เรื่องเด่น หลวงปู่เดินหน กับหลวงพ่อเกษม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เพชรฉลูกัน, 2 มิถุนายน 2017.

  1. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,163
    เดินหน-horz.jpg
    ஐ หลวงปู่เดินหน กับหลวงพ่อเกษม ஐ
    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    ............
    ราวปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงปู่เดินหนเคยกล่าวถึงพระอรหันต์ ๒ รูป ซึ่งต่อไปจะโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ พระอรหันต์รูปแรกสำเร็จอรหันต์ในกุฏิอยู่ในเมืองหลวง โดยวัดอยู่ใกล้ ๆ กับคลองและไม่ไกลโรงภาพยนตร์ ท่านบอกศิษย์ว่าให้ไปเสาะหาดูเอาเอง ต่อมาพระคุณเจ้าที่หลวงปู่กล่าวถึงก็เจิดจรัสแสงแห่งธรรมขึ้นมา คือ ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส วัดท่านตั้งอยู่ใกล้คลองผดุงกรุงเกษม ทั้งมีโรงหนังตั้งอยู่ไม่ห่างวัดนัก
    ............
    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    ............
    ภายหลังพระอาจารย์เชื้อ วัดสะพานสูง บางซื่อ กราบเรียนถามหลวงปู่เดินหนว่า พระอรหันต์ที่ท่านเคยกล่าวถึงใช่ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพฯ หรือไม่ หลวงปู่เดินหนออกปากรับรองว่าใช่ อาจารย์เชื้อจึงเดินทางมากราบคารวะท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ทั้งยังได้สร้างรูปหล่อเนื้อโลหะเป็นรูปท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ ศิษย์หลวงปู่เดินหนหลายท่านให้ความเคารพ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ เช่น คุณสุจินต์ วงศ์ไพศาล อดีตผู้บริหารบริษัททางการเงินชื่อดังในอดีต
    ............
    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    ............
    พระอรหันต์อีกรูปหลวงปู่เดินหนทำนายไว้ในคราวเดียวกันว่า พระอรหันต์รูปนี้สำเร็จธรรมบรรลุอรหันต์กลางป่าไผ่ อยู่ภาคเหนือปฏิบัติธรรมเคี่ยวกรำจิตอย่างอุกฤษฏ์ ท่านนี้ต่อไปพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปกราบ ต่อมาไม่นานเรื่องของหลวงพ่อเกษมเริ่มมีผู้ฅนกล่าวถึง ด้วยการปฏิบัติของท่านแปลกอยู่ในป่าช้าเงียบสงัด บางคราวนั่งสมาธิกลางแดด กลางฝน เป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน การปฏิบัติของท่านแปลกไปจากพระสงฆ์ธรรมดา มีศิษย์ของหลวงปู่ได้มาถามท่านถึงหลวงพ่อเกษม ว่าพระท่านคุณเจ้ารูปนี้ใช่พระอรหันต์ที่หลวงปู่กล่าวถึงหรือไม่ ท่านตอบสั้น ๆ คำเดียวว่า **อืม** เพียงเท่านี้ก็เป็นการรับรองแล้ว่าใช่
    ............
    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    ............
    เรื่องราวนี้เกิดขึ้นราวปี พ.ศ. ๒๕๑กว่า เวลานั้นหลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ ท่านยังไม่โด่งดังมากนัก เรียกว่ามีชื่อเสียงในท้องถิ่นรู้จักท่านพอควร ศิษย์หลวงปู่รู้จักหลวงพ่อเกษมจากคำว่า **อืม** คำเดียวนี้ ต่อมาท่านผู้การเสถียร กับ พลตรีชวน ธีรวัฒน์ (บิดาของ พญ. อรทัย ตันติศิรินทร์) ทั้งสองท่านไปราชการภาคเหนือ จึงอยากถือโอกาสไปกราบหลวงพ่อเกษม ก่อนเดินทางท่านพลตรีชวน มาเข้าเฝ้าหลวงปู่กราบเรียนท่านว่าจะไปภาคเหนือ อยากไปกราบหลวงพ่อเกษมขอบารมีหลวงปู่คุ้มครอง ในการเดินทางให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งราบรื่นในการนี้
    ............
    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    ............
    หลวงปู่เดินหนทราบแล้วกล่าวกับ พล.ต.ชวน ว่าท่านขอฝากของไปให้ท่านเกษมเขาด้วย พูดจบหลวงปู่ท่านนำผ้าขาวที่พาดไหล่อยู่คลุมไปกับพื้นตรงหน้าที่ท่านนั่งอยู่ หลวงปู่ท่องคาถาพึมพำครู่หนึ่งราว ๒-๓ นาที แล้วดึงผ้าขาวกลับพาดไหล่ดังเดิม อัศจรรย์บังเกิดปรากฏมีห่อผ้าขาว มัดอย่างแน่นหนาพุดขึ้นจากพื้นนั้น พื้นที่ที่ห่อผ้าผุดขึ้นนี้เป็นพื้นไม้กระดาน เป็นห้องที่ตั้งอยู่ชั้นบนของห้องแถวสองชั้น คือ สำนักเก่าของอาจารย์สุวัฒน์ ใกล้สามแยกเตาปูน **ชื่อร้านปลาไทย ขายปลาสวยงาม และข้าวแกง** สมัยนั้นท่านอาจารย์สุวัฒน์ยังสร้างตัวสร้างครอบครัว เมื่อขายอาหารหมด ช่วงบ่าย ๆ ลูกค้าบางตาแล้ว จึงทำการอัญเชิญหลวงปู่มาโปรดลูกศิษย์ลูกหา
    ............
    บางคราวศิษย์อยากรีบเชิญก็พากันมาอุดหนุน พากันมากินมาซื้อจนขายหมดตั้งแต่ยังไม่เที่ยงก็มี เพราะสำนักของหลวงปู่ไม่เรียกเงินทอง ไม่มีตู้บริจาค ไม่ขอเงินปัจจัยใครใด ๆ ทั้งสิ้น แม้นเวลานั้นอาจารย์สุวัฒน์ยังยากจนบ้านยังต้องเช่า แต่ท่านก็ไม่เคยรับเงินทองจากใคร ศิษย์มาช่วยด้วยเงินไม่เคยรับ หากใครจะช่วยก็อุดหนุนซื้ออาหารหรือปลาสวยงามที่ท่านเลี้ยงไปดูแลต่อ หลวงปู่เดินหน พูดเสมอว่าท่านมาโปรดมนุษย์ ไม่ใช่ขอทาน ไม่ได้มาเล่นกลของเงินใคร แม้นศิษย์ท่าน คือ อาจารย์สุวัฒน์ ยากจนท่านก็สั่งไว้ว่า ให้อดเยี่ยงอย่างเสือ ท่านสั่งไว้หนักหนาในเรื่องนี้
    ............
    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    ............
    กลับมากล่าวถึงห่อผ้าขาวที่ผุดขึ้นจากพื้นไม้กระดาน ห่อผ้าขาวนี้ไม่มีใครรู้ว่ามาอย่างไร คิดไม่ออก และในห่อผ้ามีอะไรก็ไม่มีใครรู้ หลวงปู่ส่งห่อผ้าขาวมัดแน่นนี้ให้ พล.ต.ชวน แล้วสั่งว่า
    ............
    **นำห่อผ้านี้ไปให้ถึงมือท่านเกษม ห้ามเปิดห่อผ้านี้เด็ดขาด ห้ามวางกับพื้น ให้วางที่สูงอย่าทำสกปรกข้ามผ่านไม่ได้**
    ............
    จากนั้นหลวงปู่หันไปคุยกับศิษย์ฅนอื่น ๆ ส่วนผู้การเสถียร กับ พล.ต.ชวน ได้กราบลาเพื่อไปเตรียมตัวเดินทางขึ้นเหนือในวันรุ่งขึ้น โดยขับรถยนต์ส่วนตัวขึ้นไปกับคณะ
    ............
    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    ............
    เมื่อเดินทางถึงสุสานไตรลักษณ์ ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ เห็นมีเพียงกุฏิหลังเล็ก ๆ เพียงหนึ่งหลัง น่าแปลกว่าเมื่อจอดรถยนต์ เห็นมีสามเณรกับเด็กชายเดินมาเคาะที่กระจกรถยนต์ สามเณรถามผู้ที่นั่งอยู่ในรถยนต์ว่า
    ............
    **คุณโยมมาจากกรุงเทพ เป็นตำรวจกับทหารใช่ไหม หากใช่ตามผมมาครูบาท่านคอยอยู่**
    ............
    ผู้การเสถียร กับ พล.ต.ชวน หันหน้ามามองกันอย่างไม่ได้นัดหมาย มองตากันปริบ ๆ แบบ งงงัน แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อกัน ด้วยเห็นมีสามเณรยืนคอยอยู่ จึงหันไปหยิบห่อผ้าขาวที่เบาะหลังรถยนต์ แล้วเดินดุ่ม ๆ ติดตามสามเณรมา ด้วยความสงสัยจึงถามสามเณรว่ารู้ได้อย่างไร ว่าจะคณะเดินทางมา ทั้งทราบด้วยว่าเป็นใคร ? สามเณรตอบว่าครูบาท่านบอกไว้ว่า
    ............
    **เดี๋ยวจะมีพวกทหารตำรวจขับรถยนต์มาจากกรุงเทพฯ พร้อมบอกลักษณะรูปพรรณรถยนต์ไว้ เมื่อเห็นรถยนต์เข้ามาดังที่ท่านบอกจึงมั่นใจแน่ว่าใช่**
    ............
    เมื่อขึ้นไปถึงหลวงพ่อเกษม ยังไม่ทันกราบครบครั้งที่ ๓ หลวงพ่อเกษมพูดขึ้นทันทีว่า
    ............
    **ไหนละ หลวงปู่ฝากอะไรมา เอามาหรือเปล่า ? **
    ............
    ผู้การเสถียร กับ พล.ต.ชวน หันมาสบตากันปริบ ๆ เป็นครั้งที่สอง แล้วถวายห่อผ้าขาวของหลวงปู่ จากนั้นถวายของที่เตรียมไปแด่หลวงพ่อเกษม ท่านรับประเคนแล้วให้ศีลให้พร เสร็จแล้วท่าน พล.ต.ชวน กับคณะถอดสายสร้อยพระเครื่องในคอออก นำสายสร้างซึ่งมีพระเครื่องหลากอาจารย์ ที่คณะเดินทางอาราธนาติดตัวไปวันนั้น ส่งให้หลวงพ่อเกษมขอท่านช่วย **มนต์** เพื่อปลุกเสกเพิ่มพลังพุทธคุณ
    ............
    หลวงพ่อเกษมรับสายสร้อยพร้อมพระเครื่องถือไว้ในมือ แล้วยกสายสร้อยแบบทูลขึ้นเหนือศีรษะพร้อมพูดว่า
    ............
    **หลวงปู่เป็นอาจารย์ฉัน การให้ศิษย์เสกทับของที่ครูเสกแล้ว เปรียบเหมือนลูกวัดรอยเท้าพ่อ การทาบทับรอยครูเป็นการล่วงเกิน ผู้รู้เขาไม่ทำกัน หากเป็นภาพหลวงปู่เสกแล้วฉันไม่เสก หากเป็นภาพที่ท่านยังไม่ได้เสก ฉันต้องเชิญบารมีท่านมาสถิต ให้ท่านรับรู้แผ่บารมีมากเสกของท่านเอง ฉันเสกทับไม่ได้ไม่สมควรยิ่ง ต่อไปอย่านำพระของหลวงปู่ไปให้พระที่ไหนเสก หากพระที่ทรงฌานไม่ล่วงรู้จริง เสกภาพหลวงปู่อัดพลังส่งเดช อาจโดนสะท้อนถึงเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งท่านก็อาจไม่รู้เลยว่าเกิดจากเสกทับพลังครูบาอาจารย์ โดนแรงสะท้อนกลับจนล้มป่วยไข้**
    ............
    พบจบหลวงพ่อเกษมส่งสายสร้อยคืนแก่เจ้าของ ศิษย์หลวงปู่เดินหนทุกฅนรู้สึกทึ่ง และภูมิใจในการได้เป็นศิษย์หลวงปู่เดินหน ทั้งมีโอกาสรับรู้เรื่องราวดี ๆ จากครูบาอาจารย์ที่รู้จริง
    ............
    ในวันนั้นมีผู้ถามหลวงพ่อเกษมว่า **ท่านเรียนวิชากับหลวงปู่อย่างไร** ท่านตอบสั้น ๆ เพียงแค่ว่า **จิต** คณะศิษย์หลวงปู่เดินหนพูดคุยกับหลวงพ่อเกษมได้ระยะเวลาหนึ่งก็ลากลับ ขณะนั่งรถยนต์มาต่อพูดคุยด้วยความสงสัยว่า หลวงพ่อเกษมท่านรู้ได้อย่างไรว่า พวกเรากำลังมาหาท่าน ทั้งยังรู้ว่านำห่อผ้าจากหลวงปู่มาถวาย ซึ่งทุกฅนที่นำมาหาคำตอบไม่ได้ ทั้งไม่ทราบว่าในห่อผ้านั้น คือ สิ่งใด ? ยังคงเป็นความลับมาตราบเท่าทุกวันนี้ ...
    ............
    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    ............
    เรื่องราวของหลวงปู่เดินหนยังมีอยู่อีกมากมาย หนังสือพระเครื่องใด ๆ ก็ไม่กล้านำไปลง เขาว่าอภินิหารเกินไป เรื่องราวของหลวงปู่เดินหนคล้ายนิยายกำลังภายในของ โก้วเล้ง ปนเรื่องผจญภัย จากปลายปากกาของ พนมเทียน เหตุนี้ผู้ที่ไม่เคยพบเห็นคงทำใจเชื่ออยากที่สุด ..
    ............
    ส่วนข้าพเจ้ากล้าเสนอ และไม่กลัวในข้อมูลทุกเรื่องที่นำเสนอ ด้วยทุกเรื่องเป็นเรื่องจริง มีพยานบุคคลที่กล้ากล่าวถึง ด้วยท่านเหล่านี้เคยพบเห็นทั้งเคารพหลวงปู่เดินหนจริง ท่านต่าง ๆ ที่ว่านี้อยู่ในวงสังคมทั้งในอดีตและปัจจุบัน บางท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ว่าไปศิษย์ขอหลวงปู่มีตั้งแต่หญิงงามเมือง ฅนบ้าใบ้ ไปจนถึงผู้มากบารมีสูงส่งในประเทศนี้ ท่านเหล่านี้เป็นศิษย์เคยเข้าพบ เคยได้รับความเมตตาช่วยเหลือจากหลวงปู่เดินหนทั้งสิ้น
    ............
    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    ............
    เรื่องราวของหลวงปู่เดินหนเหล่านี้ ในอดีตหลวงปู่ห้ามไม่ให้เผยแพร่ ซึ่งก็เคยมีศิษย์ผู้หนึ่งฝืนคำสั่งแอบรวบรวมเรื่องราวไว้ เตรียมจัดพิมพ์เผยแพร่ แต่สุดท้ายประสบอุบัติเหตุเจ็บป่วยจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ท่านผู้นั้นคือ คุณพฤหัส บุญหลง อดีตนักเขียนนักหนังสือพิมพ์อาวุโส ด้วยหลวงปู่ท่านไม่ต้องการให้ผู้ฅนเข้ามาพบท่านมากเกินไป ด้วยบางพวกที่มามีเหตุผลเดียว คือ มาลองดีอยากดูสิ่งอัศจรรย์ ไม่มีสาระใดในจิต ไม่ได้มีความทุกข์ใดให้ท่านช่วยเหลือ พวกนี้ทำให้หลวงปู่ท่านเสียเวลา และทำให้ผู้มีทุกข์จริงเสียโอกาส เสียเวลา ท่านจึงคัดกรองผู้ที่เข้ามา โดยศิษย์ผู้พาฅนมาต้องเป็นผู้รับรอง หากผู้ที่พามาทำไม่เหมาะสมผู้พามาต้องรับผิดชอบดังนี้
    ............
    สมัยที่หลวงปู่ยังมาโปรดศิษย์ มีผู้มาขอให้ช่วยทุกวัน ยกเว้นแค่วันพระ ศิษย์หลวงปู่มีมากมาย ปัจจุบันหลายท่านยังมีชีวิตอยู่ หลายท่านก็ล่วงลับไปแล้ว แต่หลายเรื่องราวข้าพเจ้าไปบันทึกไว้ก่อน เชื่อว่าเรื่องของหลวงปู่เดินหนยังเผยแพร่ได้อีกนาน ผู้ที่เคยพบเจอยังมีชีวิตอยู่จริงยืนยันได้ ที่รวบรวมไว้เชื่อว่าวันหน้าคงได้นำเสนอทั้งภาพเคลื่อนไหว และหนังสือประวัติความขลังพิสดารของท่านในแง่ต่าง ๆ เชื่อว่าความขลัง และความรู้ของหลวงปู่ที่รวบรวมไว้นี้ ไม่มีใครรู้และเขียนได้อย่างแน่นอน วันหน้าคงได้เขียนเรื่องท่านจอมพลผู้หนึ่ง ที่ภายหลังมอบตัวเป็นศิษย์หลวงปู่เดินหน จนมีอำนาจยิ่งใหญ่โตท่านนายพลผู้นี่เป็นใครวันหน้าทุกท่านได้รู้แน่นอน
    ............
    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    ............
    หมายเหตุ : พวกร่างทรงเจ้าพ่อเจ้าปู่ใด ๆ ที่เห็นเสกหลวงปู่เดินหนสบาย ให้รู้เห็นว่าเขาเป็นอะไรเลย หลายท่านอาจคิดว่าหลวงปู่รับรู้เมตตา หากแต่ความจริงพวกเหล่านี้ **ไม่มีคุณธรรมใด ไม่มีจิต ไม่มีพลังสมาธิใด แม้นอุปจารสมาธิขั้นต้นก็ไม่มี บางพวกใส่ชุดขาวแต่ศีลสมาธิใดไม่มีเลยแม้นสักน้อย อาศัยใส่ชุดขาวว่าคาถาเสียงดัง ๆ แบบนกแก้วนกขุนทอง วางท่าจัดโต๊ะหมู่ให้ดูเข้มขลัง เรียกว่ามีแต่รูปภายนอกที่สมมุติตนเองว่า เป็นผู้รู้ทรงวิชาต่าง ๆ นานา ๆ พวกนี้ไม่มีสาระใด ทรงเจ้าทรงกระดาน ทรงหมอน ทรงเตียง ทรงเสื่อ ประเภทนี้ไม่มีทางสัมผัสครูบาอาจารย์ได้จริง นอกจากหลอกลวงผู้ฅนไปวัน ๆ เพื่อเลี้ยงชีพ สำหรับพวกมนุษย์สมมุติประเภทนี้ ไม่ขอนำพา ให้ราคาใด ครูบาอาจารย์คงไม่ลดตัวไปแสดงความอัศจรรย์ คงมีเพียงแต่กรรมที่รอพวกเขาอยู่เมื่อตายเท่านั้น .....
    ............
    ❀❀❀❀❀❀❀❀
    ............


    เขียนโดย : ฅนขลัง คลังวิชา
     
  2. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    สาธุๆๆ ขอรับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...