เรื่องเด่น อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๓๙ : พบพระองค์ที่ ๑๑

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 21 สิงหาคม 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,693
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,261
    ค่าพลัง:
    +25,980
    39.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๓๙ : พบพระองค์ที่ ๑๑

    หลังจากที่ “พระองค์ที่ ๑๐” เสด็จมาโปรดลูก ๆ ของ "หลวงพ่อ" จนเกิดเรื่องราวกันวุ่นวายใหญ่โต "หลวงพ่อ" ก็สร้างศาลาที่โคนโพธิ์ริมน้ำ ประดิษฐานรูปหล่อของพระองค์ที่ ๑๐ และยังให้ช่างปั้นรูปหล่อของ “พระองค์ที่ ๑๑” ไว้บูชาคู่กันด้วย...

    "หลวงพ่อ" เล่าว่า พระองค์ที่ ๑๑ นั้น ประกอบด้วยบุญญาบารมียิ่งกว่าพระองค์ที่ ๑๐ เสียอีก และในงานเป่ายันต์เกราะเพชรปลายปีนี้ พระองค์ที่ ๑๑ รับปากว่าจะเสด็จมาโปรดลูก ๆ ของ "หลวงพ่อ" เช่นเดียวกับพระองค์ที่ ๑๐ บ้าง...

    พอศาลาและรูปปั้นของท่านสร้างเสร็จ อาตมาก็บอกบุญพวกพ้องทั้งหมด ให้ร่วมกันซื้อเก้าอี้นวมถวายท่าน ได้นัน (นันฑิญา เหลืองถาวรกุล) เจ้าของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ ขายให้ในราคาถูกเป็นพิเศษ แถมขนมาส่งให้จนถึงที่อีกด้วย...

    โส่ย (จันทกานต์ ตรีอุดมสิน) ถักหมอนอิงใบโตให้ พวกเรานำทั้งเก้าอี้และหมอนอิงสีขาวเข้ากันทั้งชุด ไปตั้งถวายเป็นพุทธบูชา ที่เบื้องหน้ารูปปั้นของท่าน อธิษฐานด้วยความปลื้มใจว่า “เมื่อท่านเสด็จมาโปรด ขอโอกาสให้ลูกได้พบด้วยเถิด...”

    พรรคพวกพี่น้องตามกันเป็นโขยง เพราะทุกคนเกิดความมั่นใจว่า อาตมาจะต้องเป็นคนพบพระองค์ที่ ๑๑ อย่างแน่นอน ก่อนงานสองวัน อาตมานำพี่มุกดา (คุณมุกดา เพชรชื่นสกุล) เกียง (มาลินี ตีรเลิศพานิช) พร (ชยาพร ลี้ประเสริฐ) ติ๋ว (ร.ท.หญิงสิริพร จอมผา) และลูกสาวคนโตที่เพิ่งหัดหนีเที่ยวของอาตมา คือ ลูกปุ๊ก (สุมาลี ตีรเลิศพานิช) ไปวัดด้วยกัน...

    ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ คาราวานรถเทรลเลอร์ บรรทุกพระพุทธรูปหน้าตัก ๒๙ นิ้ว เกือบ ๓๐๐ องค์ มาจากพิจิตร อาตมาและลูก ๆ ทั้งหลายของ "หลวงพ่อ" ช่วยกันขนลงไปไว้ที่ใต้อาคารโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา รอบรรดาโรงเรียนต่าง ๆ มารับแจก...

    เขาใช้เวลาขนขึ้นนานเท่าไรไม่รู้ แต่พวกเราช่วยเฮพักเดียวก็เรียบร้อย ยิ่งองค์ "หลวงพ่อ" ลงไปบัญชาการเอง พวกเราก็ทำงานกันแบบลืมเหนื่อย ทั้งลูกหญิงลูกชายแข่งกันขนแบบไม่ยอมน้อยหน้ากันเลย (ต่อหน้าพ่อต้องเก่งไว้ก่อน...)

    หลังงานขนพระแล้ว อาตมาก็นำพรรคพวกตะลุยหาพระองค์ที่ ๑๑ รอบวัด จะมืดค่ำขนาดไหนไม่สนใจทั้งนั้น ลุยกันป่าราบเป็นแถบ ๆ งูเงี้ยวเขี้ยวขอเผ่นกันกระเจิง เพราะมีคนยกขบวนตามมาเป็นสิบ ๆ งานกวนข้าวทิพย์ก็กำลังสนุก ซ้ำมีคนมารายงานว่า ได้พบกับหลวงปู่ใหญ่โลกอุดรด้วย พวกเรายิ่งลุยกันชนิดสุดแรงบ้าเลยล่ะ...

    เกือบเที่ยงคืนถึงยอมแพ้ กลับไปนอนหมดแรงที่อาคาร ๑๗ ห้อง เก้าคนนอนหัวชนกันเป็นลูกระนาดเลย ติ๋วซึ่งอุ้มแตงท้องโย้ นอนติดกับอาตมาตรงประตู แถมออกคำสั่งด้วยว่า “ดึก ๆ เขาจะปลุกไปเป็นเพื่อนตอนลุกไปห้องน้ำนะ...” เฮ้อ...ทำไมถึงต้องเป็นเรา...?

    ประมาณตีสาม อาตมาตื่นขึ้นมาตามความเคยชิน ลืมตาขึ้นมาก็งงเป็นไก่ตาแตก เรามานอนอยู่กลางแจ้งตั้งแต่เมื่อไรหว่า...? รอบตัวว่างโล่งไปหมด ทั้งหอพระ ตึกธัมมวิโมกข์ โบสถ์ หอนาฬิกา ศาลานวราชบพิตร ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด...!

    ฝั่งตรงข้ามที่เป็นวัดเก่านั่นเอง เทวดาองค์มหึมายืนตระหง่านค้ำฟ้า กายสีขาวสว่างจ้าอย่างกับเพชร นั่นท่านปู่มหานาคานี่นา ท่านปรากฏกายด้วยเหตุใดกัน...? ความคิดยังไม่ทันสิ้นสุด สิ่งมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา...!

    ประกายสีทองเจิดจ้าแพรวพราว ราวกับจะข่มทุกอย่างให้หมองราศี ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าตะวันออก แล้วเลื่อนลอยเข้ามาอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้า เห็นเป็นพระภิกษุหนุ่ม ผิวพรรณสีทองอร่ามตา ยิ้มแย้มแจ่มใส สวยงามจนบอกไม่ถูก...!

    รูปร่างท่านคล้ายกับหลวงปู่ปานตอนหนุ่ม ๆ ไม่มีผิด ภิกษุผู้ปรากฏกายอย่างพิสดาร กล่าวกับอาตมาว่า “ลูกเอ๋ย...อย่าไปเดินหาพ่อแบบนั้น มันอันตรายนะลูกนะ ถ้าอยากพบพ่อจริง ๆ พรุ่งนี้ให้ไปกราบรูปปั้นของพ่อที่ใต้ต้นโพธิ์ริมน้ำ หรือไปกราบ "หลวงพ่อ" ของเจ้า พ่อจะอยู่แค่สองที่นี้เท่านั้น อย่าลืมนะลูก...”

    พอจบคำ ท่านก็ลอยหายลับไปทางเดิม ท่านปู่มหานาคาก็หายวับไปกับตา หมู่ตัวอาคารต่าง ๆ ปรากฏพรึ่บขึ้นมาอย่างเดิม กลายเป็นอาตมานั่งอยู่ในห้องพัก รอบข้างเพื่อน ๆ ยังหลับเหมือนสลบไสล ไม่มีใครตื่นขึ้นมาร่วมรับรู้ด้วยซักคนเดียว...

    เช้ามืด...อาตมารีบไปยังใต้ต้นโพธิ์ริมน้ำ โดยที่ไม่ได้บอกกล่าวใครเลย พอไปเกือบถึงหน้ารูปปั้นของท่าน อาตมาก็เห็นพระภิกษุองค์หนึ่งห่มจีวรสีเหลืองอร่าม นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมอย่างสบายใจ อาตมาโมโหแทบไฟแล่บ “พระที่ไหนนะ...? ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำเลย...!”

    ตรงเข้าไปจะต่อว่า ที่ท่านบังอาจมานั่งบนที่บูชา พอเข้าไปถึงก็ต้องขยี้ตาตัวเอง ไม่เห็นมีใครซักคน แล้วเมื่อกี้ใครกันล่ะ ? เก้าอี้และหมอนอิงต่างก็เป็นสีขาว ไม่มีทางที่จะตาฝาดเห็นเป็นสีเหลืองไปได้ อาตมาขนลุกซู่ไปทั้งตัว รีบกราบลงแทบไม่ทัน...

    ไม่กล้าบอกกล่าวกับใครเลย เพราะเหตุการณ์ทั้งเมื่อคืนและตอนเช้า อาตมาพบเห็นอยู่คนเดียว ไม่มีใครช่วยเป็นประจักษ์พยาน จึงไปช่วยงานที่ศาลา ๔ ไร่ ผู้คนแห่กันมาในงานเป่ายันต์แน่นไปหมด ช่วยเขาจัดระเบียบแถวเข้าถวายสังฆทานเสียแทบแย่...

    การเป่ายันต์รอบแรกผ่านไป บรรดาผู้ที่ถูกของไสยศาสตร์มา ต่างดิ้นกันแทบศาลาถล่ม พอการเป่ายันต์รอบสองจบลง กำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่ ได้ยินเสียง "หลวงพ่อ" ถามว่า “เออ...เมื่อคืนมีใครพบพระองค์ที่ ๑๑ บ้างหว่า...?”

    อาตมาได้แต่รับว่า “ผมครับ” อยู่ในใจ เพราะไม่มีใครเป็นพยานเลยไม่กล้าเสนอหน้า กลัวโดนตะพด เสียง "หลวงพ่อ" กล่าวต่อไปว่า “เมื่อคืนพระองค์ที่ ๑๑ ท่านมาตอนตีสาม ท่านตั้งใจให้เห็นทุกคน ถ้าใครไม่หลับรับรองว่าได้พบท่านแน่...!”

    “ตอนนี้ท่านคุมฉันอยู่ และอยู่ที่โคนโพธิ์ริมน้ำอีกแห่งหนึ่ง ใครเป่ายันต์แล้วจะไปกราบท่าน ก็ข้ามไปที่ฝั่งวัดเก่านะ...” อาตมาแทบเขกกบาลตัวเองด้วยความเจ็บใจ พบกับท่านจัง ๆ ถึง ๒ วาระด้วยกัน แต่ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาเลย...!

    กราบเรียนถาม "หลวงพ่อ" ว่า ทำไมพระองค์ท่านไม่เสด็จมาแบบพระองค์ที่ ๑๐...? "หลวงพ่อ" ตอบว่า “ท่านกลัวพวกแกไม่ยอมปล่อยให้กลับเหมือนพระองค์ที่ ๑๐ เลยต้องมาแบบนี้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพวกแกก็สร้างกรรมกับท่านแบบพระองค์ที่ ๑๐ อีก...!”

    มือลูกสิบนิ้ว ยกขึ้นเหนือคิ้ว
    ต่างธูปเทียนทอง
    มุ่นมวยเกศา ต่างมาลากรอง
    ดวงเนตรทั้งสอง ต่างประทีปถวาย
    ผมเผ้าเกล้าเกศ ต่างปทุเมศ
    บัวทองพรรณราย
    วาจาเพราะพร้อง ต่างละอองจันทร์ฉาย
    ขอน้อมถวาย บูชาทรงธรรม์

    ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...