อภิญญา ( หลวงตาพระมหาบัว )

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 5 กันยายน 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    ?temp_hash=f73b7be9e704375b87988111e6d4eff5.jpg
    อภิญญา

    15/03/2545 วัดป่าบ้านตาด


    (พูดกับผู้ว่าฯ อุดร) ตอนไปเชียงใหม่คราวที่ไปเทศน์ที่วัดเจดีย์หลวง วันนั้นท่านนายกก็ไป ได้ฟังเทศน์ตลอดกัณฑ์ วันที่ ๑๑ เมษา นี้ท่านจะมางานที่สวนแสงธรรม คือตามปรกติแล้ววันที่ ๑๒ เมษา เป็นวันเริ่มต้นช่วยชาติ ทีนี้ก็ว่าจะเอาวันที่ ๑๒ พอดีท่านนายกท่านก็อยากมาร่วมด้วย เราก็ไม่ได้รบกวนท่านแหละ แต่ท่านอยากมาร่วมด้วย ท่านขอย่นให้เป็นวันที่ ๑๑ ตามธรรมดาวันที่ ๑๒ ทีนี้ท่านขอย่นให้เป็นวันที่ ๑๑ ในเวลา ๕ โมงเช้าอีกด้วย มีกำหนด ๆ เพราะท่านงานมาก แต่ท่านอยากมา บอกอย่างนั้นก็จะทำยังไง เป็นความสมัครใจของท่านท่านอยากมา เราก็เลยลดลงมานี้อีก เวลาก็ให้ตามนั้น วันที่ ๑๒ ท่านจะไปจีน ท่านว่างั้น ท่านก็หมุนติ้วเหมือนกันเรื่องการงานทางชาติบ้านเมือง รู้สึกท่านหมุนติ้ว แต่หมุนไปทางไหนก็เพื่อเป็นมงคลแก่ชาติบ้านเมืองของเรา ไปที่ไหนก็ไม่แสลงหูแสลงใจ รู้สึกท่านดำเนินน่าชมตลอดไป

    ก็จับตลอดนี่ คือเอาธรรมแบบฉบับที่ถูกต้องดีงามเพื่อความสงบสุขของพี่น้องชาวไทยหรือชาวพุทธเรา เฉพาะอย่างยิ่งคือเมืองไทย เราดูตลอดนี่นะ อันใดที่ขัดก็บอกว่าขัด ที่สะดวกก็บอกสะดวก ดังที่นายกคนปัจจุบันของเรานี้ รู้สึกว่าราบรื่นมา มันเป็นธรรมดาของคนมาก จะให้เป็นแบบหัวใจเดียวกันมันไม่เป็นแหละ ก็ต้องมีขัดมีแย้งเป็นธรรมดา แม้แต่ครัวเรือนก็ไม่มีใคร มีผัวกับเมียเท่านั้นยังทะเลาะกันยิ่งกว่าหมา เข้าใจไหม เราจะไปตำหนิปากคนหัวใจคนทั้งประเทศได้ยังไง ตั้งแต่เราผัวกับเมียเท่านั้นยังทะเลาะกัน

    พอพูดไปนี้ก็ทำให้ระลึกได้วันไปเทศน์ที่วัดทุ่งสามัคคี มันก็แย็บไปแบบนี้แหละ พูดถึงเรื่องคนชั่วคนดีมีอยู่เต็มโลก คือตอนนั้นเขาเอาหนังสือพวกที่จะโค่นศาสนาให้จมในชาติไทยของเราปัจจุบันนี้ ว่าให้มันชัดเจน เรียนคัมภีร์มาด้วยกัน รู้ด้วยกัน มันขัดมันแย้งมันทำลายศาสนาตรงไหน ๆ มันก็รู้กันเอง ตรงที่ส่งเสริมมีตรงไหนมันไม่เห็น ก็ถึงบอกตำหนิกันเลย นี่ละเหตุผลกลไกอันนี้ พอดีเราไปนั้น ถ้าเราจะไปเทศน์ที่ไหนพวกนี้ทราบจะเอาหนังสือของเขาไปหาแจก ๆ โฆษณาชวนเชื่อ เชื่อแล้วก็จะได้ขึ้นขี่บนหัวเขาขี้รดหัวเขาลงไป

    วันนั้นก็ไปเจออันนี้แหละ เราก็เลยยกอันนี้ขึ้นมา อันนี้ก็หมายถึงเรื่องความดีความชั่ว คนดีคนชั่ว เราว่าอย่างนั้นนะ มันมีอยู่ทั่วไป มีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ไม่ใช่มีมาวันนี้คืนนี้ อย่าพากันตื่น แล้วพากันเสียใจดีใจไม่เข้าเรื่องเข้าราว เราว่าอย่างนั้น เรื่องความชั่วคนชั่วอันธพาลมันมีอยู่ทั่วไป จากนั้นก็ย่นเข้ามาศาลาใหญ่หลังนั้นละ นี่อย่างในวงบริเวณศาลาหลังใหญ่ ๆ นี้ เราเข้าใจว่ามีแต่บัณฑิตเหรอ คนพาลมันก็มีอยู่แทรกกันอยู่นี้แหละ เวลานี้มานั่งเป็นความสงบเรียบร้อยเหมือนเป็นบัณฑิตนักปราชญ์นะ ความจริงมันฟาดกับพ่อบ้านมาแล้วจนฟันโยกคลอนไปหมด บางรายฟันหัก แล้วก็มาพักสงบให้น้ำอยู่นี้ก็มี ฟังเสียงหัวเราะกึ๊กก๊าก ๆ นี่ละมันมีอยู่ทั่วไปนะ เวลานี้มันมาทำความสงบ แต่ไม่ใช่มาทำความสงบนะ มันมาให้น้ำ พอออกจากวัดแล้วก็จะใส่กันอีก ไม่มีใครทราบได้แหละ ฟังเสียงหัวเราะลั่น มันมีอยู่ทั่วไปอย่างนี้แหละจะว่าไง

    จากนั้นก็ให้ปรับปรุงความเข้าใจกัน อยู่ด้วยกันมีจำนวนมากให้พยายามเอาหลักเหตุผลที่ถูกต้องนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง เราว่าอย่างนี้นะ ให้ต่างคนต่างน้อมใจเข้าไปอย่างนั้น แล้วบ้านเมืองทั้งหลายก็จะสงบ ตลอดครอบครัวผัวเมียจะสงบไปตาม ๆ กัน เราว่าอย่างนี้ คือให้มีทั้งบัณฑิตมีทั้งคนพาล วันนั้นเทศน์ทั้งบัณฑิตนักปราชญ์คนพาลสันดานทะเลาะกัน

    วันนั้นก็คนมาก แล้วพูดยังไงมันถึงแย็บออกไปนั้นล่ะ (พูดถึงคนพาลครับ) เวลานี้กำลังแสดงฤทธิ์แสดงเดช เราก็ทุเรศเหมือนกันนะ คือมันเป็นสด ๆ ร้อน ๆ ให้เห็นเลยนี่นะ ถ้าตาบอดหูหนวกด้วยกัน ไม่ได้ดูคัมภีร์วินัยหลักเกณฑ์ก็เป็นอันหนึ่ง ผู้ทำมาอย่างนั้นทำลายอย่างนี้ โดยว่าเป็นการส่งเสริมตัวเอง หรือว่าส่งเสริมชาติบ้านเมืองที่เอามาอ้างนี้ก็ตาม แล้วมันก็เรียนด้วยกันเห็นด้วยกัน เรียนหนังสือด้วยกัน หลักคัมภีร์วินัยกฎหมายบ้านเมืองก็รู้อยู่ด้วยกัน แล้วมาทำเอาแบบหน้าด้านนี้ซิมันทุเรศ

    อู๊ย ร้อนนะเมืองไทยเราเวลานี้ พุทธศาสนากำลังร้อนมากทีเดียว พึ่งทางชาติบ้านเมืองสงบเท่านั้น มาขึ้นจุดนี้อีก มันจะดึงเข้าไปหากันหมด จะเอาเมืองไทยให้จม ทั้งชาติทั้งศาสนาจะไม่มีเหลืออยู่เมืองไทยเลย มันจะไปเหลืออยู่ที่ใดก็ไม่ทราบแหละ เราพูดอย่างนี้พูดเป็นธรรม เราไม่ได้พูดแบบที่ว่าลูบหน้าปะจมูกนะ พูดลูบหน้าปะจมูกเป็นธรรมไม่ได้ ธรรมต้องเป็นธรรมเสมอไป เวลาพูดถึงธรรมก็ต้องเอาธรรมออกให้เป็นความสม่ำเสมอ ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก อย่างที่พูดอยู่เวลานี้เราก็พูดด้วยอรรถด้วยธรรม เราไม่หวังได้หวังเสียกับผู้ใดนะ ในหัวใจของเราไม่มี มีแต่ความเมตตาครอบไปหมดเท่านั้น ความแพ้ความชนะของเราก็ไม่มี ความได้ความเสียไม่มี ความเอาเปรียบเอารัดอะไรอย่างนี้เราไม่มี อยู่นอกวงกรณีพิพาทกัน ที่มันเกิดอยู่เวลานี้นะ เราเอาธรรมนี้เข้ามาให้พากันฟัง ฟังได้ก็เป็นประโยชน์ไป ฟังไม่ได้ก็สุดวิสัย เราก็ว่าอย่างนั้น ตำหนิสิ่งที่ชั่ว ใครไปทำชั่วคนนั้นก็ไม่พ้นที่จะถูกตำหนิในจุดนั้น เราก็ต้องพูดตามหลักความจริง

    ที่ไปคราวนี้ทองคำได้ตั้งแต่ออกเดินทางไปถึงกลับมา ตั้งแต่วันที่ ๑ ถึงวันที่ ๑๓ ทองคำได้ ๓๐ กิโล ๓๓ บาท ๓๕ สตางค์ เวลานี้ทองคำที่เราได้หลังจากการมอบเข้าคลังหลวงหลังผ่านมาแล้วนั้นได้ ๒๑๖ กิโล ๒๒ บาท ๔๘ สตางค์ คือตั้งแต่วันที่ ๒๖ กันยา นั่นละวันเรามอบเข้าคลังหลวง หลังจากนั้นมารวบรวมทองคำได้ ๒๑๖ กิโล ต่อไปนี้ถ้าเราจะหลอมในระยะวันที่ ๑๑-๑๒ เมษา นี้เราก็จะหลอม อยากจะมอบเสีย หากไม่พอจำนวนที่เราต้องการจะมอบหรือจะหลอมนั้น เราก็รอไว้ก่อน ที่เราต้องการคือให้ได้ ๕๐๐ กิโลแล้วเราก็หลอม พอหลอมแล้วก็เข้าเลย ถ้าเป็น ๕๐๐ กิโลแล้วก็เรียกว่าเป็นตันไปเลย คือเต็ม ๕ ตัน เวลานี้ยังขาด ๕ ตันอยู่ ทองคำเวลานี้ได้เรียบร้อยแล้ว ๔,๗๗๘ กิโล ยังขาด ๕ ตันอยู่

    ส่วนดอลลาร์คราวนี้รู้สึกว่าเป็นคู่เคียงกันไปกับทองคำ ทองคำได้ ๓๐ กิโลกว่า ดอลลาร์ดูจะไม่ต่ำกว่า ๓ หมื่นดอลล์ ส่วนเงินสดเราไม่อยากพูด เพราะคราวนี้ไปชุลมุนวุ่นวาย จ่ายเงินสดนี้เป็นน้ำเป็นท่าไปเลย มันหลายแห่งหลายหนที่จะต้องจ่ายเงินสดเอามากมายคราวนี้ เราจึงไม่นับมันละเงินสด เอาแต่ทองคำเรา ก็ไม่เสียเที่ยวที่ไป

    หลวงตาเจ้าขา เมตตาอธิบายอภิญญา ๖ ด้วยเจ้าค่ะ

    อภิญญา ๕ ได้แล้วเหรอ ได้แล้วก็มาคุยอวดคนบ้างซิ หลวงตาก็จะฟังด้วย ถ้าไม่ได้แล้วอย่ามาอวดอภิญญา ๖ เอาอภิญญา ๕ มาพูดเสียก่อน อภิญญาก็มีตั้งแต่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก แล้วบอกอภิญญา ๖ มาเลยเราไม่ตอบ เพราะเราเรียนมาไม่ถึงนั้น ก็อภิญญา ๑ เรายังไม่ได้นี่นะ ยังจะไปฟาดอภิญญา ๖ มาให้เราตอบอีก โอ๋ย ตอบไม่ได้ ถ้าตอบต้องไปหากัณฑ์เทศน์มามาก ๆ เราถึงจะตอบ เข้าใจไหม

    เหตุที่จะถามก็เพราะว่า วันที่ลูกคุยกับพระเพื่อนนะเจ้าคะ ท่านบอกว่าท่านไปติดอยู่ที่อภิญญา ๖

    มันว่าบ้าไปอย่างนั้นละ มันมาอวดพระอย่างนั้น ฟังแย็บนี้รู้ทันทีนะมันโง่หรือมันฉลาด คำพูดออกมาจับได้ทันที อย่างนั้นละธรรมจับ จับละเอียดลออมากที่สุดเลย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงท้อพระทัยที่จะสอนโลก โลกก็บอกมันละเอียดสุดยอดเลย เหยียบหัวธรรมไปเรื่อย ๆ แล้วลูกศิษย์ลูกหาเราก็มีแต่พวกเหยียบหัวธรรม คือเชื่อกิเลสเข้าใจไหม ถ้าเชื่อธรรมแล้วก็ธรรมเหยียบหัวกิเลส นี้มีแต่เชื่อกิเลสทั้งนั้นมันก็เหยียบหัวธรรม

    อภิญญา ๖ เราไม่อยากพูด อันนี้เป็นปลีกเป็นย่อย พูดหาอะไร เป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบบำรุงต้นลำมันให้ดี ต้นไหนได้รับการบำรุงรักษาด้วยดีสำหรับต้นไม้แล้ว กิ่งก้านสาขาดอกใบของมันผลของมันจะสวยงามมาก มีผลอันสมบูรณ์ ถ้ามองดูตั้งแต่ผลของมันไม่มองดูต้นที่มันรับอาหารประเภทใดแล้วต้นไม่ดี แล้วกิ่งก้านสาขาเหี่ยวยุบยอบไม่สวยไม่งามอย่างน้อย มากกว่านั้นไม่เกิดประโยชน์ แน่ะ ต้องบำรุงรักษาลำต้นให้ดี นิสัยวาสนาของใคร จะแตกออกกิ่งไหนแขนงไหนนั้นเป็นนิสัยวาสนา ส่วนลำต้นหมายถึงความบริสุทธิ์ อันนี้เสมอกันหมดบรรดาพระอรหันต์ ส่วนกิ่งก้านสาขาดอกใบนั้นเป็นเครื่องประดับประดาตกแต่งไปตามความปรารถนาเบื้องต้น ว่าเวลาสำเร็จแล้วขอให้มีความรู้วิชาความสามารถในทางนั้น ๆ

    เพราะฉะนั้นกิริยาหรือนิสัยของพระ ความเด่นดวงของพระจึงไม่เหมือนกัน องค์หนึ่งเด่นทางหนึ่ง ๆ อภิญญาเหล่านี้เป็นเครื่องประดับ เป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบของหลักธรรมชาติคือความบริสุทธิ์ต่างหาก เราถึงไม่ค่อยได้พูดถึงแหละกิ่งก้านมัน พูดเรื่องบำรุงลำต้นให้ดี เอาให้มันบริสุทธิ์ลำต้น บำรุงลำต้นให้ดี แล้วมันจะส่งผลขึ้นไปหากิ่งก้านสาขาดอกใบหมดนั่นแหละ ถ้ามองแต่ผลไม่ดูต้นเหตุคือลำต้นของมัน ใช้ไม่ได้นะ หายสงสัยแล้วเหรอ (เข้าใจแล้วค่ะ)

    อภิญญา ๖ เหาะเหินเดินฟ้า ดำดินบินบน ทุกสิ่งทุกอย่างมีอย่างนี้แหละ คน ๆ เดียวนี้นิรมิตได้เป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนก็ได้ แล้วหมื่นแสนคนพลิกปั๊บให้เป็นคนเดียวก็ได้ ดำดินไปก็ได้ โผล่ขึ้นข้างหน้านี่ ไปบนอากาศก็ได้ หูทิพย์ ฟังเสียงสวรรค์ พรหมโลก เสียงเทพ เสียงเปรตเสียงผี ฟังได้หมด แต่ที่เมียกับผัวทะเลาะกันนี้มันฟังเสียงกันหรือไม่ก็ไม่ทราบ อันนี้จะเป็นหูอะไรไม่รู้นะ หูทิพย์หรือหูอะไร มันหลายอย่าง หูทิพย์คือฟังเสียงพวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม ยักษ์ เปรตผีอะไรเหล่านี้ หูทิพย์ได้ยินหมด ตาทิพย์ก็เห็นไปหมด เห็นทั้งรูปร่างเป็นกายเนื้อธรรมดา ออกทางตาทิพย์แล้วก็เห็นที่โลกไม่เห็น โลกไม่มีความรู้อย่างนี้ไม่เห็น เห็นรูปเห็นร่างเทวบุตรเทวดา เรียกว่าตาทิพย์

    พอพูดอย่างนี้แล้วก็ทำให้ระลึกถึงโยมที่มาถามหลวงปู่มั่น โอ๋ย ถามอย่างอาจหาญนะแกไม่ได้มีสงสัย แกนั่งอยู่บ้านแกฟังซิ พวกเทวบุตรเทวดามาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นที่วัดหนองผือ แกนั่งภาวนาอยู่บ้านแกเห็นพวกเทพหลั่งไหลมาบนอากาศ แต่งเนื้อแต่งตัวไม่ได้เสมอกันเลย ก็ไม่มีใครรู้ไม่มีใครพูดนี่ แกพูดอย่างอาจหาญด้วย การแต่งเนื้อแต่งตัวไม่ได้เหมือนกัน ฟังซิแกพูดอย่างอาจหาญนะ คือแกบอกแกนั่งภาวนาอยู่นี้ เห็นพวกเทพทั้งหลายประเภทต่าง ๆ เหาะลอยอยู่บนอากาศแล้วลงวัดหนองผือทั้งหมด ฟังซิน่ะ

    แกไม่รู้ว่าพวกเทพพวกพรหมนะ แกว่ามีอะไรลึก ๆ ลับ ๆ มีพวกอัศจรรย์เหาะลอยมาบนฟ้าเหมือนสำลี ลงมาฟังหลวงปู่มั่นเทศน์ แต่งเนื้อแต่งตัวไม่เหมือนกัน ฟังซิถ้าไม่รู้พูดได้ยังไง แล้วรูปร่างทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เหมือนกัน หยาบ กลาง ละเอียด ละเอียดสุด นั่นฟังว่านะ คือที่ละเอียดสุดนั้นได้แก่ท้าวมหาพรหม คือแกก็บอกเป็นชั้น ๆ ไป พวกนี้มาการแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นอย่างนี้ รูปร่างแม้จะเป็นทิพย์ก็ตามแต่ก็ละเอียดต่างกันเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งสุดท้ายมานี้ โถ น่าอัศจรรย์ มานี้เหลืองอร่ามพูดไม่ถูกเลย เห็นแต่อัศจรรย์กว่าทุกคณะที่มาฟังเทศน์ท่านอาจารย์มั่นนี่ละ แกเรียกญาท่าน แล้วพวกนี้เขามาจากที่ไหนบ้าง

    ท่านก็บอกย่อ ๆ ไม่บอกมาก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องปลีกย่อยท่านไม่ค่อยบอกมาก อ๋อ พวกนี้เป็นพวกเทวดาเขามาจากชั้นต่าง ๆ ที่แต่งเนื้อแต่งตัวไม่เหมือนกัน มีหยาบ มีกลาง มีละเอียดนั้น ก็เป็นตามอำนาจวาสนาของเทวดาชั้นนี้ อยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เป็นตามอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมของเขาในชั้นนี้ ที่สูงไปกว่านี้ก็ละเอียดขึ้นไปเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งสูงสุด นั่นก็เรียกว่านิสัยวาสนาสูงส่ง ตั้งแต่สวรรค์ชั้นนั้น ๆ การแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นไปตามชั้นของสวรรค์ จากนั้นก็ท้าวมหาพรหมที่เหลืองอร่ามมา นั่นเห็นไหมท่านบอก ท่านไม่เห็นค้านนี่นะ ก็ท่านรู้หมดแล้ว ทางนั้นมาถามแบบคนแก่คนไม่รู้ภาษีภาษาใช่ไหม แต่เขาเห็นจริง ๆ เขามาพูด เขาไม่สะทกสะท้านไม่สงสัย ท่านก็ตอบ ท่านไม่เห็นปฏิเสธนี่นะ

    ท่านบอกว่าที่มาหลังสุดคือท้าวมหาพรหม คณะหลังเป็นท้าวมหาพรหม บริษัทบริวารเต็ม ท้าวมหาพรหมเป็นหัวหน้ามา อ๋อ อย่างนั้นเหรอ แกว่านะ ไม่รู้ เห็นมา อู๊ย อัศจรรย์ตั้งแต่เริ่มแรก ถ้าไม่เห็นข้างบนที่ละเอียดกว่านี้ เห็นตั้งแต่นี้ก็อัศจรรย์แล้ว แกว่างั้น ทีนี้พอมาเรื่อยเป็นคณะ ๆ พวกเทพมาเป็นคณะ ยิ่งอัศจรรย์เรื่อย ๆ จนท้าวมหาพรหมนั่นละที่มาสุดท้าย แกอัศจรรย์แกมาถามท่าน ท่านไม่เห็นค้านนะ นี่พูดถึงเรื่องตาทิพย์รู้ไหม เป็นอย่างนั้นเห็นอย่างนั้น แล้วแกไม่สงสัย ที่แกถามแกบอกว่าทำไมจึงต่างกันการแต่งเนื้อแต่งตัว ไม่ปฏิเสธที่เห็นนี้ว่าใช่ไหมแกไม่เห็นถามวะ ทำไมจึงต่างกัน ๆ นั่นฟังซิ

    นี่ละธรรมชาตินี้พอเจอเข้าไปปั๊บจะไม่ต้องหาสักขีพยาน จะเต็มตัวโดยหลักธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นหลักธรรมชาติ รู้โดยหลักธรรมชาติ แต่ชื่อนั้นชื่อนี้ที่แพรวพราวไปนั้นเป็นสมมุติอันหนึ่ง ผู้ไม่รู้สมมุติอันนั้นก็พูดไม่ถูก อย่างแกว่านั้นคืออะไร เพราะแกไม่รู้ ที่มานั้นคืออะไร แกเห็นแต่เรียกชื่อไม่ถูก นี่ละเขาเรียกตาทิพย์ หูทิพย์พูดอะไร ๆ นี้ได้ยินหมด พอพูดอย่างนี้ก็เอาอีกแหละ ก็ไปถึงพ่อแม่ครูจารย์อีกนะ ท่านอยู่ที่ถ้ำสาริกา ท่านปัดกวาดตอนเย็นท่านเล่าให้ฟัง พอกำลังปัดกวาด ๆ ไป ไปถูกมดน้ำนองที่มันไต่ผ่านมาเป็นทางไปเลย ท่านปัดกวาดไปนี้ไปถูกเขา เห็นเขาแตกยั้วเยี้ยออก ท่านเลยบอกว่า เวลานี้เฮาจะปัดกวาด ให้พากันหลบหลีกนะ เท่านั้นละนะ ทางนั้นเขาขึ้นแล้ว บอกเตือนกันแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ

    นี่ละใจคิดรู้แล้ว พอทางนี้บอกว่าเราจะปัดกวาดนะ เพียงคำเดียวเท่านั้น ทางนั้นเขาขึ้นเขาประกาศบอกกันเลย นี่พระท่านมีข้อวัตรปฏิบัติ ท่านมีศีลมีธรรม ท่านจะปัดกวาด ท่านทำข้อวัตรปฏิบัติของท่าน พวกเราให้พากันหลีกหนี บอกกัน จากนั้นก็หลั่งไหลแตกฮือไปหมดเลย นี่ละพวกมดน้ำนองนี่เขาก็รู้ศีลรู้ธรรมเหมือนกัน ว่าพระท่านมีข้อวัตรปฏิบัติ พวกนี้ประกาศให้พวกเขาฟัง พวกเราอย่ามาที่นี่ ให้หลีกไป ท่านกำลังปัดกวาดทำข้อวัตรของท่าน นี่เขายังรู้ข้อวัตร ท่านว่าอย่างนั้นนะ ไอ้พวกพระพวกเณรเรานี้มันไม่รู้ข้อวัตรปฏิบัติ มันเอาเสื่อกับหมอนเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ไปอย่างนั้นนะเห็นไหม นี่เรียกว่ารู้วาระจิตของสัตว์ สัตว์เขาพูดกันท่านก็รู้ รู้รับกันทันทีเลย

    ท่านอาจารย์มั่น โอ๊ย พิสดารมากนะ เรื่องอย่างนี้พิสดารมากทีเดียว แต่ท่านทำเหมือนไม่รู้นะ เวลาพูดไปสัมผัสอะไรอย่างนี้ละ พอไปสัมผัสเรื่องราวท่านจึงแยกออกมาพูดแล้วผ่านไปเลย ถ้าไม่สัมผัสท่านก็ไม่พูด อันนี้ก็มีเรื่องสัมผัสท่านก็พูดให้ฟัง เรื่องหูทิพย์ตาทิพย์อย่างที่ว่า พวกเทพทั้งหลายเขามาฟ้องร้องท่านตอนเขามาฟังเทศน์ท่าน เขามากราบเรียนท่าน ภาษาเราว่ากราบเรียนท่าน ธรรมดาก็เรียกว่ามาฟ้องท่าน ว่ามานี้เห็นแต่พระท่านนอนหลับครอก ๆ แครก ๆ ท่านนอนไม่มีมารยาท นั่นเห็นไหมไปกราบเรียนท่าน คือพวกเทพไปกราบเรียนท่าน พระท่านนอนไม่มีมารยาท นอนหลับครอก ๆ แครก ๆ ทิ้งเนื้อทิ้งตัวบ้างอะไรบ้าง เวลาเขาไปฟ้องท่าน

    ทีนี้เวลาท่านแก้เทวดาท่านไม่ได้ยกโทษพระนะ อ๋อ ก็คนหลับ ใครหลับก็ครอก ๆ แครก ๆ จะว่าไง ถ้าไม่หลับจะไปครอก ๆ แครก ๆ ทิ้งเนื้อทิ้งตัวยังไงคนมีสติสตัง จะว่าอะไรถึงพวกเทพก็เอาเถอะ เหมือนกันนั่นแหละ ขึ้นชื่อว่ากิเลสมีอยู่ ย่อมมีพลั้งมีเผลอมีเสียมีหายเหมือนกันนั่นแหละ จะไปตำหนิอะไรแต่กับพระ ดูเราที่มันครอก ๆ แครก ๆ แบบไหนแบบเทพนั่นน่ะ มันสมเกียรติของเทพไหม ท่านซัดเอาตรงนั้นนะ เขาก็หมอบเลย พอเขาไปแล้วท่านก็เตือนพระ แน่ะอย่างนั้นนะ คือเวลาเขาตำหนิพระท่านจะไปช่วยเป็นกำลังเขาตีพระท่านไม่ตี ท่านยกพระไว้ตีพวกเทวดา พอเทวดาไปแล้วกลับมาตีพระ นั่นเห็นไหมปราชญ์ท่านพูดให้กระทบกระเทือนที่ไหน เสียหายที่ไหน ทีนี้เวลาท่านออกมาท่านก็เตือนพระ เวลาหลับนอนก็ให้รักษามารยาท เมื่อคืนนี้พวกเทวดาทั้งหลายเขามาฟ้องว่า พระนอนหลับครอก ๆ แครก ๆ ทิ้งเนื้อทิ้งตัว แล้วเป็นยังไงพระเรา นอนหลับตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกนั่นเหรอ ไม่ได้ตั้งหน้าทำความพากความเพียรเหรอ จึงให้เทวดาเขามาดูความไม่ดีของเรา ถ้าหากว่าจะนอนก็ให้ระมัดระวัง

    จากนั้นมาท่านเตือนนะ ว่าวันนี้เทวดาจะมา บอกเตือนพระ เพราะพระอยู่กับท่านไม่หลายองค์นี่นะ ไม่ได้เหมือนอย่างที่ว่าจุ้นจ้าน ๆ มีแต่พระหูหนวกตาบอดอย่างนี้นะ ท่านเตือน วันนี้พวกเทพจะมานะ เวลาเท่านั้น ถ้าจะหลับนอนก่อนนั้นก็ให้หลับนอนเสีย ถ้ายังไม่หลับนอนก็ให้รอไปจนกระทั่งเทวดาทั้งหลายมาเยี่ยมเราผ่านไปเรียบร้อยแล้วค่อยนอน นั่นท่านเตือนพระเห็นไหมล่ะ นี่ละจอมปราชญ์เตือนกันในวงภายใน พระก็ต้องได้ระมัดระวัง

    แล้วที่นี่การทำส้วมทำถานแต่ก่อนกับทุกวันนี้ต่างกัน คือขุดหลุมทำส้วมทำถานใช่ไหมล่ะ แต่ก่อนไม่มีส้วมซึมอย่างนี้ ท่านบอกทางนี้อย่าไปทำส้วม พวกเทพมาทางนี้ ให้แยกไปทำทางนั้น ๆ ทางนี้เป็นทางเทพเข้าออกเสมอ คือพวกเทวดาเขาจะเข้าในช่องทางที่พระว่าง เขาเคารพพระนะพวกเทพ ถ้าพระชุมนุมที่ไหนเขาไม่อยากเข้า เขาเคารพพระ เพราะฉะนั้นเขามาเห็นพระหลับครอก ๆ แครก ๆ เขาจึงไปฟ้องท่านอาจารย์มั่นล่ะซี ท่านอาจารย์มั่นก็ตีเทวดาอีก พอกลับมาแล้วก็มาตีพระ เวลาทำส้วมทำถานท่านห้ามไม่ให้ทำทางนั้น ๆ ให้แยกไปทำทางนั้น ทางนี้เป็นทางเทวดาเขามาเสมอ แล้วเทวดาเขามาเขาไม่ได้มาลงนี้ เขาเหาะเหินมา โน่นเขาจะลงที่โน่นแล้วเดินเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ มีความสวยงาม เคารพนับถือ เป็นที่น่าเลื่อมใสมาก ท่านว่าอย่างนั้น

    ทีนี้เวลามาเห็นกิริยาของพระเป็นอย่างนั้น ๆ เขาฟ้องนั้นถูกต้องแล้ว ท่านก็สอนพระไม่ให้ทำส้วมทำถานทางที่เขาเข้าออก พวกเทพทั้งหลายจะเหมือนกันหมด ว่างั้นนะ จะไม่ไปมาจุ้นจ้านนะ จะมาเป็นทาง ๆ ที่ไหนมีพระมากพวกเทพจะไม่มา

    พูดถึงเรื่องภายในถ้าต่างคนต่างรู้ก็ไม่มีปัญหาอะไรกันเลย ถ้าคนหนึ่งไม่รู้คนหนึ่งรู้ คนหนึ่งไม่เห็นคนหนึ่งเห็น ก็มีการขัดการแย้ง ความรู้ความเห็นไม่ลงรอยกันเป็นธรรมดา ทางภายในก็เหมือนกัน ภายนอกคนหนึ่งเห็นคนหนึ่งไม่เห็น คนหนึ่งได้ยินคนหนึ่งไม่ได้ยิน มันก็สงสัยผู้ที่ไม่ได้ยิน ผู้ที่ไม่เห็น ถ้ารู้เห็นด้วยกันแล้วไม่มีปัญหาอะไร

    อันนี้ก็มาพูดอันหนึ่ง นี่ละกรรมฐานในสมัยปัจจุบัน สมัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน นี่เอาความจริงมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง พระ ๒ องค์ท่านมีความรู้แบบเดียวกัน ลักษณะเดียวกัน รู้เห็นเหมือนกัน ท่านไปภาวนาอยู่ถ้ำหนึ่ง องค์หนึ่งไปภาวนาอยู่ถ้ำหนึ่ง องค์หนึ่งภาวนาอยู่ถ้ำหนึ่ง นัดกันว่าประมาณวันที่เท่านั้น ๆ จะมาพบกัน แล้วจะไปที่ไหนก็ไป นัดกันเรียบร้อยแล้วต่างองค์ก็ไปพัก ทีนี้ก็เข้ามาถึงจุด สถานที่นั่นเราพูดเรื่องราวมันเสียก่อน คือสถานที่นั่นมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังมีท้อง มีผลไม้เกิดอยู่บนต้นไม้ มันก็ปีนขึ้นไปบนต้นเอาผลไม้มากิน ตกจากต้นไม้มาตายอยู่นั้น เรียกว่าตายโหงใช่ไหม

    ทีนี้พระท่านก็ไม่รู้เรื่องท่านไปอยู่ที่ถ้ำภาวนากลางคืน นี่พูดตามหลักความจริง กิเลสเหล่านี้มีได้ด้วยกันทุกคนทั้งหญิงทั้งชาย จึงจะตำหนิหรือชมเชยใครไม่ได้ เวลามีเหตุการณ์หรือเรื่องราวของใครมาก็ยกขึ้นมาพูดเป็นธรรมดา จากความมีอยู่ของคนทั่ว ๆ ไป เวลาท่านนั่งภาวนากลางคืน มันมาตายอยู่ทางหน้าถ้ำ แต่ไกลอยู่นะ ตายก็นานหลายปีพอสมควร พระท่านก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว พอไปนั่งภาวนาอยู่นั้น ผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นเปรต พอท่านไปนั่งภาวนามันเอาเท้าไปเกาะเพดานถ้ำ แล้วหย่อนหัวลงมามากอดรัดท่าน ท่านผลักเท่าไรมันก็ไม่ยอม แผ่เมตตามันก็ไม่รับ มีแต่จะกอดโดยถ่ายเดียวตามเรื่องของกามเข้าใจไหมล่ะ ท่านทนอยู่ได้ ๓ คืนเป็นอย่างนี้ พอกำหนดปั๊บหลับตาลงมาแล้ว ถ้าลืมตาอยู่อย่างนี้ไม่เอาจิตไปใช้ทางนั้นก็เหมือนไม่มี พอกำหนดจิตปั๊บมาแล้ว

    ท่านทนอยู่ได้ ๓ คืนทนไม่ไหว มีแต่เรื่องอันเดียว ท่านเลยหนีไปหาพระองค์นั้นที่อยู่ในถ้ำนั้น แล้วทำไมจึงมาเสียล่ะ มาชั่วคราวหรือมาเลย โอ๋ย มาเลยนั่นแหละ เป็นยังไงว่าให้ฟังซิ ก็จะอยู่ได้ยังไง ก็เลยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง พระองค์นั้นก็เลยว่า เอ้า ถ้าอย่างนั้นผมไปเอง ลองดูน่ะมันเป็นยังไง พระองค์นั้นก็มา องค์นี้ได้ ๒ คืนเผ่นเลย แล้วเป็นยังไง โอ๊ย อย่าให้พูดเลย ทางนี้เลยหาอุบายวิธีการถามไม่ให้เขารู้นะว่า พระรู้เรื่องนี้มาจากไหน ถามเรื่องนั้นเรื่องนี้เลียบ ๆ เคียง ๆ ไป เขาก็เลยเล่าเปิดออกเลย นี่ก็ซักถามเรื่อยไปแต่ท่านไม่ได้บอกว่าท่านรู้นะ เขาก็เล่าว่าเป็นผลไม้อะไร แล้วมันปีนขึ้นไปกินผลไม้นั้น ตกลงมาจากนั้นมาตายอยู่นั้น ไม่ทราบเป็นยังไงตายได้หลายปีแล้ว อ๋อ อย่างนี้เอง แน่ะท่านรู้แล้วนะแต่ท่านไม่บอกเขา

    นี่ละเรื่องมันเกี่ยวโยงกันอย่างนี้ ความมีอยู่เห็นไม่เห็นมันก็มีอยู่ของมัน ปิดได้ยังไง พระพุทธเจ้าสอนสิ่งที่มีอยู่ทั้งนั้น ไม่ได้เอาสิ่งที่สูญมาสอนโลกนะ เอาสิ่งที่มีอยู่ทั้งนั้น แต่เราไม่เห็นเหมือนไม่มี เราก็ลบล้างว่าไม่มี ๆ นี่ละคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่าง ไม่มีผิดมีเพี้ยนแม้นิดหนึ่งเลย จึงเรียกว่า ธรรมวินัยนี้แลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว ก็คือธรรมวินัยที่สอนไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ปฏิบัติตามนี้เถิดมรรคผลนิพพานจะไม่สูญจากโลก ถ้าก้าวตามนี้แล้วจะถึง ๆ

    เราพูดถึงเรื่องวงกรรมฐาน ท่านพูดภาษาธรรมของท่านเราฟังไม่เข้าใจนะ เราไม่รู้เรื่องรู้ราว นี่ละวิถีทางของจิต ความรู้ความเห็นของจิตที่รู้เห็นอะไร ๆ มันแจ่มยิ่งกว่าตาเรารู้นะ ตาเรารู้ยังมัว ๆ ถ้าอยู่ห่างไกลนี้ไม่ชัดต้องเข้าไปใกล้ ๆ ตาจิตไม่เป็น ปั๊บนี้เข้าใจทันทีไม่ต้องหาอะไรมาเป็นพยาน อย่างที่ยกตัวอย่างพระ ๒ องค์นี้ ถ้าต่างคนต่างรู้ด้วยกันแล้วค้านกันได้ยังไง ทีแรกองค์นั้นอยู่ไม่ได้เพราะอะไร ว่าเป็นอย่างนั้น ๆ เอ้า ผมไปเอง พอไปองค์นี้ได้ ๒ คืนเผ่น เป็นยังไง โอ๊ย อย่าให้พูดเลย นั่นเห็นไหมท่านยอมรับกันท่านเป็นเหมือนกัน นี่ละความจริงมีอย่างนี้ แล้วท่านก็เจอความจริงอันนั้น ผู้นั้นก็เจออย่างนี้แล้วจะไปคัดค้านกันได้ยังไง

    ธรรมพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ภายในจิตขอให้รู้ ขอให้ปฏิบัติเข้าไป ไม่ต้องหาองค์ศาสดาว่าเป็นองค์เช่นไรละนะ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต จะเห็นเป็นลำดับ ความเชื่อพระพุทธเจ้าเชื่อแน่นเข้าไป ๆ เรียกว่าใกล้ชิดติดพันธรรมที่ดีเยี่ยมขึ้นไปเท่าไรก็ยิ่งเชื่อมั่นเข้าไป ๆ พอผางเข้าถึงนั้นแล้วถามพระพุทธเจ้าหาอะไร เท่านั้นพอ

    เวลาท่านพูดเกี่ยวกับเรื่องพวกเทพ พูดเหมือนเราพูดสิ่งที่เราเห็นด้วยตาได้ยินด้วยหูนี่ เวลาท่านพูดธรรมภายในจิตของท่าน แต่ละองค์ที่มีความรู้ความเข้าใจด้วยกัน วงกรรมฐานท่านเข้าใจกันอย่างนี้เป็นลับ ๆ พวกเดียวกันท่านพูดได้ชัดเจนตามความคุ้นเคยต่อกันมากน้อย ยิ่งเป็นผู้ที่รู้ที่เห็นอย่างเดียวกันแล้วพูดได้เต็มปากเลยไม่มีกระดากอาย เพราะต่างคนต่างรู้ เหมือนอย่างต่างคนต่างเห็นนี้ท่านจะเถียงกันที่ตรงไหน เป็นอย่างนั้นนะ

    พอพูดอย่างนี้แล้วก็ทำให้ระลึกได้ ที่ว่าเทวดามาอุปัฏฐากพระ ท่านเห็นพระอดอาหารผอมโซ ท่านสงสาร เทวดาองค์นั้นเป็นรุกขเทวดาอยู่ภูเขา พระท่านอยู่ในถ้ำ เทวดาอยู่บนภูเขาต่างหากคอยดูแลอยู่ เวลาท่านอดอาหารเข้าไป ๆ พวกเทวดาทั้งหลายอยู่ข้างนอก แต่เทวดาองค์นี้เคยเป็นแม่ของท่าน แม่ของพระองค์นี้ โอ๊ย แม่มาอะไรอย่างนี้ไม่ใช่เวล่ำเวลา คนภายนอกตามันมีก็เห็นนะ มันจ้ามากนะ โอ๊ย คนภายนอกจ้างก็ไม่เห็น ให้เห็นเฉพาะลูกคนเดียวเท่านี้แหละ แล้วทำไมลูกกระจ่าง ก็กระจ่างเฉพาะกับลูกต่างหากนะ คนอื่นจะกระจ่างอย่างนี้ไม่ได้ แน่ะ เขาก็แก้กันดีใช่ไหมแม่กับลูก เทวดากับพระ มองดูด้วยตาเนื้อก็เห็นอยู่นี้ คนอื่นเขาจะไม่เห็นยังไง โอ๋ย ตาคนอื่นกับตาเรามันต่างกัน ไม่ให้เห็นไม่เห็นว่างั้น มาใกล้ ๆ ทำไมลูกจึงผอมโซจนจะเป็นจะตาย จะทรมานไปอะไรนักหนา ความผอมความโซไม่เกิดประโยชน์ ผลที่เกิดจากการภาวนาจากการผอมโซนี้เป็นผลที่เลิศเลอ พยายามทำประเภทนี้ต่างหาก อันนี้เรากินเมื่อไรก็ได้ไม่อยากอะไรกินข้าว พอเป็นพอไป

    อู๊ย น่าสงสารเหลือเกิน ถ้าอย่างนั้นแม่จะไปเอาอาหารทิพย์มาทาตามร่างกายนี้ได้ไหม ว่างั้นนะ มาขอทา คือเอาอาหารทิพย์มาทาตามร่างกาย ซืบไปนะกาย คำอย่างนี้เคยได้ยินไหม ฟังซิ เห็นไหมล่ะ แม่จะไปเอาอาหารทิพย์มาทาตามร่างกายนี้ และให้ซึมเข้าไปภายในหล่อเลี้ยงร่างกายให้มีกำลังขึ้นมา แล้วคนจะไม่เห็นเหรอ แม่ไม่ให้เห็นแล้วมาจากไหนก็ไม่เห็น ขอมาทา ไม่ให้ทามากนะ ลองทดลองดูก่อนให้ทาบาง ๆ ท่านก็มีกำลังขึ้น จากนั้นห้ามเลยไม่ให้มายุ่ง ให้อยู่คนละฝั่งละแห่งละหน

    ไม่ได้เดี๋ยวคนมาเห็นเข้ามันจะเป็นเรื่องโลกไป เรื่องทิพย์ก็ตาม เราก็ว่าเขาไม่เห็น แต่เรื่องที่ลับมันก็ไม่มีในโลกเหมือนกัน ตาเทพตาทิพย์อะไรก็จะมาเห็นอีกไม่ใช่ตาเนื้ออย่างนี้ ตาทิพย์มาเห็นก็ไม่น่าดู แน่ะ ท่านแก้ไปอย่างนั้นอีก ให้เลิกเลย นั่นเป็นยังไงฟังซิ คือไม่ให้เทพเข้ามาเกี่ยวข้องเลย มาเป็นรูปเป็นร่างเหมือนเรามองเห็นกันนี้ อย่างนี้ก็ใครก็จะไม่เห็นได้ยังไง ไม่ให้เขาเห็นเห็นไม่ได้ ทีนี้พวกเทพด้วยกันที่มีตาทิพย์ด้วยกันมันก็เห็นกันอยู่ซิ ตกลงแม่เลยยอม เข้าใจไหม นั่น ตาเราไม่ให้เขาเห็น แต่ตาเทพมันปิดไม่ได้นะ ว่างั้นนะ ตกลงแม่เลยยอม ทีนี้ไม่ให้เข้ามาใกล้ แน่ะ ฟังเอาซิ

    นี้ละทางธรรมเปิดเผยอย่างนี้ ขอให้มีผู้ปฏิบัติซิ ธรรมพระพุทธเจ้าเปิดเผยมาตลอดเวลา แต่เรามันคว้าตั้งแต่สิ่งที่มืดดำกำตา ปิดเอา ๆ มันไม่เห็น บาปมีเต็มตัวมันก็ว่าบาปไม่มีจะว่าไง บุญจะเสาะแสวงหายังไงเมื่อปฏิเสธว่าบาปไม่มี ทำแต่ความชั่ว นี่ที่ให้ระมัดระวัง พระพุทธเจ้าสอนว่าบาปมีบุญมี ใครสอน พระพุทธเจ้าองค์ศาสดาองค์เอกเสียด้วยนะมาสอน ให้พากันเชื่อกันฟังนะ หูหนวกตาบอดก็ตามขอให้อาศัยคนตาดีจูงไปพอเป็นพอไปนะ ให้คนตาบอดจูงคนตาบอดลงเหวลงบ่อ ตายด้วยกันทั้งสองนั่นแหละ นี่คนตาบอดกับคนตาบอดจูงกัน คนโง่คนหลงด้วยกันจูงกันลงนรกทั้งนั้นละ เสริมไปทางที่ชั่ว ทางดีปัดออก ๆ ถ้าเป็นคนตาดีแล้วดึงไปหาทางดี ๆ แล้วก็ค่อยเป็นค่อยไปมันก็เป็นไปเองเข้าใจไหมล่ะ ให้จำเอานะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านั้นละ เหนื่อยแล้ว

    กราบเรียนครับนมัสการหลวงตา กระผมนายอำนาจ ดีเลี้ยง สมาชิก อ.บ.ต. หมู่ที่ ๙ พันดอนครับผม เนื่องด้วยสถานีอนามัย ตำบลพันดอนเป็นสถานีที่ตั้งขึ้นใหม่แต่ยังขาดงบประมาณในการบูรณะ เช่น รั้ว และถมที่ซึ่งเป็นที่ลุ่ม และเวลาหน้าฝนมาน้ำท่วมขัง ขาดงบประมาณสนับสนุนจึงเรียนมาเพื่อกราบนมัสการเพื่อโปรดท่านคงพิจารณาครับ

    รับทราบไว้เฉย ๆ นะ ยังไม่ได้ตกลงว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยยังไง เพราะเวลานี้เราหนักตลอด

    หลวงตาครับผมตำรวจท่องเที่ยวครับ เอามาถวายหลวงตาครับ ผ้าไตรครับ ต้นอีกด้วยครับ (เขียนหนังสือติดมาด้วยว่า ถวายพระอรหันต์ หลวงตาบัว วัดป่าบ้านตาด) นี่ของง่ายเมื่อไร ผู้เขียนก็เขียนได้สบายแต่ผู้อ่านรู้สึกขยะ ๆ เหมือนกันนะ ถวายพระอรหันต์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี จากตำรวจท่องเที่ยว อุดร-ขอนแก่น เท่านั้นแหละ

    หลวงตาครับ ผมมีเรื่องอันหนึ่งผมอยากจะเรียนถามหลวงตา ผมเคยบวช สมัยก่อนผมบวชอยู่ที่ลำพูน ผมไปอ่านในคัมภีร์เป็นภาษาล้านนา เขาบอกว่าต่อไป ต้นกัลปพฤกษ์จะเกิดกลางเมือง จะมีคนเอาเงินเอาทองมากองแล้วก็ใครถวายจะไม่เสียดายเงินทอง เมื่อถวายแล้วจะมีเงินทองแล้วจะเป็นบารมี แล้วพระที่เกิดยุคนั้นจะเป็นพระอรหันต์ ผมก็หามาตั้งนานแล้วผมมาอยู่ที่ภาคอีสาน ผมเห็นหลวงตา ผมก็เลยว่าหลวงตาเป็นพระอรหันต์ หลวงตาจะโกรธผมก็แล้วแต่ เพราะว่าผม

    ไม่โกรธละ เพราะเราจะทวงเอาผลของพระอรหันต์ เข้าใจไหม ต้นกัลปพฤกษ์ที่เกิดเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่ไหน ไม่เห็นมีต้นกัลปพฤกษ์ ถ้าว่าหลวงตาเป็นพระอรหันต์จริง ๆ ต้นเหล่านี้ต้องมีเข้าใจไหม นี่ไม่เห็นมีแสดงว่าหลวงตาเป็นโมฆะ เพราะฉะนั้นต้นกัลปพฤกษ์จึงเป็นโมฆะไปตาม ๆ กัน เป็นอันว่าเลิกแล้วแต่บัดนี้

    ไม่ครับ เพราะผมเห็นในทีวี อะไรเยอะแยะเลย เงินหลวงตาดังไปทั่วโลก ว่าประเทศไทยถ้าไม่มีหลวงตามาช่วยประเทศไทยจะไม่เจริญรุ่งเรือง เงินกองคลังต่าง ๆ หลวงตามาช่วย ผมก็ดีใจว่าผมเป็นตำรวจท่องเที่ยว เคยมารับใช้หลวงตา หลวงตาเคยบอกว่าให้ได้เป็นนายอำเภอเด้อ ว่าอย่างนั้น

    แล้วได้เป็นหรือยังล่ะ

    ผมก็มาปฏิบัติหลวงตา แล้วครั้งที่สองหลวงตาถามว่ามาทำอะไรบ้าง ผมก็เลยบอกว่า ผมมารับใช้หลวงตาแล้วมาดูแลนักท่องเที่ยว แล้วก็เอาเงินตราเข้าประเทศ หมายถึงว่าเราบริการนักท่องเที่ยวดี อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเขาก็ส่งเสริม แล้วประเด็นที่สอง ผมก็เลยว่าดูแลพระตำหนักให้หลวงตาด้วย ที่อุดรฯที่ทุกคน จังหวัดอุดรที่สร้างขึ้นมา ผมในฐานะที่ว่าเป็นตำรวจคนหนึ่งของประเทศไทย ตำรวจท่องเที่ยว ผมดีใจที่ได้รับใช้หลวงตา และเกิดมาใน ร.๙ แล้วเจอหลวงตานะครับ ผมขอกราบ

    เออ เรื่องก็เล่าไปแล้วต่างคนก็ต่างฟังแล้ว หายสงสัยด้วยกันนะ ก็ไม่มีอะไรถามกันละ เท่านั้นแหละพอ

    โยม : เขาเขียนมาจากปราจีนบุรี ชื่อนางสำรวล ปิ่นทอง เขาไฟไหม้บ้านหมด เอาอะไรออกมาไม่ได้เลย ตัวเองถูกไฟลวก พิการ ตอนนี้สามีไม่ได้ทำงาน มีลูกสองคน อยู่ชั้นป.๕-ป.๖ ขอความเมตตามาว่า

    ๑.ขอให้แพทย์รักษา อาการแผลที่บาดเจ็บจากไฟไหม้

    ๒.ค่าใช้จ่ายในการไปรักษาที่กรุงเทพ ขอได้โปรดเมตตาแล้วก็ให้เมตตาจนหาย

    ๓.ขอเงินค่าใช้จ่ายไปตามความจำเป็นในครอบครัวระยะนี้ ครับผม

    หลวงตา : ถ้าสมมุติว่าเรามีจะตอบเขาว่ายังไงล่ะ

    โยม : ก็เขาให้ที่อยู่ไว้ครับ

    หลวงตา : ค่ารักษาอะไร เท่าไร

    โยม : ยังไม่กำหนดเพราะว่า แพทย์เขาแนะนำอย่างนี้ เขาก็เลยขอเมตตามาแบบนี้

    ๑.ขอให้แพทย์รักษาอาการบาดเจ็บจากกรณีไฟไหม้

    ๒.ค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาล ตลอดจนค่าเดินทางไปกรุงเทพฯระหว่างที่อยู่ทำศัลยกรรมที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ แขนทั้งสองข้างก็โดนไฟไหม้ แล้วเอ็นมันติดกันยืดไม่ออก

    หลวงตา : ทีนี้เวลาเราตอบให้เขาปฏิบัติได้สะดวกโดยด่วนให้ตอบทางโทรศัพท์ไปหาโรงพยาบาล โรงพยาบาลกับเรายืนยันกันแล้ว ทางนี้ก็ให้เขาพูดกันทีหลัง อย่างนั้นเป็นหลักเกณฑ์ดีนะ

    โยม : ครับ เป็นหลักได้

    หลวงตา : เอ้า ถ้าอย่างนั้นโทรไปเลย โรงพยาบาลไหน ให้โทรไปว่า วัดป่าบ้านตาดคือหลวงตาบัวเป็นคนประกันรักษาทั้งหมดว่าอย่างนั้นนะ ให้ตอบไปโดยด่วน ตอบไปโรงพยาบาลแล้ว เราก็บอกไปหาเขาอีกด้วย บ้านเลขที่อะไรเขาบอกไว้หมดนะ บอกไว้ด้วยว่าเรารับเป็นภาระทั้งหมดแล้ว ให้ทำหน้าที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เสร็จแล้วเราจะเป็นผู้จ่ายเงินเอง เพราะเราตกลงกับโรงพยาบาลแล้ววันไหนก็ได้ใช่ไหมล่ะ เมื่อผู้ใหญ่ตกลงกันแล้วไม่ยากอะไร เขาต้องการอะไรจะจ่ายวันไหนจ่ายเลยทันที เอาอย่างนี้เลยนะ อย่างนี้ละมันก็มีอยู่ทั่วไป ความจำเป็นมันก็มี

    โยม : ขอโอกาสครับ ผมหมอตรีพันธ์ ครับ พอดีทางโรงพยาบาลปทุมราชวงศา อำนาจเจริญ สร้างตึกใหม่ ขยายโรงพยาบาลจาก ๑๐ เตียงเป็น ๓๐ เตียง ตอนนี้อาคารสร้างเสร็จแล้วครับ แต่ยังขาดงบประมาณ จัดซื้อครุภัณฑ์ ครับ

    หลวงตา : เออ ให้รอไว้ก่อน เวลานี้ยังสองสามโรง โนนสัง,บุ่งคล้า,ท่าอุเทน ให้รอไว้ก่อนนะ สามโรงจะเป็นเงินสักเท่าไร อย่ามาพูดนะ ๑๐ ล้าน สามโรง ของง่ายเมื่อไร นี่ละหนักมากละอย่างนี้ละที่ช่วยโลก ก็ยังอดคิดไม่ได้อย่างที่ว่า เราว่าจะไม่พูดมันก็มาเกี่ยวโยงกันเรื่อยให้ได้พูด พวกเทวทัตกำลังโจมตีเรื่องพุทธศาสนา โจมตีพุทธบริษัทของเรา เฉพาะอย่างยิ่งคือหลวงตาบัวที่เขามาโจมตี ไอ้เรื่องโจมตีเขาจะโคตรยกแซ่มาโจมตีเราไม่ว่าอะไรละ เขาจะยกโคตรยกแซ่มาชมเชยเราเราก็ไม่ว่า เขาจะยกโคตรยกแซ่มาโจมตีเราก็ไม่ว่า เพราะการชมเชยการสรรเสริญและการตำหนิติเตียนนี้มันมีกับโลกมานาน เราไม่ตื่นอะไรเลย แต่สำคัญที่ว่า เงินที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคกันทั้งหมดทั่วประเทศเอามาให้หลวงตาบัวนี้ หลวงตาบัวเอาเข้าพุงกันทั้งหมด

    นี่ซิมันไปมีญาณเก่งมาจากไหนก็ไม่รู้ เขาไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่การงานอะไรเลย เขายังมาทราบพุงของหลวงตาบัว ตลอดเงินพี่น้องทั้งหลายที่มาบริจาคมากน้อย ว่าเข้าพุงหลวงตาบัวหมด ไม่มีเหลือเลย คือหลวงตาบัวกินหมด เขาออกประกาศนี้อันหนึ่ง ให้พี่น้องทั้งหลายพิสูจน์ก็แล้วกัน หาความจริงแห่งความจอมปลอมกับความจริงของเขาที่คำพูดนี้ก็แล้วกัน อย่าไปหาโทษหาภัยใส่เขา เรื่องจริงกับเรื่องปลอมเป็นยังไง ดังพี่น้องทั้งหลายที่เราช่วยมานี้ ไอ้ที่ว่าสมบัติเงินทอง ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ที่ไหลเข้าสู่คลังหลวง ทุกวันนี้ยังติดต่อเอาเข้าบริษัทบริวารไหลเข้าไปอีกนี้ เป็นหมาทั่วประเทศไทยเหรอเอาเข้าคลังหลวง

    พวกเทวดามันยังไม่พอใจ ยังมาตำหนิอยู่อีกเหรอ ก็ให้เอาโคตรมันมาหมดทั้งพ่อทั้งแม่มันมาแข่งหลวงตาบัว กับหมาหลวงตาบัว กับหัวหน้าหมาคือหลวงตาบัวนี้ให้ได้สู้กันสักหน่อยก็จะดี จะได้หัวเราะลั่นกัน เข้าใจไหม เราไม่เอาประเภทโทษกรรม มีแต่เอาหัวเราะลั่นพอ เข้าใจเหรอ นี่ละเรื่องโฆษณาเหล่านี้ก็คือว่าเพื่อจะโจมตีผู้ที่พี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทยทำความดี มีหลวงตาบัวเป็นหัวหน้าให้จมลงนี้ แล้วจะยกพวกเปรตพวกผี นรกอเวจีนี้ขึ้นครองบ้านครองเมือง ฟาดเมืองไทยให้จมหมด ท่านทั้งหลายจะเอาอันไหน ให้เลือกเอา เข้าใจไหม เอาละพอ ให้พร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๘

    อำนาจวาสนาแก่กล้าได้ด้วยการบำรุงรักษา


    ก่อนจังหัน

    พระวัดนี้จะไปที่ไหนโกโรโกโสไม่ได้นะ ต้องให้ติดต่อกับพระผู้ใหญ่พิจารณาเหตุผลเรียบร้อยแล้วค่อยไป เมื่อผู้ใหญ่เห็นสมควรว่าไปแล้วไป ไปสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะวัดนี้ ถ้าเราทราบเราจับได้ปั๊บไล่หนีทันที ไม่ต้องวินิจฉัย แสดงว่าหยาบ มันมีแล้วนะ เข้ามาสับสนปนเปกันไป เล็ดลอดออกไปที่ไหน มีแต่ไปเป็นโจรเป็นมารใส่ตัวเองโดยไม่รู้สึกตัวนะ นี่เคยไล่พระออกแล้ว ออกไปไปเจออยู่นั่นปั๊บ กลับมาไล่หนีเลย เราไม่วินิจฉัยนะ หลักธรรมวินัยมีอยู่เรียบร้อยแล้ว มาทำหยาบๆ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าทำไม

    ตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ ทุกสิ่งทุกอย่าง การสอนหมู่เพื่อนสอนด้วยความแน่ใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเราผ่านมาแล้วทั้งนั้นมาสอน ไม่ได้สอนแบบลูบๆ คลำๆ นะ สอนทุกอย่างจึงแม่นยำๆ เด็ดขาดลงไปเลยเต็มธรรมเต็มวินัยเลย ไม่ใช่เด็ดขาดเต็มกิเลสนะ เด็ดขาดเป็นธรรมเป็นวินัยเพื่อจะเด็ดขาดกิเลสให้ขาดสะบั้นไปเลย พากันตั้งอกตั้งใจนะ เหลาะๆ แหละๆ การภาวนาไม่ได้เรื่อง พอไม่ได้เรื่องแล้วก็ไขว่คว้าไปข้างนอกไปหากิเลส ให้กิเลสเอาไปถลุงเสียหมด มาภาวนาคือไม่มีหลักใจ เจ้าของยึดหลักการภาวนาไม่ได้ หรือประการหนึ่งครูบาอาจารย์นี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องมากทีเดียว

    เฉพาะอย่างยิ่งวงกรรมฐาน การสอนกันนี้ต้องมีหลักมีเกณฑ์สอน ผู้ฟังก็ยึดได้หลักๆ เกาะติดๆ ไปได้เลย ยกตัวอย่างเช่นพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ยกนิ้วให้เลย เทศน์ออกมาคำไหนๆ นี้แม่นยำๆ ก็หัวใจท่านเป็นธรรมทั้งแท่งแล้ว จะไม่แม่นยำยังไง ทีนี้ผู้ไปฟังไปยึดปั๊บติดเลย นี้หมายถึงผู้ตั้งใจไปนะ ไอ้ไปแบบโลเลโลกเลกนี้กี่ร้อยกี่พันคนไปหาท่าน ปลาฉลามเอาไปกินหมด ปลาฉลามบกฉลามทะเลกินได้ทั้งน้น กินคนเซ่อ คนโง่เขลาเบาปัญญา นี่เราจะเป็นปลาประเภทไหนให้ปลาฉลามชนิดใดไปกินบ้าง ให้พิจารณาตัวเอง ปลาฉลามคืออะไร ชนิดใดคืออะไรไปแปลเอง ให้พร


    หลังจังหัน

    วิทยุนี้เรารับเป็นภาระอีกทางพังงา พังงารู้สึกว่าห่างเหินธรรมมาก ท่านคลาดท่านเป็นพระวัดนี้ ท่านเคยอยู่วัดนี้ ท่านเป็นชาวพังงา ท่านไปอยู่ที่นั่นตั้งหลักฐานวัดป่าขึ้นที่พังงา ทีนี้ท่านอยากได้วิทยุ (ท่านได้เครื่องหนึ่งกิโลวัตต์จากบ้านตาดไปครับ) เออ เครื่อง ๑ กิโลวัตต์จากบ้านตาดที่ถ่ายออก เอา ๑๐ กิโลวัตต์เข้าแทน ท่านมาขอเอาเครื่อง ๑ กิโลวัตต์ไป พอเราทราบอย่างนั้นเราก็เลยให้เครื่อง ๑๐ กิโลวัตต์ไปเลย ส่วนเครื่อง ๑ กิโลวัตต์จะเอาไปไหนก็แล้วแต่ เราบอกให้ ๑๐ กิโลวัตต์แล้ว ส่งไปทางท่านคลาด เพราะทางโน้นก็หัวใจคน ภาคใต้ห่างธรรมะมาก ทางวิทยุนี่ละสำคัญ ทางนี้ยังมีอยู่ทั่วๆ ไป ภาคอีสานรู้สึกว่ามากอยู่ เฉพาะอุดรนี้แต่ก่อนมัน ๙ สถานีแล้วเขาออกธรรมะของเรานี้ หนองคาย ๓ สถานี นี้ก็มาเพิ่มตรงบ้านตาดนี้ขึ้นอีก ๑๐ กิโลวัตต์ แต่ก่อน ๑ กิโลวัตต์ เขาขอเป็น ๑๐ กิโลวัตต์เราก็ให้ เครื่อง ๑ กิโลวัตต์ท่านคลาดเลยมาขอ พอเราทราบเลยให้ ๑๐ กิโลวัตต์ไปเลย ส่วน ๑ กิโลวัตต์จะเอาไปไหนก็แล้วแต่ ท่านอาจจะขยายไปทางนั้นก็ได้ เราไม่ได้สั่งไป เพราะโน้นรู้สึกว่าห่างเหินธรรม เราอยากให้มี

    ทางภาคอีสานรู้สึกมีกว้างขวางขึ้นโดยลำดับและรวดเร็ว ทางร้อยเอ็ดก็จะตั้งขึ้นอีก อันนั้นก็ ๑๐ กิโลวัตต์ โรงสีเสี่ยสมหมายละ จะตั้งขึ้นเร็วๆ นี้ว่างั้น ทางมหาสารคามก็ว่าอยากตั้ง พอดีมีร้อยเอ็ดขึ้นแล้วก็ไม่เห็นจำเป็น มหาสารคามครอบมาเลย ร้อยเอ็ดนี้จะไปได้หลายจังหวัดนะ ทางหนองบัวลำภูมีแห่งหนึ่ง ทางสกลนครดูว่าจะตั้ง ๑๐ แห่งน่าจะเป็น ๑ กิโลวัตต์ ถ้า ๑๐ กิโลวัตต์มันครอบไปหมดเลย แล้วขยายออกไปเรื่อย ทางภาคเหนือมี ๑ แห่ง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านวิทยาก็เคยอยู่กับเรา เราเคยไปเทศน์ที่วัดท่านวิทยา ท่านจะตั้งวิทยุขึ้นที่นั่น ท่านก็เป็นพระวัดนี้เหมือนกัน จากนั้นก็จะขยายไปเรื่อยๆ ภาคตะวันออกยังไม่ทราบข่าวนะว่าตั้งวิทยุที่ไหนบ้าง ไม่มีนะ ไม่มีก็ไม่นาน เพราะลูกศิษย์ลูกหาฝ่ายพระอยู่ทางภาคตะวันออกมีเยอะ ที่หลักใหญ่ก็คือท่านฟัก วัดเขาน้อย

    เมื่อวานนี้ก็มาที่นี่ตอนค่ำๆ ทุ่มหนึ่งมา แล้ว ๔ ทุ่มกลับจันท์ ก็คงย่ำรุ่งเช้าวันนี้ละถึงเขาน้อย จันท์ นี่ก็อยู่นาน อยู่วัดป่าบ้านตาดนี้นาน พอดีพ่อกับแม่ป่วยหนักด้วยกันทั้งคู่ แล้วมีลูกชายคนเดียว เราเลยรีบส่งไปให้ดูแลพ่อแม่ ครั้นไปดูแลแล้ว พ่อกับแม่คนหนึ่งดีคนหนึ่งร้ายอยู่อย่างนั้น ก็เลยประจำอยู่นั้น อ้าว แล้วพ่อเสียไป แล้วแม่เสียไป ทีนี้ท่านก็สมควรที่จะเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาน้อยแล้ว เลยให้อยู่ที่นั่นเลย เพราะเขาน้อยเหมือนว่าเราไปตั้งทีแรก พาโยมแม่ไปพักที่นั่น แต่ก่อนเป็นกุฏิเล็กๆ อยู่บนเขา เขาสร้างไว้เวลาพระมาจากที่ต่างๆ องค์สององค์พักได้บนเขา ไม่มีพระประจำ เราพาโยมแม่มาพักที่นั่น เขาก็สร้างขึ้นให้ พอเราจากมาก็เลยกลายเป็นวัดขึ้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ทางนู้นก็อาศัยท่านฟักเป็นหลักทางภาคปฏิบัติ ท่านบวชปี ๒๕๐๐ เราก็ได้ไปบวชท่านฟักที่วัดอโศการาม ปี ๒๕๐๐ ท่านอาจารย์ลีท่านฉลอง ๒๕๐๐ ก็บวชพระในเวลานั้นมาก ท่านฟักก็บวชในระยะเดียวกัน ถึงนี้ก็ ๔๗-๔๘ ปีแล้ว

    นี่เราพูดถึงเรื่องวิทยุเรื่องธรรม ความสะอาดกับความสกปรกเป็นคู่ปรับกัน ความสกปรกเป็นเรื่องของกิเลส ความสะอาดเป็นเรื่องของธรรม น้ำคือธรรมชะล้างสิ่งสกปรกให้สะอาดลงไปโดยลำดับลำดา จนสะอาดสุดส่วน ดังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านเลิศเลอ สะอาดเต็มที่เลิศเลอล้นโลกไปเลย พระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ท่าน ความสกปรกไม่เคยทำใครให้วิเศษวิโส ให้มีความสุขความเจริญที่ไหนเลย แต่ธรรมมีที่ไหนจะปรากฏ แม้ที่สุดอยู่ในหัวใจเราดวงเดียว เข้าสับปนอยู่ในนั้น มันจะเด่นอยู่ในตัวของมันเอง ใจจะเด่นอยู่ในตัวของตัวเองด้วยอำนาจแห่งธรรมประดับอยู่ในนั้นแหละ อบอุ่น

    ธรรมมีในใจอบอุ่นมากนะ ยิ่งมีภูมิธรรมสูงเท่าไรๆ ยิ่งอบอุ่นมากๆ ประจักษ์ ไม่ต้องอาศัยสิ่งนั้นพลัดพรากสิ่งนั้นไป พลัดพรากสิ่งนี้มา ได้สิ่งนี้มาสิ่งนั้นพลัดพรากไปอย่างนั้นไม่มี ธรรมติดแนบๆ เพราะฉะนั้นความอบอุ่นของผู้มีธรรมจึงสม่ำเสมอ ไม่เหมือนทางโลก ทางโลกอบอุ่นแล้วก็ร้อนเป็นไฟในระยะต่อไป ท่านจึงสอนให้อบรมธรรม นี้เป็นอัตสมบัติ คือเป็นสมบัติของตนแท้ พอตายปั๊บติดแนบเลย ส่วนข้างนอกเราก็ทราบทุกคนว่ามันติดตัวไปไม่ได้ แต่ความจำเป็นที่จะต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ มีอยู่ทุกธาตุทุกขันธ์ทุกหัวใจคน จำเป็นต้องขวนขวายด้วยกัน แต่ผู้ขวนขวายจนลืมเนื้อลืมตัวนี้เสีย คนนี้เสียคน

    คนไม่ลืมเนื้อลืมตัว เอาสิ่งที่เกี่ยวกับด้านวัตถุ ธาตุขันธ์ของเราอาศัยอะไร เอ้า ขวนขวายมา ส่วนที่เป็นสมบัติของจิตได้อาศัย นี่คือความดีงาม เราก็ขวนขวายหามา ตกลงทางธาตุทางขันธ์อยู่ในโลกนี้ก็รื่นเริง อบอุ่น ละโลกนี้ไปแล้วก็เจริญรุ่งเรือง นี่ละคนมีสมบัติทั้งภายนอกภายใน เป็นคนไม่ว้าเหว่ทั้งข้างหน้าข้างหลัง อยู่ด้วยความผาสุกร่มเย็น ท่านสอนว่า อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ ผู้ที่มีความดีงาม อยู่ในโลกนี้ก็รื่นเริงบันเทิง อยู่ในหัวใจเจ้าของนั้นแหละ ใครจะร้อนเป็นไฟก็ตาม แต่หัวใจของผู้มีธรรมมีบุญในใจนี้จะเย็นอยู่จำเพาะเจ้าของในโลกนี้ ละโลกนี้ไป เปจฺจ นนฺทติ ก็ไปบันเทิงในสวรรค์ชั้นนั้นๆ ที่ตนสร้างบารมีไว้มากน้อยเพียงไร สมควรแก่สวรรค์ชั้นใด บุญกุศลจะส่งถึงเองๆ ไม่ต้องไปหา ไหนห้องไหนๆ ไม่ต้อง ชั้นนั้นชั้นนี้ชั้นไหนไม่ต้อง บุญกุศลจะหนุนเข้าถึงพอดิบพอดีเลยไม่ลำเอียง

    ทางชั่วก็เหมือนกัน ใครไม่เคยเห็นนรก อย่างปัจจุบันนี้ไม่เห็น แต่ส่วนตกนรกไม่ปฏิเสธนะ ตกด้วยกัน พอตกมาแล้วมันปิดทางๆ เหมือนอดีตไม่เคยมี จำไม่ได้ เพลินข้างหน้า กิเลสหลอกไปให้เพลินแล้วไปทำความชั่ว เพลินด้วยการทำความชั่ว แล้วไปตกอีกอยู่อย่างนั้น กิเลสจึงร้อยสันพันคม หลอกลวงสัตว์โลกได้ง่ายมากกว่าธรรม

    ขอให้ฟังเสียงนักปราชญ์ จอมปราชญ์คือพระพุทธเจ้า ฟังเสียงกิเลสจมกันไปทั่วโลก ใครจะใหญ่จะโตขนาดไหน ยศถาบรรดาศักดิ์ ศฤงคารบริวาร สมบัติเงินทองข้าวของขนาดไหนก็ตาม ไม่พ้นที่กิเลสจะไปก่อไฟเผาหัวใจจนได้ด้วยกันทุกราย เป็นอย่างนั้นนะ ถ้ามีธรรมในใจ มีมากก็เป็นเครื่องประดับ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากเป็นเครื่องประดับ หนุนให้เป็นประโยชน์ไปด้วยกัน ถ้ามีธรรมในใจเป็นเครื่องดึงดูดขวนขวายความดีงามเข้าสู่ใจ ขวนขวายสิ่งทั้งหลายเข้าสำหรับอาศัยในชาตินี้ทั้งเราทั้งเพื่อนฝูง คนมีทรัพย์สินเงินทองมากและเป็นคนใจบุญด้วยแล้ว คนนั้นให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่คนมากมาย ไม่เหมือนกับคนตระหนี่ถี่เหนียว

    ใครตระหนี่ถี่เหนียวเขาไม่อยากเข้าบ้านนะ เป็นเศรษฐีเขาก็ไม่อยากเข้าบ้าน มันเป็นอยู่ที่หัวใจ เป็นทุคตะเข็ญใจเขาก็เมตตาสงสาร เป็นอย่างนั้นนะต่างกัน เราจึงสอนตลอดเวลา สอนก็ไม่ได้สอนลูบๆ คลำๆ เสียด้วย สอนอย่างแม่นยำจากหัวใจที่แม่นยำอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าสอนโลกไม่มีสงสัย พระอรหันต์สอนโลกไม่มีสงสัย ไม่ว่าธรรมขั้นใดภูมิใด ท่านจะสอนถูกต้องแม่นยำตลอดทะลุถึงนิพพานไม่ผิดพลาด คือพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สอนโลก ไม่ผิด ถ้ายังไม่รู้ที่ใดมีผิดๆ พลาดๆ เป็นธรรมดาเหมือนคนเราทั่วๆ ไป แม้จะเป็นครูเป็นอาจารย์ ตัวเองก็ยังไม่แน่นัก การสอนจะแน่ก็ไม่ได้ ก็มีผิดๆ พลาดๆ ไป ถ้าตนเองแน่นอนแล้วสอนนี้พุ่งๆ เลย

    ยิ่งธรรมเต็มหัวใจ เช่น พระอรหันต์อย่างนี้ ท่านไม่มีอะไรสงสัยแล้วในหัวใจของท่าน จ้าตลอดเวลา เหมือนน้ำมหาสมุทร เอา ไปตักเท่าไรก็ตักซิ คนไปตักน้ำมหาสมุทรจนน้ำมหาสมุทรหมดมีไหม ไม่มี ธรรมของพระพุทธเจ้าครอบโลกธาตุ อย่าว่าแต่ครอบมหาสมุทร ครอบโลกธาตุ กว้างขนาดไหน ไม่มีหมด หัวใจถ้าลงเป็นธรรมแล้วเป็นเหมือนน้ำมหาสมุทร จ้าไปเลย ออกช่องไหนออกได้ตลอดเวลาไม่มีคำว่าอัดอั้นตันใจ นี่หัวใจเป็นธรรมล้วนๆ แล้วเป็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์

    ทีนี้คำว่าอรหันต์นั้นก็เป็นขั้นเป็นภูมิตามนิสัยวาสนาของตน ท่านจึงแสดงไว้ว่าพระอรหันต์มี ๔ ประเภท

    สุกขวิปัสสโก บำเพ็ญเพียรเผากิเลสไปเรื่อยๆ แล้วหมดไปเลยอย่างราบรื่น สงบเสงี่ยมราบรื่นไปเลย ทะลุถึงนิพพานเหมือนกัน

    เตวิชโช ผู้ได้วิชชาสาม แน่ะยังมีแยกอีก วิชชาสาม ก็ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ จุตูปปาตญาณ เล็งดูสัตว์โลกที่เกิดที่ตายเกลื่อนอยู่ในโลกธาตุนี้ได้ อาสวักขยญาณก็จ้าอยู่ในหัวใจแล้ว

    ฉฬภิญโญ นี่ประเภทที่สาม ได้วิชชาหก เป็นเครื่องประดับท่านนะที่พูดเหล่านี้ ส่วนความบริสุทธิ์เหมือนกันหมด ไม่มีองค์ใดยิ่งหย่อนกว่ากัน ทีนี้นิสัยวาสนาก็เหมือนต้นไม้ ต้นมีกิ่งก้านสาขาดอกใบหนาแน่นชุ่มเย็นมากก็มี ต้นไม่มีดอกใบสาขามากอย่างนั้นก็มี แต่ต้นลำเป็นต้นลำของไม้ต้นนั้นเช่นเดียวกัน คือความบริสุทธิ์อันเดียวกัน เพราะฉะนั้นการสอนโลกจึงมีต่างกันอยู่ตรงนี้แหละ พระพุทธเจ้า พระสาวกอรหัตอรหันต์ผู้มีเตวิชโช และฉฬภิญโญ และจตุปฏิสัมภิทัปปัตโต ผู้นี้แหละทำประโยชน์ได้มากที่สุด

    จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต คือแตกปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา นี้แตกฉานมาก พระอรหันต์ประเภทนี้เป็นประเภทที่เด่นมาก เครื่องประดับท่าน ถ้าว่าเป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบนี้สวยงามไปหมด ชุ่มเย็นไปหมด กระจายออกให้โลกได้รับความชุ่มเย็นไปกว้างขวางมากมาย นี่อรหันต์ก็มี ๔ ประเภท

    คำว่า ๔ ประเภท กิริยาของพระอรหันต์นะ ความเป็นพระอรหันต์กิเลสขาดสะบั้นจากใจเท่านั้นพอ นี่เป็นอันเดียวกัน ส่วนแยกประเภทคือประดับนิสัยวาสนาของท่าน เวลาท่านบำเพ็ญบารมีแล้วท่านยังมีความปรารถนา เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วขอให้มีเด่นในทางนั้นๆ ก็เป็นไปตามความปรารถนา เหมือนเราอยู่ในสวนของเรา สวนนี้จะปลูกอะไรบ้าง เราต้องการอะไรเราก็ปลูกในนั้นเสร็จ แล้วก็เป็นผลขึ้นมาตามนั้น แล้วแต่ใครจะปลูกอะไรขึ้นมาในไร่ในสวนของเรา นี่ก็เป็นความปรารถนาของท่าน เวลาสำเร็จขึ้นมาแล้วก็ต่างๆ กัน

    ส่วนจตุปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ นี้เรียกว่าเลิศเลอ อัตถ ธัมม นิรุตติ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา นี้แตกฉานมาก แตกฉานในอรรถในธรรม อรรถนี่เหมือนกระทู้มัดเอาไว้ ตีกระจายออกไปๆ ให้ย่อให้พิสดารไปเรื่อยๆ ธรรมก็แตกกระจายออกไป นิรุตติปฏิสัมภิทา แตกฉานในการเทศนาว่าการ การโต้การตอบทุกสิ่งทุกอย่าง ทันทุกอย่างเลย เรียกว่านิรุตติ การโต้การตอบ การเทศนาว่าการ ล้ำยุคล้ำสมัยไปตลอดเลย ปฏิภาณปฏิสัมภิทาแตกฉานไปหมด ทั้ง ๔ ประเภทมารวมอยู่ในนั้นหมดเลย ๔ อย่างนี้เป็นประเภทของอรหันต์จตุปฏิสัมภิทาญาณ ต่างกันอย่างนี้

    เราจะได้ประเภทไหนก็ตามขอให้เป็นสมบัติของเรา พออยู่ พอกิน พอเป็นพอไปทั้งนั้นละ อย่าอยู่เฉยๆ เกิดมาก็เกิดมาเหมือนมนุษย์ รูปร่างเป็นมนุษย์แต่หัวใจเป็นยักษ์เป็นผี เป็นโจรเป็นมาร คนนี้ก็รอเวลาเท่านั้นเอง พอลมหายใจขาดมันก็ผึงลงไปตามทางที่มันสร้างเอาไว้ สร้างบาปเป็นบาป สร้างบุญเป็นบุญ คนที่สร้างบุญก็เป็นบุญเรื่อยๆ ไป แตกฉานไปเรื่อยทางบุญ แตกกระจัดกระจาย ผู้สร้างบาปก็แตกไปทางบาป ไปทางไหนรอบตัวมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ ภพนี้ก็เป็นภพที่เกิดอยู่ในท่ามกลางความผิดหวัง แล้วภพหน้าก็เกิดในท่ามกลางความผิดหวังมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดไป

    นี่เราจะตำหนิใคร ก็เราเป็นคนทำไว้ด้วยความพอใจของเรา โดยไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น เฉพาะอย่างยิ่งเสียงอรรถเสียงธรรมไม่ยอมฟัง ถือเป็นข้าศึก ถ้าเสียงฟืนเสียงไฟเสียงกิเลสตัณหานี้ชอบพอ นี่ละโลกจึงลงมากกว่าขึ้น ดังที่ท่านสอนไว้ว่า ผู้ที่ไปสวรรค์กับผู้ที่ลงนรกนั้นมีจำนวนมากขนาดไหน อย่างพระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้า ผู้ที่จะไปสวรรค์และจะลงนรกมีจำนวนมากน้อยต่างกันยังไงบ้าง พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งเลยว่า ผู้ที่จะลงนรกนั้นเท่ากับขนโค มีมากไหมโคตัวหนึ่ง แต่ผู้ที่จะไปสวรรค์นิพพานนั้นเท่ากับเขาโค โคตัวหนึ่งมันมีสองเขาเท่านั้น นี่ละผู้ที่จะไปทางดีมีน้อยมาก ท่านเทียบไว้อย่างนั้นชัดเจน

    แล้วเราย้อนเข้ามาหาความคิดของเรา ความคิดที่เป็นประเภทขนโค คิดในทางต่ำทรามทั้งหลายนี้เป็นเหมือนขนโค คิดตั้งแต่วันตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่คำนึง สร้างแต่ขนโค เพื่อเป็นเครื่องเบิกทางลงนรก ผู้ที่ทำดีก็มีน้อยๆ แล้วสร้างความดีเรื่อยๆ เขาโคๆ ไปเรื่อย เพราะฉะนั้นผู้หลุดพ้นจึงมีน้อยมาก สองเขาโคกับขนโคทั้งตัวต่างกันยังไง คนจำนวนทั่วโลกธาตุนี่เท่ากับขนโค คนที่จะหลุดพ้นจากทุกข์มีจำนวนน้อยมาก ท่านจึงเทียบว่าเขาโค

    ทีนี้ก็แยกเข้ามาหาตัวของเรา วันหนึ่งตื่นขึ้นมามันคิดเรื่องขนโคหรือเขาโค ส่วนมากมักจะคิดแต่เรื่องขนโค แม้ไปเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาขนโคเต็มตัว คิดแต่เรื่องขนโค จะคิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมพุทโธ ธัมโม สังโฆ ขนโคลบล้างไปหมดเลย ไม่มีเหลือ เลยกลายเป็นโคหัวโล้น ไม่มีเขา พวกนี้เดินจงกรมอยู่ตามป่าตามนี้มีแต่โคหัวโล้นทั้งนั้น ไม่มีเขา ถูกขนมันทับไปหมด ขนโคมันเผาเอาแหลกเลย เป็นยังไงมีไหมในนี้ เป็นขั้นๆ นะที่พูดนี้ ขั้นที่ประเภทเป็นขนโคของกิเลสสร้างตัวเองเพื่อเผาเรามีมาก

    ทีนี้เราสร้างความดีๆ ลบล้างขนโคออก ขยายเขาโคใหญ่ขึ้นๆ สร้างเข้าไปๆ ทีนี้เขาโคเต็มตัวแล้ว มองไปเห็นแต่เขาโค ในหัวใจมองไปที่ไหนมีแต่อรรถแต่ธรรมเต็มใจ ยิ่งผู้พิจารณาถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ เรียกว่าผู้จะไปโดยถ่ายเดียว ผู้เช่นนี้คือผู้จะไปโดยถ่ายเดียวไม่มีคำว่าถอย นี่ประเภทเขาโค ส่งเสริมเขาโคให้แหลมปี๊ดขึ้นไปเรื่อยๆ พุ่งทะลุถึงนิพพานเลย นี่ละอำนาจวาสนาแก่กล้าขึ้นได้ด้วยการบำรุงรักษา ทางความชั่วมันก็บำรุงของมันตลอดเวลา ทีนี้ทางฝ่ายดีเราก็ให้บำรุงของเรา

    วันนี้การภาวนาเป็นอย่างนี้ วันหลังขยับเข้า พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม การภาวนาทำจิตใจให้สงบร่มเย็นนี้กิเลสตัวว้าวุ่นขุ่นมัวมันอยู่ในใจ เราจะทำให้สงบมันตีทีเดียวๆ พุทโธตกห้าทวีป ธัมโม สังโฆ ตกห้าทวีป เอาอะไรมาบริกรรมตกห้าทวีปไปหมด มีแต่กิเลสขึ้นครองบ้านครองเมือง ครองหัวใจเรา ก็มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน พากันจำเอานะ ทีนี้เวลาเราอบรมทางนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ กำลังของธรรมมีมากๆ ค่อยทับกันไปๆ สุดท้ายเรื่องกิเลสซึ่งเป็นเหมือนเขาโคนี้ขาดสะบั้นๆ ไปเลยเรื่อย ก็มีแต่ธรรมเต็มตัวๆ ผู้นี้พ้น

    ให้พากันบึกบึนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแม่นยำสุดยอดแล้ว การนำสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ไม่มีที่ใดนอกจากธรรมของพระพุทธเจ้า นอกนั้นไม่มี พูดกันโก้ๆ เก๋ๆ ไปตามความสำคัญมั่นหมายไปอย่างนั้นเอง ความจริงไม่มี ความจริงแท้ๆ คือพุทธศาสนา ตรัสรู้ด้วยความชอบธรรมเป็นศาสดาเอกของโลก ไม่มีใครเสมอเหมือน การสอนโลกสอนด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุม ใครดำเนินจะเป็นไปตามนี้ทั้งนั้น นี่ละเรียกว่าศาสนธรรมโดยแท้

    ส่วนเรื่องศาสนกิเลสนั้นมีเต็มโลกเต็มสงสาร ใครจะตั้งชื่อตั้งนามให้เป็นศาสนาใดก็ตามเป็นโครงการของกิเลสทั้งนั้น ไม่ได้เป็นโครงการของธรรม เป็นโครงการของกิเลส ยกตนขึ้นมาเป็นอาจารย์ หรือเป็นครูเป็นศาสดาของศาสนานั้น ก็คืออาจารย์ใหญ่แห่งคลังกิเลสนั่นเอง สอนลงไปลูกศิษย์ลูกหาเคารพนับถือ ปฏิบัติไปตามก็ปฏิบัติตามโครงการของกิเลสสร้างไปเรื่อย นั่น ส่วนศาสนธรรมสอนลงไปนี้เพื่อละกิเลส ละชั่วทำดีๆ เหมือนกันหมดคำสอนของพระพุทธเจ้า โลกหลุดพ้นไปจากคำสอนอันนี้ ไม่ได้หลุดพ้นไปจากคำสอนของกิเลสนะ พากันจดจำให้ดี วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ พอเหมาะพอดี ถึงสามโมงเช้าแล้ว

    (โยมกราบถวายรวม ๗๐๐ ดอลลาร์) สาธุเอา นี่ละสายบุญสายกุศล อันนี้จะดึงเราขึ้น ดึงตลอดเลย ดึงชาติบ้านเมืองให้สงบร่มเย็นแน่นหนามั่นคงก็ดึง ดึงหัวใจของเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับก็ดึง จำเอานะ



    รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

    www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

    และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

    FM 103.25 MHz
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    ท่านผู้ที่บรรลุจตุปฏิสัมภิทาญาณ นี่ท่านเหล่านี้แตกฉานมากทีเดียว หมายถึงธรรมเกิดนั่นเอง ธรรมไม่เกิดเอาอะไรมาแตกฉาน เกิดอยู่ตลอดเวลา แย็บออกมานิดเดียวเท่านั้น สิ่งที่เป็นเหตุจะให้คิดให้อ่านหรือจะให้ธรรมเกิดนั้น เป็นเกิดขึ้นเรื่อย ๆ นี่เป็นอย่างนี้ วิสัยของจิตเราจึงจะมาแข่งขันกันไม่ได้ เช่นเดียวกับภูมินิสัยวาสนานั่นเอง ภูมิของจิตของธรรมที่จะรู้ธรรมมากน้อยตามนิสัยวาสนาของตนก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะอิริยาบถใดเกิดอยู่อย่างนั้นตลอด จะมีอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดก็เกิด ไม่มีอะไรเป็นสาเหตุก็เกิด เกิดโดยลำพังของตน คือไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรที่จะมาบีบบังคับไม่ให้เกิด เพราะนอกเหนือไปจากโลกสมมุตินี้ทั้งปวงแล้ว จิตเป็นอิสระเต็มที่แล้ว เป็นบ่อเกิดแห่งธรรมทั้งหลายอยู่แล้วทำไมธรรมจะไม่เกิด จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว นี่ละถ้าหากจะพูดถึงพระไตรปิฎกก็คือนี้ละพระไตรปิฎกโดยแท้ แม้ท่านไปจดจารึกออกว่าเป็นสุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ก็ออกไปจากไหน ถ้าไม่ออกไปจากหัวใจที่บรรจุพระไตรปิฎกทั้งสามนี้ไว้เต็มโดยสมบูรณ์แล้ว เอาอะไรไปออกเป็นปิฎกนั้น ๆ
    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
    ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๘
    qPGrcSv83LYjT9vqZKayWIE1HItO4hoz1fFvRrPgqDrQ&_nc_ohc=Arv4u_wKS0YAX-U4vNe&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ท่านตอบแบบผู้ถ่อมตน แต่การอธิบายต่อไม่ใช่ธรรมดา
    ยิ่งพอได้อ่านบทความ ที่ท่านเทศน์อบรบพระ ปี ๒๕๐๕ (ย้ำว่าตั้งแต่ปี ๐๕ นะครับ)
    ในบทความมันฟ้องเลยว่า
    แม้แต่เหล่าผู้มีฤิทธิทั้งหลาย
    ท่านก็มีความสามารถสอนธรรมะท่านเหล่านั้นได้
    ส่วนตัวมองว่า ท่านไม่ใช่ธรรมดาๆทั่วไปแล้วหละครับ

    ท่าที่ท่านนั่งสมาธิแล้วหลับตา
    บารมีน่าเกรงขามมากนะครับ

    เหมือนเวลาเราเจอ ดวงจิตมีฤิทธิ์มาก
    ที่มีชื่อเสียงปรากฏตัวนั่นหละครับ
    เกรงขามไม่ใช่ว่าทำให้เรากลัว
    แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น
    จากสิ่งที่ออกมาจากตัวจิตนั้นๆ
    ที่เราเรียกกันว่า บารมีนั่นหละครับ

    ประมาณนี้เล่าสู่กันฟังครับ
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
    สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

    [​IMG]
    [​IMG]
    อภิญญาสูตร

    ได้เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติเพราะเจริญอิทธิบาท ๔
    [๑๑๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหา
    อาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เพราะเป็น
    ผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔ เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรม
    วินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร ย่อมเจริญอิทธิบาทอัน
    ประกอบด้วยวิริยสมาธิ ... จิตตสมาธิ ... วิมังสาสมาธิและปธานสังขาร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
    กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญา
    อันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เพราะเป็นผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้แล.
    จบ สูตรที่ ๘
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
    สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

    [​IMG]


    ทุติยวรรคที่ ๒
    สหัสสสูตร
    การบรรลุภาวะแห่งมหาอภิญญา
    [๑๒๘๕] สมัยหนึ่ง ท่านพระอนุรุทธะอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ
    บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุมากรูปเข้าไปหาท่านพระอนุรุทธะถึงที่อยู่ ได้
    ปราศรัยกับท่านพระอนุรุทธะ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า ท่านอนุรุทธะบรรลุภาวะ
    แห่งมหาอภิญญา เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก ซึ่งธรรมเหล่าไหน?
    [๑๒๘๖] ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราบรรลุภาวะแห่งมหา-
    *อภิญญา เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน? เรา
    ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต
    อยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ
    โทมนัสในโลกเสียได้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราบรรลุภาวะแห่งมหาอภิญญา เพราะได้เจริญ ได้
    กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้แล อนึ่ง เราย่อมระลึกได้ตลอดพันกัลป์ เพราะได้เจริญ
    ได้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๑
    อิทธิสูตร
    เจริญสติปัฏฐานแผลงฤทธิ์ได้
    [๑๒๘๗] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียว
    เป็นหลายคนก็ได้ ฯลฯ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก
    ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๒
    ทิพโสตสูตร
    ว่าด้วยเสียง ๒ ชนิด
    [๑๒๘๘] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือ เสียงทิพย์
    และมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ ด้วยทิพโสตอันบริสุทธิ์ล่วงโสตของมนุษย์ เพราะได้เจริญ
    ได้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๓
     
  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    เจโตปริจจสูตร
    ว่าด้วยการกำหนดรู้ใจผู้อื่น
    [๑๒๘๙] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่น
    ด้วยใจ คือ จิตมีราคะก็รู้ว่า จิตมีราคะ ฯลฯ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่า จิตหลุดพ้น เพราะได้เจริญ
    ได้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๔
    ฐานาฐานสูตร
    ว่าด้วยการรู้ฐานะอฐานะ
    [๑๒๙๐] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมรู้ฐานะโดยความเป็นฐานะ และอฐานะ
    โดยความเป็นอฐานะ ตามความเป็นจริง เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔
    เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๕
    วิปากสูตร
    ว่าด้วยการรู้วิบากของกรรม
    [๑๒๙๑] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมรู้วิบากของการกระทำกรรมทั้งที่เป็นอดีต
    อนาคต และปัจจุบัน โดยฐานะ โดยเหตุ ตามความเป็นจริง เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก
    ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๖
    สัพพัตถคามินีปฏิปทาสูตร
    ปฏิปทาอันให้ถึงประโยชน์ทั้งปวง
    [๑๒๙๒] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมรู้จักปฏิปทาอันให้ถึงประโยชน์ทั้งปวง
    ตามความเป็นจริง เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๗
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    นานาธาตุสูตร
    ว่าด้วยการรู้ธาตุต่างๆ
    [๑๒๙๓] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมรู้ธาตุเป็นอเนกและโลกธาตุต่างๆ ตาม
    ความเป็นจริง เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๘
    อธิมุตติสูตร
    ว่าด้วยการรู้อธิมุติต่างๆ
    [๑๒๙๔] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมรู้อธิมุติอันเป็นต่างๆ กัน ของสัตว์
    ทั้งหลาย ตามความเป็นจริง เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๙
    อินทริยสูตร
    ว่าด้วยการรู้ความยิ่งหย่อนแห่งอินทรีย์
    [๑๒๙๕] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์
    อื่น ของบุคคลอื่น ตามความเป็นจริง เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๑๐
    สังกิเลสสูตร
    ว่าด้วยรู้ความเศร้าหมองความผ่องแผ้ว
    [๑๒๙๖] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมรู้ความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว ความ
    ออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติ ตามความเป็นจริง เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มาก
    ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๑๑
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    วิชชาสูตรที่ ๑
    ว่าด้วยการระลึกชาติได้
    [๑๒๙๗] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึก
    ได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ
    พร้อมทั้งอุทเทศ ด้วยประการฉะนี้ เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๑๒
    วิชชาสูตรที่ ๒
    ว่าด้วยการเห็นจุติและอุปบัติ
    [๑๒๙๘] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติกำลังอุปบัติ ฯลฯ
    ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ฯลฯ เพราะ
    ได้เจริญ ได้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๑๓
    วิชชาสูตรที่ ๓
    ว่าด้วยการทำอาสวะให้สิ้นไป
    [๑๒๙๙] ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อนึ่ง เราย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
    อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เพราะ
    ได้เจริญ ได้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้.
    จบ สูตรที่ ๑๔
    จบ ทุติยวรรคที่ ๒

    -------------------------


    ๙. ฌานสังยุต
    ว่าด้วยฌาน ๔
    [๑๓๐๐] สาวัตถีนิทาน. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ฌาน ๔ เหล่านี้ ฌาน ๔ เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
    บรรลุปฐมฌานมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต
    ในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบลงไป มีปีติและสุข
    เกิดแต่สมาธิอยู่ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุ
    ตติยฌาน ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
    บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มี
    อุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลายฌาน ๔ เหล่านี้แล.
    [๑๓๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำคงคา ไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่
    ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน ฉันใด ภิกษุเจริญ กระทำให้มากซึ่งฌาน ๔ ย่อมเป็นผู้น้อมไปสู่
    นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ฉันนั้นเหมือนกัน.
    [๑๓๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเจริญ กระทำให้มากซึ่งฌาน ๔ อย่างไร ย่อม
    เป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจาก
    กาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ บรรลุ
    ทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเจริญ กระทำให้มากซึ่งฌาน ๔
    อย่างนี้แล ย่อมเป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน.
    (พึงขยายความบาลีออกไปอย่างนี้ จนถึงความแสวงหา)
    [๑๓๐๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องบน ๕ เหล่านี้ สังโยชน์อัน
    เป็นส่วนเบื้องบน ๕ เป็นไฉน? คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา สังโยชน์
    อันเป็นส่วนเบื้องบน ๕ เหล่านี้แล.
    [๑๓๐๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฌาน ๔ อันภิกษุพึงเจริญเพื่อความรู้ยิ่งเพื่อกำหนดรู้
    เพื่อความสิ้นไป เพื่อละสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องบน ๕ เหล่านี้ ฌาน ๔ เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิด
    แต่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฌาน ๔ อันภิกษุพึงเจริญเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อละความสิ้นไป เพื่อละสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องบน๕ เหล่านี้แล
    (คังคาเปยยาล พึงขยายเนื้อความฌานสังยุต ตลอดถึงบาลีไปจนถึงความแสวงหา เหมือนมรรคสังยุต).
    จบ ฌานสังยุต
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...