อยากนั่งสมาธิแบบจริงจังค่ะ

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย ปอเองจ้า, 4 สิงหาคม 2018.

  1. ปอเองจ้า

    ปอเองจ้า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    เราอยากนั่งสมาธิ ให้ได้สมาธิจริงๆค่ะ ไม่ใช่แค่หลับตาแล้วหลับไป
    เวลาเราพยายามนั่งสมาธิ ในหัวเราจะเอาแต่นั่งคิดแต่เรื่องไม่ดีที่ผ่านมา
    ทั้งนั้นเลยค่ะ บางเรื่องนี้ตั้งแต่อนุบาล คิดมันอยู่นั้นละ ไม่สงบเลยค่ะ

    ใครมีวิธีดีๆให้สามารถนั่งสมาธิให้ได้สมาธิจริงๆบางค่ะ
     
  2. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    เริ่มจากรู้ลมที่ปลายจมูก ที่เดียว พร้อมกับคำบริกรรมครับ

    จับความรู้สึกของลมที่ผ่านเข้า ออก ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้
     
  3. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    ในหัวนี้จะมี ผู้เห็น และ ผู้ฟัง แบบไปไหนก็ไปด้วยกัน
    มีคนพูดอยู่ด้านหลังก็ได้ยินและเห็นอยู่ว่าเสียงนี้อยู่ด้านหลัง

    สมมุติ ผมเดินผ่านโต๊ะหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกันอยู่แล้วซักพักก็หัวเราะแล้วมองมาที่ผม
    ผมก็เกิดความคิดในใจว่า นินทา เรารึเปล่า เสียดสีเราอยู่ ชิมิ ในความเป็นจริงนั้น
    ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมซักกะเท่าไหร่ แต่ผมอาศัยการ คิดแทนผู้อื่นให้ผิดศีล

    รู้ร่างกายก็ส่วนหนึ่ง เมื่อรู้ระลึกถึงศีล ก็จะเป็นการกำกับ ผู้เห็น และ ผู้ฟัง ไปโดยปริยาย

    หากวกกลับไปที่เรื่องสมมุติ หากตอนนั้นผมระลึกถึงศีล5อยู่ มีคนหัวเราแล้วมองมาที่ผมอยู่
    การระลึก การนึกคิด นั้นย่อมทำให้ผู้เห็น และ ผู้ฟัง ในหัวผม ไม่เกิดการสำคัญไปว่า
    บุคคลรอบข้างและตัวเรานั้นจะมีใครที่ผิดศีล ข้อ 4 อยู่ ความผิด หรือ ความเข้าใจผิด
    ที่ยังไม่เกิดขึ้นกับคนรอบข้างที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมไม่เกิดอีก ที่ผุดขึ้นมาแล้วก็สามารถ
    ระงับยับยั้งให้อยู่ใน ศีลข้อ 4 ต่อไปได้ การละแง่ร้ายใน ผู้เห็น และ ผู้ฟัง ย่อมค่อยๆจา่งไป

    เมื่อมีการ ระลึกชอบ(สติ) ย่อมเกิดความคิดไปในทางที่ชอบ เมื่อมีความคิดที่ไปในทางที่ชอบ
    ย่อมเกิดความเห็นชอบ เมื่อมีความเห็นชอบ ย่อมมีความตั้งมั่นชอบ
    เมื่อมีความคั้งมั่นชอบ ก็มีความเพียรชอบ มีสมาธิชอบ ไปโดยปริยาย

    เปรียบเสมือน ไฟฉายที่ส่องไฟไปในทางที่ชอบ ที่เป็นไปในทิศทางเดียว ไม่ได้แส่ส่ายไปไหน

    คำนี้คงจะเคยได้ยินกันอยู่แล้วนะครับ ศีล > สมาธิ > ปัญญา

    สีลานุสติ ช้วยได้ครับ กับการชอบคิดไปในทางแง่ลบแง่ร้ายต่อผู้อื่น หรือ คิดไม่เป็นที่ไม่เป็นทาง
     
  4. devil005

    devil005 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2017
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +27
    เป็นเหมือนกันค่ะ เราก็หาข้อมูล มีคนแนะนำให้ไปเข้าคอร์ส ที่เค้ามีการฝึก เราก็ไปถือศีล 8 มา 3 วันคะ ก็ดีขึ้นกับการทำสมาธิเองที่บ้าน อาจจะยังมีคิดเผลอไปบ้าง แต่ไม่ค่อยคิดไม่ดีเท่าไหร่ ลองดูหนะค่ะ
     
  5. ปอเองจ้า

    ปอเองจ้า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบคุณทุกคนมากค่ะ เราจะลองทำตามดู ทุกวันนี้แค่จะสวดมนต์ยังรู้สึกยุกยิกๆเลยค่ะ 555 เวลานั่งเฉยๆไม่คันไม่เมื่อย พอสวดมนต์เท่านั้น คันยุบคันยิบ จะนั่งสมาธิก็คิดนู้นนี้นันสาระตะไปหมด 5555
     
  6. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    คันยุกคันยิกอยู่ไม่สุก นี้ลักษณะคล้ายๆกับลิง ไม่แน่อาจจะเคยมีความสัมพันธ์มาทางด้านลิง

    อันนี้สันนิษฐาน อย่างไม่เป็นทางการ







    :rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes::rolleyes:
     
  7. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ถ้าไม่มีสมาธิเลยแบบนี้ ควรเริ่มที่ อริยาบทบรรพ และ อานาปานบรรพ ระหว่างวันครับ

    เช่นกำหนดช่วงละ ครึ่งชั่งโมง รับรู้ว่าเราอยู่ในอริยาบทใด เดิน ยืน นั่ง นอน

    พอครบแล้ว ก็นับลมหายใจ เข้า ออก อีกครึ่งชั่วโมง จำนวนนับมากน้อยเท่าไร ก็แล้วแต่ว่าเราทำได้

    ถ้่านับลมได้แค่ 5 รอบ แล้วลืม ก็ควรนับแค่5 แล้วเริ่ม 1 ใหม่ ถ้านับได้มากกว่านั้นก็ควรนับให้ได้มากที่สุด

    ที่ทำแบบนี้ เพื่อฝึกลดความฟุ้งซ่าน เบื้องต้น และฝึกสติ

    จุดสำคัญคือ ไม่ควรมีความเครียด เป็นลักษณะตั้งใจนิดๆ ทำแบบสบายๆ

    ทำแบบนี้บ่อยๆ ต่อไปตอนปฎิบัติสมาธิ ก็จะทำให้เข้าถึงความสงบได้เร็ว

    ยิ่งหลังสวดมนต์ พิจารณา เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก่อนนั่งสมาธิ ยิ่งจะทำให้ปฎิบัติได้ดี
     
  8. JAKANUSSATI

    JAKANUSSATI สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +2
    ขออนุญาตตอบกระทู้เก่านะครับป่านนี้ผู้ตั้งกระทู้คงเข้าอรูปฌาณได้แล้ว แต่ขอตอบเป็นแนวทางไว้เผื่อให้ท่านที่เข้ามาอ่านต่อไปครับ

    การที่เรารู้ว่าตนคิดนั้นดีแล้ว ขณะนั้นเรามีสติระลึกรู้ได้
    การกำหนดจิตละสมมติความคิดไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ง่าย เพราะธรรมชาติใดคิด ธรรมชาตินั้นชื่อว่าจิต จิตมีความคิดเป็นธรรมดา บางสำนักให้ดูความคิดไป บางสำนักในดูว่าคิดนั้นกุศลหรืออกุศล บางสำนักให้อยู่กับคำบริกรรม บางสำนักให้เดินจงกรม บางสำนักให้ทำอานาปานสติ

    โดยรวมส่วนตัวผมอย่างคนที่ไม่ถึงธรรมแล้ว พอกำหนดรู้เพื่อเข้าสมาธิได้บ้างหวังว่าจะเป้นประโยชน์แก่คุณดังนี้ครับ..

    1. ละสมมติ ให้จิตรู้ว่าความคิดคือสมมติ ไม่ใช่ของจริง จิตรู้สิ่งใดโดยความคิดคือสมมติทั้งสิ้น ละสิ่งที่จิตรู้ก็ละสมมติความคิดได้

    2. ฝึกทำแค่รู้ อยากรู้อยากได้ อยากเห็น อยากมี อยากถึงปัญญา ในทางโลกใช้ความคิดพิจารณา ในทางธรรมเขาไม่ใช้ความคิด ธรรมชาติแท้จริงของจิตคือแค่รู้เท่านั้น ดังนั้นมันคิดมันแวบขึ้นไปเรื่องใดสิ่งใดให้ทำใจแค่รู้ ตามรู้ แล้วก็ปล่อยมันไป

    3. ทำปัจจุบันให้แจ้ง การทำปัจจุบันคือรู้แค่ปัจจุบันไม่คิดปรุงแต่งสืบต่อเกินจากที่รู้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีหลายวิธี ในที่นี้จะขอกล่าวคร่าวในการนั่งสมาธิดังนี้ครับ..เบื้องหน้าเมื่อหลับตาปัจจุบันคือความมืด ที่มืดดำว่างไปนั้นแหละคือปัจจุบัน จับปัจจุบันรู้ความมืดนั้นรู้ว่าตนทำสมาธิอยู่ ตราบใดที่เห็นความมืดไม่ข้องแวะสิ่งใดแม้ความคิดตรายบนั้นจิตเรายังเป็นปัจจุบัน

    4. หาเครื่องอยู่ให้จิต โดยกำหนดคำบริกรรมเพื่อให้สติอยู่จดจ่อเป็นอารมณ์เดียวได้นาน หากจิตเราไม่มีกำลังพอจะอยู่กับปัจจุบันได้ก็ให้ใช้คำบริกรรมกำหนดรู้ตามลมหายใจเข้าและออก หากหายใจเข้ายาวก็กำหนดคำบริกรรมยาวตาม หากหายใจออกยาวก็กำพหนดคำบริกรรมยาวตาม หากหายใจเข้าสั้นออกสั้นก็กำหนดคำบริกรรมสั้นตามลมหายใจ มี "พุทโธ" เป็นต้น พุทโธนี้ดีสุด เป็นกำลังให้จิต เป็นชื่อพระพุทธเจ้า เป็นผู้รู้ของจริงต่างหากจากสมมติ รู้ชัดในปัจจุบัน ตืนแล้วพ้นจากสมมติ ไม่หลงอยู่ในสมมติกิเลสของปลอม เป็นผู้เบิกบานพ้นแล้วจากสมมติกิเลสของปลอมทั้งปวง สิ้นแล้วซึ่งกิเลส จึงมีคุณมาก เป็นกำลังให้จิตได้ดีที่สุด

    5. กล่อมจิตรวมลงเป็นความสงบในพุทโธ ที่สุดแล้วทั้ง 4 วิธียังทำไม่ได้ให้ทำดังนี้ครับ ระลึกในใจว่าอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัญญาพิจาณาเห็นธรรมก็ดี ความเฉลียว ฉลาดเหล่าใดเมื่อทำสมาธิเราไม่ไปใส่ใจมากไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้ มันเป็นปลิโพธ อดีตไม่มีในปัจจุบัน อนาคตเป็นสิ่งที่สืบต่อจากปัจจุบัน ปัญญาธรรมไม่ได้เกิดจากการคิดอนุมานแต่เมื่อถึงธรรมมันได้เอง ซึ่งมันได้จากความสงบใจ ไม่มีใจคิดปรุงแต่งสืบต่อจากที่เป็นอยู่แห่งสังขารในปัจจุบัน คือ ได้จากจิตทำแค่รู้เท่านั้น
    ..ดังนี้แล้วให้กำหนดจิตรวมลงว่า อดีตก็ดี อนาคตก็ช่าง ปัญญาก็ดี สิ่งนี้มีในความสงบว่าง มีมากในพระพุทธเจ้า เราจักไปเอาสิ่งนี้จากความสงบกับพระบรมศาสดา
    ..โดยให้น้อมใจไปรวมเอาอดีต อนาคต ปัญญาเป็นหนึ่งเดียวกันคือความสงบ วูบลงกำหนดรวมไว้ในภายในเป็น "พุทโธ" พุทโธ คือ พระพุทธเจ้ากำหนดจิตว่าพระบรมศาสดาทรงเสด็จมาประทับอยู่ในกายใจเรานี้ตามคำบริกรรมพุทโธอันสงบสบายนั้น โดยกำหนดตั้งไว้ในฐานที่ตั้งแห่งสติที่เราระลึกรู้ลมหายใจแห่งพุทธะได้ดีที่สุด เช่น ปลายจมูก หน้าออก หรือท้องน้อย เป็นต้น แล้วทำอย่างนี้สืบไปจิตจะรวมเอง

    - การที่เด็กสมาธิสั้น วอกแวกง่าย ลืมง่าย เราเข้าใจกันว่าสมาธิสั้นทำให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่นาน ทางโลกก็หาทางแก้แท้จริงไม่ได้ รู้แต่ว่าให้ทำสมาธิ โดยไม่รู้แท้จริงว่าในพระพุทธศาสนาอันมีพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดานี้ได้รู้แจ้งโลกดีแล้ว กรรมฐาน 40 กอง ล้วนเป็นไปเพื่อให้สติจดจ่อตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้นาน เพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นอารมณ์เดียวได้นานตาม เพราะสมาธิของพระพุทธเจ้าคือสัมมาล้วนเป็นไปเพื่อมีสติ สติดีก็สมาธิดีจดจำได้ดีตาม ปัญญาก็เกิดจากความว่างของจิตทำให้เกิดความรู้มากมายค้นหาความรู้ความจำในสมองได้ง่ายตาม
    - ฝึกสมาธิยังต้องใช้เจตนาหรือเครื่องล่อกล่อมจิตให้สติตั้งมั่นเพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นอารมร์เดียวได้นานตาม
    - แต่เมื่อถึงในสมาธิจึงไม่ใช้เจตนาเครื่องกล่อมจิต มีการจิตที่ไม่ทำเจตนา ทำแค่รู้ มีความสงบ ความว่าง ความไม่มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2018

แชร์หน้านี้

Loading...