อธิบายสวรรค์ 6 ชั้นแบบละเอียดยิบ

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย Mr.Kim, 24 สิงหาคม 2008.

  1. น้องฟา

    น้องฟา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +93
    อนุโมทนาบุญมากๆค่ะ

    だからある意味それインチ探し不注意です。
    จงมีสติเข้าไว้ ไม่อยู่ในความประมาท
     
  2. ศิษย์ธรรมเทพ

    ศิษย์ธรรมเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +786
    ละเอียดยิบแบบธรรมกาย

    อยากได้สวรรค์ ต้องทำบุญยิ่งมาก(ตัวเงิน) ยิ่งขึ้นสวรรค์ชั้นสูงๆ แต่เอะอย่างนี้คนจนเข็ญใจทั้งหลายคงเป็นได้แค่....
     
  3. one14300

    one14300 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +212
    สมบัติของเเต่เเละคนมีไม่เท่ากันขึ้นเเต่บุญบารมีของคนผู้นั้นโมทนา สาธุ
     
  4. เด็กสองแคว

    เด็กสองแคว สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +6
    โลกเราทุกวันนี้มันร้อน แต่ก็ร้อนเพียงแค่กายเท่านั้น แต่ใจเราสิ มันร้อนยิ่งกว่ากองไฟหลายร้อยหลายพันเท่า ถ้าเราไม่หันหน้าเข้ามาแสวงหาธรรมะเข้าสู่ใจ เข้าสู่กาย สังคมไทยเราก็จะหาความสงบร่มเย็นไม่ได้เลย อยากให้ชาติมันเจริญ มันต้องเริ่มที่ใจ แล้วค่อยมาเริ่มทีกาย เพราะถ้าใจของเราช่วยกันคิดพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญ มันก็เจริญแล้ว มันเจริญที่ใจของทุกคนนั่นไง เมื่อใจเริ่มคิดพัฒนาบ้านเมือง บ้านเมืองก็เริ่มเจริญขึ้นจากที่ใจ ต่อไปมันก็เจริญไปถึงกาย คือการลงมือทำจริงๆ ไม่ใช่คิดเพ้อเจ้อเท่านั้น นี่! มันเริ่มเจริญที่ตรงนี้ แต่ถ้าเราเริ่มคิดที่จะโกงกินบ้านกินเมือง มันก็ล่มจมตั้งแต่ความคิดแล้ว ยังไม่ทันลงมือทำเลย มันเป็นอย่างนั้นนะ
     
  5. samusunn

    samusunn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    517
    ค่าพลัง:
    +878
    ไม่รู้สิคะ
    ตอนทำบุญ บางครั้ง ก็รู้สึกว่า เมื่อตายไป จะได้ใช้ผลบุญจากการให้ทานนั้น
    บางครั้ง ก็รู้สึกว่า อยากสะสมเป็นบารมีให้ตัวเอง เผื่อชาติใดได้เกิดเป็นชาย จะได้ปฏิบัติให้บรรลุได้เร็ว
    บางครั้ง ก็รู้สึกว่า อยากให้ทานเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกหวังกับผลทานนั้น
    บางครั้ง ก็รู้สึกว่า ให้ทาน แต่ความรู้สึกลึกๆ หวังนิพพาน เพราะภายใต้จิตใจรู้สึกว่า
    การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำไมถึงทุกข์จัง คือไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดแล้ว

    แล้วอย่างนี้จะไปสุขคติภูมิ หรือ ทุกข์คติภูมิ เนี่ย แต่ดูเหมือนว่าจะอันหลังนะ เหอะๆ

    อนุโมทนา สาธุ ค่ะ
     
  6. poomdunn

    poomdunn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +380
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ดีแล้ว ชอบแล้ว


    __________________

    บุญกุศลเหล่าใดที่ข้าพเจ้าได้ทำ จำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ดี ร้อยชาติก็ดี หมื่นชาติก็ดี อสงไขย์ชาติก็ อนันตชาติก็ดี

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทั่วทั้งอนันตจักวาลโดยมี ภันเต ภควา สมเด็จองค์พระประถม สิขี ทศพล ญาณที่ 1 เป็นองค์พระประธาน


    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณพระธรรม คำสั่งสอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณพระปัจเจกพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ทั่วอนันตจักวาล

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณพระสงฆ์ พระสาวกแห่งองค์ ภันเต ภควา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

    ข้าพระพุทธขอน้อมอำนาจ คุณพระบิดา พระมารดา ของข้าพเจ้าทุกๆชาติ ทุกๆภพ ทุกๆภูมิ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจแห่งคุณพระอาจารย์ ทุกๆรูป ทุกๆนาม ที่ ได้ประสิทธิ ประสาท วิชา

    ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมอำนาจคุณของ พระพรหม และเทพ เทวา ทุกๆ พระองค์ จงร่วมกันบันดาล และ อนุโมทนา

    ขอให้กุศลผลบุญ เหล่าใด ที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำมา ได้บำเพ็ญมาโดยชอบ จำได้ก็ดี จำมิได้ก็ดี ข้าพเจ้าขออุทิศกองกุศลเหล่านั้นให้ถึงทั่วพร้อมแด่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกรูป ทุกนาม ทุกภพ ทุกภูมิ ขอให้ได้ อนุโมทนา ขอให้มีส่วนร่วมในกุศลของข้าพเจ้า เพื่อยังผลให้ที่สุดในกองทุกข์แห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกรูป ทุกนาม จงหมดสิ้นไปด้วยเทอญ....<!-- google_ad_section_end -->
     
  7. AMIIKO

    AMIIKO Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +48
    จะว่าไป ก็ไปยากน่าดูนะค่ะเนี่ย หากมนุษย์อยู่ในความไม่ประมาท

    ถือศีล ภาวนา หมั่นทำบุญทำทาน หวังว่า คงจะไม่ยากเกินเอื้อมค่ะ

    อนุโมทนา สาธุค่ะ ^^
     
  8. pandablahblah

    pandablahblah Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +71
    อนุโมทนาสาธุนะคะ ดีจังเลยค่ะ หลายๆคน รวมถึงแฮปปี้จะได้ทำบุญอย่างถูกต้องและมีจุดมุ่งหมายบ้าง เพื่อปูทางไปสู่พระนิพพาน เอ๊ะ! จะสำเร็จรึปล่าวน้อ :)
     
  9. DevaIsis

    DevaIsis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,005
    ค่าพลัง:
    +4,600
    อนุโมทนา สาธุ แก่ท่าน จขกท.

    แต่เท่าที่พิจารณา เห็นความต่างคือ

    เทวดาที่รักษาศีล 5 ครบ แต่ทำไมไปบังเกิดเป็น เทวดา ที่มีภรรยามากมาย 1000 นาง เป็นอย่างต่ำ ได้เช่นไร

    เท่ากับว่า สวรรค์ชั้นนี้ เป็นที่ซ่องสุม ของชายผู้มากใน กามราคะ

    เช่นนี้ สวรรค์ชั้นต่างๆ ไม่น่าอยู่เลย

    เพราะไม่สามารถรักษาศีล 5 ให้ครบบริบูรณ์ได้ เมื่อ ละกายมนุษย์แล้ว

    ให้ไว้เตือนใจ
    ไอ
     
  10. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ก็ลองย่องๆ แถวเมืองมนุษย์นี่ก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปไหน แต่ทว่าย่องแหงนขึ้นไปให้สูงนิด คือว่าเรามาดูท่านเทวดาที่อยู่กับเมืองมนุษย์ที่เราสามารถจะมองเห็นในเมืองมนุษย์ได้ เวลานี้เรามาทัศนาจรดูเทวดากันบ้าง แต่ก็ยังไม่ต้องเดินไปถึงเมืองเทวดา เพราะว่าเทวดาอยู่ใกล้ๆ บ้านเรามีเยอะ เขาเรียกว่าเทวดาอะไร บรรดาท่านผู้ฟังหรือท่านผู้ติดตาม?

    มองไปข้างหน้าตามพื้นแผ่นดินเห็นท่านเดินกันออกเกลื่อน หน้าตาสะสวย มีเครื่องแต่งตัวเรียบร้อย ผิวละเอียด แลดูสวยกว่าคนสวยตั้งมาก เท้าไม่ถึงดิน เดินอยู่ใกล้ๆ แผ่นดิน แต่ว่าเท้าไม่ถึงดิน จะว่าสูงขึ้นบนอากาศก็ไม่ใช่ เทวดาประเภทนี้ ท่านเรียกว่า ภุมเทวดา ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทพากันเรียกว่าพระภูมิเจ้าที่ ความจริงก็เป็นยังงั้นภุมเทวดาหรือภูมิเทวดา ภาษาบาลีอ่านว่า ภู-มิ แล้วก็เทวดา ภูมิแปลว่าแผ่นดิน เทวดาแปลว่าผู้ประเสริฐ ถ้าจะแปลกันทุกศัพท์ ก็เรียกว่าคนที่มีความประเสริฐอยู่ในแผ่นดินหรือว่าผู้ที่มีความประเสริฐอยู่ในแผ่นดิน สำหรับภุมเทวดานี้ ท่านพุทธบริษัท นั่งดูให้ดีเดินดูให้ดี จะเห็นว่ามีเกลื่อนกลาดไปหมด แต่ละท่านหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่งตัวสุภาพสวยงาม ลีลาการเดินก็สวย แต่น่าแปลกใจไหม มือขวาตั้งแต่ข้อมือลงไปถึงปลายนิ้วปรากฏว่ามีสีแดง แล้วก็แดงไม่เสมอกัน บางองค์ก็แดงเข็ม บางองค์ก็แดงจางๆ จงจำไว้ให้ดีว่ามือสีแดงเข็ม มีอานุภาพมากกว่าองค์ที่มีสีแดงจางๆ นี่ฤทธิ์ของท่านอยู่ที่มือ เทวดาพวกนี้ เรียกว่าภุมเทวดา มีวิมานเป็นที่อยู่เหมือนกัน แต่วิมานอยู่ใกล้ๆ แผ่นดิน เรียกว่าตั้งอยู่เฉียดๆ แผ่นดิน สูงกว่าแผ่นดินประมาณสักคืบหรือศอก ไม่ได้ตั้งอยู่ในดิน คือไม่ได้ปักเสา นี่เป็นวิมานของเทวดาประเภทนี้ เทวดาประเภทนี้ ทำบุญอะไรไว้ อันนี้อาตมาไม่เคยค้นพบเลย จะกล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่เทศน์ไว้ก็เห็นจะไม่จริง แต่ว่าค้นไม่พบ หรือว่าพบแล้วจำไม่ได้ก็ไม่ทราบ จะย่องๆ เข้าไปถามเทวดาสักองค์ก็เกรงใจท่าน หรือเอาสักนิดเป็นยังไง สงสัยนี่ สงสัยก็ลองถามดู เอาองค์นี้แล้วกัน องค์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่งกายด้วยเครื่องขาว ขาวทั้งชุด หน้าตาอิ่มเอิบ ท่านยิ้มหน้าระรื่น อยากจะถามท่านนะ เอ้า บรรดาท่านพุทธบริษัทที่ติดตาม มายืนล้อมกัน แล้วก็ฟังท่านพูด

    เอาละเริ่มถาม อยากจะทราบว่าท่านทำบุญอะไรไว้ จึงได้มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ที่เรียกว่าภุมเทวดา? นี่ถามใครรู้ไหม ถามเทวดาที่มีนามว่าอะไร? ขุนสมาหารราชวัตร ที่ถามน่ะความจริงตัวตนไม่มีหรอก พูดมันส่งไปยังงั้นเอง เพราะว่าท่านขุนสมาหารราชวัตรนี่ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ ในตอนปลายที่ท่านออกจากราชการแล้ว เกษียณแล้วท่านปลูกบ้านอยู่ที่โน่น อำเภอธัญญบุรี ในเขตจังหวัดปทุมฯ อาตมาเคยชอบกับท่าน เคยไปพักพาอาศัยท่าน ภรรยาของท่านคนหลังชื่อว่าคุณสมถวิล ท่านผู้นี้เคยเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของท่านคนหนึ่งเวลาก่อนจะตายบอกว่าเคยพบพระภูมิหรือเทวดา เพราะเพื่อนอีกคนหนึ่งตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นภุมเทวดา ท่านไปรักษาอุโบสถอยู่ เพื่อนของท่านขุนสมาหารราชวัตร ปรากฏว่าเพื่อนที่ตายไปแล้วมาพบในเวลาฝัน นอนหลับเช้าฝัน บอกว่าเวลานี้เราไปเกิดเป็นภุมเทวดา มีความสุขมาก แล้วรู้ความลับของคนทุกคน บ้านไหนก็ตาม ถ้าเราจะเข้าไป เราเข้าได้ทุกเวลา จะปิดประตูลงกลอนขนาดไหนก็ตามเราก็เข้าไปได้ ดีไม่ดีเจ้าของบ้านไปทำปู้ยี่ปู้ยำอะไรกันอยู่ ดูเพลิน เจ้าของบ้านไม่รู้ คู่ที่เขากำลังรักกันอยู่เขาไม่รู้ นี่รู้สึกว่าเทวดาองค์นี้ น่ากลัวจะซุกซนมากเหมือนกัน หรือว่าเป็นเทวดาชอบดู ท่านมาเล่าให้เพื่อนท่านฟัง ก็ปรากฏว่าเพื่อนท่านขุนสมาหารราชวัตรก็ติดใจในการเป็นภุมเทวดา แล้วท่านภุมเทวดาท่านนั้นก็บอกว่า เพื่อนเอ๋ย เพื่อนรักษาอุโบสถอย่างนี้ดีแล้ว ถ้ารักษาอุโบสถอย่างนี้ ตั้งใจทรงศีลให้บริสุทธิ์ เวลากลับไปบ้านรักษาศีล ๕ ไห้บริสุทธิ์ ถึงเวลาวันพระรักษาอุโบสถศีลให้บริสุทธิ์ด้วยความเต็มใจ แล้วก็ตั้งใจไว้ว่า เวลาเราตายเราจะมาเป็นภุมเทวดา ความจริงรักษาอุโบสถน่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท หรือว่ารักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เราจะเป็นอากาศเทวดากันได้แบบสบายๆ แต่ว่าคนที่จะเป็นเทวดาชั้นสูงได้ ต้องการเป็นเทวดาชั้นต่ำนี่เขาไม่ห้าม สุดแล้วแต่ใจ แต่คนที่มีบุญบารมีเป็นเทวดาชั้นต่ำ อยากเป็นชั้นสูง เป็นไม่ได้ เขาห้าม จะต้องบำเพ็ญบุญบารมีให้สมควรแก่ฐานะของเทวดานั้นๆ เรื่องนี้ชักยุ่งๆ เหมือนกัน เป็นอันว่าเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง ก็ไม่ใช่เรื่องทำบุญเป็นเทวดาโดยเฉพาะ เป็นการตั้งใจเป็นภุมเทวดา เพราะว่าจะพูดไปยิ่งกว่านี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไง หาเรื่องพูดไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจว่าทำบุญอะไรจึงเป็นภุมเทวดา เป็นอันว่าเพื่อนของท่านขุนสมาหารราชวัตรก็เชื่อเพื่อนที่ตายไปแล้วที่บอกว่าเป็นภุมเทวดารักษาอุโบสถทุกวันพระ วันไหนไปวัดไม่ได้ก็ตั้งใจสมาทานที่บ้าน และโดยปกติวันปกติไม่ใช่วันพระก็รักษาศีล ๕ บริบูรณ์ จนกว่าจะตายไปแล้วจริงๆ ก็ปรากฏว่ามาเกิดเป็นภุมเทวดา มาเข้าฝันท่านขุนสมาหารราชวัตรกับอีกคนหนึ่ง บอกว่าเพื่อนเอ๋ย เวลานี้เราเป็นภุมเทวดาจริงๆ เป็นแล้วไม่ต้องห่วง เป็นสมความปรารถนา เป็นสุขจริงๆงานการไม่ต้องทำ มีเครื่องทิพย์เป็นเครื่องบริโภค เวลาใครเขาจะทำอะไรเขาก็ต้องมาเซ่นต้องสรวง ต้องไหว้ต้องบูชา ดีกว่าความเป็นคนเยอะ ไม่มีความหิว ไม่มีความกระหาย ความร้อน ความเหนื่อยกายไม่มี จะไปทางไหนนึกปั๊บเดียวถึงทันที นี่มาชวนท่านขุนสมาหารราชวัตรไปเป็นภุมเทวดาเข้าอีก ต่อมาเมื่ออาตมาไปพบท่านขุนสมาหารราชวัตร ท่านถามว่าการบำเพ็ญกุศลอย่างนี้เป็นภุมเทวดาได้ไหม อาตมาพิจารณาตามพระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่าการบำเพ็ญกุศลอย่างนั้นสูงกว่าเป็นภุมเทวดามาก จะไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้สบายๆ แต่ท่านก็เลยบอกว่าผมตั้งใจอยากจะไปอยู่กับเพื่อนเขา เพื่อนเขามาชวน ก็เลยบอกท่านว่า เมื่อคนมีความพอใจแบบนั้นละก็ เชิญตามสบาย คงเป็นไปได้ตามอัธยาศัยที่ต้องการ ท่านก็ตั้งใจสมาทานศีล ๘ ทุกวันพระ สำหรับวันปกติท่านก็รักษาศีล ๕ ให้ครบถ้วน ในที่สุดท่านก็ตายไป ท่านตายได้ประมาณเดือนหนึ่ง อาตมาก็ไปที่นั่น ความจริงไม่รู้ว่าท่านตาย คุณนายสมถวิลก็มาถามว่าเวลานี้ท่านขุนตายแล้วท่านไปเป็นภุมเวดาหรือเปล่า แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาอยู่ชอบเล่นหวย ๓ ตัว ที่เขาเรียกกันว่าหวยใต้ดินนี่ชอบมาก คุณนายเองก็ชอบ ก็เลยบอกกับท่านว่าเอายังงี้ก็แล้วกันคุณนาย อาตมาเองก็ไม่ใช่คนตาทิพย์ หรือก็ไม่ใช่คนใจทิพย์ จะไปรู้เรื่องราวของเทวดายังงี้มันยาก ลองกันคืนนี้ก่อน ลองนอนสักคืนหนึ่ง ตอนกลางคืนอาตมาจะเชิญท่านขุนมา หากว่าท่านเป็นภุมเทวดาจริงหรือเป็นเทวดาชั้นอื่นจริงๆ ก็จะปรากฏแล้วจะลองขอหวยให้ เป็นอันว่าตอนกลางคืนก่อนนอน อาตมาก็บูชาพระสวดมนต์ทำหน้าที่ของพระ เมื่อสวดมนต์เสร็จก็นึกในใจว่าท่านขุนอยู่ที่ไหน ต่างว่าท่านขุนเป็นเทวดาหรือเป็นอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าสามารถมาได้ ขอได้โปรดมาพบ ปรากฏว่าเวลาใกล้หลับไม่ทันจะหลับ เคลิ้มๆ พอจะหลับท่านขุนมา มาในร่างเดิม ถ้าว่าเวลานี้เป็นอะไร ท่านบอกว่าทานเป็นภุมเทวดา ก็ถามว่าบุญวาสนาบารมีที่รักษาอุโบสถศีลก็ดี รักษาศีล ๕ ก็ดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นเทวดาประเภทอื่นได้ ที่เรียกกันว่าอากาศเทวดา คือจะอยู่ชั้นดาวดึงส์แบบสบายๆ ทำไมโยมจึงได้อยู่ที่นี่ ท่านก็รับรองบอกว่า เป็นความจริงขอรับ แล้วเวลาตายแล้ว ก่อนที่จะตายจิตใจมันปักอยู่เฉพาะภุมเทวดา เมื่อเวลาชีวิตออกจากร่าง ก็ปรากฏว่าเป็นภุมเทวดา มีวิมานเป็นที่อยู่ แล้วอารมณ์จิตก็รู้ในขณะนั้นเองว่า นี่ถ้าเราไม่ได้ตั้งจิตเป็นภุมเทวดาแล้ว เราจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ได้แบบสบาย ก็เลยถามต่อไปว่า แล้วก็โยมจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ไหม? ท่านบอกว่าไป ถามว่าเมื่อไรจะไป บอกว่าต้องหมดอายุชั้นนี้เสียก่อน ถามว่าชั้นนี้มีอายุเท่าไร ท่านบอกว่าชั้นนี้เขาเรียกว่าอยู่ในชั้นจาตุมหาราช จะเป็นภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็ดี มีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเปรียบกับมนุษย์ก็ ๕๐ ปีเป็น ๑ วัน เดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน จนกว่าจะครบ ๕๐๐ ปีทิพย์ เมื่อครบ ๕๐๐ ปีทิพย์ แล้วไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้เพราะหมดระยะที่จะอยู่ในที่นี้ ก็ถามท่านว่า คุณนายต้องการหวย โยมขุนจะสงเคราะห์คุณนายไหม เคยมาบอกไหม ท่านก็เลยบอกว่า แม่หวินนี่ผมห่วงแกมาก ผมมาหาแกหลายครั้ง เคยมาบอกแก แต่แกไม่ได้ยิน มาแกก็ไม่เห็น พูดด้วยแกก็ไม่ฟัง อาจจะฟังแต่ไม่ได้ยิน เวลานี้ท่านมาก็ดีแล้ว ผมขอฝากหวยไว้ด้วย บอกแม่หวินด้วยนะ ว่าหวยคราวนี้มันออก ๘๘๐ ท้ายรางวัลที่ ๑ อาตมาก็จดเข้าไว้ พอตอนเช้าคุณนายสมถวิลถามก็บอกตามนี้ ปรากฏว่าหวยออกตรงจริงๆ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ภุมเทวดาแท้ๆ บุญบารมีที่ทำให้เกิดเป็นภุมเทวดานี่อาตมาไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าถ้าตั้งใจเป็นภุมเทวดา ก็จะเป็นได้ ถ้าจะเดากันก็จะเดาว่าการให้ทานรักษาศีลแบบธรรมดาๆ แต่ว่ามีจิตใจไม่มั่นคงใครเขาจะไปวัดก็ไปกับเขา เขาสมาทานศีลก็สมาทานกับเขา แต่ไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล กลับออกมาก็ปล่อยให้ศีลตกอยู่หน้าศาลา เวลาเขาใส่บาตรก็ใส่กับเขา บางทีก็ใส่บาตรประเภทสนุก มันเป็นบุญเล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม เรียกว่าสักแต่ว่าเป็นบุญ อันนี้เดาเอานะจะไปยืนยันว่าเป็นความจริงไม่ได้นะ

    สำหรับภุมเทวดานี่เรายกศาลบูชาท่านเพื่ออะไร? จะไม่ยกศาลได้ไหม? อันนี้เป็นเรื่องเถียงกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท มีนักปราชญ์สมัยนี้โจมตีภุมเทวดากันอย่างหนัก ดีไม่ดีก็หาว่าคนที่ยกศาลพระภูมิเจ้าที่กลายเป็นอะไรต่ออะไรไป ก็รู้สึกว่าจะมากไปสักหน่อย สำหรับความรู้สึกของอาตมา จะเป็นเทวดาชั้นไหนก็ตาม เราควรบูชา ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าท่านที่เป็นเทวดาได้ต้องมีคุณธรรมวิเศษ ๒ ประการ คือ ๑ หิริ ได้แก่ความละอายต่อความชั่ว ๒ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความชั่วจะมาถูกต้องตน จะให้ผลเป็นความทุกข์ เป็นอันว่าคนที่จะเป็นเทวดาชั้นสูง หรือชั้นต่ำก็ตาม จะต้องเป็นคนอายบาปแล้วก็กลัวบาป อายชั่ว กลัวชั่ว เป็นอันว่าคนที่ไม่ทำความชั่วชื่อว่าเป็นคนประเสริฐเป็นคนดี แต่ว่าคนธรรมดาเราทั้งๆ ที่ยังมีความชั่วอยู่ โกหกมดเท็จก็ได้ เจ้าชู้เป็นชู้ลูกเขาเมียใครก็ได้ ทำปาณาติบาตก็ได้ กินเหล้าเมายาก็ได้ เราทำไมถึงได้ไหว้ได้ เราไหว้คนเลวได้ ทำไมเราจะไหว้คนดีจริงๆ ไม่ได้รึ อันนี้ ก็ไม่ได้ ไปเถียงกับท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เพราะอาตมาอาจจะมีความรู้น้อยกว่าท่าน แต่ว่าสำหรับความเห็นของอาตมา การยกศาลบูชาภุมเทวดาเป็นของสมควร มาพิจารณาเองว่าสมควรตรงไหน ที่เขากล่าวกันว่าการไหว้บวงสรวงบูชาเทวดานี่ขัดพระรัตนตรัย คือว่าขาดไตรสรณาคมน์ เขาว่าอย่างนั้น เขาบอกว่าไม่เป็นการเคารพพระพุทธเจ้า เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ควรไปเคารพเทวดา อันนี้ไม่จริง บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาขอค้าน เพราะว่าภุมเทวดาหรือว่ารุกขเทวดา อากาศเทวดาชื่อว่าเทวดาเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สาวกของท่านมีเทวตานุสสติกรรมฐาน คือการนึกถึงความดีของเทวดา ตรงนี้ซิท่านพุทธบริษัท อาตมาจะไปขัดคอท่านนักปราชญ์ผู้ใหญ่เข้า หากว่าบังเอิญท่านได้ฟังพูดหรือได้เป็นที่เขาเขียนไว้ละก็ให้อภัยด้วยถ้ากระผมจะพูดไป แต่ถ้าจะผิดก็ผิดเฉพาะกำลังใจของท่านเท่านั้น แต่คงไม่ผิดจากพระพุทธพจน์ ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงให้เจริญเทวตานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดีของเทวดา ถ้าการบวงสรวงไหว้บูชาเทวดาเป็นของไม่ดีพระพุทธเจ้าคงไม่ยืนยันไว้

    ตานี้ มาว่ากันถึงการยกศาลพระภูมิ ดีตรงไหน นี่อาตมาขอสนับสนุนว่าดีจริงๆ แต่ท่านยกแล้วท่านต้องทำให้ถูกดีนะมันถึงจะได้ดี ถ้าหากว่าท่านทำไปแล้วไม่ชนดี มันก็ไม่พบดีเหมือนกัน ต้องตั้งใจทำให้ถึงดีให้ชนดี แล้วก็พบดีด้วย การจะชนดี จะพบดี จะถึงดี เอากันยังไง? ว่ากันตอนนี้ เมื่อยกศาลพระภูมิขึ้นมาแล้ว ควรบูชาทุกวัน ถ้าจะมีกล้วย อ้อย น้ำท่าบ้างก็ตามอัธยาศัย ขนมนมเนยอะไรก็ตาม ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของท่าน เวลาบูชาเทวดาจุดธูปกี่ดอก พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนไว้ ที่เขามาโมเมกันในตอนหลัง ว่าจุดบูชาผีเท่านั้นดอก บูชาพระเท่านั้นดอก บูชาครูบาอาจารย์เท่านี้ดอก นี่มันเรื่องของคนที่คิดขึ้นทีหลัง จะจุดธูปจุดเทียนกี่ดอกตามใจท่าน ท่านจะจุดเท่าไรก็ตามไม่เป็นไร ทีนี้ ตอนบูชา บูชาแบบไหน ถ้าเราไปนั่งบูชาบอกขอภุมเทวดาเจ้าคะเจ้าขากรุณาฉันเถิด เวลานี้ที่บ้านฉันเกิดไม่ดีขึ้นแล้ว ผัวออกนอกบ้าน เมียนอกใจ คนใช้ว่าไม่นอนสอนไม่ได้ ขอให้เทวดาช่วยกำจัดให้ด้วย ไปตามผัวให้ที ไปตามเมียให้ที หรือว่าเวลานี้ฉันอยากจะถูกหวยรวยโป อยากจะค้าขายให้มันรวย ถ้าบูชาแบบนี้ไม่เป็นเรื่องแล้ว ไม่ใช่บูชากลายเป็นเอาเทวดาเป็นคนรับใช้ไป ไม่ถูก แบบนี้ไม่ถูก การบูชาเขาต้องบูชาแบบนี้ คำว่าบูชาแปลว่ายอมรับนับถือ ก็หมายความว่าเรายอมรับนับถือความดีของท่านภุมเทวดา คิดว่านี่ท่านจะเป็นเทวดาขึ้นมาได้มีเรื่องทิพย์บริโภคมีร่างกายทิพย์ มีวิมานเป็นที่อยู่ เป็นทิพย์ เวลานี้เรายกศาลขึ้น ความจริงท่านไม่ได้มาอยู่ที่ศาลของเรา ศาลนี่ เดิมทีสมัยโบราณเขาไม่ได้มีศาล เขามีไม้กระบอกปักไว้กลางแจ้ง เวลาจะบูชาก็เอาธูปเทียนไปปักที่กระบอก ต่อมาเห็นว่า ถ้าจะมีอะไรให้บ้างก็ไม่มีที่จะวาง ก็ทำศาลเพียงตา ทำเป็นศาล ๒ ชั้น คิดว่าเทวดาท่านนั่งชั้นบน แล้วเอาของวางชั้นล่าง ท่านก็เอื้อมมาหยิบกิน ต่อมา เมื่อฝนตกแดดออก นึกสงสารเทวดาขึ้นมาก็เลยเอาร่มไปกางให้ ทีหลังเห็นว่าท่านั้นไม่เหมาะ ก็เลยเอาใหม่ ทำบ้านให้มีหลังคา มีฝารอบคอบ นี่เป็นเรื่องของเราเอง มาสมัยนี้เลยมีตึกมีปราสาท รู้สึกว่าเทวดามีวาสนาบารมีมากขึ้นหน่อย อย่างนี้ จะทำแบบไหนก็ตาม เทวดาท่านไม่ได้ขึ้นอยู่ วิมานของท่านมี แต่การทำแบบนี้เป็นการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน เป็นการบูชาความดี อย่ามานึกว่าท่านมาอยู่บนศาลนะ ไม่ใช่ยังงั้น ศาลเล็กจุ๋นจู๋แค่นั้นท่านต้องขดตัวเข้าไปนอนเห็นจะไม่ไหว ภุมเทวดามีร่างกายโตกว่าคนมาก เป็นอันว่าการบูชา ถ้าจะบูชาให้ถูกเขาบูชากันแบบนี้ จำได้แล้วใช่ไหม คำว่าบูชาแปลว่ายอมรับนับถือ ตานี้ เรามานับถือท่านตรงไหนล่ะ ยอมรับนับถือตอนที่ท่านมีความดี คือว่าก่อนที่ท่านจะเห็นเทวดาท่านมีหิริและโอตตัปปะ หมายความว่ามีความอายความชั่ว กลัวผลของความชั่วจะให็โทษเป็นทุกข์ก็เลยไม่ทำความชั่วเสียเลยทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง เมื่อท่านไม่ทำความชั่วก็เลยไปเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ เป็นเหตุให้พวกเราบูชากัน แม้แต่หน่วยราชการเขาก็ยกศาล วัดที่มีความรู้เขาก็ยกศาลเหมือนกัน วัดนะ ที่พระได้ฌานสมาบัติ บางท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านก็ยกศาลเหมือนกัน แต่ยกเป็นศาลใหญ่ ไม่ใช่ศาลเล็กๆ ท่านยกทำไม? ท่านยกเป็นการประกาศความดีของเทวดา สำหรับท่านที่ได้ฌานสมาบัติได้ทิพย์จักขุญาณทำมากเพราะอะไร? เพราะท่านพวกนี้ท่านเห็นจริงๆ เห็นผลความดีของท่านพวกนี้ เมื่อยกศาลขึ้นแล้ว พอมองเห็นศาลก็นึกว่าท่านพวกนี้ท่านทำความดีไว้ก่อน ตายแล้วจึงได้เป็นเทวดา ท่านก็เลยตั้งมโนปณิธานปรารถนาทำใจให้สบาย คิดว่าเราเองเราก็จะเป็นเทวดาอย่างท่านบ้าง อย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นผู้มีหิริและโอตตัปปะ เอาเทวดาท่านพวกนี้เป็นครูสอน ที่ยกศาลขึ้นมาบางทีไม่เห็นตัวท่านจะได้นึกได้ว่า นี่เป็นสถานที่ที่เราบูชาเทวดา เวลานึกขึ้นได้แล้วก็นึกขึ้นมาว่าท่านเป็นเทวดาเพราะอะไร เพราะ ๑ อายความชั่ว ๒ เกรงกลัวผลของความชั่ว ท่านก็เลยเตือนตัวท่านว่าเราจงเป็นผู้อายความชั่ว เกรงกลัวผลของความชั่วเหมือนท่านเทวดาอย่างนี้แล้วก็ปฏิบัติตามนั้น นี่อย่างนี้เรียกกันว่าบูชา คือเป็นปฏิบัติบูชา หากว่าเราจะบูชาเพียงอามิสบูชาเฉยๆ เอาข้าวเอาน้ำไปให้ท่าน จุดธูปจุดเทียนไปให้ท่านแล้วเราก็สร้างความชั่ว อย่างนี้ไม่มีผลนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องบูชาตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติ คือปฏิบัติบูชา ถ้าหากว่าท่านบูชาภุมเทวดาแบบนี้จำไว้ว่าภุมเทวดาทุกท่านมีเครื่องทิพย์เป็นเครื่องบริโภค มีร่างกายเป็นทิพย์ มีความสุข ไม่หนาวไม่ร้อน ไม่หิวไม่กระหาย ไม่ป่วยไข้ไม่สบาย ไม่แก่เฒ่า หนุ่มเท่าไรก็เท่านั้น เกิดปุ๊บก็หนุ่มเลย แล้วไม่มีการแก่

    เทวดามีความดีอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะมีความดี คือไม่ทำความชั่วในที่ลับและที่แจ้ง เราก็เลยตั้งใจว่าขอให้เทวดาคนนี้เป็นครู จะเอาปฏิปทาของท่านนี้มาเป็นครูของเรา เราจะขอเอาเทวดาองค์นี้เป็นสักขีพยานในการปฏิบัติความดีของเรา อย่างน้อยที่สุด เราตายไปขอให้ได้เป็นเทวดาอย่างท่าน นี่เป็นอย่างน้อยนะ แล้วก็ตั้งใจบูชาด้วยความเคารพ กราบก็ได้ไหว้ก็ได้ ไม่เสียหายแล้วก็นึกถึงความดีของท่าน ตั้งใจอายบาป ตั้งใจเกรงกลัวบาป เรียกว่าอายชั่ว กลัวชั่ว อย่างนี้ ชื่อว่าท่านทำตัวเหมาะสมกับการบูชาภุมเทวดาแล้ว

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องราวภุมเทวดานี่ จะพูดกันจริงๆ พูดกันทุกวัน เดือนหนึ่งไม่จบ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอาตมาเองก็เคยประสบเรื่องราวของภุมเทวดามามาก แต่ว่าอาศัยการพูดนี้ เป็นการพูดเพียงเพื่อให้เป็นตัวอย่างเท่านั้น เพื่อไห้ผู้ว่าเขาเป็นเทวดาได้เพราะอะไร แล้วก็ภุมเทวดา เป็นเทวดาที่เขาบูชากันมาก ตั้งศาลกันมาก แล้วก็มีนักปราชญ์หลายท่านคัดค้านกันมาก ก็เลยเอาสิ่งที่ควรบูชา และบูชาแบบไหนมันถึงจะถูกมาพูดไห้ฟัง พูดแล้วมองดูนาฬิกา บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านรู้รับฟังแล้วก็ท่านที่ติดตามทัศนาจร เวลามันหมดเสียแล้วสำหรับวันนี้ ก็ขอพักเพียงเท่านี้ บรรดาท่านที่ติดตามมาจงนั่งอยู่ในกลางมวลหมู่ของเทวดาประเภทภุมเทวดาไปสัก ๗ วัน วันพุธหน้ามาพบกันใหม่

    เอาละ วันนี้ขอลาไปกลับก่อน ขอความสุขสวัสดี จงมีแด่ท่านผู้รับฟังและท่านผู้ติดตามทุกท่าน สวัสดี.


    ขออภัยนะครับที่นำข้อมูลที่มาจากหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จากหนังสือไตรภูมิมาให้อ่านเปรียบเทียบ เพราะอาจจะต่างกัน ใช้หลักกาลามสูตรพิจารณากันนะครับ เจตนาเพื่อให้ได้รับธรรมทานที่มีข้อมูลที่ถูกต้องครับ ไม่มีเจตนาอื่นและไม่มีเจตนาว่าตัวเองรู้มากกว่าหรือเจตนาไม่ดีทั้งหลายครับ เข้าไปอ่านในห้องหลวงพ่อฤๅษี ในห้องอภิญญา แล้วมองหาคำว่า ไตรภูมิ นะครับ จะมีข้อมูลพอสมควรให้ได้ศึกษากัน ขอทุกท่านเจริญในธรรมครับ
     
  11. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" id=AutoNumber2 border=0 cellSpacing=0 borderColor=#111111 cellPadding=0 width="95%"><TBODY><TR><TD width="100%">
    <TABLE border=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD>ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อน ได้พาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพไปนอนพักอยู่แถวภุมเทวดา สำหรับเรื่องราวของเทวดานี้ เห็นจะต้องรีบรวบรัดกันเสียแล้วบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เพระว่าตั้งใจไว้ว่าเรื่องนี้จะให้จบภายใน ๒๔ ตอน นี่ทำท่าดูลีลาว่าสัก ๑๐๐ ตอน ก็ไม่จบ ฉะนั้น ต่อจากนี้ก็จะขอรวบรัดเรื่องราวต่างๆ ให้จบลงตามกำหนดที่ตั้งใจไว้
    สำหรับวันนี้ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทดูเทวดาบนยอดไม้กันบ้างดีกว่า ชมกันดูแหงนขึ้นไปดูบนยอดไม้ ต้นไม้ที่มีพุ่มสาขา จะเห็นวิมานต่างๆ แพรวพราวอยู่หมด ต้นไม้ต้นไหนมีสาขามาก ต้นนั้นมีเทวดามาก มีวิมานหลายวิมาน เทวดาพวกนี้ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เรียกว่า รุกขเทวดา สำหรับรุกขเทวดานี้ มีบุญมากกว่าภุมเทวดาหน่อยหนึ่ง คือมีวิมานปะยอดไม้เข้าไว้ แต่ความจริงไม่ใช่อาศัยต้นไม้ที่มีแก่นต่อไป อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่า ต้นไม้ที่มีแก่นสูงเพียงคืบเดียว รุกขเทวดาก็ใช้วิมานอาศัยได้ อันนี้เป็นพุทธพจน์ จะขอนำเนื้อความย่อๆ ว่าทำบุญอะไรจึงได้เป็นรุกขเทวดามาเล่าให้ฟัง
    ตัวอย่างก็มีว่า คนใช้ของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี มารับอาสาเป็นลูกจ้าง ครั้งแรกไม่ทราบว่าวันนั้นเป็นวันพระ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันพระบ้านของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี แม้แต่เด็กก็ต้องรักษาอุโบสถ เขาไปทำงานอยู่ตลอดวัน กลับมาตอนเย็น เห็นคนอื่นไม่กินข้าว ทราบเนื้อความนั้นจากแม่ครัว ก็เลยขอสมาทานอุโบสถครึ่งวัน รักษาเฉพาะไม่กินข้าวเย็นแล้วก็ตลอดคืน อาศัยที่เขาทำงานหนัก ก็มีความหิวโหย เมื่อไม่ได้กินข้าวเย็น ตอนดึกลมก็กำเริบ ท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐีขอร้องให้กินข้าว เอาอาหารดีๆ ไปให้ แล้วก็บอกว่าวันอื่นมีถมไปที่เราจะรักษาความดี แต่ว่าชายคนนี้บอกว่า ความดีเพียงครึ่งวันข้าพเจ้ายังทำไม่ไหว จะยอมให้ศีลขาดทำไม่ได้เพราะความดีไม่เต็มวัน แต่ครึ่งวันแค่นี้ ถ้าปล่อยให้ศีลขาดก็จะเลวเกินไป เห็นอันว่าแกไม่ยอมกินข้าว ยอมอดข้าวตายดีว่ายอมศีลขาด พอตอนดึก ปรากฏว่าแกตาย เมื่อตายแล้ว ดวงจิตคือวิญญาณหรืออทิสมานกาย กายที่สิงอยู่ในกายเนื้อก็ล่องลอยไปเป็นเทวดา เป็นรุกขเทวดา
    ตัวอย่างมีเท่านี้ เป็นอันว่า ภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี เป็นประเภททำบุญไม่เต็มที่ ภุมเทวดาประเภททำบุญสักแต่ว่าทำ เช่นชาวบ้านเขาไปวัดก็ไป ใส่บาตรก็ใส่ไปรักษาศีลก็ไป แต่ไปตามประเพณีแบบปู่ย่าตายายทำมาก่อนๆ เป็นสำคัญ แต่ว่าบุญนั้นก็ยังช่วยให้เป็นเทวดา สำหรับรุกขเทวดานี้ ตั้งใจทำความดีจริง แต่ว่าทำไม่ครบไม่ถ้วน นี่ว่ากันเท่านี้นะ เพราะว่าจะต้องลัดกันแล้ว
    ต่อจากนี้ไปก็ขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพไปเที่ยวเมืองเทวดา ด้านอากาศเทวดากันดีกว่า ออกเดินตามอาตมามา เวลานี้เราอยู่แดนของมนุษย์หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก เดินไปในสายที่เราไปเมืองนรก เดินตามมา นี่สมมติว่าตอนนี้มาถึงทางแยกแล้ว เห็นเทวดาอินไหม? ท่านเทวดาอินยืนยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าเบิกบาน รูปร่างหน้าตาสวย ทรงเครื่องประดับเต็มที่ ยกมือขึ้นไหว้ถามว่า พระคุณเจ้าจะไปทางไหน ก็เลยบอกว่าวันนี้จะไปเที่ยวอากาศเทวดาเมืองสวรรค์ ท่านก็ชี้ บอกว่าถ้าจะไปเที่ยวเมืองสวรรค์ นี่เราหันหน้าไปทางทิศตะวันออกไปด้านซ้ายมือ ทางขึ้นเนินแต่ความจริงคนที่ได้มโนมยิทธิเขาไม่ต้องอาศัยเนินนี้ก็ได้ ไปทางลัดปั๊บเดียวก็ถึง แต่ว่าสายนี้เดินกันตามลำดับ ถ้าจะไปพรหมต้องเลี้ยวขวามือ ถ้าไปนรก ตรงไป เป็นอันว่าขอบใจท่านเทวดาอิน วันนี้ขอไปเที่ยวเมืองสวรรค์ ไม่ไปนรกแล้ว เพราะว่าเมื่อนรกไปเที่ยวกันมาแล้ว บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทกับพระคุณเจ้าที่เคารพ ตามกระผมมา เราเลี้ยวซ้ายขึ้นเนินทีละน้อย ทางขาวโพลนเป็นทางใหญ่ นี่เราเดินมาได้ประมาณสักครึ่งทาง สมมติกันนะ เที่ยวด้วยปากนี้มันไม่ยาก เที่ยวทางแบบนี้ ถามว่ามาจากไหน จะเอาใครเป็นพยาน ก็บอกเอาพระร่วงเป็นพยาน เพราะไตรภูมิพระร่วงความจริงท่านเขียนไว้ดี พระร่วงไม่ได้เขียน พระเขียนให้ แต่ว่าที่พูดนี่ ก็ไม่ได้อาศัยไตรภูมิพระร่วงจรกระทั่งเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ใช้หลักวิชาต่างๆ ตามที่ค้นคว้าพบมาประกอบ
    เวลานี้เราขึ้นเนินมาถึงกึ่งทาง เนินที่ขึ้นมานี้ เราเรียกกันว่าภูเขาพระสุเมรุ ในระหว่างกึ่งทางนี้ เราจะมองไปดูรอบๆ มองไปทางด้านทิศตะวันออกเห็นวิมานแพรวพราวนับเป็นจำนวนแสน ดินแดนนี้เป็นดินแดนของเทวดามีนามว่า ท้าวธตรฐเป็นจอมเทวดาและมีอินทกะ คืออุปราชอยู่ ๑,๐๐๐ ท่าน และมีบริวารเป็นคนธรรพ์ คำว่าคนธรรพ์นี่เป็นชื่อของเทวดาเหล่าหนึ่ง เรียกว่าเป็นชื่อของทัพๆ หนึ่งอยู่หลายแสนท่านด้วยกันเรียกว่านับเป็นแสนๆ อาจจะเกิน ๑๐ แสนหรือ ๑๐๐ แสนก็ได้ มองไปทางด้านทิศใต้เป็นกลุ่มวิมานอีกกลุ่มหนึ่งนับจำนวนแสนๆ เหมือนกัน วิมานแถวนี้มีท่านเจ้าของหรือท่านผู้เป็นใหญ่มีนามว่าท่านวิรุฬหก และอินทกะคืออุปราช ๑,๐๐๐ ท่านเหมือนกัน มีกุมภัณฑ์เป็นบริวารมีจำนวนนับได้แสน ถ้าเรามองไปด้านทิศใต้จะมองเห็นวิมานเป็นจำนวนนับแสนเหมือนกัน ดินแดนแห่งนี้ท่านผู้เป็นใหญ่มีนามว่าท่านท้าววิรูปักษ์ มีอินทกะ คืออุปราชประมาณ ๑,๐๐๐ ท่านเหมือนกัน แล้วก็มีนาคเป็นบริวารนับจำนวนแสนๆ ทว่านาคในที่นี้ไม่ใช่นาคที่เลื้อยคลาน เป็นเทวดามีนามว่านาค เขาเรียกว่ากลุ่มนาค เป็นนามของกองทัพ ทีนี้เรามองไปทางด้านทิศเหนือ มีวิมานนับจำนวนแสนเหมือนกัน แถวนี้หรือในสถานที่นี้ท่านผู้เป็นผู้ใหญ่มีนามว่าท้าวเวสสุวัณณ์ มีอินทกะคือ อุปราช ๑,๐๐๐ ท่านเหมือนกัน แล้วก็มียักษ์เป็นบริวารนับเป็นจำนวนแสนๆ คำว่ายักษ์ในที่นี้แปลว่า ผู้อันบุคคลควรบูชาหรือแปลว่าเทวดา ไม่ใช่ยักยอกหรือว่ายักษ์ทศกัณฐ์ ยักษ์ประเภทนี้ไม่มีเขี้ยว มีรูปร่างหน้าตาสวยกว่าคนมาก เป็นเทวดาที่มีบุญญาธิการมาก รวมความว่าเทวดา ๔ เหล่าหรือ ๔ ด้าน เป็นกองทัพ ๔ กองทัพ ป้องกันเวชยันต์วิมานคือป้องกันชั้นดาวดึงส์ เพราะว่าเทวดากับพวกอสุรกายไม่ถูกกัน อสุรกายในสมัยก่อนอยู่ดาวดึงส์ แล้วก็ถูกพวกเทวดาขับไล่เพราะว่าอสุรกายเป็นอันธพาล ต้องมาอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ทีนี้บรรดากองทัพ ๔ เหล่านี้ก็มาอยู่ถึงกลางเขาพระสุเมรุ เพื่อเป็นการป้องกัน ถ้าอสุรขึ้นมาเมื่อไรก็รบกันเมื่อนั้น นี่เป็นเรื่องของเทวดาเขาจะรบกันจริงหรือไม่จริงก็ไปดูเรื่องเทวดาอสุรกายสงคราม หาที่ไหนไม่ได้ก็ไปดูในพระธรรมบทได้มีอยู่ เรื่องนี้ขอยกไปเป็นอันว่าเรามาพูดกันถึงเรื่องราวของเทวดา ๔ เหล่านี้ ความเป็นมาเป็นยังไง เทวดาทั้ง ๔ เหล่าหรือว่ากองทัพทั้ง ๔ กองทัพ มีท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวเวสสุวัณณ์ เป็นจอมทัพหรือแม่ทัพใหญ่อยู่ แต่ว่าเทวดาทั้งหมดปรากฏมาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ ท่านบอกว่านอกจากทาน ศีล ภาวนา แล้ว ต้องมีบทภาวนาได้ฌานทุกท่านจะเป็นฌานที่เท่าไรก็ตามแต่คงจะไม่ใช่ฌาน ๔ คงจะไม่ถึงฌาน ๔ นะ เรียกว่าท่านที่จะมาเกิดในชั้นนี้เป็นเทวดาทุกท่าน เป็นเทวดาอยู่มีฌานทุกท่าน แล้วก็เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย จึงมาเป็นเทวดากองทัพของพระอินทร์ เรียกว่าเป็นเทวดาทหาร สำหรับเทวดาที่อยู่ชั้นจาตุมหาราชนี้ก็ดี ชั้นนี้เรียกว่าชั้นจาตุมหาราช คือ มีพระราชา ๔ องค์แล้วก็เทวดาเป็นรุกขเทวดาหรือภุมเทวดาก็ดี ท่านพุทธบริษัท อย่าไปเหยียดหยามท่านนะทุกท่าน และมีจำนวนมากที่เป็นพระอริยเจ้า มีพระโสดา สกิทาคา อนาคา ก็มี นี่บรรดามนุษย์ทั้งหลายอย่าเบ่ง อย่าอวดตัวว่าดีกว่าเทวดา ว่าเทวดาไหว้ไม่ได้ เคารพไม่ได้ บูชาเทวดาไม่ได้ เราถึงพระพุทธเจ้าแล้ว แต่รู้หรือเปล่าว่าเทวดา แม้แต่ภุมเทวดา ที่เป็นพระอริยเจ้าก็เยอะ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เป็นพระอริยเจ้า ท่านก็มีความดี รับผลของความสุขคือมีรับผลของหิริและโอตตัปปะ พระหลายท่านหรือว่าส่วนมากเคยพูดว่าเวลาเราบวชพระนี่ดีเทวดาไหว้เรา พระประเภทนี้เข้าใจผิด ลูกศิษย์อาตมาเองเคยโดนมา คุยแล้วแบบนี้ แต่พอเจริญพระกรรมฐานจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ ก็โดนเทวดายกบาทาให้ บอกว่าส้นตีนนี่แน่ะ เทวดาไหว้ แล้วพอตอนเช้าเขาเข้ามาหาขอกว่าเทวดาไม่มีมรรยาท ถามว่าทำไม บอกว่าเวลานั่งพระกรรมฐานยกบาทาให้ได้ แล้วบาทาก็โตกว่าตัวตั้งเยอะ ก็เลยบอกกับเธอเข้าใจผิด คนที่เขาจะไหว้นั่นน่ะ คนที่เทวดาเขาจะไหว้จะต้องมีความดีเสมอเขาหรือว่ามีความดีเกินกว่าเขา พวกเราบวชเข้ามาเป็นพระไม่ใช่ว่าจะมีความดี เอาหัวก็ตาม โกนหัวอย่างพระห่มผ้าเหลืองอย่างพระ แต่ว่าจิตใจเป็นสัตว์ดิรัจฉานหรือว่าสัตว์นรกก็ถมไป เพราะไม่ตั้งอยู่ในธรรมวินัย ไม่ประพฤติปฏิบัติ มีความดีพอสมควรอย่างเทวดา พระที่ไม่มีหิริและโอตตัปปะ คือไม่มีความอายต่อบาป ไม่มีความเกรงกลัวต่อบาป พระบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนให้ละ แต่กลับมาสะสมทรัพย์สมบัติ อยากได้ลาภ อยากได้ยศ อยากได้สรรเสริญ อยากได้สุขอย่างฆราวาส บางท่านก็ทำตัวเลวกว่าฆราวาส อย่างนี้เทวดาเขาไม่ไหว้ เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องบุญที่ทำให้เกิดมาเป็นเทวดาชั้นนี้ รู้กันเพียงย่อๆ ว่านอกจากทานศีล ต้องมีภาวนาฌานและเวลาตายๆ นอกฌาน คือไม่ได้เข้าฌานตาย มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ เมื่อเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้แล้วก็บำเพ็ญฌานบารมีต่อไป ฌานเข้าเต็มที่ รอเวลา ๕๐๐ ปีทิพย์ คือเทวดานั้นมีอายุ ๕๐ ปี คือ ขอโทษ ๕๐ ปีของเราเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา เดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน และอายุของเขาจริงๆ ๕๐๐ ปีทิพย์ เมื่อครบ ๕๐๐ ปีทิพย์แล้วเทวดาชั้นนี้ทั้งหมด ถ้าไม่ต้องการไปเกิดเป็นคนก็ไปเกิดเป็นพรหมด้วยอำนาจของฌานที่บำเพ็ญจนครบถ้วนบริบูรณ์
    สำหรับหน้าที่ของเทวดาชั้นนี้คือควบคุมความประพฤติของมนุษย์ มีภุมเทวดาเป็นเจ้าหน้าที่คอยจดความดีความชั่วของตน ใครไปทำความดีความชั่วที่ไหนก็ตามพระภูมิจด เคยพบในสมัยที่ป่วยอยู่กรมแพทย์ทหารเรือ วันนั้นตี ๒ ปรากฏว่าเห็นคนเดินมาคนหนึ่ง ถามว่าใคร บอกว่าเป็นภุมเทวดา ถามว่ามาทำไม บอกว่ามาดูความดีและความชั่วของคน ว่าใครจะเป็นยังไงบ้าง ถามแกเข้าแกบอกว่า มันเป็นหน้าที่จะต้องมาจด จดความดีและความชั่ว อันนี้ตามบาลีก็มี ท่านบอกว่าภุมเทวดาเป็นคนจดตามเขตที่ตนอารักขามีหน้าที่แล้วก็ไปส่งให้อากาศเทวดา คืออากาศเทวดาของจาตุมหาราชชั้นพลทหารต่อไปเทวดาชั้นพลก็ไปส่งให้นายหมวดนายหมู่ แล้วก็มอบให้กับท่านท้าวมหาราช ท่านท้าวมหาราชก็คัดบัญชี ใครทำบาปกันไว้ประเภทของบาป ใครทำบุญกันไว้ประเภทของบุญประเภทของบาปก็ให้เทวดา ๔ องค์ที่เรียกว่าเทวทูตนำไปส่งสำนักของพระยายม ตัวท่านท้าวมหาราชเองพอเวลาวันพระก็นำไปสู่ที่ประชุมของเทวดาบนสวรรค์ดาวดึงส์ เมื่อเทวดามาประชุมกันที่เทวสถานหรือศาลาสุธรรมา ซึ่งบรรดาท่านพุทธบริษัทจะทราบเรื่องราวนี้ในวันพุธหน้า บรรดาเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อทราบว่าคนทำบุญมากก็ดีใจ แต่หน้าที่ที่ท่านเทวดาไปส่งคืนจาตุมหาราช ท่านนำเรื่องราวความเป็นมาของมนุษย์หรือความประพฤติของมนุษย์ที่ทำบุญไปส่งยั้นไปส่งกับปัญจสิกขเทพบุตร สำหรับปัญจสิขเทพบุตรนี้เป็นชื่อโดยตำแหน่ง คือเดิมทีเดียวท่านเทวดาองค์หนึ่งในสมัยที่เป็นมนุษย์มีแกละอยู่ ๕ แกละ มีจุกบนหัวน่ะ ๕ จุก ทีนี้ทำความดีตายไปแล้วไปเกิดเป็นเทวดา เขาให้นามว่าปัญจสิกขเทพบุตร มีหน้าที่เป็นเลขาของพระอินทร์ ต่อมาท่านองค์นั้นตายไปแล้ว เวลานี้ไปนิพพานแล้ว คนอื่นมารับหน้าที่นั้นก็เลยให้นามว่าปัญจสิกขเทพบุตรเหมือนกัน ท่านปัญจสิกขเทพบุตรก็นำเอาบัญชีนั้นไปกราบทูลให้พระอินทร์ทรงทราบ เมื่อพระอินทร์ทรงทราบแล้วก็ประกาศนามคนที่ทำบุญเหล่านั้นให้มวลหมู่เทวดาที่มาประชุมกันทราบ ถ้าระหว่างวันพระไหนมีคนทำบุญมากบัญชีบุญบัญชีกุศลมากบรรดาเทวดาทั้งหลายก็ดีใจ กล่าวกันว่าต่อแต่นี้ไปพวกบรรดาเทพนิกายมากแล้ว เพราะอาศัยความดีใจปลื้มใจทีมีพวกมาก ท่านก็พากันฟ้อนรำทั้งเทวดาและนางฟ้า ความจริงสวยจริงๆ นะ น่าดู น่าอยู่ น่าเป็นเทวดา แต่วันพระไหนถ้าบังเอิญ เป็นการบังเอิญนะ คนทำบุญน้อย บรรดาเทวดาทั้งหลายได้ทราบจากบัญชีของท้าวมหาราชก็สลดใจ วันนั้นไม่มีการฟ้อนรำ นั่งสลดใจเศร้าสร้อยไปตามๆ กัน นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท หน้าที่ของบรรดาท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ที่มีหน้าที่จะต้องทำอย่างนี้ นี่เราว่ากันอย่างลัดๆ นะ เรียกว่าคุยกันนานไม่ได้ อย่าดูกันนานเลย เพราะเวลามันกระชั้นเหลือเกิน เหลืออีก ๒-๓ ตอนจะหมดกำหนดที่พูดไว้ว่าจะทำเป็นเพียง ๒๔ ตอน ถ้าขืนพูดละเอียดละก็ ๑๐๐ ตอนมันก็ไม่จบ เพราะว่าเรื่องราวของไตรภูมินี้จะเป็นหนังสือ เวลานี้ ท่าน พล อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ กำลังลอกเป็นตัวหนังสือเป็นตอนๆ ท่านเจ้ากรมคนนี้เก่งจริงๆ เก่งมาก หนังสือที่ออกไปแล้วทุกฉบับท่านลอกจากเทปบันทึกเสียงลงเป็นตัวหนังสือ ทำงานได้เร็วมาก เขียนหนังสือก็สวย คนประเภทนี้ได้กำไร เพราะจัดว่าเป็นเหตุของธรรมทานอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้า ท่านกล่าวว่า สัพพทานัง ธรรมทานังชินาติ การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ก็แลท่านเจ้ากรมนี่เป็นผู้ประกอบด้วยวิริยะและอุตสาหะ และทำงานได้รวดเร็วมาก หายากที่จะทำได้แบบนี้ คนประเภทนี้ถ้าตายลงนรกก็ซวยเต็มที และก็เป็นเรื่องราวต่อไป ข้างหน้ามันมีอยู่ว่านักเจริญพระกรรมฐานทั้งหลายส่งจดหมายกันมาไม่รู้ว่ากี่ฉบับ เวลานี้ก็คั่งเต็มที่ไม่ได้ตอบให้ใครทราบต่างคนต่างก็ถามว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานตามแนวที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน จะเอาแนวจริงๆ กันมีเป็นประการใดบ้าง ถ้าจะตอบก็ตอบไม่ไหว เวลาไม่มี และอีกประการหนึ่งมีหลายท่านด้วยกันส่งเทปมา บอกขอให้ช่วยบันทึกด้วยเถอะ จะเอาไปให้คนฟังกันในสำนักงานของตน นี่ก็เหมือนกัน งานการก็มีทุกอย่าง วัดวาอารามก็สร้างไม่เสร็จ ที่สร้างมาแล้วคิดว่ามันจะพอ เวลานี้พอไม่ได้เสียแล้ว คนมามากเต็มไม่มีที่พักอาศัย ในที่สุดเป็นยังไงก็ต้องสร้างใหม่ เริ่มเหนื่อยใหม่ต่อไปใหม่ เป็นอันว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ท่านทั้งหลายที่ถามถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระกรรมฐาน ว่าทำยังไงจึงจะถูกต้องตามพระพุทธพจน์ อันนี้อาตมาจะนำเรื่องราวของอุทุพลิกาสูตรมาบันทึกให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังและก็เพื่อไม่ให้เสียเวลาสำหรับท่านทั้งหลายที่ไม่ได้ส่งเครื่องบันทึกเข้าไว้ หลังจากเรื่องราวของไตรภูมิจบก็จะออกอุทุมพลิกาสูตรเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติพระกรรมฐาน ที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันกับนิโครธปริพาชก จะพูดให้ฟังเต็มเรื่องโดยละเอียดเวลานี้ คุณหมดประจวบกับคุณยุพยงแห่งร้านวรรณเวช อำเภอสรรค์บุรี ส่งเทปมาตั้งปึกเบ้อเร่อก็ยังไม่มีโอกาสจะทำให้ ก็จะทำพร้อมๆ กันไป คือ บันทึกให้ท่านแล้วก็บันทึกออกสถานีด้วย มิฉะนั้นเวลามันไม่มี
    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทเวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง นี่เรามาชมเรื่องจาตุมหาราชกันพอสมควรแล้ว เดินให้มันลัดให้มันเร็วเข้า วันนี้อย่าย่องเลยวิ่งดีกว่า แต่อย่าวิ่งให้เร็วนักนะ คนที่เดินมาด้วยกันน่ะคนแก่มีเยอะ เดี๋ยวจะหกล้มจมคว่ำ จะล้มไปปากคอจะแตก เดินต่อขึ้นไปอีกครึ่งทางจะถึงจุฬามณีเจดีย์สถาน อันเป็นที่ถวายนมัสการของบรรดาเทวดาและพรหมหรือว่าท่านที่ได้ฌาน หรือว่าพระทั้งหลายที่ตายแล้วไปเกิดในที่ไม่ตายอีก นั่นก็ต่างพากันมาไหว้ ในระหว่างกึ่งกลางนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทางซ้ายมือจะเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งแลดูเป็นแก้วแพรวพราวไปทั้งต้น มีสาขาใหญ่ มีแท่นน้อยๆ วางอยู่โคนต้นไม้ แท่นนี้มองดูแล้วไม่ใหญ่ แต่ความจริงแล้วนั่งกี่คนก็ไม่เต็ม เมืองเทวดานี่มีแปลกอยู่อย่างหาอะไรพอเหมาะพอดีไม่ได้ หมายความว่าหาอะไรเล็กไม่ได้ของไม่โตแต่คนไปมากนั่งไม่เต็ม อันนี้เป็นของแปลก ต้นไม้ต้นนี้กล่าวกันว่าเกิดขึ้นมาได้ด้วยอำนาจของท่านมาลาพาลีเทพบุตร ในสมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ ท่านชอบปลูกต้นไม้เป็นสาธารณประโยชน์ เมื่อปลูกต้นไม้แล้วก็ทำเก้าอี้บ้าง ทำเตียงบ้าง ทำแท่นบ้าง เอาหินมาว่าเป็นที่นั่งสำหรับคนจะได้นั่งพัก ท่านทำแล้วท่านไม่ประสงค์ค่าจ้างรางวัล เรื่องการตอบแทนใดๆ หวังให้คนเดินทางมาจากที่ไกลได้อาศัยนั่งร่มให้สบายมีความร่มรื่นจะได้พักอาศัย เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายถ้าดูเวลาแล้วมันก็เหลืออยู่อีกนิดเดียว ถ้าเราจะเดินทางกันต่อไปก็คงจะไม่ไกลนัก ไหนๆ ก่อนจะหยุดก็ขยับเดินทางไปอีกนิด เดินไปอีกครึ่งทางก็ขึ้นไปถึงบันใดที่จะขึ้นจุฬามณีเจดีย์สถาน อันเป็นสถานที่นมัสการของบรรดาเทวดาและมนุษย์ที่ได้ฌาน ขึ้นหรือไม่ขึ้น ลองขึ้นสักนิดไหม ดูบันไดซิท่านพุทธบริษัท จะเห็นบันใดทองแล้วประดับประดาไปด้วยแก้วพราวพราย แหงนขึ้นไปข้างหน้าไปดูนั่นซิ รอบๆ ทาง รอบๆ ของจุฬามณีเป็นกำแพงทองคำ และก็แพรวพราวไปด้วยแก้ว พระจุฬามณีเจดีย์สถาน เป็นเจดีย์มีสัณฐานกลมสูงตระการตา มีธงหลากสีหลายประการ มีธงมากมายหลายประเภทขึ้นอยู่ แล้วพระจุฬามณีเจดีย์สถานก็มีแก้ว ๗ ประการประดับทั้งองค์ คือเป็นแก้ว ๗ ประการทั้งหมด เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้หมดเวลาแล้ว พักกันตามบันใดพระจุฬามณีเจดีย์สถานกันก่อน อีก ๗ วัน คือวันพุธหน้าค่อยเดินทางต่อไป
    สำหรับวันนี้หมดเวลาอาตมาก็ขอกลับวัดสักนิดหนึ่งก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี.
    .</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    จากหนังสือไตรภูมิของหลวงพ่อ สรุปได้ว่า รุกขเทวดา ภุมเทวดา อากาสเทวดา เป็นเทวดาที่สังกัดอยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกา ครับ เจริญในธรรมครับ
     
  13. Armkae

    Armkae สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +9
    ผู้ลงให้ความรู้จริงค่ะ อยากทำดีมากขึ้น ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
     
  14. jakkapatp

    jakkapatp สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ละเอียดมากครับ

    อยากให้หลายๆท่าน อ่าน และก็ปฏิบัติตาม

    ขออนุโมธนาบุญด้วยนะครับ :cool:
     
  15. Xiaobao

    Xiaobao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +472
    ขออนุโมทนาสาธุกับธรรมทานดีๆที่นำมาบอกกล่าวด้วยนะครับ
     
  16. oracle_Park

    oracle_Park เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +813
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุครับ
     
  17. CHOLPRATAN319

    CHOLPRATAN319 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +2,552
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาบุญเป็นอย่างสูง
    และข้าพเจ้าขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ที่เอาธรรมะที่เป็นสัมมาทิฐิมามาโพสเผยแผ่ในเว็ปพลังจิต<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  18. อานิจจัง

    อานิจจัง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +3
    ขออนุโมทนา กับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
    ที่พาเที่ยวชม สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น จนไม่อยากกลับเลย
     
  19. LiKeLuCk

    LiKeLuCk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +109
    ขอขอบคุณ สำหรับความรู้ดีๆๆ
     
  20. sawok B

    sawok B เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +230
    ที่ข้อความกล่าวมาด้านบน ถูกผิดหรือไม่แต่อย่างใด โปรดหาที่อ้างอิงด้วยครับ
    ว่า นำมาจากใหน ใครเป็นคนพูด
    ในศาสนาพุทธมีผู้ที่เชื่อได้แค่คนเดียวคือ พระพุทธเจ้า ครับ พระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญูรู้ทุกเรื่อง ทั่วโลกธาตุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...