อย่า..บอกผู้อื่นว่าให้ละทิ้งรูปโดยชนเหล่านั้นรู้ไม่เท่าทันใน..ปัญญา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย โซ, 21 กรกฎาคม 2014.

  1. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ผู้มีปัญญาบารมีย่อมเล็งเห็น คุณ โทษ ประโยชน์ ในรูป รส กลิ่น เสียง เป็นผู้ได้ฝึกสั่งสม อบรม เจริญแล้วในธรรม มาแล้วในอสงไขยนับไม่ถ้วน ย่อมแยกแยะออกว่าสิ่งใดควรยึดถือ ปล่อยวาง โดยชอบธรรมในกุศล เป็นการเพิ่มพูนปัญญา บารมี ย่อมมองเห็นสังขตธรรมได้โดยปัญญา แล้วละวางได้โดยความเป็นกุศลนั้นอย่างถูกต้องเที่ยงแท้ ผู้มีปัญญาบารมีอ่อนขั้นต้น ย่อมมองเห็นรูปนามเป็นที่น่ารัก น่าจับตามอง อร่อย หอม หวาน ไพเราะ เป็นธรรมดาของผู้หลงอยู่ในกิเลสอวิชชา เป็นผู้ไม่ฝึก สั่งสม อบรมเจริญในธรรม ปล่อยเป็นโดยธรรมชาติของโลกที่เกิดขึ้นให้มันผ่านไป เราไปบอกกล่าวเขาเหล่านั้นว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้ไม่ควรไปกระทำยึดถือ โดยเอาตัวตนเองเป็นต้นแบบบรรทัดฐาน แบบอย่าง แล้วบอกกล่าวเขาเหล่านั้นว่า สิ่งนี้ดี ไม่ดี ไม่ควรไปยึดถือ บางครั้งการกระทำเหล่านี้จะเป็นกรรมแก่ตนเองเป็นอย่างมาก เพราะการละวาง วัตถุ สิ่งของ เช่น ในความเป็นรูป คือรูปแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็็นรูปที่ศรัทธายึดเหนี่ยว ระลึกรู้ในคุณธรรม คำสอนนั้นย่อมยังประโยชน์ในการเริ่มต้นปฐมธรรมน้อมนำสิ่งอันดีงามยังประโยชน์แก่เหล่าชนได้ ความรู้ที่ได้รับโดยผู้มีธรรมบอกกล่าวมานั้น เมื่อผู้รับรู้นั้นได้ยินบอกกล่าวมาจากผู้ที่เรา เคารพศรัทธาเราย่อมกระทำตามปลูกฝัง โดยสู่รุ่นลูก หลาน เมื่อเขาเหล่านั้นรู้มาต่อๆกันย่อมมองว่า มันเป็นการงมงาย ไร้สาระ มองการศรัทธาโดยขาดสติ ใช้เพียงปัญญาที่รู้มาในทางโลกโดยไม่เข้าถึงธรรมอย่างถ่องแท้ มันจะเป็นการหมดยุคสิ้นแห่งศาสนาความศรัทธาในเบื้องต้น เพราะเราเข้าไปไม่ถึงธรรมอันละเอียดลึกซึ้ง สอนกล่าวกันแต่เปลือกนอก สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นไม่นำมาประกอบกัน การสอนเรื่องรูปเคารพมันก็เป็นการสอนในส่วนของรูป ซึ่งเรายึดสิ่งนี้กันมาเป็นเวลานานแล้วซึ่งมองว่ามันเป็นชีวิตประจำวันแล้ว ทำไม ไม่บอกกล่าวถึง รส กลิ่น เสียง ลงไปเป็นประเด็นเด่นหนึ่ง ว่าคนเราควรละลงบ้าง เพื่อความไม่งมงาย ลุ่มหลง ขาดสติบ้าง เช่นการกินให้อิ่มนั้นเราไม่ควรไปลุ่มหลง งมงาย ควรละการกินเสียบ้าง หรือเสียงเรียกของญาติ มิตร สหาย เสียงต่างๆควรละลงบ้างอย่าไปสนใจให้มากนัก ควรละ ปล่อยวางลงเสียบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ถ้ามองจริงๆแล้วในเรื่องพวกนี้
    มันก็เป็นเรื่องที่มีมาอยู่แล้วในอสงไขยกันนับไม่ถ้วน ซึ่งจะให้ไปรู้ เข้าใจ นั้นบางทีเราจะไปกระทำนั้นย่อมเป็นของยากสำหรับผู้ที่มีกิเลสอวิชชาหยาบหนาอยู่
    ผู้มองเห็นกฏที่เป็นไปในธรรมชาติ ด้วยสติปัญญา ย่อมจะเรียน รู้ กระทำ ปฏิบัติ
    บอก สอน ด้วยสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ นั่นก็คือการเป็นอยู่อย่างแบบแผนในทางสายกลาง เมื่อเวลาความเป็นผู้มีปัญญาบารมี
    ย่อมจะละ ปล่อยวาง ได้โดยเที่ยงแท้ถูกต้องเป็นกุศล เพราะเรายึดปฏิบัติในทางสายกลางเป็นเครื่องค้ำจุน ให้เราได้มีโอกาสพัฒนา เรียนรู้ ยึดถือ ปฏิบัติในความถูกต้องของธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...