาย ทั้งๆ ที่ ฝ่ายข้าศึกมีกำลังมากกว่า อาวุธยุทธภัณฑ์เหนือกว่า การตระเตรียมกำลังพลเหนือกว่า ทหารทั้งสองฝ่ายได้เสียชีวิตไปเป็นอันมาก และในที่สุดก็ต้องยอมพ่ายแพ้แก่ทหารญี่ปุ่น
    รัฐบาลในตอนนั้น จำต้องประกาศยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านดินแดน และยอมเป็นกำลังฝ่ายอักษะด้วย ก็เท่ากับไทยเราเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่นโดยปริยาย ทหารญี่ปุ่นเต็มไปหมดทั้งบ้านทั้งเมืองในกรุงเทพฯ พ่อค้าวานิช ร้านค้าญี่ปุ่น แม้แต่ร้านถ่ายรูปที่ถนนเจริญกรุงก็แต่งตัวเป็นนายทหารญี่ปุ่น สะพายดาบซามูไรอย่างแข็งขัน กำลังทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ มากมาย อาทิ สนามกีฬาแห่งชาติ สวนลุมพินีวัน โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย สถานเอกอัครราชทูตฝ่ายสัมพันธมิตร โรงเรียนใหญ่ๆ หลายแห่ง ถูกทหารญี่ปุ่นยึดครอง สโมสรราชกรีฑาถูกยึด และบางส่วนถูกทำลายเสียหาย
    ต่อจากนั้นไม่กี่วันคนกรุงเทพฯ ก็ได้ยินเสียงเครื่องบินสี่เครื่องยนต์ของสหรัฐฯ มาทิ้งระเบิด ตามจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ในกรุงเทพฯ มีสถานีรถไฟกรุงเทพฯ บางกอกน้อย บางซื่อ กรมทหาร และหน่วยที่ตั้งกำลังทหารญี่ปุ่น พอเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรบินเข้ามา



    สัญญาณภัยทางอากาศ หรือที่เรียกในตอนนั้นว่า “หวอ” ที่ติดตั้งอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะที่ ยอดภูเขาทองก็เปิดหวอดังลั่น ไฟฟ้าดับหมดมืดสนิททั้งเมือง ทุกอย่างอยู่ในความสงบ มีแต่เสียงลูกระเบิดที่แหวกอากาศลงมา “วี้ด..... วี้ด..... ตูมๆ” ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ส่วนมากก็กลางคืน ผู้คนวิ่งลงหลุมหลบภัยที่มีอยู่ทั่วเมือง ที่ลงไม่ทัน หลบไม่ทัน ก็ลงไปในท่อระบายน้ำข้างถนน จนสองหรือสามชั่วโมงต่อมา หวอปลอดภัยก็ดังขึ้น ทั้งนี้ก็ออกมาจากหลุมหลบภัยออกมาจากท่อข้างถนนที่ลงไปหลบกันขึ้นมา ส่วนมากก็ปลอดภัย ส่วนน้อยที่โดนจังๆ ก็ดับสิ้นไป ระเบิดครั้งแรก ดูเหมือนที่ตลาดพลูและซอยสารภี ธนบุรี และก็เรื่อยๆ มาถูกทิ้งระเบิดสังหาร ระเบิดทำลาย และระเบิดเพลิง ตอนนี้ผู้คนเริ่มอพยพออกไปนอกกรุงเทพฯ ทั้งทางรถไฟ ทางเรือ ทางถนน กันอย่างพัลวัน ถนนในสมัยนั้นไม่มากอย่างในปัจจุบัน ก็หนีออกไปเท่าที่จะทำได้ เช่น ไปอยู่ในสวน ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก แถวๆ ทางเมืองนนท์ ทางบางกอกน้อย บางกอกใหญ่ สามพราน นครปฐม นครชัยศรี อยุธยา รังสิต แค่นี้ก็พอจะปลอดภัยแล้ว แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีญาติพี่น้อง ลูกหลาน อยู่บ้านบ้าง คอยเฝ้าบ้าน เฝ้าสมบัติ เพราะสงครามนี่ทำให้โจรผู้ร้ายชุกชุม บางคนถึงกับขายที่ขายทาง อพยพไปบ้านนอกเลย

    ที่ดินในตอนนั้นราคาถูกมาก นอกๆ ใจกลางกรุงเทพฯ ราคาตารางวาละสองสามบาท ไร่ละ 800 บาท หรือ 1,000 บาท ถ้าในกลางเมืองตารางวาละอาจจะถึง 10 บาท คือไร่ละ 4,000 บาท แต่พอสงครามนานเข้าถูกระเบิดตกมากเข้า ที่ดินก็ลดราคาลงมาอีก
    ในระยะนี้ เครื่องรางของขลังจากอาจารย์ต่างๆ ก็เริ่มระบาด ทั้งปลอมทั้งจริง พวกที่หัวไวทำพระเครื่องปลอมออกจำหน่าย พร้อมกันก็ส่งนายหน้า หรือ หน้าม้าไปโฆษณาก่อน ทำให้เครื่องรางเหล่านั้นมีผู้สนใจซื้อหากันมาป้องกันตัวมากมาย อันที่จริงก็เป็นการให้กำลังใจนั่นเอง จะสังเกตเห็น พอเสียงสัญญาณภัยทางอากาศดังขึ้นเท่านั้น ผู้หญิง ผู้ชาย ไม่ว่าแก่ ว่าสาว ว่าหนุ่ม ต่างก็รีบสวมเสื้อยันต์สีแดง มีอักขระขอมเต็มไปทั้งหน้าทั้งหลัง ลักษณะเสื้อยันต์ก็เหมือนกับเสื้อกั๊กนั่นแหละ แต่มีลวดลายตัวหนังสือเขียนด้วยหมึกสีดำเต็มไปหมด แล้วก็สวมสร้อยคอมีพระพวงโตๆ อย่างน้อยก็ 7 องค์ บางคนสวมสายสร้อยเงินที่ห้อยพระอยู่จนนับองค์พระไม่ถ้วน
    ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมีการสืบหาอาจารย์ทางแคล้วคลาด ทางอยู่ยงคงกระพันมาก ใครว่าอาจารย์ที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์องค์เจ้า หรือฆราวาสที่นับถือกันเป็นอาจารย์ เป็นไปหากันแน่นสำนัก ทำให้พวกที่ไม่มีอะไรในตัว ถือโอกาสหลอกลวง ตั้งตนเป็นอาจารย์กันมากมาย สุดแต่ว่าใครจะมีวิธีอะไร ก็นำมาหลอกลวงกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นอาชีพที่เบาๆ สบายๆ และได้เงินมากด้วย อย่าว่าแต่ในสมัยโน้นเลย แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ถมไป ในขณะสงครามกำลังวุ่นวายอยู่นั้น ข่าวลือกันหนาหู พูดกันทั่วเมืองว่า มีอาจารย์ดีผู้หนึ่ง ท่านอยู่ทางปทุมธานี ลูกศิษย์ลูกหาเชิญไปตามที่ต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน หาตัวยากมาก อาจารย์ผู้นี้ท่านเก่งทางสัก โดยเอาเลือดออกจากปากท่านมาลงกระหม่อม ให้แก่ผู้ที่ประสงค์จะเป็นลูกศิษย์ เวลาไปเชิญมาจะมีลูกศิษย์ห้อมล้อมมาสามสี่คนเป็นอย่างน้อย อาจารย์ท่านนี้ท่านชื่อ “อาจารย์ฟ้อน” ผมไม่ทราบนามสกุลท่าน และป่านนี้ก็คงดับสูญสิ้นชีวิตไปแล้วเพราะมันก็นานมาแล้ว ถ้ามีชีวิตอยู่ ป่านนี้อายุเห็นจะเลยร้อยปีไปนาน


    เมื่อเชิญอาจารย์ฟ้อนมาทำพิธีสักกระหม่อมลงยันต์ ท่านจะทำกับลูกศิษย์ท่านให้ดูก่อน แล้วจากนั้นลูกศิษย์อีกคนจะเอาดาบฟันลงไปที่หลังลูกศิษย์คนที่ลงกระหม่อมไว้ ฟันฉับๆๆ ไม่มีอันตรายใดๆ ผู้คนขึ้นมากมาย เสียค่ายกครูตามธรรมเนียม เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว ผู้ที่เก็บค่ายกครูคือลูกศิษย์ที่มาด้วย แต่มันก็แพงมากสำหรับในสมัยนั้น อาจารย์ผู้นี้เดินทางไปตามศาลเจ้าต่างๆ ศาลเทพารักษ์ต่างๆ บางทีก็เข้าไปตามวัดร้างๆ แบ่งถวายพระบ้างนิดๆ หน่อยๆ พระท่านก็ไม่ว่าอะไร
    กิตติศัพท์ของอาจารย์ฟ้อนนี้ดังมาก ดังมานาน แม้พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณสาสนโสภณ (นิรันดร์) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทาวาส องค์ปัจจุบันยังทราบเรื่องอาจารย์ฟ้อนนี่
    ในตอนที่สงครามกำลังรุนแรงระเบิดตกตูมๆ อยู่นั้น บิดาผมได้ให้ไปนิมนต์หลวงพ่อมาจากอยุธยา มาเทศน์ มาประพรมน้ำพุทธมนต์ให้เป็นกำลังใจแก่ลูกๆ เพราะข้างๆ บ้านถูกลูกระเบิดไปหลังหนึ่งแล้ว ผมก็เดินทางไปอยุธยา ไปกราบนมัสการท่าน ท่านก็เมตตารับนิมนต์ แต่ไม่รับที่จะค้างที่บ้าน โดยท่านจะไปเช้าเย็นกลับไปกับลูกศิษย์ 1 คน ก็ไชโย นั่นแหละไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเราก็ดีใจ ที่หลวงพ่อจะมาที่บ้าน ต่างก็คอยนมัสการ กราบไหว้ เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เพราะในตอนนั้น ภัยสงครามรุนแรงมากจริงๆ ขวัญกระเจิงทั่วกันไปหมด
    เผอิญในวันที่ผมไปรับหลวงพ่อนั้น กิตติศัพท์ของอาจารย์ฟ้อนที่ดังมากนั้น ทำให้มีพรรคพวกของเราคนหนึ่งอาสาไปเชิญอาจารย์ฟ้อนมาทำพิธีที่บ้าน โดยจะจัดหาลูกศิษย์ลูกหาไว้ลงกระหม่อม พร้อมทั้งอาสาสมัครที่จะลงกระหม่อมด้วย โดยเสียค่ายกครูตามธรรมเนียม แถมยังมีรางวัลให้อาจารย์ด้วย


    ในการนี้พี่ผมซึ่งตอนนั้นก็รับราชการเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ ให้ความเห็นชอบ เพราะสนใจ ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่ได้เชื่อถืออะไรในเรื่องนี้ ในที่สุดอาจารย์ฟ้อน ก็มาถึงบ้าน ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ผมไปนิมนต์หลวงพ่อมาจากอยุธยา อาจารย์ฟ้อนถูกรับตัวมาแต่เช้า พวกเราก็สนใจกันมาก มาหามาดูกันมากหน้าหลายตา รวมทั้งเพื่อนๆ บ้านใกล้เรือนเคียงด้วย มากันแน่น เพื่อมาดูกรรมวิธีต่างๆ ที่แปลกๆ ไม่เคยเห็น
    ผมจำได้ว่า พออาจารย์ฟ้อนมาถึง จะมาตอนสักกี่โมงผมจำไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมไปอยุธยา แต่ทราบว่าแกมาถึงก็ทำพิธี ใหญ่โต สวดคาถาแทบไม่หยุดหายใจ พรรคพวกบอกว่า แกสวดคาถา ร่ายมนต์ต่างๆ คล่องมาก เพราะแกเคยบวชพระมาหลายปี เสียงที่แกสวดนั้นฟังประหลาด เพราะเสียงแกแปลกกว่าใคร ๆ อาจารย์ฟ้อนแต่งกายนุ่งขาวห่มขาว พนมมือ ถือดอกไม้ธูปเทียน มีลูกศิษย์ประจำตัวนั่งอยู่ทั้งสองข้างซ้าย-ขวา ผู้คนที่มานั่งพนมมือแต้ นิ่งสงบเงียบ พอได้เวลาลูกศิษย์ก็คลานเข้าไปส่งมีดหมอปลายแหลม 1 เล่ม ค้อนขนาดไม่ใหญ่นัก 1 อันให้ จากนั้นอาจารย์ก็จะอ้าปากกว้าง เอาปลายมีดหมอพุ่งปักเข้าไปที่เพดานในปาก จากนั้นก็เอาค้อนตีเข้าที่ด้ามมีดหมอนั่นสองสามที แล้วก็เอาปลายมีดออก ทันใดนั้นก็มีเลือดหยดออกมาทางปาก อาจารย์ก็จะเอาถ้วยเล็กๆ มารองเลือดนั้น จนเลือดหยุดไหล ก็จะได้เลือดราวๆ ถ้วยตะไล จากนั้น ก็จะเอาเหล็กจารใบลานมาจุ่มเลือด แล้วลงกระหม่อมให้ลูกศิษย์คนที่เอามีดหมอมาให้ก่อน ปากก็ว่าคาถาไปเรื่อยๆ มือก็ลงกระหม่อมไป พอเสร็จก็จะให้ลูกศิษย์อีกคนหนึ่ง เอามีดดาบมาฟันที่หลังคนที่ลงกระหม่อมไว้ คนที่ใช้ดาบฟันจะเงื้อจนสุดแขนแล้วฟันลงมา


    แต่แปลกคือ พวกที่ไปที่สังเกตเห็นว่า เวลาเงื้อน่ะเงื้อสุด แต่พอฟันลงมาจะฟันลงมาโดยเร็วแต่จะหยุดนิดหนึ่งราวๆ 1 คืบ ก่อนที่คมดาบจะถึง พลังความรุนแรงของการฟันก็ลดลง แต่ก็ทำให้เป็นรอย พอมีเลือดซึมๆ เขาเรียกว่า ยางบอน ไหลซึมนิดๆ เขาฟันอยู่สองสามที แล้วหันหลังให้ผู้คนที่เฝ้าชมอยู่นั้นดูว่า ไม่มีรอยแผล ไม่มีรอยฟัน ก็คือว่าฟันไม่เข้านั่นเอง เรียกร้องความสนใจของผู้คนที่นั่งชมอยู่เป็นอันมาก
    ต่อจากนั้น ชายหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลาย ตลอดจนสตรีและเด็กๆ ก็หมอบคลานเข้ามากราบ แล้วก็ยื่นศีรษะให้ขอลงกระหม่อมเลือดอาจารย์ ลูกศิษย์ที่มาด้วยก็จะลงมือเก็บค่าบูชาครู คนละ 25 บาท และมีการ “ลงบุญ” ในขันที่วางไว้ตรงหน้าอาจารย์
    ลงบุญ ที่ว่านี้ก็คือ การบริจาคเงิน เพื่อร่วมไปทำบุญต่างๆ ร่วมกับอาจารย์ สุดแต่ว่าจะทำบุญให้ทานที่ไหน ใครลงบุญมาก ก็จะได้บุญมาก แถมอาจจะได้ของขลังไว้ป้องกันตัว คือ ตะกรุด ที่อาจารย์สร้างขึ้นด้วย ตะกรุด อิทธิฤทธิ์มากมายสุดพรรณนา ทั้งคลาดแคล้ว อยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม เรียกลาภ เรียกเงิน เรียกทองให้มาหา อาจารย์ฟ้อน แสดงให้ดูว่า แกเอาขันเปล่ามาวางตรงหน้า แล้วก็เอาตะกรุดมหาลาภใส่ลงไปในขัน แล้วคอยดูเงินทองจะไหลมาเทมา พวกคนที่มาลงกระหม่อมก็สังเกตเห็นว่าขันนั้น เป็นขันเปล่า แต่พออาจารย์บอกบุญเรียกว่า ลงบุญ เท่านั้น เงินทองก็ไหลมาเทมา ลงมาในขันนั่นแหละจนเต็มขัน อาจารย์ฟ้อนจะพูดว่า “ถ้าใครสงสัยให้มองดูในขันว่า มีเงินเต็มขัน จริงไหม” ไม่กี่อึดใจเท่านั้นเงินก็ไหลมาเทมาจนเต็ม ผู้คนยิ่งเชื่อถือศรัทธาแก่กล้ามากขึ้น ยกมือไหว้ปลกๆ หาได้คิดกันไม่ว่า เงินทองในขันนั้นก็คือเงินของพวกเขาทั้งหลายนั่นแหละ


    ตอนนี้เงินบูชาครูก็แยะ เงินในขันก็แยะ ลูกศิษย์ที่มาด้วยก็เก็บๆ ใส่ถุงแบบย่ามพระนั่นแหละ ต่อจากนั้นอาจารย์ก็เริ่มลงกระหม่อมทีละคนๆ ด้วยเหล็กจารใบลานจุ่มเลือดที่แทงเอาออกมาจากปาก ก็กินเวลานานอยู่ พอถึงเวลาเพล ลูกศิษย์ก็บอกว่า อาจารย์จะต้องรับประทานอาหารเพล ถ้าเลยเวลา แล้วจะไม่รับประทาน พวกที่บ้านก็เร่งจัดอาหารเพลมาให้ อาจารย์ก็นั่งรับประทานอาหารเพล รับประทานเอาๆ พอเสร็จก็นั่งพักสักครู่ แล้วก็เริ่มพิธีสาธยายมนต์ต่อ ก่อนเพลสักไม่กี่นาที หลวงพ่อ ผม และไชโย ก็มาถึง ก็สถานีรถไฟสามเสนอยู่ที่หน้าบ้านนั่นเอง พอลงจากรถ เดินไม่กี่ก้าว ก็เข้าบ้านได้ ที่บ้านได้เตรียมอาหารเพลไว้ถวายหลวงพ่อแล้ว พอมาถึงก็นิมนต์เข้าไปนั่งในห้องรับแขกห้องใหญ่ พอท่านพักสักครู่ ก็นิมนต์ท่านฉันอาหาร ตามปกติท่านฉันน้อยอยู่แล้ว พอฉันได้ไม่กี่คำท่านก็เลิก ยะถา สัพพีตาม ระเบียบ หลวงพ่อท่านถามว่า “วันนี้มีอะไรหรือ เห็นมีคนมากหน้าหลายตา” พวกเราก็กราบเรียนท่านว่า “มีอาจารย์ดีมาลงกระหม่อม เขาเอาเลือดจากในปากมาเสก แล้วลงกระหม่อมให้เพื่อให้ขลัง จะได้อยู่ยงคงกระพันและคลาดแคล้วภัยอันตรายต่างๆ ในตอนนี้”
    หลวงพ่อท่านฟังแล้วก็ยิ้มๆ และนั่งเฉยอยู่ ต่อจากนั้นเสียงพวกเราก็ดังขึ้นว่า “หลวงพ่อมาๆ” อาจารย์ฟ้อนได้ยิน จึงบอกว่า “เคยได้ยินชื่อท่านอยู่ ขอเข้าไปนมัสการท่านหน่อย” ว่าแล้วอาจารย์ฟ้อนก็เดินเข้าไปกราบหลวงพ่อในห้องฉันที่จัดไว้ ท่านก็ปฏิสันถารว่า “เจริญสุข..... เจริญสุข เราชื่ออะไร”
    อาจารย์ฟ้อนกราบเรียนว่า “เกล้ากระผมชื่อฟ้อน ขอรับกระผม”
    “มาทำอะไร ที่นี่.....”



    “เกล้ากระผม ได้รับเชิญมาลงกระหม่อม สักศีรษะ อยู่ยงคงกระพันให้แก่ญาติๆ ที่นี่ ขอรับกระผม” อาจารย์ฟ้อนกราบเรียน ด้วยอาการกระสับกระส่าย หลวงพ่อท่านนั่งเฉย หลับตาอยู่สักครู่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เสร็จธุระแล้วก็จงหลีกไป เงินทอง เอาไปทำบุญเสียนะ และจงเลิกผิดศีลเสีย มันไม่ดีหรอก มีแต่บาปเท่านั้น”
    อาจารย์ฟ้อนก้มลงกราบ แล้วกราบนมัสการลาไป และก็พาลูกศิษย์ออกจากบ้านไปเลย
    พวกเรากราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “อาจารย์ฟ้อน ทำไมรีบไปขอรับ”
    “เขาคงไปหากินที่อื่น”
    “แล้วที่ลงกระหม่อมไว้ล่ะขอรับยังศักดิ์สิทธิ์ ยังขลังอยู่หรือเปล่าขอรับ”
    “ที่ลงไปแล้วก็แล้วไป แต่ควรจะต้องไปล้างศีรษะ สระผมเสียให้สะอาด”
    “ทำไมหรือขอรับ”
    “มันไม่สะอาด เดี๋ยวจะเจ็บจะป่วยกันได้”
    “แล้วที่อาจารย์ฟ้อนทำพิธีไว้ละขอรับ”
    “อาตมาเป็นพระ พูดไม่ได้”



    พวกเราก็หยุดกราบเรียนถามท่าน
    ต่อจากนั้น หลวงพ่อท่านก็เรียกพวกเราทั้งหมดมาพร้อมกัน ให้น้อมจิตระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จากนั้นท่านก็สวดมนต์ภาวนาอยู่พักใหญ่ แล้วก็จุดเทียนที่ขันน้ำมนต์ สวดมนต์ภาวนาสรรเสริญพระรัตนตรัยต่อ แล้วก็ให้ผมถือขันน้ำมนต์เดินตามท่าน ท่านใช้ใบหญ้าคาจุ่มในน้ำมนต์ ประพรมให้ทุกคน และพรมน้ำมนต์ให้ทุกห้องในบ้าน เสร็จแล้วท่านก็ให้คำแนะนำว่า
    “เมื่อมีภัยมา ให้น้อมจิตระลึกถึงพระพุทธคุณไว้ พระพุทธคุณจะปกป้องภัยอันตรายทั้งปวง” พอสมควรแก่เวลา ท่านก็ลากลับ โดยมีผมเดินไปส่งท่านที่สถานีรถไฟ ท่านกลับไปกับไชโย ปัญหาในใจของพวกเราตอนนั้นก็คือ อาจารย์ฟ้อนทำอะไรผิดหรือ หรือมีอะไรที่พอหลวงพ่อพูดเท่านั้นแกก็ลากลับอย่างลุกลี้ลุกลน เราถามหลวงพ่อ ท่านไม่ตอบ..... ว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่จะพูด เรายังข้องใจกันอยู่ตลอดมา เวลาผ่านไปหลายปี สงครามสงบแล้ว บ้านเมืองเข้าสู่สภาพที่สงบ ไม่มีลูกระเบิด ไม่มีการรบอีก คนที่อพยพไปอยู่จังหวัดต่างๆ ก็ยกพวกพ้องกลับมาสู่ถิ่นฐานเดิม อาจารย์ฟ้อนกับลูกศิษย์ก็เงียบหายไปพร้อมกับญี่ปุ่น ณ ที่แห่งนั้น จิตวิญญาณอันเหลือคณานับ ชุมนุมกันอยู่ เพื่อจะแยกย้ายกันไปรับวิบากของตน ที่เคยรู้จักกันก็ปราศรัยกัน ที่ไม่รู้จักกันก็มากมาย และในทันใดนั้น ก็แลเห็นจิตวิญญาณดวงหนึ่ง ถูกลากกระชากมาด้วยจิตวิญญาณนับด้วยร้อยด้วยพันดวง


    จิตวิญญาณนั้นเหมือนในรูปของชายค่อนข้างสูงอายุ ถูกพันธนาการที่มือ แขน ด้วยเชือกยาว มีจิตวิญญาณต่างๆ ดึงลากกระชากผลักให้ไปพบกับวิบากแห่งตนอย่างทุกลักทุเล เหมือนกับได้ยินเสียงตะโกนว่า “เอาเงินของเรามา เอาเงินทำบุญของเรามา” จิตวิญญาณดวงนั้นดิ้นรน พยายามจะออกจากเครื่องพันธนาการ แต่ดูเหมือนจะยิ่งดิ้น ยิ่งมัดตัวแน่นขึ้นอีก ก็ถูกลากกระชากถูไปยังจุดๆ หนึ่ง แล้วก็หยุดนิ่งอยู่ ทันใดนั้น ก็มีเสียงพูดขึ้นว่า “นั่นดูเหมือนจะเป็น อาจารย์ฟ้อน..... อาจารย์ ฟ้อน ใช่ไหม”
    จิตวิญญาณนั้น เหลียวมาบอกแก่จิตวิญญาณกลุ่มโตนั้นว่า “ใช่แล้วเราคืออาจารย์ฟ้อน”
    “ทำไมอาจารย์จึงถูกพันธนาการในลักษณะเช่นนี้” ดวงจิตวิญญาณดวงหนึ่งถาม


    “เรื่องมันเยอะ บุญเราก็ทำ กรรมเราก็ก่อ ผลมันก็ยังงี้แหละ”
    “อาจารย์ทำบุญทำกรรมอย่างไรครับ พวกเราอยากทราบ”
    “เมื่ออยากรู้ เราก็จะสารภาพกรรมของเราที่ได้กระทำไว้ ตั้งแต่ก่อนโน้นให้ฟัง”
    แต่ก่อนนี้ ในชาติก่อน ภพก่อน ก่อนที่เราจะเกิดมาเป็นอาจารย์ฟ้อน เราเป็นชาวนา แต่ก็หากินด้วยการจับสัตว์น้ำ มีเต่า มีปลา มีกุ้ง เอามาขายเอากินด้วย..... กรรมมันเริ่มเกิดตั้งแต่ตอนนั้น การจับปลา จับเต่า จับสัตว์น้ำมากิน มาขายนั้น ที่จริงมันก็ไม่จำเป็น แต่นิสัยมันชอบ เราวางเบ็ดราวไว้ตามคันนา วางทีละยี่สิบสามสิบตัว เอาเหยื่อเกี่ยวเหงือกก็ไส้เดือนนี่แหละ มันดิ้นๆ อยู่จับได้ก็เอามาเกี่ยวกับเบ็ดเข้า วางเบ็ดไว้ตอนค่ำ พอตอนเช้าก็ไปเก็บเบ็ด ทั้งปลา ทั้งเต่า ติดเบ็ดแยะ ติดทุกวัน พอไปถึงเบ็ด เราก็กระชากเบ็ดออกจากปากมัน ปากมันก็ฉีก เบ็ดหลุด แต่สำหรับเต่า ต้องเอามีดแทงทะลุปากมัน แทงเข้าไปในปากนั่นแหละ ให้ปากมันอ้า ถ้ามันไม่อ้าก็เอามีดแหลมทะลวงแงะเข้า มันเจ็บ มันก็อ้า เราก็กระชากเบ็ดออก ปากเต่าก็โหว่ ทะลุทุกตัว รวมทั้งปลาด้วย
    มีคราวหนึ่ง เราไปตกเบ็ดปลาสวาย ที่ท่าน้ำหน้าวัดใกล้บ้าน ปลาเยอะแยะ ชุมมาก เพราะเป็นปลาหน้าวัดไม่มีใครกล้าตก แต่เราไม่กลัว ก็ทำอย่างเก่า โยนเบ็ด ปลามันหิว มันก็งับเหยื่อ ติดเบ็ดทันที ตัวยังโตๆ ทั้งนั้น พอตวัดขึ้นมา ก็เอาเบ็ดออกโดยกระชากเบ็ดออกจากปากมัน ปากมันก็ฉีก พอปากฉีก เบ็ดก็หลุด วันหนึ่งๆ ไปขโมยตกปลาที่หน้าวัดได้หลายตัวทุกที เราจับสัตว์แบบนี้มานาน สัตว์ปากขาด ปากฉีกทุกตัว เราก็เอามากินบ้าง เอามาขายบ้าง ก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ต่อมาเราก็มีครอบครัว มีลูก มีเมีย มีลูก 3 คน ลูก 3 คนที่เกิดมาปากแหว่งปากฉีกทุกคน พิการหมด เมียเราก็พูดว่า “เพราะไปทำบาป ทำกรรมจับสัตว์จับปลาแล้วทารุณมัน” เราก็เห็นว่า น่าจะจริง ตั้งแต่นั้นเลิกจับปลา จับเต่า และจับสัตว์น้ำเรื่อยมา ตอนหลังพออายุมากเข้า เห็นลูกๆ ก็สงสาร ที่เกิดมาพิการ ปากแหว่ง ปากฉีกทุกคน เราก็เลยบวชเป็นพระแต่บุญไม่ถึง พอเริ่มจะบวชเข้าพิธีขานนาคเท่านั้น ก็เป็นลมขาดใจตายเลย ก่อนตายที่ประตู หน้าโบสถ์ที่วัดนั่นแหละ ก็หมดไปชาติหนึ่ง


    ทีนี้เกิดมาใหม่ หลังจากที่ไปรับวิบากเสียนานแสนนาน ในที่ที่สุดจะทรมาน พอหมดวิบาก ก็มาเกิดใหม่ ที่เกิดมาเป็นคนนี่ก็เพราะกุศลธรรมที่ตั้งใจจะบวชในพระศาสนานั่นเอง แม้จะบุญไม่ถึง ไม่ได้บวชก็ตาม แต่ด้วยเจตนาที่จะบวช จะทำความดี กุศลก็เลยส่งให้เกิดมาเป็นคนนี่แหละ แต่ว่าการเกิดมาก็พิการ คือ เพดานโหว่ โหว่มาก พูดก็ไม่ชัด เสียงก็อู้อี้ พ่อแม่ก็กลุ้มใจ พอโตขึ้น พ่อพาเราไปหาท่านพระครูที่วัด ท่านก็บอกว่า “กรรม..... กรรมเก่าที่ทำไว้มันให้ผล จะรักษาอย่างไรก็ไม่ได้” ท่านบอกว่า “เอายังงี้ซิ เอาแผ่นแบนๆ กลมๆ แบบเหรียญบาท ใส่ไว้ที่เพดานปากที่มันโหว่ ก็จะช่วยได้บ้าง” เหรียญบาทสมัยก่อนนั้นมันมีขนาดใหญ่มาก มากกว่าเหรียญบาทเดี๋ยวนี้ เรายังเด็กอยู่ก็ไม่สนใจอะไร แต่พอเป็นหนุ่มเข้า ก็เกิดความละอายเลยลองเอาเหรียญบาทใหญ่มาอุดรูโหว่ ที่เพดานปาก ก็โชคดี มันเข้าอุดที่โหว่ได้พอดี ก็ลดความน่าอาย ความทรมานลง พูดจาไม่อู้อี้ เหมือนเดิมเท่าไหร่ แต่เสียงมันก็ไม่ปกติเหมือนคนทั้งหลาย พอหนุ่มขึ้นก็พอหาคนแต่งงานได้โดยไม่ลำบากนัก เพราะเขาไม่รู้ ก่อนแต่งงานเราก็บวชเสีย 3 พรรษา ก็บวชที่เมืองปทุมธานีนี่แหละ เผอิญวัดที่บวชมีพระเขมรอยู่รูปหนึ่งสักเก่ง ว่าคาถาอาคมขลัง ผู้คนขึ้นมากมาย เราก็สนใจ เลยสมัครเรียนคาถาอาคมกับท่าน เรียนบทปัถมัง เรียนเสน่ห์ยาแฝด เรียนเสกคุณเสกไสย เรียนวิชาอยู่ยงคงกระพัน เรียนทุกอย่าง แต่ไม่ได้เรียนทางนักธรรม หรือเรียนทางเปรียญธรรม เราบวชเป็นพระอยู่ 3 ปี พอเห็นว่าอายุสมควรก็สึก พอสึกออกมาก็มีเมีย เมียก็เป็นคนที่อยุธยา แรกๆ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเราพิการ รู้แต่ว่าบ้านช่องที่ทางมีอยู่ที่เมืองปทุม มีที่มีนา พอแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว ลูกก็พิการอีก คราวนี้ดั้งจมูกแฟบเหมือนพ่อมันเลย อาศัยที่เคยเป็นพระหมอดูมา ก็เลยรับทำนายทายทัก ดูดวง ผูกดวง สวดคาถา ปัดรังควาน สะเดาะเคราะห์ต่างๆ ผู้คนก็ชักรู้ๆ ขึ้น ก็มาหาสู่มากขึ้นทีละน้อยๆ จนชื่อเสียงโด่งดังในทางลงคาถาอยู่ยงคง



    กระพัน มีนักเลงต่างๆ ขึ้นแยะ การเงินก็ดีขึ้น ชักร่ำรวย ก็พอดีเกิดสงครามญี่ปุ่นบุกพอดี บ้านเมืองถูกโจมตี มีภัยทางอากาศแทบทุกวัน ก็เกิดความคิดจะหากิน ทางสักกระหม่อม ลงนะคลาดแคล้ว นะอยู่ยง ก็พอดีพรรคพวกที่เคยบวชอยู่ด้วยกันมาพบเข้า ก็ส่งเสริมแนะนำ ในที่สุด เราก็แสดงอภินิหาร โดยความคิดของบริวารมาแสดงตัวเป็นลูกศิษย์ไปหาเหรียญบาทแบบโบราณมาเป็น เหรียญใหญ่สองสามอัน พอได้มาก็เอามาอุดรูโหว่ที่เพดานในปาก ทีนี้พวกนั้นก็เกิดความคิดต่อไปอีกว่า ให้เอาลูกยางโป่งขนาดเล็ก ใส่หมึกแดงบรรจุไว้ แล้วยัดเข้าไปในรูโหว่ที่เพดานปาก จากนั้นก็ทำเป็นเอามีดเจาะลูกยางโป่งให้แตก หมึกแดงก็จะไหลออกมาทางปาก แล้วก็เอาหมึกแดงนั่นแหละ ที่หลอกเขาว่าเป็นเลือด เอามาทำเป็นหมึกแดงสำหรับลงยันต์ โดยใช้เหล็กจารใบลานมาเขียนขยุกขยิกที่กระหม่อมคนที่มาสมัครมาลงอาคม เราก็เห็นดี ก็ลองทำดูหลายครั้งที่บ้านพรรคพวก ก็ทำได้คล่องขึ้น ๆ ทำท่าทำทางให้ขลัง เอาค้อนมากระแทกเหล็กจารใบลานให้แรงๆ ปลายเหล็กที่แหลมก็กระแทกลูกยางโปงที่ใส่หมึกไว้ ลูกยางก็แตก หมึกก็ไหลออกมา ก็เอาถ้วยตะไลรองไว้ พอชำนาญก็ให้พรรคพวกทำตัวเป็นลูกศิษย์ ออกไปโพนทะนา “มีอาจารย์ดี เจาะเลือดจากในปากมาลงกระหม่อมให้อยู่ยงคงกระพัน คลาดแคล้วภัยต่างๆ จะทำเสน่ห์ยาแฝด ทำไสย ทำคุณ ทำได้ทั้งนั้น”



    ผู้คนต่างก็มาดูกัน พอเห็นเข้าก็เกิดเชื่อ เพราะเห็นๆ อยู่ว่า เราเอาเหล็กแหลมแทงเข้าไปในปาก แล้วเลือดแดงก็ไหลออกมา ก็ได้ค่ายกครูค่าบูชาครูมากขึ้นๆ ได้แบ่งกันกับพรรคพวกที่ทำตัวเป็นลูกศิษย์ ขณะเดียวกันก็ตั้งขันสีดำ ๆ แบบบาตรพระไว้ 1 ใบ โดยเรี่ยไรชาวบ้านที่มาลงกระหม่อม ว่าจะไปทำบุญที่วัด วัดไหนก็ได้ แต่งชื่อขึ้นเอง ต่อมาเราก็เกิดความคิดจะทำของขลังขายด้วย ก็ลงมือให้พรรคพวกทำตะกรุดทองแดงขนาดเล็ก ยาวสักนิ้วเดียว ใส่ไว้ในย่าม พอไปถึงที่ไหนทำพิธีลงกระหม่อมหมึกแดง เสร็จแล้วก็จะให้ผู้คนที่มาบูชาตะกรุดไปไว้ห้อยคอ เพื่อเป็นเครื่องรางเลย โดยพวกหน้าม้าจะเป็นผู้พูดว่า
    “ใครอยากได้ของขลัง ก็ขอท่านซิ ขอบูชาไปคล้องคอราคาไม่เท่าไหร่หรอก เครื่องรางนี้เหนียวมากฟันไม่เข้า” จากนั้นผู้คนก็มาขอซื้อไป ตะกรุดละร้อยสองร้อย ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย ได้เงินวันละเป็นพัน ฐานะก็ดีขึ้นตามลำดับ
    ต่อมา เราถูกเชิญไปนครนายก เพื่อไปทำพิธีลงกระหม่อมที่วัดใหม่ ลูกศิษย์ลูกหามาสมัครกันเยอะแยะเราก็ไป พอไปถึงศาลาวัด เราก็เข้าไปหาท่านสมภาร นมัสการบอกท่านเสียก่อนตามธรรมเนียม โดยจะแบ่งให้วัดตามสมควร ท่านสมภารก็ดีใจ จัดที่จัดทางให้ พอได้เวลาผู้คนมากมาย พวกเราก็ลงมือทำพิธี เจาะกระแทกเพดานในปาก รองเลือดออกมาจานหนึ่ง แล้วก็ลงกระหม่อมให้ผู้คนที่มาก้มศีรษะคอยอยู่


    ทีนี้ โชคไม่ดี มันก็เพราะหลอกเขามามาก คราวหนึ่งขณะที่เอาค้อนตีเข้าที่ด้านเหล็กจาร พอตีเข้าไป ลูกโป่งที่ใส่หมึกแดงไว้มันก็ตกหลุดลงมาขณะที่กำลังอ้าปากรองน้ำที่ไหลออกมา ลูกโป่ง ก็ตกลงมาอยู่ในจานรอง หมึกก็แตกออกมา ผู้คนก็แลเห็นหมด ต่างก็ตะโกนว่า “หลอกลวงๆ เอาหมึกแดงใส่ไว้ในลูกโป่ง” จะฮือกันล้อมกรอบ ดีที่ท่านสมภารท่านช่วยไว้ เรารีบวิ่งหนีแทบไม่ทัน พรรคพวกต่างก็โกยแน่บ วิ่งเหมือนหมายังไงยังงั้น แล้วก็หนีลงเรือกลับเลย ต่อจากนั้น เรากับพรรคพวกก็มาหาวิธีใหม่ เอาให้มันแนบเนียนกว่าที่เป็นมา ในที่สุดก็พบว่า ใช้กระเพาะปลาเค้า แล้วบรรจุเลือดปลาเค้าให้เต็ม เลือดปลาเค้ามันไม่แข็ง พอใส่แล้วมันก็โป่ง เหนียวๆ ไม่โป่งแบบน้ำหมึก เราต้องไปหาซื้อปลาเค้ามาทีละตัวสองตัว บางทีก็หลายตัว เอามาเลี้ยงไว้ในกระชังหลังบ้าน พอจะไปหลอกทำพิธีลงกระหม่อม ก็ฆ่าปลาเค้ารองเลือดไว้ เลาะเอากระเพาะมันออก เอาเลือดใส่ให้เต็ม ปลายข้างหนึ่งก็ผูกเชือกไว้ แล้วยัดเข้าไปในรูโหว่ในปากที่มีเหรียญบาทอุดไว้ แก้ไขเล็กๆ น้อยๆ ก็พอดี ทำอย่างไรๆ ไม่หลุด เลือดที่ออกมาก็มีกลิ่นคาวพอควร เรียกว่าสนิทแนบเนียนมากขึ้น เราฝึกจนชำนาญ จากนั้นก็เริ่มทำมาหากินสักกระหม่อมเลือดขายตะกรุด ขายแหวนหัวใจอิติปิโส เรื่อยมาชื่อเสียงก็โด่งดังขึ้น ผู้คนขึ้นมาก ตลอดระยะเวลาสงคราม 4 ปี เศษๆ เงินที่ได้ มาเราก็แบ่งให้พวกลูกศิษย์บ้าง แบ่งถวายพระที่เราอาศัยไปทำพิธีบ้างวัดละนิดๆ หน่อยๆ เงินเรี่ยไรว่าจะไปทำกฐิน ผ้าป่า ก็พูดไปยังงั้นๆ แหละ อย่างดีก็แบ่งถวายพระไปสักร้อยสองร้อย เงินที่ได้มันเป็นพันๆ ไม่เดือดร้อนอะไร พอมีเงินมีทองมากขึ้นก็ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านปทุมธานี ก็รับทำพิธีที่บ้านต่อไปเรื่อยๆ


    ต่อมามีลูกศิษย์ลูกหามาบอกว่า “มีผู้คนมากมายขอเชิญไปที่ฉะเชิงเทรา ซึ่งการไปที่นั่นลำบาก ต้องขึ้นรถไฟ แล้วลงเรือ ไปพักที่บ้านคนที่เขาเชิญ แต่สัญญาว่าไปเช้าเย็นกลับ อย่างดีก็ค้างคืนเดียว ทั้งนี้เพราะเรากลัวว่ากระเพาะปลาเค้าที่ใส่เลือดปลาไปด้วยมันจะเน่า ต้องเอาใส่ถุงน้ำแข็งไปด้วย พอไปถึงก็ลงมือลงกระหม่อมกันเลย ผู้คนมากมายมาคอยทำพิธี เราก็ลงมือสวดมนต์ให้มันขลัง เรียกความเชื่อถืออย่างเก่า แต่คราวนี้มันถึงคราวเคราะห์ เหรียญบาทมันย่อมหน่อย อันเขื่องลืมเอาไป มันปิดช่องโหว่ในปากไม่สนิทเท่าไหร่ พอเอากระเพาะปลาเค้าที่ใส่เลือดไว้ จุกลงไป มันก็ลงได้ แต่รูโหว่มันออกจะหลวมๆ พอได้เวลา ก็ทำพิธีเอาเหล็กจารใบลานอันเก่ามาใส่เข้าในปากเอาค้อนมาตีกระแทก ที่ด้ามเหล็กจารอย่างเคย ก็กระแทกปลายให้สมจริงสมจัง คือแรงหน่อย เหล็กที่จ่อไว้ที่กระเพาะปลาก็เจาะทะลุกระเพาะปลาเค้าไป ทีนี้เหรียญบาทมันพลิก เพราะมันย่อมกว่าอันที่เคยทำ ปลายเหล็กที่ถูกค้อนตีมาแรงก็ไถลไปโดนขอบๆ เหรียญด้วย พอถูกขอบเหรียญ เหรียญพลิกปลาย เหล็กก็กระแทกเจาะเพดานปากจริงๆ อย่างแรง ฝังเข้าไปในกระดูกเพดานปากดังฉึก เราสะดุ้งสุดตัวเพราะความเจ็บปวด ลูกศิษย์รีบมาช่วยดึงเหล็กออก ดึงกันอยู่พักหนึ่ง เพราะเหล็กปลายมันแหลม มันฝังเข้าไปลึก ปากเราโหว่อยู่แล้ว ปลายเหล็กมันโผล่ออกมาถึงรูจมูก เจ็บปวดถึงหัวใจเลย เลือดก็ไหลพรูออกมา มันเลยปนกันทั้งเลือดคนกับเลือดปลาเค้ากลิ่นยังงี้คลุ้งไปหมด


    พอดึงเหล็กออกได้ เราก็แข็งใจลงกระหม่อมให้ผู้คนที่มา ซึ่งต่างก็เห็นในการเจาะเลือดของเราจากเพดานปากที่ออกมาจริงๆ คราวนั้นการขายตะกรุด ขายแหวน ลงกระหม่อม ก็ต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะความเจ็บปวด บาดแผลที่ถูกเหล็กแหลมทิ่มเข้าไปปากโผล่ออกมาเกือบจะทะลุรูจมูก และแล้ว เราก็พาลูกศิษย์ลูกหากลับบ้าน ลงเรือแจวมาทันที ก็ต้องแจวออกมาทางแม่น้ำแปดริ้ว กะว่าจะเข้าทางคลองแสนแสบ เช้าที่ไหนทันรถไฟที่ไหน ก็ขึ้นรถไฟที่นั่น ในที่สุดเราก็ถึงบ้าน พร้อมกับความเจ็บปวด เหลือกำลัง วันต่อมา จะเป็นด้วยความสกปรกหรือเชื้ออะไรก็ตามไม่ทราบได้ หน้าเราก็อักเสบ บวมทั้งหน้า จมูก ปากบวมอ้าไม่ขึ้น จมูกที่บี้อยู่แล้วก็หายใจไม่ออก เพราะความบวม หน้าบวมกลม สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเหมือนคนที่ถูกบีบคอตาย อาการมันรุนแรงมากขึ้นๆ ไม่อาจจะกินอาการได้ ไม่สามารถจะหายใจได้ตามปกติ ไข้ก็สูงขึ้นๆ จนเพ้อ ในที่สุดเราก็หลับผล็อยไป หลับสนิท อย่างไม่รู้ตัว มาตื่นอีกทีก็ที่กำลังถูกฉุด กระชากลากถูมานี่แหละ”
    “อ้าว อาจารย์ก็ตายนะซิ..... ตายเพราะเหล็กจารใบลานนั่นแหละ”
    “ก็ว่ายังงั้นเหมือนกัน”
    “แล้วนี่เขาจะฉุดอาจารย์ไปไหนล่ะ”
    “ไม่รู้เหมือนกัน คงจะต้องจุติไปชำระหนี้ ไปชดใช้กรรมที่หลอกลวงเขา.... คงจะอีกนานกว่าจะหมดกรรม เพราะมันมากเหมือนกัน”
    “แล้วที่ทำบุญไว้ล่ะ บริจาคเงินไว้ล่ะ บวชพระล่ะ ไม่มีกุศลกรรมเลยรึ”
    “มีน่ะมันมี แต่มันหักกลบลบหนี้กันไม่ได้หรอก”
    “แล้วกรรมอื่นที่อาจารย์ทำไว้ยังมีอีกไหม ถึงได้เป็นอย่างนี้”
    “ก็นั่นยังไง ดูพวกปลาเค้า ปลาต่างๆ เต่าต่างๆ ที่เคลื่อนที่มาหาเราซิ มาทวงหนี้ทวงกรรมทั้งนั้น เพราะเราทำบาปไว้แยะ เจ้าตัวโตนั่นคือพวกปลาสวายหน้าวัดที่เราเคยทำบาปไว้ ตั้งแต่ชาติก่อน ใช้หนี้ยังไม่หมดเลย พอเกิดชาติใหม่ก็ทำอีก”
    จากนั้น อาจารย์ฟ้อน ก็ทำท่าทางเหมือนจะพูดต่อ จะเล่าต่อ แต่พูดไม่ออก เหมือนกับปากเล็กลงๆ จนอ้าไม่ออก “อ้าว อาจารย์ฟ้อนกลายเป็นเปรตไปแล้ว ปากเท่ารูเข็มเท่านั้นเอง”
    อีกเสียงหนึ่งพึมพำออกมาว่า “คงจะเป็นผล ที่เบียดเบียนจตุปัจจัยไทยธรรมของพระศาสนา ก็เลยกลายเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็มไปยังงี้..... เวรนะ”



    จากนั้นจิตวิญญาณของอาจารย์ฟ้อน ก็ถูกลากกระชากไป..... ไปสู่วิบากแห่งตน
    บัดดล ! เสียงจากทางใดก็ไม่ทราบดังออกมาว่า “เจ้าทำบาปกรรมไว้เยอะ ก็ต้องไปตามวิบาก ที่เคยทำบุญ บวชพระมา ก็เป็นกุศลมันหักกลบลบกันไม่ได้อกุศลมันหนักกว่า เพราะตอนที่บวชก็มิได้ศึกษาปฏิบัติอย่างใด มุ่งแต่เดรัจฉานวิชา อันเป็นเครื่องขัดขวางกีดกั้นความจริง สัจธรรมต่างๆ ถึงกระนั้นกุศลที่เจ้าบวชมาก็ยังมี แต่มันน้อย เปรียบเหมือนเอาก้อนดินที่หนักไปด้วยบาป มาชั่งตาชั่งกับสำลีก้อนเล็ก มันทานกันไม่ได้ฉันใด เจ้าก็ต้องไปตามวิบากของเจ้าก่อน กว่าดินจะหมด จะกร่อนไป ก็จะเป็นโอกาสของสำลีที่ชั่งอยู่ตรงกันข้ามจะให้ผล” วิญญาณอาจารย์ฟ้อน ก็ถูกกระชากลากไป เพื่อสู่วิบากแห่งกรรมด้วยประการฉะนี้ ผมมาทราบเรื่อง อาจารย์ฟ้อนเมื่อสงครามสงบแล้ว ทราบแต่เพียงว่า อาจารย์ฟ้อนตายแล้ว ผู้คนในกรุงเทพฯ ในสมัยนั้นก็ดูเหมือนว่าจะรู้กันอยู่ทั่วกัน เพราะชื่อเสียงอาจารย์ฟ้อนที่เจาะเพดานเอาเลือดมาสักกระหม่อมคาถาอาคมนั้น ดังมาก แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าแกตายเพราะอะไร ?
    ต่อมา ผมขึ้นไปอยุธยา เอาของไปถวายหลวงพ่อ ตามคำลั่งของบิดาผม ผมก็กราบเรียนท่านว่า “อาจารย์ฟ้อนตายแล้ว เพิ่งตายไม่นานมานี่เอง”



    หลวงพ่อก็พยักหน้า..... ผมได้โอกาสก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า
    “ตอนที่หลวงพ่อรับนิมนต์ไปประพรมน้ำพระพุทธมนต์ที่บ้าน ในตอนที่สงครามยังไม่สงบนั้น พอดีอาจารย์ฟ้อนก็ไปที่บ้าน ไปทำพิธีสักกระหม่อมลงยันต์กันภัย ให้แก่ผู้คนในบ้านและบ้านใกล้เรือนเคียง พอรู้ว่าหลวงพ่อมา อาจารย์ฟ้อนก็มากราบพอกราบเสร็จ ได้ยินหลวงพ่อพูดสองสามคำ อาจารย์ฟ้อนก็รีบลุกลี้ลุกลน กราบลากลับไปและไม่ได้มาอีกเลย ทำไมอาจารย์ฟ้อนถึงได้รีบลุกลี้ลุกลน พาลูกศิษย์ลูกหากลับไปเร็วดังนั้น มีอะไรหรือ แล้วหลวงพ่อไม่ตอบ แต่พูดว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ เรื่องมันเป็นอย่างไรขอรับกระผม” หลวงพ่อท่านตอบว่า “กรรมใดใครทำ กรรมนั้นก็สนอง เราเป็นพระทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาทำอย่างนี้ จะไปพูดอะไรออกไป ก็มีแต่เขาจะโกรธเกลียดสู้ เฉยไว้ดีกว่า เขาเองเขาก็รู้ว่า มันเป็นบาป บวชก็แล้ว เรียนก็แล้ว ก็ยังทำ อาตมานั่งดูอยู่ก็รู้โดยตลอด จึงได้พูดว่า เสร็จแล้วก็รีบกลับๆ ไปเสีย ปัจจัยที่ได้มาเอาไปทำบุญเสีย มันจะบาป จงเลิกผิดศีลเสีย..... ก็พูดได้แค่นี้.....



    ที่จริงอาตมารู้มานานแล้วว่า นายฟ้อนแกหลอกลวงหากินทางนี้ เมียแกอยู่อยุธยา ตอนแรกๆ ผู้คนขึ้นมาก ลงรักสักกระหม่อมเลือด ได้เงินได้ทองมามากมาย พอสงครามแรงขึ้น การหากินของแกก็มากขึ้น ก็ร่ำลือถึงที่วัด พอเรื่องรู้ถึงหูอาตมาเข้า ก็พิจารณาดู ก็รู้ว่าแกหลอกลวง แกเป็นคนพิการจมูกบี้ เพดานในปากโหว่ แกเอาเหรียญบาทอุดรูในปากไว้ แล้วเอาถุงยาง ถุงกระเพาะปลา ใส่สี ใส่เลือดเข้า เอาเหล็กเจาะให้เลือดไหลออกมา มันสีแดงๆ คนก็นึกว่าเลือด ก็เอาน้ำแดงๆ นั้นไปสักไปลงกระหม่อม ลูกศิษย์อาตมาไปพบเห็นพิธีของแกเข้า ก็มาเล่าให้ฟัง ก็เลยพิจารณาดู แล้วบอกลูกศิษย์ไปว่า อย่าไปเป็นเหยื่อเขา ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งได้ในโลก นอกจากพระรัตนตรัยเท่านั้น เขาก็กลับไป
    อาจารย์ฟ้อน ดูๆ แกก็จะรู้นะว่า อาตมาน่ะรู้ความจริง ฉะนั้นพอพบกันที่บ้านเจ้าคุณพ่อ แกถึงได้กราบตัวสั่นแล้วรีบลากลับไป ที่แกตายน่ะก็เพราะผลแห่งกรรมที่แกทำเองแท้ๆ เหล็กแหลมทั้งอันเจาะเข้าไปในปากทะลุมายังรูจมูก ใครจะมาทนได้ แต่ถ้าแกเลิกเสีย เชื่อคำที่อาตมาเตือน แกก็จะไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานอย่างที่รู้” “อาจารย์ฟ้อน เคยบวชพระมานาน เคยทำบุญทำทานไว้เหมือนกัน เมื่อแกตาย จิตวิญญาณแกจะเป็นอย่างไรขอรับกระผม.....”
    “มันหักกลบลบกันไม่ได้หรอก บาปคืออกุศลกรรม มันมากกว่าบุญคือกุศลกรรม อกุศลวิบากก็มากหน่อย หนักหน่อยแกก็ไปรับวิบากอันนั้น จะมากน้อยเท่าไรก็สุดแต่กรรมที่แกทำไว้”
    “หมดจากรับวิบากแล้ว แกจะเกิดอีกไหมขอรับ”



    “เกิดน่ะเกิดแน่ จิตใดที่ยังมีกิเลส ยังไม่หมดกิเลสต้องเกิดทั้งนั้น แต่จะเกิดเป็นมนุษย์อีกหรือไม่ ไม่ทราบ เพราะยังมีอสุรกาย เปรต เดรัจฉาน อีกหลายอย่างหลายภูมิ ที่คอยรับวิญญาณพวกนี้อยู่”
    “ทำอย่างไรล่ะขอรับ ที่จะไม่ไปเกิดในนรก ไปเป็นเปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน” ผมกราบเรียนถามท่าน เพราะนึกกลัวๆ เหมือนกัน ท่านตอบว่า “ขึ้นชื่อว่าบาปแล้วไม่ทำดีกว่า เมื่อไม่ทำบาป หมดชาตินี้ อบายทั้งสี่ที่ว่า เราก็ไม่ต้องไป” ผมก็นึกในใจว่า “บาปไม่ทำดีกว่า บาปไม่ทำดีกว่า..... ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องไปอบาย” แล้วก็ก้มลงกราบท่านอีกครั้งด้วยความเคารพ แต่ในใจอีกใจหนึ่งก็นึกว่า “เรานี่ก็คงก้าวเข้าไปในอบายมาหลายก้าวแล้วซิ ใครบ้างล่ะครับที่ไม่เคยทำบาป”
    นี่ก็เป็นเรื่องปริศนาธรรมอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมประมวลมาให้คุณผู้อ่านได้รับทราบ จริงๆ นั้นหลวงพ่อท่านไม่ได้เล่าหมดเปลือกอย่างนี้ ท่านเล่าเป็นนัยๆ แต่ตัวบุคคลนั้นจริง ถ้าใครสงสัย ลองไปกราบนมัสการถามท่านเจ้าคุณพระสาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ดูก็ได้รู้ว่าท่านรู้จักอาจารย์ฟ้อนหรือเปล่า ?



    ที่มาหนังสือ:[FONT=&quot]คำสารภาพของ[/FONT][FONT=&quot] “วิญญาณบาป”
    [/FONT]

    [FONT=&quot]----------------------------------------------------------[/FONT]
    http://palungjit.org/threads/ธรรมโอวาท-ของ-หลวงปู่มั่น-ภูริทัตตเถระ-เรื่อง-การพิจารณากาย.542343/

    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-para-margin:0in; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  2. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    อาจารย์คนนั้นชื่อ อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง

    แต่เรื่องที่ลงละเอียดอ่อนนัก มีเรื่องผลประโยชน์เยอะแยะ

    ทั้งมีคนนำชื่อเสียงอาจารย์คนนี้ไปกล่างอ้างเป็นศิษย์

    และเครื่องรางของขลังอีกมากมาย ทั้งล็อคเก็ต รูปหล่อ และต่างๆๆ

    แต่บทความนี้ที่มาที่ไปอย่างไรต้องชี้แจ้งให้ชัดเจน

    เพราะมีผู้เสียผลประโยชน์อยู่เยอะแน่นอน
     
  3. nangkeaw

    nangkeaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +396
    ข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งที่เชื่อว่ากรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมสนอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...