หลักการพิจารณาดูพระสมเด็จเกศไชโยพิมพ์6ชั้นอกตลอด

พระอะไรก็แล้วแต่นะครับถ้าเราไม่หยิบมาส่องพิจารณาเราก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเก๊แท้(ยกเว้นมันต่างจริงๆ)และบางคนถึงแม้จะหยิบขึ้นมาส่องก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเก๊แท้ เอะยังไง! สิ่งที่จะบอกก็คือผมว่าการพิจารณาในเรื่องเนื้อหาพิมพ์ทรงของพระนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และ ละเอียดมากๆ แต่ในการพูดคุยแลกเปลียนความคิดเห็นกันผ่านทางหน้าเว็ปนั้นผมมองว่าเราสามารถพูดคุยกันได้เฉพาะในเรื่องพิมพ์ทรงพอสมควรเท่านั้น ผมก็เลยขออนุญาตเพื่อนสมาชิกมาแชร์หลักการดูพระสมเด็จเกศไชโยออกที่วัดเกศไชโยพิมพ์6ชั้นอกตลอด โดยมีหลักการดู(ของผมเอง)ในจุดที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญดังต่อไปนี้ครับ

1.มุมทั้ง4มุมขององค์พระซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ มุมทั้ง4มุมจะต้องมน ไม่ได้เกิดจากการฝนเพื่อให้เกิดความมน แต่เนื่องจากบล็อกของวัดเกศ นั้นจะมีความ มน ในมุมทั้ง4มุนเกิดขึ้นมาจากบล็อกแม่พิมพ์แต่เริ่ม และในจุดนี้นี่เองเป็นจุดที่สำคัญที่ควรสังเกตุว่ามุมแต่ละมุมของบล็อกแต่ละบล็อกนั้นมีความ มมของมุมประมาณไหน
2.ฐานทั้ง6ชั้นนั้นปลายของแต่ละฐานจะต้องมีความแหลมคมเป็นธรรมชาติ ลักษณะของฐานทุกฐานจะโค้งเป็นลักษณะหลังเต่าหรือคล้ายๆลูกระนาดถ้าพระที่เริ่มมีการสึกของเนื้อพระนั้นจุดตรงปลายแหลมของแต่ละฐานจะสึกช้าที่สุดเพราะปลายของแต่ละฐานจะอยู่ต่ำกว่าตรงกลางฐานที่นูนขึ้นมาซึ่งจะต้องสึกก่อนโดยธรรมชาติ
3.ในจุดที่อยู่ระหว่างหน้าตักขององค์พระกับจุดประสานมือนั้นจะมีตุ่มนูนขึ้นมา จะสังเกตุเห็นได้ชัดโดยการสัมผัสจะรู้สึกถึงการนูนขึ้นมาของเนื้อบริเวณนี้
4.ด้านหลังองค์พระนั้นจะมีรอยปาดโดยตอกที่ใช้ตัดขอบลักษณะการปาดจะปาดจากซ้ายไปขวาเป็นจุดสำคัญเช่นกันครับ
5.จุดนี้เป็นจุดคลาสสิกที่สุดคือด้านหลังองค์พระที่ดูเหมือนเรียบนั้นแท้จริงแล้วเป็นเอกลักษณ์สำคัญเลยคือ....................

 

ขอบคุณครับ ขอร่วมศึกษาด้วยคนครับ

 

ขอเข้ามาจองที่นั่งดูด้วยคนนะครับ แต่อย่าให้ผมฟันธงอะไรเลย เพราะไม่ใช่เซียนนะครับ
ผมลองนำด้านหลังองค์นี้มาดูก็เห็นรอยปาดเช่นกัน แล้วเราจะมีวิธีดูได้ยังไงละครับว่า เป็นรอยปาดจากซ้ายไปขวา หรือว่าขวาไปซ้าย ครับ

 

แนวเส้นที่ผมขีดใว้จะเห็นว่ามีรอยกดเป็นแนวอยู่ ชึ่งเกิดจากการกดน้ำหนักมือครั้งแรก จะคล้ายๆกับการฉาบพื้นปูนของช่างก่อสร้างกดลงแล้วปาดไปทางซ้ายเพื่อให้เกิดความเรียบของผิวพระลองนึกถึงการฉาบปูนของช่างก่อสร้างดูแล้วกันนะครับ รอยกดอาจจะไม่มีก็ได้แต่รอยปาดต้องเป็นระเบียบนึกถึงการฉาบปูนดู และด้วยการปาดในลักษณะนี้นี่เองจึงทำให้เกิดเอกลักษณ์สำคัญขึ้น ซึ่งตรงนี้ขอกั๊กไว้ให้ทุกท่านที่เคารพค้นหาเองนะครับ

 

ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้ ว่างๆมาเพิ่มเติมแบ่งปันอีกนะครับพี่ท่าน
สมเด็จเกศไชโยมีการสร้างกี่ครั้งกันแน่ครับพี่ท่าน ขอเรียนถามด้วยความเคารพครับ

 

การพิจารณาเนื้อหาของเกศไชโยนั้น เหมือนง่าย แต่แท้จริงแล้วยากมาก การพิจารณาพิมพ์เพื่อหาตำหนิ จุดอ้างอิง ของสมเด็จเกศไชโยนั้น แทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะของปลอมนั้นทำมาชนิดที่ว่าถอดกันมาเลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำยังไม่ได้ คือธรรมชาติ และเนื้อหา อันเป็นจุดที่สำคัญที่สุด เอาง่ายๆ ลองเปรียบเทียบด้านหลังขององค์จขกท กับ ด้านหลังขององค์ของคุณbrutus จะดูแยกแยะกันได้ง่ายมากคับ เนื้อหาของพระเกศไชโย มีกี่แบบ? อะไรบ้าง? ลักษณะการแตกราน ? ลักษณะและความหมายของ ซุ้มกระจก อกร่อง หูบายศรี ในแต่ละพิมพ์ของเกศไชโยนั้นต้องจำให้แม่นคับ ไม่งั้นหลงทางกันไปหมด... เค้าถึงมีการแยกพิมพ์นิยม(5,6,7 ชั้น) กับ พิมพ์ไม่นิยม(ตลก 3,5,6,7 ชั้น) ออกจากกันเพื่อให้ศึกษาและเข้าใจกันง่ายขึ้นคับ

 

ถูกใจครับ เนื้อหาต้องมาก่อน เนื้อไม่ใช่ก็ไม่ต้องไปดูพิมพ์หรือตำหนิให้เสียอารมหลอกครับ คหสต

 

ท่านจัวน้อยดูง่ายมากครับ

 

ด้านหลังต่างกันอย่างไรบ้างคับพี่RUK ระหว่างสององค์รบกวนแนะนำเพื่อเป็นความรู้ด้วยครับ เห็นกระทู้ตกไปขออนุญาติดันครับ

 

เกศไชโย ต้องพิจารณา เนื้อหา พิมพ์ และภาพรวมให้ดีคับ จะไปยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เป็นคาดว่าจะเป็นจุดสังเกตุตายตัวไม่ได้ ลองๆดูในหนังสือบ่อยๆ(เอาที่เป็นรวมเล่มแบบเฉพาะเลยนะคับ) ประเภทโชว์พระขายอย่าไปจำมาก ดูเนื้อหาของพระ อาจจะแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
1. เนื้อนุ่ม -> มักมีก้อนมวลสารค่อนข้างหยาบ และจะมีตังอิ๋วผสมอยู่มาก วรรณสีสรรค์จึงออกขาวๆอมน้ำตาล ขาวขุ่น ขาวอมเหลือง หรือออกน้ำตาลอ่อนๆ ดูโดยรวมจะดูหนึกๆ นุ่มๆ มีความเหนียวแน่นตามธรรมชาติ
2.เนื้อแกร่ง -> เป็นเนื้อที่แก่ปูน แต่จะเป็นเนื้อเดียวที่มีมวลสารฝังอยู่ในองค์พระ ตามผิวพระมักจะไม่พบมวลสารเลย เหลือเห็นน้อยมาก(เม็ดเล็กๆดำๆ) วรรณสีสรรค์ จะออกขาวขุ่น พื้นผิวพระจะมีความแกร่งและแห้งมากกว่าทุกเนื้อ
3.เนื้อน้ำมัน -> วรรณสีสรรค์จะออกน้ำตาลเพราะมีตังอิ้วมาก มีความหนึก ฉ่ำ กว่าทุกเนื้อ มักจะพบมากใน พิมพ์6ชั้น อกตัน บางองค์เคยเจอแบบว่าเป็นสีขาวขุ่น สะอาดสะอ้าน แต่พอถูกสัมผัสมากจะเป็นสีน้ำตาลในพื้นที่ผิวที่ถูกสัมผัส จึงทำให้สังเกตุได้ว่าจะไม่ไช่สีน้ำตาลทั้งองค์แต่จะมีจุดที่เป็นสีขาวแซมๆอีกด้วย ซึ่งเป็นปฎิกริยาของตังอิ๋ว และจุดสังเกตุนี้นำไปใช้กับสมเด็จวัดระฆังได้ด้วยคับ..

นอกเหนือจากจุดสังเกตุพื้นฐานที่บอกไป ก็ต้องไปพิจารณาถึงธรรมชาติ และเนื้อหาอื่นๆด้วย เช่นการขัด การปาด การลบมุม ...ฯลฯ ซึ่งต้องใช้ความสังเกตุและความพยายามสูงคับ เอาใจช่วยคับ ขอให้โชคดีคับ

 

ลองดูอีกรูปแบบครับเนื้อสีออกคล้ายข้าวสาร..พิมพ์ไม่สวยไม่รู้ว่าเป็นไง