หลวงปู่สิงห์ วัดโบสถ์ พระอริยะสงฆ์แห่ง อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย ole, 11 กันยายน 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    หลวงปู่สิงห์ วัดโบสถ์


    โดย

    สุวัฒน์ เหมอังกูร


    พระครูวิเชียรธรรมคุณ(วิเชียร ธมฺมสาโร)

    หลวงปู่สิงห์
    วัดโบสถ์ อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์


    สังคมของเราในทุกวันนี้เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ความเจริญที่พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ นั้น มาพร้อมกับความเสื่อมของจิตใจ ทำให้คนต่างพากันพูดว่าศีลธรรมเสื่อม ที่จริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช้ความเสื่อมของศีลธรรม แต่สาเหตุนั้นมาจากกิเลสตัวเดียวเท่านั้น ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี ยิ่งทำให้กิเลสนั้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงในวงการของศาสนา การประพฤติปฎิบัติของพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยไม่เหมาะสมกับสมณาสารูป ทำให้พุทธศาสนิกชนต่างพากันเสื่อมศรัทธาไม่อยากทำบุญเหมือนแต่ก่อน

    อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร พระอรหันต์และพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ยังมีให้เรากราบไหว้บูชาอยู่เสมอ ผู้เขียนจึงอยากแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้พบกับ พระสุปฏิปันโนที่เป็นพระสงฆ์แท้ตามคำบอกกล่าวของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล พระอรหันต์แห่งภาคอีสานใต้ ท่านคือพระครู วิเชียรธรรมคุณ หรือหลวงปู่สิงห์ พระผู้มีวัตรปฏิบัติและมีอภินิหารในบารมีธรรมของท่าน ที่เราสามารถกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ

    ประวัติตอนเป็นฆราวาส

    ท่านถือกำเนิดเมื่อวันเสาร์ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 พ.ศ.2472 ตรงกับวันที่ 13 เมษายน 2472 เป็นบุตรของนายคำ บุญภา และนางปุย บุญภา มีพี่น้อง 6 คน คือ


    1. นายเกิด บุญภา


    2. นายแก้ว บุญภา


    3. หลวงปู่สิงห์


    4. นางอาด ทองดาษ


    5. หลวงพ่อทัด ธมฺมสโร


    6. นางวาด บุญภา ถึงแก่กรรมแล้ว


    ขณะคลอดออกมา ตัวของท่านจะมีหนังบาง ๆ ห่อหุ้มตัวออกมาด้วย พ่อของท่านจึงนำหนังนั้นไปตากแดด และย่างเก็บไว้จนท่านถึงเวลาทานข้าวได้ จึงนำหนังนั้นให้ท่านกิน เนื่องจากวันเดือนปี ที่ท่านคลอดออกมา หมอดูทำนายว่าท่านเป็นเด็กไม่ดี ไม่เป็นมงคลจะต้องนำไปถวายพระ มิฉะนั้นจะทำให้พ่อแม่เดือดร้อน พออายุ 5 ขวบ พ่อของท่านจึงนำไปขายให้หลวงพ่อจูม แห่งวัดบ้านดงถาวร ผู้เขียนคิดว่าเรื่องการซื้อการขายลูกคงเป็นไปเพื่อการแก้เคล็ดเท่านั้น


    หลังจากนั้น เด็กชายสิงห์ ก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านกับวัด เมื่ออยู่วัดก็ได้เรียนหนังสือกับพระ พออายุ 7 ขวบเริ่มเรียนวิชากับปู่แป้น ซึ่งเป็นปู่แท้ ๆ ของท่าน โดยเรียนอักขระ มูลกัจจายนะ และวิชาอาคมที่ใช้ในการดำรงชีพของส่วย ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวกุย


    สำหรับหลวงพ่อจูมนั้น ท่านเป็นเกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์ เก่งในเรื่องสักยันต์ ส่วนปู่แป้นเป็นฆราวาสจอมขมังเวทย์ เป็นครูธรรมที่ชาวบ้านเคารพนับถือและยกย่องในวิชาอาคม เมื่อเด็กชายสิงห์อายุ 11 ขวบ พ่อก็เสียชีวิต ต่อม่อีก 1 ปี ปู่แป้นก็เสียชีวิต จึงได้ศึกษาวิชาอาคมต่อกับหลวงพ่อจูมจวบจนอายุ 20 ปี ได้ลาหลวงพ่อจูมไปทำงานที่บางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ประมาณ 2 ปีจึงกลับ พออายุได้ 23 ปีเต็ม หลวงพ่อจูมเห็นว่า นายสิงห์ โตเป็นหนุ่มถึงเวลาที่จะมีครอบครัวได้แล้ว จึงจัดการแต่งงานให้


    เมื่อแต่งงานได้ 2 ปี ก็เกิดเหตุที่ท่านถูกกล่าวหาว่าขโมยควาย ท่านจึงต้องหนี หลวงพ่อจูมมอบเงินให้ท่านเดินทางออกจากหมู่บ้านไป ท่านจึงเดินทางกลับไปบางบ่ออีกครั้งหนึ่ง โดยไปทำงานกับคุณนายกิมหงส์ ซึ่งเป็นโยมอุปฐากของหลวงพ่อลี ธมฺมธโร เป็นผู้ถวายที่จำนวน 400 ไร่ ให้หลวงพ่อลีสร้างวัดอโศการาม คุณนายกิมหงส์จึงพาท่านไปช่วยงานอยู่กับหลวงพ่อลี


    ระหว่างที่อยู่กับหลวงพ่อลี ท่านได้รับการสอนเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และหลวงพ่อลีทราบโดยฌาณของท่านถึงบุญบารมีที่สะสมมาแต่อดีตชาติและเห็นอนาคตของนายสิงห์ จึงขอให้ท่านบวชโดยบอกกับท่านว่า ถ้าบวชก่อน พ.ศ.2500 ท่านจะสำเร็จอรหันต์อย่างรวดเร็ว และแน่นอน แต่ถ้าท่านบวชหลัง พ.ศ.2500 ท่านจะริบหรี่ ๆ เหมือนแสงหิ่งห้อย นั่นคือจะใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จ แต่ว่าท่านจะมีฤทธิ์มาก


    ระหว่างที่ลังเลอยู่นั้น หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย ได้เดินทางมาจากวัดป่าคลองกุ้งเพื่อมาถามหลวงพ่อลีว่า จะสร้างวัดที่ไหนดี มีคนเขาบริจาคที่ให้ 2 ที่ หลวงพ่อลีจึงบอกให้สร้างที่เขาหัวอีกิม ( ภายหลังหลวงพ่อสมชายเปลี่ยนชื่อเป็นเขาสุกิม ) เมื่อหลวงพ่อสมชายเดินทางกลับได้ชวนนายสิงห์ไปวัดป่าคลองกุ้งกับท่านด้วย ท่านจึงตามหลวงพ่อสมชายไปรวมเวลาที่อยู่กับหลวงพ่อลี 2 ปี


    เมื่อไปอยู่กับหลวงพ่อสมชายได้ 2 เดือน มีคนจากภาคใต้มาหาแรงงานเพื่อไปทำงานเหมืองแร่ที่จังหวัดพังงา ท่านเล็งเห็นว่าชีวิตยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันควรจะทำงานทำการจึงสมัครไปทำงานเหมืองแร่ที่จังหวัดพังงา


    มาอยู่พังงาได้ 4 ปี ท่านจึงมีภรรยาอีกคนหนึ่งเป็นแม่หม้ายลูกติด แต่ท่านไม่ได้มีลูกกับภรรยาคนนี้ อยู่กินกันมาจนถึง พ.ศ.2512 ก็เกิดมีเหตุการณ์ที่เป็นมูลเหตุสำคัญทำให้ชีวิตของท่านต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

    เข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์

    ในปี พ.ศ. 2512 ท่านมีอายุ 40 ปีเต็ม วันหนึ่งท่านออกไปหากบเพื่อมาทำอาหาร ท่านจับกบมาได้ 1 ตัว เป็นกบตัวใหญ่มาก เมื่อกลับมาถึงบ้านท่านจะผ่าท้องเพื่อทำอาหาร ปรากฎว่า กบร้องออกมาว่า " พุทโธ " ท่านได้ยินถึงกับสะดุ้ง และหวนคิดไปถึงคำสอนของหลวงพ่อลี ที่สอนให้ท่านฝึกฝนสมาธิโดยยึดคำว่า พุทโธ


    ด้วยคำว่า พุทโธ ที่ท่านได้ยินจากกบตัวนั้น เป็นเสียงที่จุดประกายขึ้นในใจ และทำให้ท่านตกอยู่ในภวังค์แห่งสัจธรรมของชีวิต ท่านทบทวนเรื่องนี้โดยไม่ได้หลับไม่ได้นอนอยู่เป็นเวลา 3 วัน จนความคิดของท่านตกผลึกและตัดสินใจที่จะบวช จึงได้ปรึกษาภรรยาของท่านว่าจะบวชและอยากกลับไปบวชที่บ้านเกิด ภรรยาของท่านตามใจพร้อมทั้งจัดหาผ้าไตรจีวรและมอบเงินให้ท่านกลับไปยังจังหวัดสุรินทร์


    ท่านเข้าอุปสมบทที่วัดบ้านตรึม ตำบลตรึม อำเภอศีขรภูมิ โดยมีหลวงพ่อลาเป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจูมเป็นพระกรรมวาจาจารย์ สังกัดมหานิกาย เพราะกบตัวนั้นนั่นเอง เป็นชนวนก่อให้เกิดพระอริยสงฆ์ให้เราได้กราบไหว้บูชาชื่นชมบารมีขึ้นมาอีกหนึ่งองค์ โดยความเห็นของผู้เขียนคิดว่า กบตัวนั้นไม่ใช่กบธรรมดาทั่วไปที่เกิดตามธรรมชาติ คงจะเป็นเทพเทวดาที่จำแลงแปลงกายลงมาเตือนสติหลวงปู่อย่างแน่นอน


    เมื่ออุปสมบทเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดบ้านดงถาวร วัดที่ท่านเคยอยู่อาศัยมาตั้งแต่เด็ก ๆ เมื่อท่านจำพรรษาได้ 1 ปี จึงออกเดินธุดงค์ไปทางใต้เพื่อไปศึกษาเรื่องวิชาสมุนไพรโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำมารักษาน้องชายของท่าน ระหว่างทางเมื่อไปถึงตำบลละอุ่นใต้ จังหวัดระนอง ได้พบกับพระอาจารย์จำเนียร จึงพากันธุดงค์ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงจังหวัดพังงา ได้พบกับหลวงพ่อเฟื่องวัดบางเหรียญที่อำเภอทับปุด ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในวิชาสมุนไพร ท่านจึงสมัครเป็นศิษย์ขอศึกษาด้วย


    หลังจากอยู่กับหลวงพ่อเฟื่อง 1 พรรษา ท่านจึงธุดงค์ขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนเขาทับปุด พอดีช่วงนั้นหลวงปู่ชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานีได้รับนิมนต์ไปที่จังหวัดพังงา วันหนึ่งหลังจากที่ท่านออกจากสมาธิจึงเห็นหลวงปู่ชามายืนอยู่ตรงหน้าท่าน หลวงปู่ชาบอกว่าระหว่างที่ผมนั่งภาวนาอยู่ ได้เห็นแสงสว่างของจิตส่องมาถึงผม ผมจึงมาตามหาท่าน


    หลวงปู่ชา สอบถามหลวงปู่สิงห์ จนทราบว่าท่านเป็นคนจังหวัดสุรินทร์ หลวงปู่ชาจึงพูดว่า ท่านมาอยู่นี่ทำไมกลับไปเป็นอรหันต์ที่อีสานใต้บ้านเราเถิด ที่ภาคอีสานนั้นมีอรหันต์เยอะแยะ หลวงปู่สิงห์จึงติดตามหลวงปู่ชาไปจำพรรษาที่วัดหนองป่าพง แต่อยู่ได้เพียง 2 เดือน หลวงปู่สิงห์ก็กราบลาหลวงปู่ชา กลับมายังบ้านเกิดที่จังหวัดสุรินทร์ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าวิชากรรมฐานที่ได้เรียนนั้นไม่ถูกจริต
    หลวงปู่สิงห์กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านดงถาวร ท่านอยู่จนถึงพรรษาที่ 5 ขณะนั้นที่วัดโพธิ์ศรีธาตุ ซึ่งเป็นวัดที่เดิมเคยมีเจดีย์อยู่แต่ได้ผุพังลงกลายเป็นเนินดิน เมื่อถากถางต้นไม้และวัชพืชออกจึงพบว่ามีฐานเจดีย์อยู่ พื้นที่เดิมเป็นของเอกชนคือลูกพี่ลูกน้องของปู่แป้นและได้ถวายให้เป็นธรณีสงฆ์ของวัดบ้านตะเคียนซึ่งอยู่ห่างออกไป 10 กิโลเมตร ทางวัดเห็นว่าพื้นที่กว้างขวางถึง 51 ไร่ จึงให้สร้างวัดขึ้น แต่ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างอะไรมาก ทางวัดบ้านตะเคียนส่งพระมาเป็นเจ้าอาวาส แต่อยู่ไม่ได้เพราะผีดุ ไม่มีพระองค์ไหนอยู่ได้ เป็นที่ร่ำลือไปทั่ว ชาวบ้านจึงไปนิมนต์หลวงปู่สิงห์ให้มาปราบผี เมื่อสำเร็จแล้วชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านอยู่ที่นี่เสียเลย ท่านจึงดำเนินการก่อสร้างศาสนสถานให้เป็นวัดอย่างสมบูรณ์

    ในขณะนั้นท่านทราบว่าหลวงปู่สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และเป็นศิษย์ของหลวงปู่ดุลย์ด้วย เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านวิปัสนากรรมฐาน จึงได้ไปสมัครเป็นลูกศิษย์ขอเรียนกรรมฐานด้วย แต่หลวงปู่สามท่านบอกว่าท่านสอนไม่เก่ง สอนได้แค่คำเดียวว่า จิตหนึ่ง ซึ่งหลวงปู่ก็ยังไม่เข้าใจ หลวงปู่สามจึงพาหลวงปู่สิงห์ไปฝากเป็นศิษย์หลวงปู่ดุลย์ที่วัดบูรพาราม ในอำเภอเมืองจังหวัดสุรินทร์ หลวงปู่ดุลย์เห็นว่าพระองค์นี้มีวาสนา จึงรับไว้ หลวงปู่สิงห์ต้องขึ้นรถไฟจากวัดโพธิศรีธาตุเข้าไปเรียนกับหลวงปู่ดุลย์ทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ นอกจากไปเรียนที่วัดบูรพารามแล้ว หลวงปู่สิงห์ยังไป ๆ มา ๆ ที่วัดป่าไตรวิเวก และได้รู้จักกับหลวงปู่คืน ซึ่งมาอยู่กับหลวงปู่สาม


    หลวงปู่คืน เดิมเป็นศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่เทศน์ เทศน์รังสี วัดหินหมากเป้ง จังหวัดอุดรธานี ฝึกปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานจนได้ธรรมขั้นสูง พิจารณาเห็นว่าเมื่อมาถึงระดับนี้จะต้องบวชเป็นพระแล้ว จึงเดินทางกลับมาบวชที่บ้านเกิดคือจังหวัดสุรินทร์และจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่สาม ช่วงนั้นหลวงปู่คืนได้ออกไปสร้างวัดขึ้นใหม่ คือวัดบวรสังฆาราม หลวงปู่สิงห์เดินทางไปช่วยท่านอยู่เสมอ วัดที่สร้างอยู่ติดกับสะพานทางรถไฟ


    วันหนึ่งหลวงปู่คืน นึกอยากทดลองอำนาจพลังจิตของหลวงปู่สิงห์ ว่ามีพลังแรงตามคำร่ำลือหรือไม่ จึงพูดขอทำนองท้าทายหลวงปู่สิงห์ว่า ไหนลองหยุดรถไฟให้ดูหน่อย ช่วงเวลานั้น หลวงปู่สิงห์ยังอยู่ในช่วงที่จิตใจห้าวหาญ จึงตอบสนองด้วยการออกมายืนมองรถไฟที่วิ่งผ่านมา ท่านเพ่งมองไม่ถึงอึดใจ รถไฟก็หยุดนิ่งท่ามกลางสายตาของหลวงพ่อคืนและลูกศิษย์รวมทั้งชาวบ้านที่มาช่วยงานก่อสร้างวัด กลุ่มลูกศิษย์จึงพูดกันต่อ ๆ ไป เมื่อหลวงปู่ดุลย์ท่านทราบเรื่อง จึงเรียกหลวงปู่สิงห์ไปตำหนิและห้ามไม่ให้มองเครื่องบิน เดี๊ยวคนจะตายกันเยอะ และไม่ให้จ้องมองตาคน เพราะคนที่มามีทั้งคิดดีและคิดไม่ดี ถ้าคิดไม่ดีจิตจะไปตอบโต้ทำให้คนนั้นเป็นอันตราย หลวงปู่สิงห์ท่านรับคำและปฎิบัติตามคำสั่งของหลวงปู่ดุลย์มาจนกระทั้งทุกวันนี้ ช่วงหลัง ๆ ท่านค่อยผ่อนคลายลง เนื่องจากลูกศิษย์ขอให้ท่านมองลูกศิษย์บ้างเวลาสนทนากับท่าน เพราะทุกคนเชื่อมั่นว่า ท่านละกิเลสหมดแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปี พ.ศ.2526 ท่านบวชมาจนครบพรรษาที่ 13 แล้ว หลวงปู่ดุลย์จึงถามท่านว่าจะญัตติไหม นั่นคือจะเปลี่ยนเป็นธรรมยุตินิกายหรือไม่ หลวงปู่สิงห์ท่านก็ตอบรับ แต่ขณะนั้นหลวงปู่ดุลย์ท่านอาพาธต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งท่านก็ยังเป็นห่วงเรื่องการย้ายนิกายของหลวงปู่สิงห์มาก เวลาพระผู้ใหญ่ในจังหวัดไปเยี่ยมหลวงปู่ดุลย์ที่โรงพยาบาล ท่านก็จะถามถึงพระมหานิกายองค์เล็ก ๆ ทุกครั้ง พระผู้ใหญ่ที่ไปเยี่ยมท่านต่างพากันถามว่า ทำไมหลวงปู่ถึงเป็นห่วงพระองค์นี้จัง หลวงปู่ดุลย์จึงตอบไปว่าก็มันเป็นพระแท้ พวกมึงเป็นหรือยัง

    หลวงปู่ดุลย์ได้มอบผ้าไตรและบริขารให้กับหลวงปู่สิงห์พร้อมกับเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดผ่านไปทางพระผุ้ใหญ่ ให้ใช้ในการทำพิธีญัตติ นั่นคือหลวงปู่ดุลย์เป็นเจ้าภาพในพิธีครั้งนี้ ทางเจ้าคุณพระรัตนากรวิสุทธิ์ ( หลวงพ่อสถิตย์ ) เจ้าคณะอำเภอเมือง จึงดำเนินการให้จนเสร็จเรียบร้อย หลังจากเปลี่ยนนิกายแล้ว หลวงปู่สิงห์ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวิเชียร แต่ชาวบ้านทั่งไปก็ยังนิยมชื่อท่านอยู่ จึงทำให้ท่านมีสองชื่อ ชื่อที่เป็นทางการคือวิเชียร ชื่อที่ชาวบ้านบ้านทั่วไปนิยมเรียกท่านคือ สิงห์


    การญัตติหรือเปลี่ยนนิกายในครั้งนี้ ทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นกับหลวงปู่สิงห์ โดยไม่ได้คิดล่วงหน้าไว้ก่อน นั่นคือ วัดโพธิ์ศรีธาตุ ที่ท่านจำพรรษาอยู่เป็นวัดที่อยู่ในความปกครองของมหานิกาย ทางกลุ่มคณะผู้ปกครองมหานิกายจึงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ได้ส่งเจ้าคณะตำบล และเจ้าคณะอำเภอพร้อมชาวบ้านจำนวนหนึ่งมาขับไล่ท่านถึงวัด หลวงปู่สิงห์ขอเวลาเก็บของ พวกที่มาไล่บอกว่าเดี๋ยวจะให้คนช่วยเก็บ และจะไปอยู่ที่ไหนจะให้คนไปส่ง เป็นการไล่กันแบบปัจจุบันทันด่วน เรื่องนี้ถ้าพิจารณากันโดยเหตุผลทั่วไปก็ไม่เห็นจะต้องรีบร้อนขนาดนี้ ควรให้เวลาเตรียมตัวและหาวัดใหม่เสียก่อน และเรื่องการเปลี่ยนนิกายก็ไม่จำเป็นต้องรังเกียจเดียดฉันท์อะไรกัน อย่างไรก็นับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน


    เมื่อออกจากวัดโพธิ์ศรีธาตุ หลวงปู่สิงห์ได้ไปจำวัดที่วัดไผ่ล้อม รุ่งขึ้นจึงเดินทางไปอยู่วัดบวรสังฆารามกับหลวงพ่อคืน แต่เรื่องนี้ยังไม่จบลงเพียงแค่นั้นเพราะมีเรื่องราวที่ทำให้ต้องเล่าขานกันต่อมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องของเรื่องก็คือ เจ้าคณะตำบลและเจ้าคณะอำเภอ เมื่อมาขับไล่หลวงปู่สิงห์แล้วกลับวัดคืนนั้นทั้งสององค์ก็หลับไม่ตื่นอีกเลย เหตุการณ์นี้สร้างความวิตกกังวลกับกลุ่มคนที่ร่วมขบวนไปขับไล่หลวงปู่อย่างมากทีเดียว ต่างพากันจะไปกราบขอขมา แต่ปรากฏว่าหลวงปู่เดินทางเข้าตัวจังหวัดไปแล้ว ความสำนึกที่รู้ว่าตัวเองทำไม่ถูกต้องประกอบกับความกลัวยังฝังใจกลุ่มคนเหล่านั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้ามีโอกาสก็จะกราบขอขมาท่านทุกครั้ง สำหรับหลวงปู่นั้นท่านบอกกับลูกศิษย์ว่าท่านไม่ได้ทำอะไร เพราะท่านไม่ได้โกรธเคือง อาจเป็นเพราะเจ้าที่เจ้าทางและเทพเทวดา ที่ดูแลพระธาตุในวัดเขาไม่พอใจ


    ผู้เขียนคิดว่าคงเป็นอย่างที่ท่านบอก เพราะท่านเป็นพระแท้อย่างที่หลวงปู่ดุลย์กล่าวไว้ เราก็คงเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า พระสงฆ์แท้คือพระที่เป็นอริยสงฆ์แล้ว ขั้นต่ำก็คือพระโสดาบัน ส่วนที่ยังไม่ถึงขั้นนี้จะเรียกกันว่า สมมุติสงฆ์ พระที่ขึ้นถึงระดับนี้ท่านไม่ทำร้ายใคร เมื่อหลวงปู่ดุลย์ทราบเรื่อง ท่านจึงสั่งหลวงปู่สิงห์ให้ไปอยู่วัดไตรวิเวกกับหลวงปู่สาม หลังจากที่หลวงปู่สิงห์ญัตติได้สามเดือน หลวงปู่ดุลย์ท่านก็ละสังขาร เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2526 หลวงปู่ดุลย์ท่านเคยบอกลูกศิษย์ไว้ว่า ในหมู่พระสายกรรมฐานที่ท่านรู้จักและได้สัมผัสมานั้น มี 3 องค์ที่มีพลังจิตแรงมาก คือ 1. หลวงปู่ฝั้น อาจาโร 2. หลวงพ่อพุทธ ฐานิโย 3.หลวงปู่สิงห์ ธมฺมสาโร ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นหลวงปู่สิงห์ยังบวชได้ไม่นานนัก ถึงตอนที่เปลี่ยนนิกายก็เพิ่ง 13 - 14 พรรษา แต่พลังจิตของท่านก็แรงได้ขนาดที่หลวงปู่ดุลย์ยังยกย่อง

    ***** เครดิต ประวัติหลวงปู่สิงห์ จาก ราชันดำบอร์ด โดยคุณสุวัฒน์ เหมอังกูร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2014
  2. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    ขณะที่ท่านอยู่วัดป่าไตรวิเวก ผู้ใหญ่คง โต้เศรษฐี ผู้ซึ่งมีความเคารพนับถือหลวงปู่สิงห์มาก อยากให้ท่านกลับมาอยู่ใกล้ ๆ ที่เดิมคือที่ตำบลกุดหวาย อำเภอศีขรภูมิ ผู้ใหญ่คงจึงไปซื้อที่จากน้องสาวของหลวงปู่สิงห์ ที่ได้รับมรดกตกทอดมา เป็นที่ที่อยู่ห่างจากวัดโพธิ์ศรีธาตุประมาณสองกิโลเมตร จึงไปนิมนต์หลวงปู่สิงห์ให้กลับมาสร้างวัดที่นี่ หลวงปู่สิงห์รับนิมนต์และเริ่มสร้างวัดในปี 2527 จนถึงปี 2528 ท่านจึงออกจากวัดป่าไตรวิเวก กลับมาดำเนินการสร้างวัดต่อจนเสร็จในปี 2530 และได้รับวิสุงคามสีมาและอยุ่ในทำเนียบกรมการศาสนาในปีเดียวกันนั้น ตั้งแต่เริ่มสร้างได้ตั้งชื่อวัดว่า วัดป่าหนองคูโบสถ์ ( แสนสบาย ) แต่ทางกรมการศาสนาเห็นว่ายาวเกินไป จึงใช้แค่ชื่อว่า วัดโบสถ์ จากนั้น ท่านได้นิมนต์หลวงปู่สามให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้อีกวัดหนึ่ง เพราะหลวงปู่สิงห์อายุพรรษายังไม่ถึงเนื่องจากการเปลี่ยนนิกายธรรมยุติ จะเริ่มนับอายุพรรษาใหม่ ถัดมาอีก 1 ปี คือ พ.ศ.2531 อายุพรรษาของหลวงปู่สิงห์สามารถเป็นเจ้าอาวาสได้แล้ว หลวงปู่สามจึงลาออกและมอบตำแหน่งให้หลวงปู่สิงห์เป็นเจ้าอาวาสจนถึง พ.ศ.2553 หลวงปู่สิงห์ท่านก็ลาออกและมอบตำแหน่งเจ้าอาวาสให้กับพระครูปิยะธรรมากร



    ขอย้อนกลับมาเรื่องการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่สิงห์ หลังจากได้ทำการญัตติแล้ว ระหว่างการจำวัดที่วัดป่าไตรวิเวก ท่านก็ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสุดท้าย จนกระทั่งได้พูดคุยกับหลวงพ่อคืนในเรื่องการเห็นจิต ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคุยกัน ได้แต่ต่างคนต่างปฏิบัติกันไป หลวงพ่อคืนบอกกับท่านว่า ไม่ยากและได้สอนวิธีกำหนดจิตและภาวนาให้หลวงปู่สิงห์ฟัง หลวงปู่สิงห์บอกกับหลวงพ่อคืนว่า ถ้ารู้วิธีแบบนี้ก็คงจะทำได้ภายในคืนนี้ ดังนั้น ท่านจึงนั่งกำหนดจิตโดยมีหลวงปู่คืนนั่งอยู่ด้วยเป็นเวลาสองชั่วโมง หลวงปู่สิงห์ถึงได้เห็นจิต หลวงปู่คืนจึงถอยออกมาแล้วรีบออกไปรายงานกับหลวงปู่สามว่า ท่านสิงห์เห็นจิตแล้ว หลวงปู่สามจึงบอกว่าเราเป็นพระคงไปคุยหรือไปรับรองไม่ได้ ถ้าจะให้ลูกศิษย์ทั่วไปเขารู้ ต้องพาท่านสิงห์ไปพบอาจารย์รอด สุกแสงจันทร์ ถ้าอาจารย์รอดกราบก็แสดงว่าท่านสิงห์เห็นจิตแล้ว หลวงปู่คืนจึงพาหลวงปู่สิงห์ไปหาอาจารย์รอดภายหลังจากที่หลวงปู่สิงห์นั่งต่อจากวันที่เห็นจิตนั้นอีกสามวันสามคืน เมื่อไปถึงก็พบว่าอาจารย์รอดปูผ้ารอรับอยู่แล้วและก้มลงกราบเมื่อเห็นหลวงปู่สิงห์ท่ามกลางสายตาของพระลูกศิษย์ทั้งหลาย เหตุที่ต้องเป็นอาจารย์รอด สุกแสงจันทร์ เพราะเป็นที่รู้กันว่าอาจารย์รอดสำเร็จธรรมขั้นสูง พระองด์ไหนถ้ายังไม่เห็นจิตท่านจะไม่กราบ



    ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องวัตถุมงคลของหลวงปู่สิงห์ ผู้เขียนขอเวลาสรุปเรื่องราวและข้อมูลต่าง ๆ ที่นำเสนอต่อท่านผุ้อ่าน เพื่อนำมาใช้ในการพิจารณาด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง



    ผู้เขียนเคยพูดอยู่เสมอว่า การที่จะศรัทธาอะไร ต้องศรัทธาด้วยปัญญา ซึ่งเรื่องนี้ถ้าเราใช้สติ ตัดความหลงออกไป เราก็จะสามารถแยกแยะได้ไม่ยากว่าจะศรัทธาอะไร ศรัทธาใคร เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเราศรัทธากันอยู่เช่น วัตถุมงคล เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ เรื่องของพระสงฆ์ ก็ควรศรัทธาด้วยปัญญา และในสังคมพระเครื่องของเราก็ต้องพุ่งเป้าไปที่วัตถุมงคลซึ่งมีที่มาแตกต่างกัน ที่ผู้เขียนอยากจะกล่าวถึงก็คือวัตถุมงคลของเกจิอาจารย์ แน่นอนว่าถ้าเราต้องการใช้และเก็บวัตถุมงคลแบบนี้ก็ต้องพิจารณาไปถึงองค์อาจารย์ผู้ปลุกเสก



    ตามความเห็นของผู้เขียนจะต้องเริ่มที่พระระดับอริยสงฆ์ขึ้นไป เพราะพระตั้งแต่ระดับนี้ปลุกเสกวัตถุมงคลแล้วจะไม่เสื่อม โดยเฉพาะพระทุกองค์ทั้งที่ผ่านและไม่ผ่านเรื่องวิชาอาคม หรือด้านอิทธิฤทธิ์ก็สามารถอธิษฐานจิตได้ทุกองค์ แต่จะมีอิทธิฤทธิ์ที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละองค์และบุญบารมีที่มีมาแต่อดีตชาติ ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นประกอบด้วยนั่นคือ ท่านผ่านวิชาอาคมมาหรือเปล่า ผ่านทางด้านอิทธิฤทธิ์หรือเปล่า เพราะถ้าผ่านจะได้เปรียบกว่าองค์ที่ไม่ผ่าน แต่ก็ยังมีปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งคือความกล้าแข็งของพลังจิต ไม่ว่าระดับใดถ้าพลังจิตกล้าแข็งหรือแรงย่อมมีอิทธิฤทธิ์มากกว่า



    ปัญหาก็คือว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไร เรื่องนี้จะว่ายากก็ยากแต่ก็คงจะไม่ยากจนเกินไปนัก สิ่งแรกเลยเมื่อเราไปหาเกจิอาจารย์องค์ใด ถ้าคุยโม้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ก็ควรจะต้องระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้จะมีพระที่เห็นแค่เพียงภายนอกแค่ห่มผ้าเหลืองแต่พฤติกรรมนั้นมีกิเลสมากกว่าฆราวาสเสียอีก พระเหล่านี้เมื่อเราได้สัมผัสก็พิจารณาได้ไม่ยากเมื่อพบเจอก็ควรถอยออกมา


    --------------------------------------------------------------------------------
     
  3. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    ส่วนพระที่เราจะยอมรับและศรัทธาในเรื่องภูมิธรรม เรื่องอำนาจพลังจิตซึ่งมีผลต่อวัตถุมงคลนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คงมีอยู่ไม่กี่เรื่องตามที่ผุ้เขียนได้กล่าวมาแล้ว นั่นคือ ความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม ความรู้ในเรื่องวิชาอาคม ความแรงของพลังจิต ด้วยความที่เราเป็นคนธรรมดาเราไม่สามารถทราบได้ด้วยจิตของเรา แต่เราสามารถทราบได้จากวัตรปฏิบัติ คำสอน การบอกกล่าวของพระที่มีธรรมขั้นสูงด้วยกันกับท่าน และที่สำคัญคืออภินิหารที่เกิดจากท่านรวมทั้งประสบการณ์ของพวกเราหรือของคนอื่นที่ได้ประสบกันมา ซึ่งคุณวิเศษเหล่านี้มีพร้อมอยู่ในหลวงปู่สิงห์ พระเกจิอาจารย์สายกรรมฐานที่ผู้เขียนจะนำมากล่าวให้ท่านทราบอีกครั้งเพื่อท่านผู้อ่านจะนำรายละเอียดมาพิจารณากับเหตุผลต่าง ๆ ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้



    เรื่องแรกคือระดับชั้นภูมิธรรมของท่าน เรื่องนี้เราผู้เป็นคนธรรมดาไม่สามารถไปวิพากวิจารณ์ได้ แต่ผู้เขียนจะขอยกคำพูดของอาจารย์ผู้สำเร็จธรรมขั้นสูงกล่าวถึงท่าน



    องค์แรกคือ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ซึ่งอัฐิของท่านเป็นพระธาตุ ท่านกล่าวบอกกับพระผู้ใหญ่หลายท่านที่ปัจจุบันนี้ยังมีชีวิตอยู่ว่า หลวงปู่สิงห์นั้นเป็นพระแท้ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ข้างต้น



    องค์ที่สองคือหลวงพ่อคืน เจ้าอาวาสวัดบวรสังฆาราม อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ หลวงพ่อคืนเป็นองค์ผู้บอกเคล็ดของกรรมฐานให้กับหลวงปู่สิงห์จนสามารถเห็นจิตได้ภายในวันนั้น และหลวงพ่อคืนรีบไปบอกหลวงปู่สาม ซึ่งหลวงปู่สามบอกให้พาหลวงปู่สิงห์ไปพบอาจารย์รอด สุกแสงจันทร์ เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าหลวงปู่สิงห์สำเร็จแล้ว



    องค์ที่สามคือ หลวงปู่กิม ทีปธมฺโม วัดป่าดงคู เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ดุลย์ อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ เรื่องนี้เกิดในช่วงปี 2537 -2538 หลวงปู่สิงห์ได้ไปเยี่ยมหลวงปู่กิม หลวงปู่กิมได้พูดขึ้นท่ามกลางลูกศิษย์ว่า ท่านสิงห์ได้บำเพ็ญตนเป็นฤาษีมา 7 ชาติแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่าน



    จากคำกล่าวของพระอรหันต์ถึง 3 องค์ เป็นสิ่งยืนยันว่าหลวงปู่สิงห์ท่านสำเร็จธรรมชั้นสูง ถ้าพิจารณาจากคำพูดของพระอรหันต์ทั้ง 3 องค์จะเห็นได้ชัดเจนว่าหลวงปู่ท่านผ่านขั้นสุดท้ายของอริยสงฆ์ไปแล้ว และสิ่งนี้เป็นที่รับรองได้ว่าวัตถุมงคลที่ท่านอธิษฐานจิตและปลุกเสกจะไม่มีวันเสื่อมแน่นอน



    อีกเรื่องหนึ่งคือ ความรุ้ความสามารถในเรื่องวิชาอาคม เรื่องนี้คงไม่ต้องสงสัยเพราะท่านเกิดมาในสกุลบุญภา ปู่ของท่านเป็นที่ยกย่องในเรื่องขมังเวทย์ นอกจากนี้ยังมีหลวงพ่อจูม เกจิอาจารย์ขมังเวทย์ในสมัยนั้นซึ่งถือว่าเป็นพ่อบุญธรรมของหลวงปู่อยู่แล้ว ทั้งสองท่านเป็นผู้สั่งสอนหลวงปู่ในเรื่องวิชาอาคมมาตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้ในชีวิตท่านทั้งตอนที่เป็นฆราวาสและบรรพชิตได้พบปะอาจารย์ที่ทรงความรู้ในเรื่องวิชาอาคมมากมาย หลวงปู่สิงห์จึงมีความรู้ในเรื่องวัตถุมงคลเกือบทุกอย่าง หลวงพี่สุรฤทธิ์ ธมฺมทินโน บอกกับผู้เขียนว่าวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังที่ชาวบ้านมาขอให้ท่านปลุกเสกให้ ท่านจะปลุกเสกให้ไม่เหมือนกัน แสดงว่าท่านเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าท่านไม่สร้างวัตถุมมงคลรวมทั้งไม่ค่อยยอมให้ใครสร้าง



    อีกประการหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากนั่นคือความกล้าแข็งของพลังจิต เรื่องนี้มีทั้งคำกล่าวของหลวงปู่ดุลย์ที่บอกกับพระผู้ใหญ่ในสมัยนั้นว่า หลวงปู่สิงห์เป็นผู้มีพลังจิตแรงมาก เป็นหนึ่งในสามของพระในสายกรรมฐานที่มีพลังจิตแรงที่ท่านรู้จักและเคยสัมผัสมาดังที่ผู้เขียนได้เคยเล่าไว้แล้ว และยังมีเหตุการณ์ที่ยืนยันในเรื่องนี้ที่ผู้เขียนกล่าวถึงคือการเพ่งจนรถไฟหยุด เรื่องนี้ถ้าไม่แรงจริงก็ไม่สามารถทำได้ ผุ้ที่จะทำได้อย่างนี้มีไม่กี่องค์



    นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่ผู้เขียนอยากเพิ่มเติมเพื่อยืนยันถึงเรื่องของพลังจิตของท่าน คือ การบังคับให้ฟ้าผ่าได้ มีอยู่ถึง 2 - 3 ครั้งที่หลวงพี่สุรฤทธิ์เล่าให้ผู้เขียนฟังคือ



    เรื่องแรก ในพิธีเททองหล่อพระประธานของวัดโพธิ์ศรีธาตุ ทางวัดนิมนต์หลวงปู่สิงห์ไปนั่งส่งพลังจิตในการทำพิธี เมื่อท่านขึ้นนั่งกำหนดจิตท้องฟ้าที่สว่างโปร่งอยู่ก็เกิดมืดครื้มและมีเมฆปกคลุมเหมือนฝนจะตก สักอึดใจเดียวฟ้าก็ผ่าลงมาที่เบ้าหลอมทอง แต่ปรากฎว่าเบ้าไม่เป็นอะไรเลย อยู่ในสภาพดีพร้อมที่จะเททองได้ ผู้เขียนคิดว่าท่านคงใช้ความสามารถของท่านดึงกระแสไฟฟ้าจากท้องฟ้าเพื่อมาเพิ่มพลังให้กับโลหะที่จะสร้างเป็นองค์พระ



    เรื่องที่สอง คือที่พิธีปลุกเสกวัตถุมงคลวัดป่าบ้านงิ้ว หลวงพี่สุรฤทธิ์ได้ไปกับหลวงปู่ เล่าว่า เมื่อไปถึงก่อนขึ้นธรรมาสน์เพื่อทำพิธีปลุกเสก ขณะที่ท่านอยู่ด้านนอกท่านได้ยกนิ้วชี้ขึ้นและเขียนหมุน ๆ เป็นวงกลมแล้วกดนิ้วลง ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมาแต่เกิดนอกพิธี ผู้เขียนคิดว่าคงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากท่านหลวงปู่ทราบว่ามีกระแสไฟฟ้าบนท้องฟ้ามากมาย และวันนั้นเป็นวันสงกรานต์ คือวันที่ 13 เมษายน 2556 ส่วนใหญ่วันนี้จะมีฝนตก คนค่อนข้างเยอะท่านคงเกรงว่ากระแสไฟบนท้องฟ้าจะทำอันตรายคน ท่านจึงดึงลงมาเสียก่อน จากนั้นเมื่อท่านขึ้นนั่งทำพิธีปลุกเสก มีผู้บันทึกภาพไว้ ปรากฏว่าภาพที่ออกมานั้นมีประกายแสงคลุมตัวท่านและส่งสายไฟออกมาเหมือนสายฟ้า ซึ่งเราจะไม่พบแสงแบบนี้จากองค์อื่นๆ ส่วนใหญ่ก็คือเป็นแสงไฟจาง ๆ วนไปมารอบตัวเท่านั้น
     
  4. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    ภาพปาฎิหาริย์ต่างๆของสายฟ้าที่หลวงปู่สามารถเรียกมาได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    ภาพบนคือภาพหลวงปู่ในพิธีปลุกเสกเปรียบเทียบกับสายฟ้าผ่ากับภาพล่าง



    เรื่องที่สาม เป็นเรื่องที่หลวงพี่สุรฤทธิ์ อยากรู้เรื่องการใช้พลังจิตที่หลวงปู่เคยใช้ทำพิธีให้ฟ้าผ่า หลวงปู่จึงอธิบายและแสดงให้เห็นโดยเข้าไปในห้องและนั่งสมาธิ มีหลวงพี่สุรฤทธิ์นั่งอยู่ข้างหน้าท่าน พอท่านเริ่มกำหนดจิต เสียงฟ้าก็ร้องดังครืน ๆ เมื่อหลวงปู่หันหน้าไปทางซ้ายเสียงฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงไปทางที่หลวงปู่หันหน้าไป เมื่อหันหน้าไปทางขวาเสียงฟ้าผ่าก็ดังเปรี้ยงทางด้านขวา เหตุการณ์ของการเอากระแสไฟฟ้าลงจากท้องฟ้าโดยหลวงปู่นั้นเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหนที่วัดโบสถ์



    ทั้งสามเรื่องที่ผู้เขียนเล่ามา เป็นที่สรุปได้ว่าพลังจิตของท่านนั้นแรงสุดยอด เพราะถ้าไม่แรงจริงจะส่งขึ้นไปถึงท้องฟ้าและดึงกระแสไฟฟ้าที่มีปริมาณมหาศาลและมีความแรงในตัวเองรุนแรงมาก ครั้งหนึ่ง ๆ ที่ฟ้าผ่านั้นมีกระแสไฟฟ้าถึง 100 ล้านโวลท์ อำนาจอย่างนี้เป็นอำนาจเฉพาะตัวที่เกิดจากการสะสมบารมีมาแต่อดีตชาติ



    นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเป็นที่รับรู้ของชาวบ้านแถวนั้น คือ โดยปกติหลวงปู่ท่านจะเป็นผู้รักสงบ ท่านสร้างวัดไว้ให้เป็นที่เงียบสงบเพื่อการปฏิบัติธรรม แต่จะมีชาวบ้านที่อยู่แถวนั้น เวลามีงานก็มักจะมีมหรสพ เช่นมีดนตรี มีฉายหนัง และพวกนักฉายหนังก็มักจะเปิดเสียงให้ดังมากเพื่อโชว์ความยิ่งใหญ่ของเครื่องเสียง ถ้าอยู่ใกล้ๆ หลวงปู่จะให้คนตามมาพบและบอกกล่าวให้ลดเสียงลงบ้าง แต่พวกนั้นส่วนใหญ่มักไม่ค่อยฟังเพราะมองว่าท่านเป็นเพียงหลวงตาแก่ ๆ พอกลับไปก็ไม่ใส่ใจปฏิบัติตาม สักครู่เดียวเครื่องไฟ เครื่องเสียงก็ไหม้ จอหนังก็ไหม้ บางครั้งงานอยู่ไกลวัดแต่เสียงก็ดังมารบกวน ชาวบ้านไม่เป็นอันหลับอ้นนอน พากันมาฟ้องหลวงปู่ แป๊บเดียวเครื่องไฟฟ้าก็พัง จอหนังก็ไหม้ บ่อยๆ เข้าพวกคนฉายหนังก็พากันเข็ดขยาดไปตาม ๆ กัน ต่างพากันสงบเสงี่ยมเบาเสียงลง ความจริงก็ควรจะเกรงใจชาวบ้านเขาบ้าง เปิดเสียงแค่ได้ยินกันตรงคนดู คนที่ไปร่วมงานก็พอ



    เหตุการณ์เรื่องราวทั้งหมดที่ผู้เขียนเล่ามานี้ เป็นเรื่องที่มีประจักษ์พยาน และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความแรงของพลังจิตหลวงปู่สิงห์ได้เป็นอย่างดี
     
  6. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    วัตถุมงคล



    ในสายพระกรรมฐานหลวงปู่สิงห์เป็นที่รู้จักได้รับการยกย่องและเคารพนับถือกันโดยทั่วไป ส่วนในวงการพระเครื่องจะไม่ค่อยได้ยินชื่อของหลวงปู่สิงห์ วัดโบสถ์ที่จังหวัดสุรินทร์มากนัก หลายคนอ่านเรื่องของท่านตามที่ผู้เขียนนำเสนอมา คงเกิดความสงสัยว่า ท่านมีอภินิหาร มีพลังจิตกล้าแข็งแบบนี้ ทำไมกลุ่มคนในวงการพระถึงไม่ค่อยรู้จัก เรื่องนี้มีเหตุผลง่าย ๆอยู่ในตัวเองคือ ท่านไม่สร้างวัตถุมงคล และไม่อนุญาตให้ใครสร้าง มีลูกศิษย์และผู้ศรัทธาท่านจำนวนมากไปขอสร้าง ท่านไม่อนุญาตโดยบอกว่า วัตถุมงคลของพ่อแม่ ครูอาจารย์ ยังมีอยู่เยอะแยะ ของ ๆ ท่านยังไม่จำเป็นต้องสร้าง



    สิ่งที่ท่านเน้นคือ ขอให้พระในวัดศีกษาและปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน ตัวท่านเองก็ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ท่านบอกลูกศิษย์ว่า ศีล คือเครื่องมือที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการปฏิบัติ ลูกศิษย์ที่ไม่อยุ่กับร่องกับรอย หรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัย ท่านจะดุ ความดุของท่านมีกิตติศัพท์เป็นที่เลื่องลือ ทุกวันท่านจะตื่นตอนตีสอง เพื่อทำวัตรเช้าและเจริญกรรมฐานจนเช้า จากนั้นก็ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของสงฆ์ บ่ายก็มักจะเก็บตัว ท่านจะรักสงบไม่ค่อยพบกับใคร จนในระยะหลัง ๆ เมื่อมีคนไปหาท่านมาก ท่านจึงต้องออกมาพบปะญาติโยมที่เคารพศรัทธาท่าน และอยากมาทำบุญ ท่านจึงออกมาให้เวลากับพุทธบริษัททั้งหลาย



    ด้วยความที่ไม่ได้สร้างวัตถุมงคลออกมา จึงไม่มีของในนามของท่านออกมาเผยแพร่ ส่วนใหญ่คนในวงการพระก็จะสนใจแต่เรื่องวัตถุมงคล เรื่องกรรมฐานไม่ค่อยเข้าถึงเท่าไร ชื่อเสียงของท่านในเรื่องวัตถุมงคลจึงยังไม่แพร่หลายออกมาในวงกว้าง จะรู้กันแต่เพียงในท้องถิ่น เมื่อมีคนต้องการท่านก็ให้ลูกศิษย์เขียนตะกรุดแล้วท่านก็ปลุกเสกให้ บางคนก็ทำโน่นทำนี่ที่มีอย่างละชิ้นสองชิ้นไว้ใช้เองมาขอให้ท่านปลุกเสก ท่านก็ทำให้



    ด้วยความที่อยากมีวัตถุมงคลของท่านไว้ใช้ เพราะทุกคนประจักษ์ใจดีว่าท่านเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ มีพลังจิตแข็งกล้า ขอให้เป็นอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับท่านก็อยากได้ทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดวัตถุมงคลขึ้นมาแบบหนึ่งที่ทุกคนต่างพากันเอาไปพก ไปบูชาที่บ้าน ไปเก็บไว้ในรถ วัตถุมงคลนี้เป็นผลงานที่เกิดขึ้นจากหลวงพ่อสมาน ลูกศิษย์ของหลวงปู่สิงห์ วันหนึ่งหลวงพ่อสมานได้ชักชวนพระเณรลูกศิษย์ในวัด และชาวบ้านที่อยู่ในเวลานั้น ว่าจะทำอะไรให้ดู ท่านชี้ไปที่รุ้งกินน้ำแล้วอวดรูปของหลวงปู่สิงห์ให้ทุกคนดู จากนั้นจึงยกรุปขึ้นตัดรุ้ง เมื่อฟันฉับลงรุ้งก็ขาดแยกจากกัน เท่านั้นเองก็ขอรูปไปถ่ายและอัดมาแจกกัน เมื่อหลวงปู่ท่านทราบเรื่องก็ให้หลวงพ่อสมานลงยันต์และท่านอธิษฐานจิตให้ รูปด้านล่างคือรูปที่ตัดรุ้งขาด เป็นรูปที่ท่านถ่ายครั้งแรกเพื่อทำใบสุทธิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    ต่อมาลูกศิษย์จึงพยายามขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลที่เป็นรูปลักษณ์ของท่าน สำหรับแจกให้ญาติโยมที่เคารพศรัทธาท่าน และอยากได้วัตถุมงคลที่เป็นของท่าน จนกระทั่งจะมีงานฝังลูกนิมิต จึงใด้โอกาสขอท่านสร้างล็อคเก็ตเพื่อแจกในงาน ท่านอนุญาตให้สร้างได้ จึงได้เกิดวัตถุมงคลที่เป็นรูปท่านเป็นครั้งแรก และว่างเว้นเป็นเวลานานจึงจะทำขึ้นอีก จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2556 จึงได้มีการสร้างขึ้นอีก 2-3 รูปแบบ ทุกครั้งจะเป็นการสร้างในจำนวนที่พอเหมาะพอดี



    ก่อนที่ผู้เขียนจะนำรายละเอียดวัตถุมงคลของท่านแต่ละรุ่นมาเสนอต่อท่านผู้อ่าน ผู้เขียนขอเปิดเผยความรู้สึกและความเห็นต่อท่านผู้อ่านสักเล็กน้อยคือ ผู้เขียนมีความรู้สึกอิจฉาคนจังหวัดสุรินทร์ ที่อยู่ในท้องถิ่นที่มีพระอริยะสงฆ์จำนวนมากและมีจำนวนไม่น้อยที่ปฏิบัติจนถึงขั้นหลุดพ้น ถึงแม้ว่าหลายท่านจะละสังขารไปแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่ไม่ขาดสาย ที่สำคัญคือในปัจจุบันยังมีหลวงปู่สิงห์ แห่งวัดป่าหนองคูโบสถ์ (วัดโบสถ์) ที่เพียบพร้อมไปด้วยญาณสมาธิและพลังจิตอันกล้าแข็ง มีความรอบรู้ในเรื่องวิชาอาคม



    ผู้เขียนคิดว่าคนสุรินทร์เป็นคนโชคดีและมีบุญ ถ้าต้องการวัตถุมงคลมาคุ้มครองกาย มากราบไหว้บูชา มาช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาในการดำเนินชีวิต และหรือต้องการกราบไหว้พระสุปฏิปันโนอันเป็นเนื้อนาบุญ ก็ไม่ต้องเดินทางดั้นด้นไปเสาะหาให้เสียเวลา เพราะว่ามีของวิเศษอยู่ใกล้ต้ว แต่ถ้าพากันมองข้ามก็นับว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง



    วัตถุมงคล



    1. รุ่นฝังลูกนิมิต



    1.1 ล็อคเก็ตรุ่นแรก



    สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2545 ขณะนั้นท่านอายุ 73 ปี นับเป็นวัตถุมงคลรุ่นแรกของท่าน สร้างขึ้นเพื่อแจกในงานฝังลูกนิมิต เป็นล็อคเก็ตรูปหันเฉียง ๆ



    จำนวนการสร้าง 200 อัน



    ขนาด กว้าง 1.8 ซม.



    สูง 2.4 ซม.



    เป็นล็อคเก็ตที่มีขนาดค่อนข้างเล็กและสร้างแบบง่าย ๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    2. รุ่นฉลองพัดยศ



    2.1 เหรียญรุ่นแรก



    สร้างขึ้นในปี 2550 เพื่อแจกในงานฉลองสัญญาบัตรพัดยศของหลวงปู่ ลักษณะเป็นเหรียญเสมา หลวงปู่นั่งเต็มองค์ ด้านหลังยันต์



    ขนาด กว้าง 2.5 ซ.ม.



    สูง 3.2 ซ.ม.



    จำนวนการสร้าง



    ทองคำ 5 เหรียญ



    เงิน 80 "



    ตะกั่วหลังเรียบจารยันต์ 80 "



    ตะกั่วหลังยันต์ 80 "



    ทองแดงกะหลั่ยเงิน 1,000 "



    ทองแดงรมเม็ดมะขาม 1,000 "



    การได้สมณศักดิ์ในครั้งนี้ ตัวหลวงปู่เองท่านไม่ต้องการและท่านก็บอกกับลูกศิษย์อยู่ว่าไม่รู้จะเอาไปทำไม นั่นก็คือท่านปล่อยวางหมดแล้ว แต่ลูกศิษย์ไม่ยอมและพยายามอ้อนวอนขอให้ท่านรับตำแหน่งนี้

    รูปนี้คือเหรียญทองแดงรมเม็ดมะขาม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    2.2 รูปหล่อบูชาหลวงปู่

    สร้างพร้อมกับเหรียญรุ่นแรกขนาดหน้าตัก 3 นิ้ว ทำจากเนื้อทองเหลือง

    จำนวนการสร้าง 450 องค์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    2.3 พระบูชาพระพุทธ

    สร้างพร้อมกับรูปหล่อและเหรียญรุ่นแรก ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว สร้างจากเนื้อทองเหลือง

    จำนวนการสร้าง 100 องค์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    2.4 บาตรน้ำมนต์

    จำนวนการสร้าง 12 ใบ เนื่องจากเวลากระชั้นชิดไม่สามารถจัดสร้างได้ทัน หลวงพี่สุรฤทธิ์จึงขอแบ่งจากลูกศิษย์ของหลวงปู่บุญญฤทธิ์ที่กำลังสร้างอยู่มาจำนวน 12 ใบ แต่เขียนรายละเอียดเป็นของหลวงปู่สิงห์

    ขนาด กว้าง 7 นิ้ว
    สูง 8 นิ้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    3. รุ่นวัดสีหะลำดวน



    3.1 เหรียญรุ่นสอง



    สร้างขึ้นเมื่อต้นปี 2556 ออกในนามวัดสีหะลำดวน ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่สิงห์อุปถัมภ์อยู่ เนื่องจากเป็นวัดที่ท่านสร้างขึ้นตามที่ชาวบ้านร้องขอและถวายที่ให้ เมื่อสร้างเสร็จหลวงปู่ได้ส่งพระไปเป็นเจ้าอาวาส



    ลักษณะเป็นเหรียญรูปไข่ รูปหลวงปู่ครึ่งองค์



    ขนาด กว้าง 2.8 ซ.ม.



    สูง 3.6 ซ.ม.



    จำนวนการสร้าง



    เนื้อเงินธรรมดา 9 เหรียญ



    เนื้อเงินลงยาสีแดง 9 "



    เนื้อเงินลงยาสีเขียว 9 "



    เนื้อนวะ 109 "



    เนื้อนวะลงยาสีน้ำเงิน 109 "



    เนื้อทองแดง 8,463 "



    เนื้อทองแดงลงยาสีน้ำเงิน 100 "



    เนื้อทองแดงลงยาสีแดง 100 "



    เนื้อทองแดงลงยาสีเหลือง 100 "
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    4. รุ่นสร้างเจดีย์

    หลังจากการสร้างเหรียญรุ่นแรกผ่านพ้นไปเป็นเวลาหลายปี ท่านเพิ่งอนุญาตให้สร้างเหรียญที่ออกในนามวัดสีหะลำดวน เมื่อต้นปี 2556 จนกระทั่งปลายปี 2556 ท่านจึงอนุญาตให้สร้างวัตถุมงคลในนามของวัดโบสถ์ขึ้นอีก ระหว่างที่ว่างเว้นอยู่ก็มีคนมาขอสร้างหลายคน แต่ท่านไม่อนุญาต เหมือนกับท่านรอให้ถึงเวลาที่สมควร


    จนกระทั่งคุณณัทณเอก ภู่นพคุณ ซึ่งไม่เคยรู้จักหลวงปู่มาก่อนได้ไปกราบพระตามวัดต่าง ๆ ในจังหวัดสุรินทร์ ได้มีคนแนะนำว่าน่าจะไปกราบหลวงปู่สิงห์ คุณณัฑณเอก ฯ จึงเดินทางไปกราบท่าน ได้พบอภินิหารจนเกิดความศรัทธาท่าน เมื่อไปครั้งที่สองจึงขออนุญาตท่านสร้างวัตถุมงคล ทั้ง ๆ ที่คุณณัฑณเอก ยังไม่เคยสร้างวัตถุมงคลมาก่อนเลย หลวงปู่สิงห์ท่านก็อนุญาตในทันที และบอกกับคุณณัทณเอก ว่าท่านจะสร้างเจดีย์

    4.1 เหรียญหล่อรุ่นแรก

    เหรียญรุ่นนี้มีชื่อว่าเหรียญรุ่นเศรษฐี ทำเป็นเหรียญหล่อโบราณ

    ลักษณะและรายละเอียด


    เป็นเหรียญรูปเสมาหลวงปู่นั่งเต็มองค์ ด้านล่างเขียนว่าหลวงปู่สิงห์


    ด้านหลังเขียนคำว่าเศรษฐี มีอักขระขอม 2 แถว ได้แก่หัวใจเศรษฐีคือ อุ อา กะ สะ และคาถาพระสีวลีคือ นะ ชา ลี ติ ประกอบด้วยอัฐบริขาร ด้านล่าง เขียนว่า วัดโบสถ์ ศีขรภูมิ สุรินทร์ สี่มุมมีอักขระ นะ มะ พะ ธะ ส่วนเหรียญทองคำและเงินที่หลังเรียบจะมีจารด้วยอักขระขอม


    ขนาด กว้าง 2.3 ซ.ม.


    สูง 3.1 ซ.ม.


    จำนวนการสร้าง


    เนื้อทองคำหลังเรียบ 6 เหรียญ


    เนื้อเงินหลังหนังสือ 9 "


    เนื้อเงินหลังเรียบ 17 "


    เนื้อนวะ 31 "


    เนื้อวัตถุมงคลผสมชนวน 123 "


    เนื้อโลหะผสมตอกเบอร์ 2,547 "


    เนื้อโลหะผสมตอกกรรมการไม่ตอกเบอร์ 17 "


    เนื้อโลหะผสมแบบช่อ ๆ ละ 9 องค์ 9 ช่อ


    ใบอนุญาตและเหรียญหล่อทองคำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    เหรียญเงินหลังหนังสือ ( เหรียญนำฤกษ์ )

    เหรียญเงินหลังหนังสือ 9 เหรียญ เป็นเหรียญหล่อนำฤกษ์ โดยเนื้อเงินที่ใช้ทั้งหมดเป็นวัตถุมงคลล้วน ๆ ประกอบไปด้วย



    - ตะกรุดเงินคู่หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง



    - ตะกรุดเงินอาจารย์สมคิด นะดี อุทัยธานี



    - ตะกรุดเงินหลวงปู่ท่อน



    - ตะกรุดเงินหลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง



    - ตะกรุดเงินหลวงพ่อชื้น วัดญาณเสน 2 ดอก



    - ตะกรุดเงินหลวงปู่พร้า วัดโคกดอกไม้



    - ตะกรุดเงินหลวงพ่อวิชชา วัดช้อนทุเรียน 2 ดอก



    - หนุมาณเงินหลวงตาวาส วัดสะพานสูง



    - แหวนเงินรุ่นแรกหลวงตาม้า ถ้ำเมืองนะ



    - แหวนเงินพิฆเณศร์และแหวนเงินเกลี้ยงที่ผ่านการปลุกเสกจาก



    หลวงปู่ผง



    หลวงปู่พวน วัดช้างหมอบ



    หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด



    - แผ่นเงินจารอาจารย์พิจารณ์ วัดโพธิ์ผักไห่



    - แผ่นเงินจารหลวงพ่อวัดลาดชิต



    - แผ่นเงินจารหลวงปู่คำผา



    - แผ่นเงินจารอาจารย์แหวน วัดป่าหนองกด



    - แผ่นเงินจารอาจารย์เอราวัณ พุทธยานโกศล



    - แผ่นเงินจารครูบาอริยะชาติ 2 แผ่น



    - แผ่นเงินจารหลวงปู่สมหมาย วัดป่าอนาลโย



    - แผ่นเงินจารหลวงปู่คำบุ



    - แผ่นเงินจารหลวงปู่เมียม



    - เหรียญสตางค์เงิน



    ก่อนเทเหรียญนี้ผู้สร้างได้ขออนุญาตไว้จำนวน 9 เหรียญ แต่ทางโรงงานเตรียมหุ่นไว้ในช่อ 12 เหรียญ ประกอบกับคณะกรรมการพากันบ่นว่าทำไมทำน้อยจัง ผู้สร้างจึงบอกให้เทไปเลยเพื่อที่จะได้เพิ่มอีก 3 เหรียญ ปรากฎว่าเมื่อเทออกมาแล้วได้เหรียญที่สมบูรณ์ออกมาเพียง 9 เหรียญ อีก 3 เหรียญติดเพียงเหรียญละครึ่ง ทั้ง ๆ ที่เงินที่ใช้เทนั้นมีพอและเหลืออยู่เล็กน้อย ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเหตุการณ์เล็ก ๆ แต่ก็แสดงถึงบารมีของหลวงปู่ด้วยเช่นกัน


    เมื่อกลับมาพิจารณาถึงต้นทุนของเหรียญชุดนี้แล้วจะพบว่า มูลค่าของวัตถุมงคลที่นำมาใช้เทเหรียญหล่อเงินนั้นสูงมากเมื่อเทียบกับจำนวนเหรียญที่ได้ แต่นี่คือความใจถึงของผู้สร้าง โดยเฉพาะเหรียญนี้ไม่ได้ออกจำหน่าย แต่แจกให้กรรมการที่ร่วมทุนสร้างพระชุดนี้



    เมื่อบวกลบคูณหารแล้วจะพบว่าต้นทุนที่ลงไปกับเหรียญเงิน 9 เหรียญนี้สูงถึงแสนกว่า ๆ เล็กน้อย เมื่อเฉลี่ยแล้วจึงปรมาณการได้ว่าต้นทุนถึงเหรียญละ 12,000 บาท ถ้าทำโดยใช้เนื้อเงินธรรมดาตกเหรียญละ 700-800 เท่านั้น



    และเมื่อพิจารณาถึงคุณค่าแล้วต้องบอกว่ายอดเยี่ยม เมื่อเนื้อหาเบื้องต้นดี ก็เปรียบเหมือนผืนนาที่อุดมสมบูรณ์ ย่อมได้ผลผลิตที่ดีเยี่ยม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    เหรียญเนื้อเงินหลังเรียบ

    เมื่อเหรียญหลังหนังสือมีจำนวนน้อยมาก แต่มีคนอยากได้เยอะจึงขออนุญาตสร้างเพิ่ม แต่จะทำด้วยรายละเอียดที่แตกต่างออกไป จึงได้ทำเป็นหลังเรียบและใช้วิธีจารอักขระโดยหลวงพี่สุรฤทธิ์ ธมมทินโน ในการนี้ใช้เงินธรรมดาและผสมวัตถุมงคลลงไปดังนี้



    - เหรียญเงินหลังหนังสือที่ชำรุดหนึ่งเหรียญ



    - ตะกรุดเงินหลวงพ่อทองหยิบ วัดบ้านกลาง ขนาด 5 นิ้ว



    - ตะกรุดเงินหลวงพ่อรวย วัดตะโก ขนาด 5 นิ้ว



    - ตะกรุดเงินอาจารย์ทวี ขนาด 5 นิ้ว



    - เหรียญเงินอาจารย์ทวี 12 เหรียญ



    เทได้ทั้งหมด 17 เหรียญ มีนำหนักประมณเหรียญละ 14 - 15 กรัม ส่วนเหรียญหลังหนังสือมีนำหนักประมาณเหรียญละ 25 - 27 กรัม



    เหรียญนี้ก็เป็นเหรียญที่ทรงคุณค่าสูงอีกเหรียญหนึ่ง เพราะใส่วัตถุมงคลของเกจิอาจารย์ที่มีราคาสูงจำนวนไม่น้อย และทำแบบเนื้อเข้มข้นคือ ทำแค่เพียง 17 เหรียญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    เหรียญเนื้อนวะแก่ทอง



    ความตั้งใจเดิมของผู้สร้างไม่คิดว่าจะทำเนื้อนวะ แต่เจ้าของโรงงานเสนอว่าเขามีเนื้อนวะชั้นดีจะขายให้ทำเหรียญเนื้อนวะในราคาไม่แพงมาก เขาอธิบายว่าเป็นเนื้อนวะที่ผู้สร้างพระจตุคามในช่วงที่กำลังแรงมาจ้างให้เขาทำ โดยมาผสมเนื้อกันที่โรงงาน ผู้สร้างได้นำทองคำมาใส่ต่อหน้าเขาในจำนวนที่มากเมื่อเทียบกับสัดส่วนของเนื้อที่ผสม ทางคุณณัทณเอกฯ จึงตกลงให้ทำโดยใช้เนื้อดังกล่าว เมื่อเทเหรียญออกมาแล้วได้เพีง 31 เหรียญเท่านั้น เจ้าของโรงงานบอกว่าเนื้อทั้งหมดมีเท่านี้



    เมื่อผู้เขียนเห็นเหรียญครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีว่าเนื้อนวะนี้ใส่ทองคำเยอะ เพราะเหรียญมีความเงามาก เพราะฉะนั้นเหรียญนี้จึงมีคุณค่าในเรื่องของส่วนผสมที่มีโลหะราคาสูงจำนวนมาก (ทองคำ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    เหรียญเนื้อวัตถุมงคลผสมชนวน ล้วน ๆ (เนื้อพิเศษ)



    เป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่ต้องการจะทำเนื้อที่มีมวลสารพิเศษคือใช้วัตถุมงคลและชนวนศักดิ์สิทธิ์ของเกจิอาจารยต่าง ๆ ล้วน ๆ โดยไม่ใช้เนื้อของโรงงานเลย เมื่อรวบรวมได้มากพอสมควรแล้วจึงนำไปเทที่โรงงานโดยควบคุมการเทอย่างใหล้ชิด ได้เหรียญมาทั้งหมดจำนวน 123 เหรียญ

    วัตถุมงคลและชนวนต่าง ๆ ที่นำมาผสมในการเทเหรียญเนื้อพิเศษ



    - ตะกรุดมหาจักรพรรดิ หลวงพ่อรวย วัดตะโก 5 ดอก



    - ตะกรุดตะกั่ว หลวงปู่ฝั้น อาจาโร



    - แหวนหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา 2 วง



    - ตะกรุดคู่ชีวิต หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ



    - ตะกรุดโชคลาภ หลวงปู่คำบุ



    - ตะกรุดสามกษัตริย์ หลวงพ่อทองหยิบ อ่างทอง



    - ตะกรุดหลวงปู่พวง วัดสหกรณ์รังสรรค์



    - ตะกรุดหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่



    - ตะกรุดกระทิงโทน ครูบาขันแก้ว



    - ตะกรุดหลวงพ่อเชียร วัดสลักเหนือ



    - พระขรรค์เทพนิมิต หลวงพ่อประดิษฐ์ วัดคลองลุ จ.ตรัง เล็ก 5 องค์ ใหญ่ 3 องค์



    - เหรียญหล่อหลวงพ่ออุดม วัดพิชัยสงคราม 40 เหรียญ



    - พญาฉัตรทัน จ. ประจวบ



    - แหนบมงกุฎเพ็ชร หลวงปู่ฤๅษีลิงดำ



    - แผ่นยันต์ตุ๊กตา อาจารย์เอราวัณ อุทธยานธรรมโกศล



    - สตางค์ทองหลวงพ่อเนื่อง



    - สตางค์ทองหลวงปู่ดู่



    - ชนวนพระกริ่งภัทริโย หลวงพ่อภัทร วัดโคกสูง



    - ชนวนพระปิดตาคันฉ่องสองจักรพรรดิ์(ชิ้นใหญ่)



    - ชนวนพระประธานทองทิพย์ เจ้าคุณศรีสนธิ์ วัดสุทัศนเทพวราราม



    - ชนวนพระบูชานาคปรก พระโพธิสัตว์พังพระกาฬ 7 เศียร รุ่นแรก ปี 2532



    - ขันลงหินขนาดปากกว้าง 9 นิ้ว 2 ใบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2014
  18. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    4.2 ล็อคเก็ตรุ่น 3


    สร้างโดยใช้รูปหลวงปู่สิงห์นั่งสมาธิเต็มองค์ที่ท่านอนุญาตให้ถ่ายเป็นครั้งแรก ก่อนหน้าที่จะได้รูปนี้คุณณัทณเอกฯ ได้บอกให้ภรรยาถ่ายรูปหลวงปู่หลาย ๆ ภาพ โดยเฉพาะหน้าตรง แต่ภรรยาคุณณัทณเอกกดชัตเตอร์ไม่ลง พยายามกดอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถจะถ่ายได้ หลวงพี่สุรฤทธิ์ จึงต้องบอกกล่าวขออนุญาตหลวงปู่ หลวงปู่จึงกลับเข้ากุฎิครองจีวรออกมาใหม่ และอนุญาตให้ถ่ายได้ รูปที่ได้ออกมานี้เป็นรูปที่สวยงาม แสดงออกถึงบารมีและพลังอำนาจของหลวงปู่อย่างเห็นได้ชัดสัมผัสได้ ผู้ที่มีพลังจิตสื่อได้จะสัมผัสได้ทันที


    จำนวนการสร้าง


    พิมพ์จัมโบ้ฉากขาว 1 องค์


    พิมพ์จัมโบ้ฉากทอง 21 "


    พิมพ์เล็กฉากขาวมีโค้ด 150 "


    พิมพ์เล็กฉากขาวไม่มีโค้ด 100 "


    พิมพ์เล็กฉากฟ้าไม่ม่โค้ด 100 "


    พิมพ์เล็กฉากทองไม่มีโค้ด 31 "
    ขนาดจัมโบ้ กว้าง 4.5 ซ.ม. สูง 5.4 ซ.ม.


    เล็ก กว้าง 2.5 ซ.ม. สูง 3.4 ซ.ม.
    ด้านหลัง ล็อคเก็ตขนาดจัมโบ้จะตอกโค้ดและหมายเลข ส่วนขนาดเล็กจะตอกโค้ดอย่างเดียว


    สำหรับมวลสารหลักที่นำมาอุดที่ด้านหลัง ที่เป็นผงหลักก็คือข้าวสารเสกของหลวงปู่ฤๅษีลิงดำ


    และประกอบไปด้วยวัตถุมงคลที่นำมากดติดลงไปคือ

    1. ลอกเก็ตที่ไม่ได้ตอกโค้ด คือล็อคเก็ตที่บรรจุผงโดยทางวัด ประกอบไปด้วยผงดังนี้


    - รังต่อที่ทำบนต้นสัก


    - เกศาหลวงปู่


    - ผงยาจินดามณีหลวงพ่อเปิ่น


    - ดิน 7 ท่า


    - ดิน 7 ป่าช้า


    - ดินโป่ง 7 โป่ง


    - ไคลเจดีย์


    - ไคลเสมา


    - ดินสังเวชนียสถาน 4


    - ใบโพธิจากต้นศรีมหาโพธิ์


    - ดอกไม้บูชาสังเวชนียสถาน 4


    - ชายจีวรหลวงปู่


    - พลอยเสกหลวงปู่หมุน


    - เหล็กไหลฤๅษี


    2. ล็อคเก็ตที่ตอกโค้ดทั้งพิมพ์เล็ก และพิมพ์จัมโบ้ อุดผงโดยผู้สร้าง ประกอบไปด้วย


    - ข้าวสารเสกของหลวงปู่ฤๅษีลิงดำ


    - ผงหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค


    - ผงหลวงพ่อสละ วัดประดู่ทรงธรรม


    - ผงหลวงพ่อวงศ์ วัดปริวาส


    - ผงครูบาชุ่ม


    - ทรายเสกหลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย


    - ผงลบโดยหลวงพ่อเสาร์ วัดกุดเวียง


    - พระสังกัจจายน์หลวงพ่อกวย เนื้อดิน


    - ผงครูบาขันแก้ว


    นอกจากนี้ยังมีวัตถุมงคลของเกจิอาจารย์ต่าง ๆ ที่นำมาบรรจุพร้อมกับผงได้แก่


    - พระธาตุข้าวบิณฑ์ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระบาทห้วยต้ม


    - ปรกใบมะขามเนื้อผงหลวงพ่อเกษม วัดพลับพลาชัย ปี 2517


    - กิมบ่อเซี้ยง


    - ปฐวีธาตุหลวงปู่คำพันธ์ (ใส่เฉพาะพิมพ์จัมโบ้)


    - ตะกรุดเงินหลวงพ่อมหาโส ขอนแก่น (ใส่เฉพาะพิมพ์จัมโบ้)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    ล็อคเก็ตพิมพ์เล็กฉากขาว บรรจุด้านหลังโดยวัด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. ole

    ole เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    919
    ค่าพลัง:
    +784
    ล็อคเก็ตพิมพ์เล็กฉากทอง บรรจุด้านหลังโดยวัด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...