หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    อาถรรพ์ผีป่าจัน ดงพญาไฟ

    thamnu onprasert
    Oct 28, 2023
    เรื่องราวลี้ลับของดวงวิญญาณหลอนที่บ้านห้วยป่าจัน ดงพญาไฟ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    สามเณรน้อยธุดงค์เดี่ยว ฝ่าดงช้างและดงเสือ

    ปู่ดอน station
    Oct 5, 2023

    ในกลางป่าเขาอันเงียบสงัด สามเณรน้อยรูปหนึ่ง ได้แบกกลดสะพายบาตรหาที่สัปปายะภาวนา จนมาพบกับที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายจากสัตว์ร้าย ความกลัวได้ทวีความรุนแรงขึ้นในใจของสามเณร ?!!! หรือนี่จะเป็นจุดจบของสามเณร ท่านจะเอาตัวรอดได้อย่างไร เมื่ออันตรายนั้นมาประชิดตัว!?..
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    น่าอัศจรรย์! ลิงพูดกัน หลวงปู่มั่นล่วงรู้หมด

    ปู่ดอน station
    Aug 19, 2023

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอรหันต์ผู้เป็นบูรพาจารย์แห่งพระป่ากรรมฐาน สมัยที่ท่านยังพำนักภาวนาอยู่ที่ถ้ำอาถรรพ์ ท่านได้กำหนดจิตฟังเสียงฝูงลิงคุยกัน ท่านรู้ความหมายต่างๆทั้งหมดอย่างน่าอัศจรรย์ สุดท้ายลิงทั้งหลายก็พากันมาหาอยู่หากินใกล้กับองค์ท่านได้อย่างสบายหายห่วง..
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    เห็นธรรมในป่าช้า

    thamnu onprasert
    Nov 4, 2023

    ประสบการณ์ในวัยหนุ่มของหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพงที่ได้พบเจอในป่าช้าที่น่ากลัว.
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    เทวดา พญานาค มาขอฟังธรรมและนั่งสมาธิกับหลวงปู่กูด

    ปู่ดอน station
    Jul 16, 2023

    หลวงปู่กูด รักขิตสีโล พระอริยสงฆ์แห่งวัดป่าศิลาอาสน์ ท่านเป็นพระที่มักมีความเกี่ยวข้องกับเทพและพญานาคอยูเสมอ เพราะท่านปราถนาพุทธภูมิมาก่อน ชาตินี้เป็นชาติที่ท่านถอนความปราถนาพุทธภูมินั้นอย่างไม่ไยดี เพราะท่านปราถนาจะภาวนาให้พ้นทุกข์ในชาตินี้ให้ได้นั่นเอง..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2023
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่กูด รักขิตสีโล

    วัดป่าศิลาอาสน์
    อ.เมือง จ.ยโสธร

    4_449.jpg
    หลวงปู่กูด รกฺขิตสีโล วัดป่าศิลาอาสน์ บ้านหนองหิน ตำบลหนองหิน อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
    หลวงปู่กูด รกฺขิตสีโล นามเดิม นายกูด ค่ำโพธิ์ ท่านเกิดเมื่อวันพุธ ที่ ๘ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๙ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง ณ บ้านหนองหิน ตำบลหนองหิน อำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันเป็น อ.เมือง จ.ยโสธร) บิดาชื่อนายชาย ค่ำโพธิ์ มารดาชื่อ นางดี ค่ำโพธิ์ มีพี่น้องร่วมท้อง ๗ คนด้วยกัน คือ

    ๑. หลวงปู่เจิ่น สิริจนฺโท : มรณภาพแล้ว
    ๒. นายจุ่น ค่ำโพธิ์ : ถึงแก่กรรม
    ๓. นางเพ็ง เขียวศรี : ถึงแก่กรรม
    ๔ นางแพง ศรีสล่าง : ถึงแก่กรรม
    ๕. หลวงปู่ขาน ปญฺญาธโร : มรณภาพแล้ว
    ๖. หลวงปู่กูด รกฺขิตสีโล : มรณภาพแล้ว
    ๗. นางหนูแต้ม จิตรอบ : ถึงแก่กรรม

    -รกฺขิตสีโล-2-784x1024.jpg
    หลวงปู่กูด รักขิตสีโล วัดป่าศิลาอาสน์
    หลวงปู่กูด มีพระพี่ชายอีก ๒ รูป คือ หลวงปู่เจิ่น สิริจันโท และหลวงปู่ขาน ปัญญาธโร ซึ่งท่านทั้งสองนอกจากเป็นพี่น้องทางสายโลหิตแล้ว ยังเป็นกัลยาณมิตร กัลยาณธรรม ผู้ผูกพันใกล้ชิดเคียงบ่าเคียงไหล่ในเพศพรหมจรรย์หวังเพียงเพื่อที่จะพ้นทุกข์ข้ามแดนแห่งวัฏฏะสงสารโดยถ่ายเดียว อีกทั้งพี่น้องทางฝ่ายหญิงคือ นางเพ็ง (พี่สาว) และแม่ใหญ่แต้ม (น้องสาว) ก็ได้ออกประพฤติปฏิบัติธรรม ฝึกหัดภาวนา รักษาศีล ๘ ติดตามหลวงปู่กูด จนถึงกาลอวสานแห่งชีวิต ซึ่งถือว่าวงศ์ตระกูลของท่านมีบุญบารมีในทางธรรม เป็นตระกูลนักบวช นักปราชญ์ น่าสรรเสริญยกย่องเป็นยิ่งนัก

    หลวงปู่กูด สมัยเมื่อวัยเด็ก การศึกษาของท่านสมัยก่อนไม่มีห้องเรียน ท่านต้องเรียนกันตามร่มไม้ ท่านได้เล่าเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ต่อมาบิดา มารดาของท่านได้เสียชีวิตลง หลวงปู่เจิ่น จึงรับภาระหน้าที่เลี้ยงดูน้องๆ ทุกคน น้องๆ ทุกคนจึงมีความเคารพหลวงปู่เจิ่น เปรียบเสมียนเป็นพ่อแม่ของตนเอง หลวงปู่เจิ่นบอกว่าน้องๆ ของท่านว่านอนสอนง่ายกันทุกคน หลวงปู่กูดสมัยเป็นฆราวาส ท่านมีอาชีพทำนา เมื่อท่านนำวัวควายไปกินหญ้าเสร็จแล้ว ท่านมักจะหลบไปนั่งภาวนาที่ใต้ต้นหว้าที่ทุ่งนาของท่านเป็นประจำทุกๆ วัน ที่นาของหลวงปู่ ได้อยู่ติดกับเพื่อนบ้านท่านหนึ่ง ซึ่งมีอายุต่างกันถึง ๑๐ ปี แต่มีอัธยาศัยที่ตรงกันคือ ชอบสนทนาธรรมะกัน และมีความคิดอยากที่จะอุปสมบทด้วยกันทั้งคู่ ท่านทั้งสองได้คบค้าสมาคมเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายกันมาก จนได้เข้ามาอุปสมบทเป็นพระกัมมัฏฐานที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยกันทั้ง ๒ รูป เพื่อนของหลวงปู่กูด ที่กล่าวถึงนี้ก็คือ หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ แห่งวัดป่าศิลาพร จ.ยโสธร (หรือที่รู้จักกันในนามหลวงปู่บุญมี วัดป่านาคูณ จ.อุดรธานี)
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    (cont.)
    หลวงปู่กูด เมื่อสมัยเป็นฆราวาส ท่านได้ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ มีศีล ๕ ประจำใจ ด้วยเล็งเห็นว่า หากตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ในเพศฆราวาสแล้ว ศีลย่อมบริสุทธิ์ อบายภูมิก็ไม่มากล้ำกรายให้ลงไปในเบื้องล่างได้เลย ภาวนาก็ย่อมได้ผลดีตามมา ในขณะนั้นก็เจริญบริกรรม “พุทโธ” อยู่มิขาดทุกวันทุกคืน หลวงปู่ได้ตั้งจิตอธิษฐานขอตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ น่าประหลาดใจยิ่ง เพราะเมื่อตั้งจิตอธิษฐานเสร็จแล้ว ท่านจะอยู่ในอริยบทใดก็เกิดมีแสงสว่างขึ้นรอบกายอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืนอยู่เป็นปีๆ แสงสว่างเหล่านี้ก็ยังไม่หมดไป ในวันแรกที่ตั้งจิตอธิษฐานนั้น ท่านเห็นพระธุดงค์หน้าผ่องใสงดงามมาก ห่มผ้าสีกรัก พาดสังฆาฏินั่งอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง บนฟ้าลอยอยู่นนอากาศ แม้มองเบื้องล่างก็เห็นอยู่ทะลปรุโปร่งไปหมด แม้มองออกไปไกลๆ ก็มองเห็นพระธุดงค์รูปนั้นอยู่ตลอด
    ในคราวต่อๆ มาเมื่อท่านภาวนาพุทโธทั้งวันทั้งคืนมิได้ขาด ก็เกิดเหตุการณ์น่าอัศจรรย์ขึ้นมา ได้เห็นอุบายเครื่องออกจากทุกข์ ขณะท่านกำลังนอนภาวนา ก็มีนิมิต
    “เห็นร่างกายอสุภะทั้งผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หลุดออกมาเป็นปฏิกูลมีทั้งน้ำเหลืองและหนองปะปนอยู่”

    ท่านปฏิบัติอย่างนั้นโดยไม่มีครูบาอาจารย์เพียงตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์และบริกรรมพุทโธเรื่อยมา ได้พิจารณาทุกเรื่องที่ปรากฏจนเกิดความเบื่อหน่าย จิตอยากจะออกไปอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ตามสถานที่ต่างๆ ไม่อยากกลับไปบ้านเลย

    ชีวิตในวัยเด็กหลวงปู่ท่านได้ศึกษาถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เท่านั้น ต่อมาเมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว จึงสอบนักธรรมชั้นตรี ได้เมื่อ อายุ ๑๘ ปี จากนั้นเมื่อลาสิกขาบท ท่านใช้ชีวิตเป็นฆราวาสจนกระทั่งอายุได้ ๔๒ ปี จึงอุปสมบทในพัทธสีมาวัดพระงามศรีมงคล ตำบลน้ำโมง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๑ โดยมี พระธรรมไตรโลกาจารย์ (รักษ์ เรวโต) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูศีลขันธ์สังวร (อ่อนสี สุเมโธ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    พระอาจารย์บุญกง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ได้รับฉายาทางมคธภาาาว่า “รกฺขิตสีโล” แปลว่า “ผู้มีศีลอันรักษาแล้ว
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    (cont.)
    ถึงจะออกบวชเมื่ออายุมากแล้ว แต่หลวงปู่กูด ก็ยังประพฤติประฏิบัติตามแนวทางแห่งมรรคผลนิพพานดังคำสอนของพระพุทธองค์อย่างมุ่งมั่น โดยท่านได้เดินธุดงค์ไปหลายแห่งทั่วประเทศไทย โดยคำบอกเล่าแล้วกล่าวว่าท่านเป็นพระที่มีเทพเทวดารักเคารพมาก ในเวลากลางคืนจะปรากฏเหตุการณ์มหัศจรรย์ คือ “ มีแสงสว่างเจิดจ้าอยู่รอบๆ แสงนี้สว่างไสวและงดงามมาก มีแต่รอบๆ กุฏิหลวงปู่กูดเท่านั้น ที่แห่งอื่นนั้นไม่มี เห็นเป็นแต่ความมืดเท่านั้นที่ปกคลุมอยู่ ”

    หลวงปู่กูด ถอนพุทธภูมิ เป็นสาวกภูมิ
    หลวงปู่กูด รักขิตสีโล ประวัติท่านมีทั้งเทวดา พญานาค มาขอฟังธรรมท่านอยู่เสมอๆ เพราะท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน แต่ภายหลังเมื่อปฏิบัติธรรมอย่างเข้มงวดกับพระพี่ชายท่านหลวงปู่เจิ่น สิริจันโท จึงได้เห็นกองทุกข์ที่จะต้องไปเวียนเกิดเวียนตายในวัฏสงสารอีกไม่รู้จบสิ้น ทำให้ท่านสลดสังเวชในภพชาติน้อยใหญ่นั้น จึงได้กราบลาถอนพุทธภูมิ เป็นเพียงสาวกภูมิของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณศากยบุตรในบวรพระพุทธศาสนานี้เท่านั้น จากนั้นท่านจึงออกรุกขมูลอยู่ตามป่าเขาเร่งเพียรภาวนาแสวงหาโมกขธรรมเพื่อให้ถึงซึ่งมรรคาตามคำสอนของพระบรมศาสดา

    เทวดา พญานาค มาขอฟังธรรม
    หลวงปู่กูด รักขิตสีโล ท่านได้ขึ้นไปภาวนาอยู่ที่ถ้ำภูยางอู่ ในถ้ำนี้เองเวลากลางคืนได้มีเทพและนาคมากมายมาขอสมาทานศีล ๕ และขอฟังธรรมจากหลวงปู่กูดด้วย ลักษณะของเทพที่มา มีลักษณะกิริยามารยาทเรียบร้อย หน้าตางดงามมาก นุ่งขาวทั้งชายหญิง เทวดาทรงผมธรรมดา เทพธิดาปล่อยผมยาว เป็นเด็กก็มี ส่วนผู้เป็นหัวหน้านั้นเป็นเทพบุตร หลวงปู่กูดท่านนั่งสมาธิอยู่ลานหินกว้าง เหล่าเทพมาถึงแล้วก็นั่งรอเป็นทิวแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยดีมาก ไม่มีเสียงดังให้ได้ยินเลย หลวงปู่กูด ท่านให้รับศีลและให้ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์แล้ว ท่านไม่ได้เทศน์สั่งสอนอะไรเลย จึงนั่งสมาธิเงียบๆ อยู่ พวกเทพเห็นดังนั้น ก็นั่งสมาธิกับหลวงปู่กูดด้วยประมาณ ๑ ชั่วโมง จึงกราบลงแล้วลากลับไป
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    (cont.)
    เมื่อเทพเหล่านั้นกลับไปแล้ว พวกนาคก็มาหาท่านอีก หัวหน้าก็เป็นชายอีกเช่นเดียวกัน เขาอาราธนาศีลเก่งเหมือนกันหมดทุกคน ไม่ว่าเทพหรือนาค หลวงปู่กูด ก็อัศจรรย์ใจยิ่งนักว่า ทำไมเขาถึงอาราธนาศีลเก่งนัก เหล่าเทพนาคเขาบอกว่าเคยเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาก่อน หลวงปู่มั่นท่านสอนให้อยู่ในไตรสรณคมน์มาก่อนจึงอาราธนาศีลเป็น ลักษณะของนาคที่มานั้น มาเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกัน ต่างกันก็ตรงเครื่องนุ่งห่ม โดยสีผ้าของนาคนี้มีสีผ้าคล้ายใยบัวแต่ไม่คล้ำนัก ผมไม่ดกบางๆ แต่งตัวเรียบร้อยเหมือนกับแขกอินเดียโพกหัวด้วยผ้าบางๆ สีคล้ายสีชมพูแต่อ่อนมาก

    นับตั้งแต่หลวงปู่กูดได้อุปสมบท ท่านสังเกตว่าทางเดินจงกรมของท่านจะมี กิ้งกือ ตะขาบ งูเพา งูมีพิษ และสัตว์ที่มีพิษทุกชนิด เมื่อมาเห็นทางเดินจงกรม จะไม่ข้ามทางจงกรมของท่านเลย และจะหันหลังกลับทันที ท่านได้เฝ้าสังเกตอยู่เงียบๆ และแผ่เมตตาให้กับสัตว์เหล่านี้เป็นพิเศษ เพราะแม้จะเป็นศัตว์เดรัจฉานก็ยังรู้ความไม่ย่ำยีตัดทางเดินจงกรมของพระผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ รวมทั้งเทพ นาคด้วย ก็จะไม่เดินข้ามทางจงกรมนี้เลย

    -รักขิตสีโล-จ.jpg
    หลวงปู่กูด รักขิตสีโล วัดป่าศิลาอาสน์
    หลวงปู่กูด ท่านเป็นพระที่มีเทพเทวดารักเคารพมาก ในเวลากลางคืนจะปรากฏเหตุการณ์มหัศจรรย์ คือ

    “มีแสงสว่างเจิดจร้าอยู่รอบๆ แสงสว่างนี้สว่างไสวและงดงามมาก มีแต่รอบๆ กุฏิหลวงปู่กูดเท่านั้น ที่แห่งอื่นนั้นไม่มี เห็นเป็นแต่ความมืดเท่านั้นที่ปกคลุมอยู่”
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    (cont.)
    ในแต่ละคืน พระเณรไม่เป็นอันปฏิบัติอันใดทั้งสิ้น จะมาคอยดูแต่แสงสว่างที่รอบกุฏิหลวงปู่อยู่เท่านั้น เมื่อหลวงปู่กูดทราบ จึงได้บอกเทพทั้งหลายว่า ให้หยุดการกระทำอันจะเป็นอันตรายแก่พระเณร เพราะการที่ท่านมาพบในลักษณะนี้ ผู้อื่นพบเห็นก็จะหลงใหลเคลิบเคลิ้มไม่เป็นอันทำอะไร ดังนั้น ในคืนถัดมาแสงสว่างจึงไม่มี การที่มีเทพ พรหม มากราบหลวงปู่กูด ก็เพื่อมานิมนต์ขอให้หลวงปู่กูดปรารถนาพุทธภูมิต่อไป เพื่อให้เขาทั้งหลายมีที่พึ่งทางใจสืบไป

    ถอนพุทธภูมิ
    ในพรรษาต่อมา หลวงปู่กูดได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าหนองไคร้ จ.ยโสธร (วัดของหลวงปู่ประสาร สุมโน ในปัจจุบัน) ในพรรษานี้เอง หลวงปู่กูด ได้ตั้งสัจจะถอนคำอธิษฐานที่ปรารถนาพุทธภูมิมาแต่ในอดีตชาติ โดยได้ตั้งสัจจะใหม่ขอพ้นทุกข์ในชาตินี้ สาเหตุที่ตัดใจได้คือ

    ๑. ท่านพิจารณาแล้วว่า หากปรารถนาต่อไปภพชาติก็จะยิ่งยาวไกลออกไปไม่รู้จักจบจักสิ้น จะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่อบายภูมิ ตกนรก เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ และพรหมอีกไม่รู้เท่าไหร่ และ
    ได้พิจารณาย้อนไปในอดีต ก็ยิ่งรังเกียจภพชาติที่ผ่านมา เพราะได้เวียนว่ายตายเกิดมาหมดทุกภูมิแล้ว

    ๒. หลวงปู่กูด ท่านได้เห็นกรรมฐาน ๕ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ได้หลุดกองลงมา ตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส ล้วนแต่เป็นเครื่องปฏิกูลเน่าเหม็นโสโครก เมื่อเห็นดังนี้แล้วจิตจึงอยากถอนจากการเวียนว่ายตายเกิดอีก จึงตั้งสัจจะขอปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างเดียว

    หลวงปู่กูด ท่านเป็นพระกัมมัฏฐานซึ่งมุ่งมั่นในการปฏิบัติ เดิมทีนั้นท่านปรารถนาพุทธภูมิเป็นที่หมาย แต่เมื่อปฏิบัติมากเข้า ในที่สุดก็ขอลาพุทธภูมิเพื่อให้จบกิจในชาตินี้ภพนี้เป็นที่สุด เพราะเหตุนี้เองทำให้ท่านต้องประสบวิบากสังขารในชีวิตหลายครั้งหลายคราว แต่ท่านก็ไม่หลบไม่เลี่ยง หากแต่เผชิญกับวิบากนั้นด้วยความเมตตาและอาจหาญอย่างที่สุด เพื่อจะได้ไม่ติดค้างหนี้เวรหนี้กรรมใดๆ อีก

    เรื่องจริงที่เหลือจินตนาการใดๆ เรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นกับหลวงปู่กูด คือ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๕ ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุได้ ๘๗ ปี แต่ไม่ว่าจะสูงวัยอย่างไรก็ไม่ใช่เหตุที่ทำให้ต้องละการภาวนา ปีนั้นท่านเก็บตัวภาวนาอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง หลังพระอุปัฏฐากและศิษย์กราบลาท่านในช่วงค่ำ ปล่อยให้ท่านบำเพ็ญภาวนาอยู่ในกลดอย่างที่เป็นมาตลอด ๓ เดือน พอรุ่งเช้าไปพบท่านอีกทีถึงกับสยองขวัญสั่นประสาท เพราะมีมดดำนับหมื่นๆ ตัวรุมกัดท่านอยู่จนร่างผอมบางนั้นดำสนิทไปทั้งร่าง เมื่อศิษย์เข้าไปช่วยเพื่อนำท่านส่งโรงพยาบาล ท่านยังเอ่ยด้วยความเมตตาว่า “อย่าไปปัดมันๆ

    [​IMG]
    หลวงปู่กูด รักขิตสีโล ช่วงอาพาธอยู่ที่วัดป่าศิลาอาสน์
    หลวงปู่กูด ละสังขารลงเมื่อวันพระแรม ๘ ค่ำ เดือน ๙ ปี ขาล เมื่อเวลา ๑๐.๔๓ น. ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓ ณ วัดป่าศิลาอาสน์ ต.หนองหิน อ.เมือง จ.ยโสธร สิริอายุ ๙๔ ปี ๓ เดือน ๒๕ วัน พรรษา ๕๓

    [​IMG]
    เจดีย์บูรพาจารย์ หลวงปู่เจิ่น สิริจันโท ,หลวงปู่กูด รักขิตสีโล ,หลวงปู่ขาน ปัญญาธโร ,หลวงปู่โท ติสสวังโส รวม ๔ องค์ ณ วัดป่าศิลาอาสน์ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
    [​IMG]
    อัฐิธาตุ ของท่าน หลวงปู่กูด รกฺขิตสีโล
    โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่กูด รักขิตสีโล

    “…บ่อเกิดแห่งทุกข์คือใจ กาย วาจา ใจ ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหลายมารวมกันอยู่ที่ กาย วาจา ใจ…”

    “..โลกนี้ดุจหม้อกระทะใหญ่ที่ค้างไว้ตลอดกาลช้านานแล้ว ใครเกิดมาก็มาตกอยู่ในกระทะใหญ่นี้โดยไม่รู้สึกตัว ยิ่งตกยิ่งมัวยิ่งเมาโดยไม่รู้ตัว ดีชั่วไม่คำนึงถึงอันตรายทั้งสิ้น สมัยใดหรือยุคใดก็ตามย่อมเจริญแต่ความมึนเมา เอาตัวรอดจากตาข่ายไม่ค่อยได้ ตกอยู่ในหลุมเพลิงอย่างไรก็ชอบอย่างนั้น ตกอยู่ในโอกแอ่งแก่งกันดารเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักเต็มไม่รู้จักคลาย โลกทั้งหลายก็เป็นอย่างนี้มาแต่อดีตชาติ และอนาคตก็จะเป็นอยู่อย่างนี้..”
    ขอบคุณที่มา :- https://www.108prageji.com/หลวงปู่กูด-รักขิตสีโล/
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    เมื่อปู่มาเกิดเป็นหลาน

    หลวงตา
    Nov 4, 2023
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    อำนาจจิตฤทธิ์อภิญญา หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

    หลวงตา
    Feb 19, 2023
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    เส้นทางธุดงค์ หลวงปู่กินรี

    หลวงตา
    May 7, 2022

    เส้นทางธุดงค์ หลวงปู่กินรี จันทิโย วัดกัณตะศิลาวาส อ.ธาตุพนม จ.นครพนม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2023
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    pic_096.jpg

    ข้อมูลประวัติ หลวงปู่กินรี จันทิโย วัดกัณตศิลาวาส นครพนม


    "หลวงปู่กินรี จันทิโย" วัดกัณตศิลาวาส ต.ฝั่งแดง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม พระสงฆ์สุปฏิปันโนรูปหนึ่ง เป็นลูกศิษย์ที่เคยปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานกับหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต นอกจากนี้ ท่านยังเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

    อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า กลม จันสีเมือง เกิดเมื่อวันพุธที่ 8 เมษายน 2439 ตรงกับสมัย ร.ศ.115 ที่บ้านหนองฮี ต.หนองฮี อ.ปลาปาก จ.นครพนม โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายโพธิ์ และนายวันดี จันสีเมือง ครอบครัวประกอบอาชีพชาวนา

    ในวัย 10 ขวบ ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดหนองฮี ต.หนองฮี อ.ปลาปาก จ.นครพนม ได้ศึกษาหนังสือธรรม หนังสือผูก ภาษาขอม ภาษาไทยน้อย (อักษรธรรม) และภาษาไทยปัจจุบัน ครั้นพออายุครบ 20 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดเกาะแก้วอัมพวัน อ.ธาตุพนม จ.นครพนม แต่ด้วยความการร้องขอจากบิดา-มารดา ท่านจึงลาสิกขาตามความประสงค์ของบุพการี และประกอบอาชีพเป็นนายฮ้อยค้าวัว-ควาย

    เนื่องจากอาชีพดังกล่าวต้องพรากพ่อแม่ลูกโค-กระบือ ผลกรรมจึงตามย้อนสนองให้ต้องสูญเสียภรรยาหลังคลอดบุตร สร้างความโศกเศร้าเป็นยิ่งนัก ท่านจึงละวางทางโลก มุ่งหาทางธรรม เข้าพิธีอุปสมบทอีกครั้ง ณ วัดศรีบุญเรือง ต.กุดตาไก้ อ.ปลาปาก จ.นครพนม เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2465 ขณะมีอายุ 25 ปี โดยมี พระอาจารย์วงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์พิมพ์และพระอาจารย์พรหมา เป็นพระคู่สวด

    ได้ชื่อใหม่จากพระอุปัชฌาย์จากชื่อเดิม "กลม" เป็น "กินรี" มีฉายาว่า "จันทิโย"ภายหลังอุปสมบท ได้อยู่จำพรรษาที่วัดหนองฮี ต.หนองฮี อ.ปลาปาก เพื่อสอนความรู้ภาษาไทยทั้งการอ่านและเขียนให้แก่เด็กๆ ในหมู่บ้าน และยังขุดลอกสระน้ำขนาดใหญ่ด้วยตัวเอง เพื่อให้วัดและชาวบ้านได้มีน้ำอุปโภคบริโภค

    ต่อมาได้ไปศึกษาเล่าเรียนกัมมัฏฐานจากพระอาจารย์ทองรัตน์ กันตสีโล ที่สำนักบ้านสามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ได้ระยะหนึ่งจึงเดินทางกลับสู่วัดบ้านเกิด และได้จัดตั้งสำนักสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี ชื่อว่า สำนักสงฆ์เมธาวิเวก

    ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์ทองรัตน์ ได้พาไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ณ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร เพื่อรับโอวาทถึงข้อธรรม พร้อมกับการเจริญสมาธิ ภาวนาจิตให้สงบ ซึ่งท่านได้ใช้ชีวิตอยู่กับหลวงปู่มั่นเพียง 2 ปีเท่านั้น

    ท่านได้ธุดงค์มุ่งไปตามป่าเขา เลาะเลียบฝั่งโขงไปฝั่งลาว กราบนมัสการพระพุทธบาทโพนสัน กระทั่งไปจำพรรษาอยู่กับเผ่าแม้วที่ จ.อุตรดิตถ์ ฉันแต่ข้าวโพด ธุดงค์ข้ามไปย่างกุ้ง ประเทศพม่า และได้รับนิมนต์ให้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดกุลาจ่อง ก่อนมุ่งหน้าไปสู่แดนพุทธภูมิเพื่อนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง 4 และจำพรรษานาน 12 ปี จนพูดภาษาพม่าได้ จากนั้นจึงกลับมาพักอยู่สำนักสงฆ์เมธาวิเวกระยะหนึ่ง ก่อนย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดกัณตศิลาวาส ต.ฝั่งแดง อ.ธาตุพนม

    ระหว่างนี้ ท่านยังได้แวะเวียนไปหาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น และพระอาจารย์ทองรัตน์อยู่เป็นนิจ ซึ่งท่านยังมีลูกศิษย์ที่สำคัญรูปหนึ่งที่มีชื่อเสียง คือ หลวงปู่ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง ที่ได้อยู่จำพรรษาศึกษาปฏิบัติธรรมและคอยอุปัฏฐากรับใช้หลวงปู่กินรี ในระหว่างปี พ.ศ.2490-2491 ก่อนจะนำพระพุทธศาสนาไปประกาศเผยแผ่ไปยังทวีปต่างๆ ทั่วโลก

    หลวงปู่กินรี เป็นพระที่ยึดมั่นในศีลธรรม จะคอยอบรมลูกศิษย์อย่าประมาทในศีล แม้สิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ ในพระวินัยจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด แม้การตากผ้าสบงจีวรแล้วมิได้เฝ้าดูรักษา ก็จะตำหนิพระลูกศิษย์ เป็นสมณะต้องมักน้อยสันโดษ เป็นอยู่ง่ายๆ กินแต่น้อย ไม่สะสมทรัพย์สิ่งของ

    หลวงปู่กินรี มีโรคประจำตัว คือ ไออยู่เป็นนิจ เนื่องจากปอดชื้น แต่ท่านไม่ยอมให้หมอรักษาหรือยอมให้ศิษย์นำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่ด้วยความชราภาพ ทำให้สภาพร่างกายไม่แข็งแรงดังแต่ก่อน และนับวันมีแต่อาการอาพาธจะทรุดลง

    กระทั่งวันที่ 26 พฤศจิกายน 2523 ท่านได้ละสังขารจากไปอย่างสงบ สิริอายุ 84 ปี 58 พรรษา "หลวงปู่กินรี จันทิโย" จึงกลายเป็นนามแห่งพระเถระที่คณะศิษย์และสาธุชนชาวเมืองนครพนม ต่างเลื่อมใสศรัทธา นำคำสั่งสอนไปปฏิบัติและเผยแผ่ขจรขยายในต่างแดนตราบเท่าทุกวันนี้
    :-http://www.trueamulet.com/profile/221_หลวงปู่กินรี-วัดกัณตศิลาวาส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2023
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    กรรมเก่าของเจ้าหญิง บุญผิวสวย

    thamnu onprasert
    Oct 21, 2023

    เรื่องราวกฎแห่งกรรมในอดีตชาติ และบุญที่ทำให้เกิดมาผิวสวย
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,805
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,055
    maecheebunreungtongboonterm.jpg
    ประวัติแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม
    4 ปีที่ผ่านมา
    โดย เจ้าของร้าน


    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๗ ตรงกับวันอาทิตย์เดือน ๔ ปีมะเมีย ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลา ๑๑.๒๐ น. บิดาชื่อนายยิ้ม กลิ่นผกา มารดาชื่อ นางสวน กลิ่นผกา สถานที่เกิดอยู่ในคลองสามวา อำเภอมีนบุรี กรุงเทพฯ ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่ตำบลบางปะกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี มีฐานะทางบ้านเป็นชาวสวน ท่านได้เติบโตในละแวกบ้านชาวสวนจนเติบใหญ่ บิดาของท่านมีภริยาทั้งสิ้นสามคน ภรรยาคนแรกมีบุตรสองคนคือ นางอยู่ (หรือ ทองอยู่) กลิ่นผกา เป็นพี่สาวของท่าน ซึ่งได้สิ้นชีวิตไปนานแล้ว คนต่อมาคือคุณแม่บุญเรือน ภรรยาคนที่สองชื่อนางเทศ มีบุตรสามคน คือนายเนื่อง นางทองคำ นางทิพย์ ฯลฯ ภรรยาคนที่สามไม่มีใครจำชื่อได้ จำไม่ได้ทั้งว่ามีบุตรชายและหญิงหรือไม่
    ชีวิตยามเยาว์ของคุณแม่บุญเรือน ท่านได้รับการศึกษาให้รู้ภาษาไทยสมควรกับอัตภาพพอเหมาะสมกับสมัย ได้รับการฝึกสอนอบรมจากบิดามารดา ท่านมีความสามารถในการทำกับข้าวมีรสโอชาหลายอย่าง เช่น น้ำพริก ท่านปรุงได้รสอร่อยเป็นอันมาก นอกนั้นอาหารจำพวกแกง และ ต้ม หลายชนิด ท่านก็สามารถทำได้อย่างดี นอกจากนี้ก็ยังมีความสามารถในการเย็บจักร ตัดเสื้อผ้า ตัดผมได้ เมื่อคุณแม่บุญเรือนอายุได้ ๑๕ ปีเศษ ซึ่งเป็นวัยรุ่นสาว ท่านได้รับการฝึกสอนจากชีวิตในครอบครัวให้รู้จักการ “นวด” เนื่องจากปู่ของคุณแม่บุญเรือนผู้ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า “อาจารย์กลิ่น” เป็นหมอนวดผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น จนกระทั่งเมื่อ “อาจารย์กลิ่น” ท่านเห็นว่าได้ประสิทธิประศาสน์วิชาได้ประมาณหนึ่งแล้วท่านจึงได้ “ครอบวิชาหมอนวด” และมอบตำราหมอนวดให้เป็นสมบัติสืบทอดแก่คุณแม่บุญเรือน โดยตำราดังกล่าวได้มีข้อห้ามไว้ว่า การนวดตามตำรานี้จะเรียกร้องเงินทองเป็นค่าจ้างไม่ได้ สุดแล้วแต่ผู้รับการนวดจะให้เองโดยสมัครใจเท่านั้น ในสมัยต่อมา เมื่อคุณแม่บุญเรือนได้สำเร็จธรรมแล้ว ท่านก็ได้ใช้วิธีรักษาด้วยการอธิษฐานธรรม และอธิษฐานสิ่งของต่างๆ เพื่อใช้ในการรักษาโรคตามวิธีการของท่าน ปรากฏว่ามีโรคภัยไข้เจ็บหลายชนิดที่ท่านใช้วิธีนวดเข้าช่วยด้วย เช่น คนไข้คนหนึ่งเป็นไส้ติ่งอักเสบ ท่านก็ได้อธิษฐานปูนทาและการนวดประกอบกัน และประสบผลสำเร็จในการรักษาอย่างน่าอัศจรรย์
    ในช่วงสมัยวัยรุ่นของท่านนั่นเอง ท่านได้รับการแนะนำให้รู้จักพระภิกษุรูปหนึ่ง ที่วัดบางปะกอก พระภิกษุรูปนั้นคือพระอาจารย์พริ้ง (พระครูประศาสน์สิกขกิจ) ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่าน พระอาจารย์พริ้งนี้เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาก เป็นพระอาจารย์องค์หนึ่งของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และเมื่อท่านรู้จักหลวงลุงของท่านแล้ว ท่านก็ได้นำภัตตาหารและและเครื่องไทยทานต่างๆ ไปถวายพระอาจารย์พริ้งอยู่เสมอๆ ทำให้ท่านได้รับการสั่งสอนให้รู้จักธรรมะ และคุณธรรมในการดำเนินชีวิตตามแนวคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้เริ่มเลื่อมใสศรัทธา และรักงานบุญงานกุศลมากขึ้น ทั้งน่าจะถือได้ว่าเป็นปฐมเหตุสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้ท่านบำเพ็ญกรณียกิจ เป็นนักบุญในพระพุทธศาสนาในสมัยต่อมา
    ชีวิตสมรส เมื่อคุณแม่บุญเรือนมีอายุพอสมควร ก็ได้ทำการสมรสกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม ซึ่งเป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลสัมพันธวงศ์ ตั้งอยู่บริเวณสามแยกเจริญกรุง อยู่ห่างจากวัดสัมพันธวงศ์ เพียง ๓๐๐ เมตรเศษชีวิตสมรสของคุณแม่บุญเรือน นับว่าเต็มไปด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น เล่ากันว่าสามีของท่านเป็นผู้เอาอกเอาใจท่านดีผู้หนึ่งแต่ไม่มีบุตรธิดาด้วยกันเลย คุณแม่ได้รับอุปการะเด็กหญิงชายอื่นอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่มีผู้ที่ท่านอุปการะมาแต่เยาว์วัยตลอดมาจนเติบใหญ่ คนหนึ่งในฐานะบุตรบุญธรรม คือ เด็กหญิงอุไร จนอายุ ๑๙ ปี นางสาวอุไรจึงได้เข้าพิธีสมรสกับ ร.ต.ท.เต็ม คำวิเทียน นางอุไร กับ ร.ต.ท. เต็ม อยู่กินกันมาจนมีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อว่า นิดา คำวิเทียน ซึ่งเป็นหลานยายที่คุณแม่บุญเรือนให้ความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง ในระหว่างครองชีวิตร่วมกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม คุณแม่บุญเรือนได้ประกอบอาชีพช่วยสามีด้วยการรับตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยจักร ตามความชำนาญที่ท่านได้ฝึกฝนมาแต่เดิม นอกเหนือจากการตัดเย็บเสื้อผ้าที่ท่านทำเป็นอาชีพแล้ว ท่านยังรักษาโรคโดยการนวด ซึ่งท่านทำเป็นการกุศลโดยไม่รับสินจ้าง และท่านยังมีความสามารถในการทำคลอด หรือเป็นหมอตำแยแผนโบราณด้วย ซึ่งทำให้ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากในขณะนั้น
    การปฏิบัติธรรม คุณแม่บุญเรือนได้เริ่มฝึกหัดวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดสัมพันธวงศ์ กับท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ต่อมาสามีได้อุปสมบทที่วัดนี้ ๑ พรรษา และเมื่อสามีลาสิกขาไปแล้ว สามีก็ยังเป็นผู้ถือมั่นในทางธรรมอย่างมาก ทำบุญให้ทานเป็นประจำ สุราซึ่งเมื่อก่อนอุปสมบทดื่มเมาถึงคลานก็เลิกเด็ดขาด ทำให้คุณแม่บุญเรือนก็ยิ่งมีศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้น ในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ จึงได้ลาสามีออกบวชเป็นชี และอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดสัมพันธวงศ์ ได้เพียรฝึกหัดวิปัสสนากัมมัฏฐาน
    เหตุการณ์ตอนที่ท่านจะบรรลุธรรม คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ท่านจะบรรลุธรรมไว้กับนายสุวรรณ ทองนาค บ้านอยู่อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี (ซึ่งต่อมาในปี ๒๕๑๑ได้บวชเป็นพระ ที่วัดอาวุธวิกสิตาราม) ว่า "ท่านตั้งใจจะขอปฏิบัติธรรมให้สำเร็จอยู่ที่ศาลาวัดสัมพันธวงศ์ เป็นเวลา ๙๐ วัน โดยถือศีล ๘ บวชเป็นชี นั่งสวดมนต์ภาวนา เจริญวิปัสสนาตามแนวทางของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) การปฏิบัติธรรมดำเนินไปจนล่วงเข้าวันที่ ๘๙ ก็ยังไม่สำเร็จธรรม หรือเห็นธรรมแต่ประการใด จึงคิดท้อใจกลับบ้านที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน ได้พบกับสิบตำรวจโทจ้อย ผู้เป็นสามี คุณแม่บุญเรือนจึงอาบน้ำ นุ่งขาวห่มขาว เตรียมตัวไหว้พระสวดมนต์ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ ๒๑.๐๐ นาฬิกา เดือน ๖ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ (ตรงกับวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๔๗๐) จากนั้น คุณแม่บุญเรือนก็ได้แลเห็นโยมมารดาและหลานๆ นอนหลับกันหมดแล้ว โยมมารดานั้นมีอาการกรน ส่วนหลานๆ ก็มีอาการละเมอบ่นพึมพำ และกัดฟันกรอดๆ รู้สึกเกิดธรรมสังเวชเบื่อหน่ายต่อสภาพอย่างนั้นขึ้นมาในขณะนั้น ท่านจึงคิดอยากหลีกหนีเสียชั่วคราว ครั้นแล้วคุณแม่บุญเรือน ก็ได้นั่งสมาธิกรรมฐานในห้องพระ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตี ๒ ก็มีอาการแน่นหน้าอก อึดอัด หายใจไม่ออก คล้ายกำลังจะตาย จึงตั้งสติว่า ‘ถ้าจะตายก็ขอให้ตายในตอนนี้เถิด จะได้หมดเวรหมดกรรม ธรรมก็ยังไม่ได้บรรลุเลย’น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เมื่อคุณแม่บุญเรือนคิดดังนี้เท่านั้น อาการทุกขเวทนาทั้งปวงก็พลันหายไปสิ้น บังเกิดความสว่างขึ้นมาทั้งตัว มีความใสสว่างอย่างสุดที่จะประมาณ รู้ชัดว่าตนเองบรรลุอภิญญาถึง ๕ อย่าง มีพระธรรมเข้าประทับ เมื่อนึกอยากรู้อยากเห็นอะไร ก็รู้แจ้งแทงตลอดสว่างไสวไปหมด และยังได้อิทธิปาฏิหาริย์อีกด้วย จากนั้น เมื่อคุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรมแล้ว ก็ได้นั่งกรรมฐานต่อไปอีก จนกระทั่งเวลาใกล้ตี ๕ รุ่งเช้า ได้คิดถึงวัดสัมพันธวงศ์ จึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้เข้าไปนั่งในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ พอสิ้นอธิษฐาน แล้วหลับตาลง ก็คล้ายกับหัวได้หกกลับไปเบื้องหน้า คล้ายกับตีลังกา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าตัวเองได้เข้ามานั่งอยู่ในศาลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประตูศาลาวัดยังคงปิดใส่กุญแจอยู่ คุณแม่บุญเรือนจึงได้ร้องเรียกให้พระภิกษุสามเณรซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น ช่วยไขกุญแจเปิดประตูให้ที เมื่อเรื่องที่คุณแม่บุญเรือนหายตัวมาปรากฏอยู่ในศาลาวัด แพร่หลายออกไป ก็มีพระเณรเถรชี อุบาสกคุณแม่ต่างก็มารุมล้อม โจษจันกันเซ็งแซ่ด้วยความตื่นเต้นอัศจรรย์ใจอย่างเหลือที่จะกล่าวได้ไปตามๆ กัน ต่อมาคุณแม่บุญเรือน ท่านได้อธิษฐานหายตัวจากศาลาไปเขาวงพระจันทร์ ท่านได้พบพระผู้วิเศษที่นั่น และได้รับพระธาตุ ๑ องค์จากพระองค์นั้น กลับมาพระธาตุยังกำอยู่ในมือ เป็นพยานแก่ตัวท่านเองว่ามิได้ฝันไป” หลังจากนั้นท่านก็มิได้แสดงฤทธิ์อะไรที่เป็นไปในลักษณะการแสดงให้คนชมอีกเลย เว้นแต่อยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็น
    ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ท่านเริ่มปฏิญาณไม่รับรักษาโรคด้วยวิธีการนวดให้แก่ผู้ชาย เว้นไว้แต่ธรรมจะบันดาล การรักษาโรคในระยะนี้จะเป็นการรักษาโดยอธิษฐานเพียงอย่างเดียว ส่วนการสั่งสอนและอบรมธรรมะยังคงปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันก่อนที่ท่านวายชนม์ ๑ วัน ครั้นต่อมาประมาณ เดือน มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๗ ท่านมีอาการป่วยโรคไต หัวใจอ่อน โลหิตจาง และความดันโลหิตสูง ติดต่อกันมาตามลำดับ มีแต่อาการทรงกับทรุด ไม่ยอมรับรักษาของแพทย์ เช่น นายแพทย์ปรีดา ล้วนปรีดา และแพทย์หญิงวัฒนา ดวงจันทร์ ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิด ได้เคยอ้อนวอนเพื่อทำการรักษา โดยฉีดยา ให้น้ำเกลือและกลูโคส และอ้อนวอนขอให้รับประทานยาแผนปัจจุบันบ้าง เป็นครั้งคราว แต่คุณแม่บุญเรือนก็ไม่ยอม นานๆ จึงจะยอมตามใจแพทย์สักครั้งหนึ่ง จะพาไปโรงพยาบาลท่านก็ไม่ไป ท่านต้องนอนป่วยลุกนั่งไม่ได้เป็นเวลา ๙ เดือน "อันว่า สังขาร ร่างกาย และใจ หรือขันธ์ห้านี้ ไม่ใช่ตัวของเรา มันเป็นเพียงเครื่องอยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น เป็นเรือนทุกข์ แม่ต้องการออกไปจากเรือนทุกข์นี้” คุณแม่บุญเรือนกล่าว บรรดาบุคคลในคณะสามัคคีวิสุทธิ์ เมื่อได้ยินคำพูดของท่านแล้วเต็มไปด้วยความเศร้าสะท้านในหัวใจอย่างคาดคิดไม่ถึง นี่ละคือผู้สิ้นอาสวะกิเลสผู้บรรลุอาสวักขยญาณโดยแท้ ต่อมาเมื่อวันที่ ๓, ๔, ๕ กันยายน ๐๗ ท่านมีอาการอ่อนเพลียมาก เหนื่อยในเวลาพูดและเบื่ออาหาร มีเสมหะเหนียว ในลำคอ ปวงสานุศิษย์ลูกหลานยังคงมาร่วมชุมนุมสวดมนต์ภาวนาเช่นเคย คุณแม่ก็ยังทักทายไต่ถามได้อย่างแจ่มใส หากไม่สังเกตจะไม่ทราบอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใดเลย มีข้อสังเกตอันสำคัญประการหนึ่ง ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์ คุณแม่ได้สั่งให้หยุดนาฬิกาเรือนใหญ่ไว้ที่เวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกาเศษทั้งสองเรือน ท่านบอกว่าหนวกหู ชาวคณะสามัคคีวิสุทธิปฏิบัติตามคำสั่งโดยมิได้เฉลียวใจแต่อย่างใด และแล้ววันที่ลูกศิษย์ลูกหลานได้ประสบความเศร้าโศกรันทดใจอย่างใหญ่หลวงก็มาถึง เพราะในเวลา ๑๑.๒๐ น. ของวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๐๗ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้วางสังขารทิ้งร่างจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
    :- https://www.jinda789amulet.com/article/3/ประวัติแม่ชีบุญเรือน-โตงบุญเติม
    more ---> http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12567
     

แชร์หน้านี้

Loading...