อภิญญา หลวงปู่ดู่

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย santosos, 18 พฤษภาคม 2011.

  1. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    การสร้างพระเครื่อง

    พระ คณาจารย์บางท่าน จะมีการสร้างพระเครื่อง ซึ่งอาจเป็นรูปเปรียบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือรูปท่านเองก็ตาม ท่านดำเนินตามเจตนาของคนโบราณ เพื่อเป็นการสืบทอดพระศาสนา และให้ผู้นำไปใช้มีจิตนึกถึงพระอยู่เสมอ มีอนุสติระลึกถึง ทำให้เกิดสมาธิจิตใจเป็นคนดี เนื่องจากมีพระเครื่องติดตัว เจตนาของท่านผู้สร้างมีความบริสุทธิ์ ไม่ได้คิดให้ชาวบ้านไปตีรันฟันแทงฉกชิงวิ่งราว ประพฤติตัวเป็นคนพาล โดยคิดว่าอำนาจพระจะช่วยปกป้องรักษา จึงเกิดเป็นพระเครื่อง หรือที่รวมเรียกว่า " วัตถุมงคล" เพื่อให้สาธุชนไปบูชาระลึกถึง ทำตนให้เป็นคนดี เพราะปุถุชนโดยทั่วไป ยังต้องอาศัยเครื่องเหนี่ยวนำให้เกิดศรัทธา พูดง่ายๆ คือ ยังมีการยึดติดอยู่ตามระดับภูมิธรรมที่มีในตัวเอง ถ้าวาสนาบารมียังอ่อน ก็ต้องมีเครื่องให้กำลังใจ แม้จะถือว่าเป็นเปลือกหรือกระพี้ก็ตาม เพราะเขาติดวัตถุมงคล ด้วยเหตุเช่นนี้กระมัง พระคณาจารย์ที่เป็นพระสุปฏิปันโนหลายองค์ เช่น หลวงพ่อวัดปากน้ำ หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น ฯลฯ จึงมีการปลุกเสกวัตถุมงคลเหล่านี้ แต่เริ่มเดิมที ท่านธัมมวิตักโก หรือท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ราชมานิต ท่านก็ไม่นิยมในการปลุกเสกพระเครื่อง แต่ในระยะหลัง ท่านกล่าวว่ามีคนหลายระดับ ระดับหยาบก็ขอให้ติดสิ่งที่เรียกว่า พระเครื่องเอาไว้ ดีกว่าไม่ยึดอะไรเลย ท่านจึงอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆ ที่มีผู้ขอให้ท่านช่วย เพื่อนำไปสร้างสาธาณกุศลต่างๆ เช่น สร้างวัด โรงพยาบาล โรงเรียน เป็นต้น โดยส่วนตัวท่านเอง ไม่ได้เป็นผู้จัดสร้างขึ้น จะมีก็แต่ก้อน ปฐวีธาตุ หรือก้อนกรวด ที่ท่านสั่งให้นำมาเพื่ออธิษฐานจิต เหล่านี้ท่านเองก็ยังว่า "สามารถกันนิวเคลียร์ได้"

    หากเราลองมาวิเคราะห์ถึงวัตถุมงคลต่างๆ เหล่านี้ จะมีพลังงานต่างๆ อยู่หรือไม่นั้น พลังงานในทางวิทยาศาสตร์ที่เราสามารถพิสูจน์ได้ ได้แก่ พลังงานความร้อน พลังงานแสง พลังงานเสียง เป็นต้น ซึ่งพลังงานเหล่านี้สามารถเปลี่ยนรูปไปได้ เช่นจากพลังความร้อนเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้าสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานเสียงได้ เช่น พวกเทปต่างๆ ภาพยนตร์ แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังค้นไม่พบคือ พลังงานจิต ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ ไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก ผู้ค้นพบสูตรของการสร้างพลังงานจากขบวนการสลายอะตอม ให้เกิดปรมาณูนั้น ท่านยังยอมรับว่ามีจริง และ ยอมรับในพลังจิตของพระพุทธเจ้า (จากหนังสือหลวงตา, ๒๕๒๒) แต่ยังไม่ทันที่ท่านจะพิสูจน์ตามหลักพระพุทธศาสนา ก็สิ้นชีวิตเสียก่อน ถ้านักปราชญ์ท่านนี้ยังมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ก็อาจจะได้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ มารองรับหลักการทางพระพุทธศาสนาได้

    หลวงปู่ดูลย์ พระอริยสงฆ์องค์สำคัญ ศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ ผู้ล่วงลับไปแล้วได้กล่าวว่า "ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถ จนกระทั่งเข้าถึงมิติที่ ๔ คือการสร้างปรมาณู แต่ไอน์สไตน์ยังไม่สามารถเข้าสู่ พุทธะ ได้ เนื่องจากไม่มีความรู้เพียงพอ ที่จะสลายกิเลสให้เป็นนิพพานได้ (จากหนังสือ หลวงปู่ฝากไว้, ๒๕๒๘) ดังนั้น ในเรื่องของพลังจิตเท่านั้น ที่จะสามารถศึกษาเรื่องของจิตใจ ซึ่งมีหลายศาสนา ที่มีผู้ได้รับพลังจิต หรืออภิญญาสมาบัติ เช่น พวกฤาษีชีไพรในศาสนาพราหมณ์ ที่เป็นผู้ค้นพบ โดยศึกษาเรื่องของสมาธิ แต่เขาเหล่านั้นขาดปัญญา หรือวิปัสสนาญาณในการที่จะสร้างพลังงานในการสลายกิเลส เหมือนกับวิธีการทางพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ตั้งแต่เมื่อ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว แม้แต่รัสปูตินก็มีพลังจิต แต่สิ่งที่เขาได้นั้น ได้นำมาใช้ในทางด้านที่ไม่เป็นประโยชน์ เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิด เหมือนกับหมอเสน่ห์เล่ห์กล ซึ่งมีอำนาจจิตเหมือนกัน แต่ใช้อำนาจเหล่านี้ในทางทำลายล้าง เรื่องเหล่านี้มีมาแต่โบราณกาลแล้ว พระ พุทธองค์จึงทรงสั่งสอนให้มีการสร้างพลังจิตในทางที่สะอาด สงบ สว่าง โดยมีการทำทาน เพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัวที่มีในสันดาน รักษาศีล คือการสร้างความปกติของใจ ไม่ทำลายเบียดเบียนผู้อื่น และมีการเจริญภาวนา คือวิธีการทำให้ใจสงบได้ ใจที่สงบจะมีกำลังและพลังงานที่จะวิเคราะห์ วิจารณ์สิ่งที่ถูก สิ่งที่ผิดได้ การที่จะต้องทำควบคู่ไปนี้ ทรงวางขอบข่ายไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เราหลงไปตามอำนาจของจิตที่เป็นทิพย์ ซึ่งผู้ที่ท่านทำสำเร็จได้ จะมีผลพลอยได้ คือ พลังงานของจิตที่บริสุทธิ์แจ่มใส สามารถนำส่วนนี้มาถ่ายทอดลงในวัตถุมงคล ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นแบตเตอรี่ ที่จะเก็บพลังงานเหล่านี้ไว้ได้"

    หลวงปู่กล่าวไว้ว่า "ถ้าไม่มีพลังจิต หรือทำไม่ดี ก็รั่ว" หมายถึงไม่สามารถบรรจุพลังงานเหล่านี้ลงในวัตถุมงคลได้ ท่านเล่าว่า "รูป ปั้นหลวงปู่ทวดองค์ข้างหน้านี้ เมื่อก่อนได้มาไม่เห็นมีใครเสกเลย เขาถามหลวงปู่ทวดว่า หลวงปู่ไม่ได้เข้าไปหรือ ท่านว่า จะเข้าไปได้อย่างไร ปูนทั้งนั้น แล้วเขาไม่ได้ทำพิธีพุทธาภิเษกหรือ ท่านตอบว่า อาจารย์เขารับนิมนต์มาเอาเงิน พระ ๘ องค์ที่มา มีดีเพียงองค์เดียวอยู่ทางทิศหรดี แต่ท่านก็ไม่ได้ทำอะไร ท่านนั่งดูไส้ของตัวเอง ข้าก็เลยมาแก้ไข เจาะที่ฐานของท่านใส่ผงลงไปทำใหม่ เขาถามว่า หลวงปู่อย่างนี้หลวงปู่อยู่ได้ไหม ท่านบอกอยู่ได้" แสดงถึงการปลุกเสกพระ ไท่ใช่ของทำกันง่ายๆ ต้องมีพลังงานในตัวที่ดีเสียก่อน จึงสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดพลังงานขึ้นมาได้ หลวงปู่ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เคยเรียนวิชาทำผงจากหลวงพ่อเภาซึ่งเป็นอา วิธีทำผงเหล่านี้ของโบราณจารย์ เพื่อเป็นการสร้างสมาธิในภิกษุที่ต้องการศึกษา หลวงปู่บอกว่า ทำเรื่อยมา เก็บสะสมไว้แล้ว ก็สร้างพระปลุกเสกเรื่อยมา "ดีกว่าสวดมนต์ทิ้งเปล่าๆ" ซึ่งหมายถึงพลังงานที่ได้อธิษฐานให้อยู่กับวัตถุมงคลดีกว่า "ลง ผงนี้มีทำได้ดีเต็มที่ครั้งเดียว เมื่อสมัยกบฎบวรเดชกำลังนั่งทำอยู่ คนเขาเปิดประตูเข้ามา ประตูไม่ได้ปิดกลอนเขาบอกว่า กำลังจับใหญ่บวรเดชเป็นกบฎ ผมจะกลับบ้านทางไหน พอเขากลับไปแล้ว มานั่งทำผง ผงสีขาวกลายเป็นสีแดงหมด มานึกในใจว่า เอาไว้ไม่ได้ คนไม่รู้จะเป็นภัย ขนาดเศษผงที่ยังเหลืออยู่ เอามาขีดศรีษะปวดหัวแทบจะแตก ต้องเอาน้ำมนต์มาล้างออกจึงจะหาย" แสดงถึงพลังจิตที่เต็มที่แล้ว สามารถจะเปลี่ยนรูปของสิ่งของไปได้

    หลวงปู่สร้างพระตลอดมาตั้งแต่สมัยบวชใหม่ ท่านบอกว่า ใจเราจะได้อยู่กับพระ เป็นบุญเป็นกุศลดีกว่าไปทำอย่างอื่น จนมาถึงครั้งสำคัญ ที่ท่านได้วิชามหาจักรพรรดิ คือ ท่านเจ้าคุณใหญ่ มีหนังสือขอมโบราณ หลวงปู่เอามาอ่านตอนที่พระพุทธองค์ปราบท้าวมหาชมพู ซึ่งถือตัวว่าเป็นพระมหาจักรพรรดิมีอำนาจมาก ท่านเล่าให้ฟังว่า "อ่าน ไปก็ยิ่งมีความปิติ อ่านจนถึงเกือบเที่ยงคืน จนเจ้าคุณใหญ่กลับมาจากงานสวด ตั้งแต่นั้นก็ทำเรื่อยมา ของอะไรก็ตามไม่ใช่ทำวันเดียว ต้องทำหลายครั้งจึงจะได้ ข้าเคยไปสักกับหลวงพ่อแสงที่บางบาล สักแล้วก็เข้าไปขอคาถาท่านว่า "ถ้าไม่กินก็ไม่ต้องทำ" พูดแล้วปิดกุฏิเข้าไปเลยไม่ออกมา เราก็มานั่งตรองดูก็จริงตามที่ท่านว่า คือ คนที่ไม่กินก็ต้องตาย อยู่ในโลกก็ต้องทำงาน พวกแกตอนนี้ต้องอยู่ในโลก เหยียบเรือ ๒ แคมไปก่อน โลกบ้างธรรมบ้าง โลกอย่างเดียวก็ไม่ดี ธรรมอย่างเดียวก็ต้องบวช ค่อยๆ ทำไปเถิด นักศึกษาที่เรียนหนังสือ ถ้าลองทำให้ดี เราเรียนเพื่อตัวเอง เพื่อพ่อแม่ เพื่อประเทศชาติ เราคิดอย่างนี้ก็ได้บุญแล้ว" ท่านพูดถึงที่มาของคาถามหาจักรพรรดิ และยังแถมท้ายเรื่องที่ชวนคิดเป็นธรรมะอีกด้วย

    เกี่ยวกับพลังจิตของผู้ปลุกเสกพระ เครื่องวัตถุมงคลนั้น ท่านบอกว่ามี ๓ ระดับ ผู้มีภูมิสมาธิสามารถตรวจสอบโดย เมื่อเราจับพระแล้วทำใจเฉยๆ ถ้ามีปิติขึ้นมาถึงข้อแขน แสดงว่ายังต่ำอยู่ หรือว่าบางทีมาถึงคอ ก็ยังไม่ดีมาก ถ้าจะให้ดีจริงๆ แล้ว ต้องขึ้นถึงศรีษะท่วมตัว พระหลวงพ่อโต วัดระฆังนั้นขึ้นถึงศรีษะ แสดงว่าดีมาก พระของหลวงปู่ คือ พระพรหม พระพรหมที่เป็นพระผงนั้น โดยปกติท่านจะไม่มอบให้ใครง่ายๆ ท่านจะมอบให้กับผู้ปฏิบัติจริงๆ ไม่มีการจำหน่าย ผู้ที่ได้ไปจากหลวงปู่ ซึ่งท่านมอบให้เองจึงมีความมั่นใจ เพราะท่านจะให้เป็นรายบุคคล ท่านเคยพูดว่า "มีคนเขาเอาพระเข้าไปเช็ค เขาตีราคาหนึ่งหมื่น (มากนะครับสมัยนั้น-leo_tn) เป็นนายตำรวจแถวคลองเตย เขาบอกว่าพุทธคุณเทียบเท่าพระสมเด็จโต หนึ่งหมื่นข้าก็ไม่ให้ เพราะไม่ใช่ของขาย ทำให้ดีก่อนแล้วจึงให้" เกี่ยวกับเรื่องพลังงานจิต ในรูปของการส่งโทรจิต ซึ่งประเทศรัสเซียกำลังศึกษากันอยู่ มีทั้งพระหลายๆ ท่าน ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น ท่านอาจารย์วัน อุตตโม ซึ่งเป็นพระอริยะสายท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต กล่าวไว้ว่า "เรื่องของพลังจิตนั้น อย่างท่านอาจารย์ฝั้นน่ะ ท่านสามารถกำหนดจิตเพียงวินาทีเดียว ก็สามารถทำให้เรือบินตก ๓๐-๔๐ ลำ ไม่ใช่กำหนดทีละลำไม่ทันกิน" (จากหนังสือ จตุรารัตน์, ๒๕๒๙) แต่ท่านไม่ทำเพราะกลัวบาป หรือในเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลวงปู่เอง และหลวงปู่เกษมที่ผู้เขียนประสบมานั้น คือเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๓ ผู้เขียนกับเพื่อนต้องการไปไหว้หลวงปู่เกษม หลวงปู่ดู่บอกว่า "อย่าไปลอง ให้ไปจริงๆ ไปขอพรท่าน ท่านเป็นพระอรหันต์" ผู้เขียนกับเพื่อนก็นมสการลาไปลำปาง เมื่อไปถึงจังหวัดลำปางและไปที่สำนักสุสานไตรลักษณ์ หลวงปู่เกษมสั่งคนรับใช้ว่า "วันนี้เปิดโอกาสให้คนนมัสการได้เวลา ๑๖.๐๐ น." ผู้เขียนและพรรคพวกไปถึงก่อน ๕ นาที บังเอิญในวันนั้น ท่านเจ้าคณะจังหวัดลำปาง จะมาเยี่ยมหลวงปู่เกษมด้วย พอเวลา ๑๖.๐๐ น. ผู้เขียนก็ได้เข้าไป พร้อมกับมีคนทะลักเข้าไปหลายคน ประมาณสัก ๓๐ คนได้ หลวงปู่เกษมกำลังนั่งโมทนาทาน ที่เขามาถวายเป็นพวกขนมปัง เมื่อท่านกล่าวภาษาบาลีเสร็จ สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนอัศจรรย์ใจคือ หลวงปู่เกษมถามว่า "สี่คนนี่มาจากไหน" ท่านมองหน้าผู้เขียน ผู้เขียนตอบท่านว่า "มาจากอยุธยาครับ" หลวงปู่เกษมจึงพูดขึ้นว่า "พวกอยุธยาให้เข้ามาข้างในไหว้พระ นอกนั้นหมดธุระกลับกันได้" ผู้เขียนขนลุกนึกในใจว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเรามากัน ๔ คน ทั้งที่เราก็อยู่ห่างๆ กัน เมื่อได้เข้าไปแล้ว วันนั้นหลวงปู่เกษมคุยเสียงดังมาก ท่านกราบท่านเจ้าคุณคณะจังหวัดลำปาง ด้วยอาการที่นอบน้อมอย่างยิ่ง แล้วท่านพูดออกมาจากกุฏิอีกว่า "พวกอยุธยาที่มากัน ๔ คน ให้ขนมปังคนละ ๙ อัน ตะกรุดคนละ ๑ ดอก" ตะกรุดในที่นี้คือ ก้านธูป กรรมฐานที่หลวงปู่ท่านนั่งภาวนา ในใจของผู้เขียนขณะนั้นได้แต่อธิษฐานว่า "ที่มานี้ก็เพื่อขอพร และขอบารมี ไม่ได้คิดจะมาเอาหวย" ซึ่งทั้งที่รู้ว่าหลวงปู่เกษมมีญาณในอนาคตคือ อนาคตังสญาณ รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะแม้แต่กิเลส ซึ่งเป็นเสี้ยนหนามของหัวใจ ที่ร้ายยิ่งกว่าเสือท่านยังกำจัดได้ แล้วอะไรเล่าที่จะมาปิดบังท่าน หรือหลวงปู่ท่านเมตตาต้องการโปรดให้พวกเราได้ทราบว่า ของสิ่งนั้นมีจริง ไม่เหลือวิสัยของพระอรหันต์จะรอบรู้ แต่ท่านไม่ได้สนใจ เพราะท่านอยู่เหนือโลกแล้ว ปรากฎว่าล๊อตเตอรี่เลขรางวัลที่ ๑ ข้างท้ายออก ๑๔๙ ส่วนข้างล่างออก ๕๙ ตามที่เราคาดเดาไว้ แต่ไม่มีใครเล่นสักคนเดียว

    เมื่อ คณะเรากลับมาจากลำปาง ก็ได้ไปกราบหลวงปู่ดู่ ท่านกำลังเอนนอนหน้ากุฏิ และกราบขอบพระคุณที่หลวงปู่ได้ช่วยส่งบารมี ให้เราได้เข้าพบหลวงปู่เกษม หลวงปู่พูดว่า "พอแกมาขอข้า ข้าก็นึกในใจว่า จะมีศิษย์จากอยุธยาต้องการไปนมัสการท่าน ขอให้ท่านช่วยรับรองด้วย ข้าก็นึกๆ เอาเท่านั้นแหละ" สิ่งเหล่านี้แสดงถึงโทรจิตที่ท่านผู้ปฏิบัติถึงจุดแล้ว สามารถกระทำได้
     
  2. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    มูลเหตุของการสร้างพระพรหมและลูกแก้ว

    หลวง ปู่สร้างพระพรหม โดยเป็นรูปพระพรหม ๔ หน้า แต่ที่แปลกไปคือ พระพุทธเจ้าอยู่บนเศียรพระพรหม บางท่านที่มาใหม่อาจจะมีข้อสงสัยว่า พระทำไมไหว้พรหม เพราะลัทธิพราหมณ์ถือพรหมเป็นใหญ่ โดยเชื่อกันว่า พรหมเป็นผู้สร้างโลก ลิขิตชีวิตมนุษย์ ที่เรียกว่าพรหมลิขิตนั่นเอง

    หลวงปู่ได้อนุญาตให้ ผู้เขียนสร้างพระพรหมปางนี้ ซึ่งมีในหลักพระพุทธศาสนา โดยหลวงปู่ท่านเล่าว่า "มี ในพาหุง (ชัยมงคลคาถาบทที่ ๘) เป็นปางที่พระพุทธเจ้าไปปราบทิฐิของท้าวผกาพรหม เพราะท่านถือว่าตนเองเป็นใหญ่ที่สุด พระพุทธเจ้าใช้อำนาจฤทธิ์โดยการซ่อนหา ไม่ว่าพรหมจะไปซ่อนอยู่ที่ไหน แม้กระทั่งเม็ดทราย พระพุทธองค์ก็ทรงหาพบ แต่ถึงคราวพระพุทธองค์ซ่อนบ้าง พรหมกลับหาไม่พบ เพราะพระพุทธองค์เสด็จไปซ่อนอยู่บนศรีษะของพรหม พรหมจึงต้องยอมแพ้ต่อพระพุทธเจ้า ในที่สุด เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ฟัง พรหมนั้นก็ได้สำเร็จโสดาปัตติผลกลายเป็น "พระพรหม" ไม่ใช่ "พรหม" เฉยๆ"

    การสร้างปางโปรดท้าวผกาพรหม ย่อมแสดงว่าพระพุทธเจ้าอยู่สูงกว่าพรหมอย่างแน่นอน ช่างได้ทำการปั้น โดยใช้ปูนปั้นผสมด้วยผงพุทธคุณ และเกศาหลวงปู่ ส่วนองค์พระบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุเอาไว้ด้วย

    ใน ขณะที่ปั้นอยู่ หลวงปู่ได้ให้ลูกศิษย์ถามหลวงปู่ทวดว่า เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีคนมานมัสการและปฏิบัติกัน พวกลูกศิษย์ลูกหาจะมาอีกมากใช่ไหม หลวงปู่ตอบว่าใช่ พอปั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้นำมาถวายหลวงปู่ แต่เนื่องจากหนักมาก การเคลื่อนย้ายจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก เมื่อมาถึงวัด หลวงปู่กำลังนั่งอยู่ที่กุฏิ สักพักท่านคงเห็นใจเพราะยกกันไม่ไหว ท่านจึงเดินมาที่ประตูทางเข้า แล้วบอกว่า "เอ้า...ยกใหม่" ผู้เขียนตอบท่านว่า "ไม่ไหวหรอกครับ ๘ คนยังไม่ไหวเลย" ท่านจึงสำทับอีกว่า "บอกให้ยกขึ้น" พวกเราจึงจำใจต้องยกกัน ในใจของผู้เขียนคิดว่า อย่างไรคงไปไม่ไหวแน่ แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์คือ หลวงปู่เพียงแต่เอามือเข้าไปรองฐานพระพรหมไว้เท่านั้น พวกเรากลับยกกันได้อย่างสะดวก มีความรู้สึกว่าเบามาก พวกที่ยกข้างหน้าก็คิดว่ากินแรงข้างหลัง พวกข้างหลังก็คิดว่ากินแรงข้างหน้า พอไปถึงหน้ากุฏิท่านเอามือออก ทีนี้รีบวางแทบไม่ทันเพราะหนัก หลายคนในที่นั้นโจษกันว่า หลวงปู่คงทำให้เบา จนหลวงปู่ได้ยิน ท่านจึงรีบพูดขึ้นว่า "อย่าพูดไป เดี๋ยวดัง" เลยต้องเงียบ แต่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่า เพราะบารมีท่านนั่นเอง

    และในโอกาสเดียวกันนี้ ท่านได้อนุญาตให้สร้างลูกแก้วสารพัดนึก ไปพร้อมกันด้วย โดยท่านมอบเกศาของท่านเอง ผสมกับปูนซีเมนต์ขาวแล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ เจาะรูไว้ตรงกลาง เมื่อเสร็จแล้วทาสีดำ ถือว่าเป็นรุ่นแรก และมีต่อๆ มาอีกหลายครั้ง รวมแล้วประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ องค์


    หลวงปู่ท่านอธิษฐานจิตเป็นแก้วพระมหาจักรพรรดิ เรียกว่า "แก้วมณีนพรัตน์" เป็นสมบัติของพระพุทธเจ้า และอีกนัยหนึ่งท่านบอกว่า ทำเป็นลูกแก้วหลวงปู่ทวดด้วย ปรากฎว่ามีพุทธคุณหลายอย่าง จนเป็นที่นิยมและเสาะแสวงหาของบุคคลทั่วไป หลวงปู่ท่านจะแจกฟรีโดยไม่คิดมูลค่า

    ท่านเล่าให้ฟังว่า "เมื่อ ก่อนเคยทำไว้แต่ลูกใหญ่ ไว้สำหรับจะผูกคอควาย สมัยที่เกิดโรคห่าระบาด พอดีระบาดมาไม่ถึง เลยไม่ได้ใช้ เดี๋ยวนี้ไม่รู้หายไปไหน ข้าก็กะว่าจะทำให้เด็กห้อยคอ แต่ผู้ใหญ่อยากจะได้ด้วย ที่ให้เจาะรูไว้ตรงกลางก็เพื่อให้เชือกร้อยได้ และถือเป็นอากาศธาตุ (ช่องว่าง) ด้วย ใช้ประโยชน์ได้สารพัด เอาแช่น้ำ กิน อาบได้ กันเสนียดจัญไร ใช้กำแทนพระในเวลาทำสมาธิก็ได้"

    รุ่นต่อมาหลวงปู่ได้มอบผงเจ้าคุณใหญ่ซึ้งมรณภาพแล้ว ให้พร้อมกับบอกว่า "ผง เจ้าคุณเก็บไว้นานแล้ว เวลาจะปั้นให้ภาวนาไปด้วยว่า พุทธัง แก้วสารพัดนึก ธัมมัง แก้วสารพัดนึก สังฆัง แก้วสารพัดนึก จะได้เกิดบุญไปด้วย สร้างพระ ๑ องค์ ได้อานิสงส์ ๕ กัปนะแก"

    สมัย ที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ใดได้ไปรับก็ถือว่าเป็นโชคดี เพราะรับมาจากมือหลวงปู่ ภายหลังมีลูกศิษย์บางคนถือวิสาสะ หยิบฉวยวัตถุมงคลไปจากกุฏิ ด้วยความโลภอยากได้ แล้วอ้างว่า ได้ขออนุญาตหลวงปู่ในใจแล้ว ผู้เขียนถามหลวงปู่ว่า "อย่างนี้จะเป็นอะไรไหม" ท่านตอบว่า "นรกก็เกิดในใจเขา เพราะข้าตั้งใจถวายเป็นของสงฆ์" จึงเป็นข้อพึงสังวรที่ดีสำหรับพวกเรา ไม่ให้เป็นคนมักง่าย เพราะผลที่ได้รับไม่คุ้มกันเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...