เรื่องเด่น "หลวงปู่ดู่" ยืนยัน! "หลวงปู่เทพโลกอุดร" มีจริง! ในสมัยอยุธยา จำพรรษาที่ "วัดกุฎีดาว"

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 27 กุมภาพันธ์ 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    " หลวงปู่ดู่" ยืนยัน! "หลวงปู่เทพโลกอุดร" มีจริง! ในสมัยอยุธยา จำพรรษาที่ "วัดกุฎีดาว"

    497_3254.jpg

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก เล่าเรื่องหลวงปู่โลกอุดร

    doo(5).jpg

    อีกหนึ่งครูบาอาจารย์ที่ผู้คนนับถือท่านทั่วทั้งแผ่นดินคือพระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก หลวง ปู่ดู่ ท่านบวชเรียนกับหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ จ.อยุธยา เมื่อบวชแล้วท่านก็ตั้งใจทำพระกรรมฐานออกธุดงค์ จนสำเร็จจิตได้อภิญญาเป็นที่ปรากฏ เกียรติประวัติของท่านนั้นเป็นที่นับถือกันว่าท่านคือภาคหนึ่งของ “พระศรีอริยเมตรตรัย” ที่ลงมาบำเพ็ญบารมี และท่านคือภาคหนึ่งของ “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ลงมาสร้างบารมี ถ้าท่านผู้อ่านเพิ่งรู้จักหลวงปู่ดู่จากข้อเขียนของข้าพเจ้าอาจไม่เชื่อ แต่ผู้เขียนขอกล่าวว่าองค์หลวงปู่ดู่นั้นเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าผู้บำเพ็ญบารมีมาเต็มแล้ว ท่านคือองค์เดียวกันกับหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดและเป็นองค์เดียวกันกับพระศรีอริยะเมตรตรัย ทั้งนี้มีครูบาอาจารย์ที่ยืนยันในคุณงามความดีของท่านได้แก่ หลวงปู่บุดดา ถาวโร หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร หลวงปู่โง่น โสรโย หลวงพ่อเกษม เขมโก หลวงปู่จำเนียร วัดต้นเลียบ หลวงปู่กัสสปมุนี วัดบิปผลิวนาราม จ.ระยอง เป็นต้น เกียรติคุณของท่านด้านการรู้เห็น หยั่งรู้วาระจิตมีมากมาย

    เกี่ยวกับหลวงปู่โลกอุดรนี้ หลวงปู่ดู่กล่าวไว้หลายวาระดังนี้คือ ครั้งหนึ่งท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่าสมัยที่ท่านเดินธุดงค์ในป่านั้นท่าน ป่วยเป็นไข้ป่ามาราเลีย เกือบเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว คราวนั้นมีพระภิกษุลึกลับรูปหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ผิวดำ เอายาลูกกลอนมาให้ท่านฉัน หลังจากฉันยาจากพระภิกษุลึกลับเพียงเม็ดเดียวอาการอาพาธก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อกลับมาหาพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อกลั่นจึงเล่าเรื่องถวาย หลวงพ่อกลั่นได้กล่าวว่าองค์นี้เป็นพระสำคัญท่านอยู่มาหลายยุคหลายสมัยแล้ว คอยช่วยเหลือพระผู้ปฏิบัติดี การได้พบแสดงว่าเป็นผู้มีวาสนามาก

    ที่สำคัญกว่านั้นคือท่านเคยเล่าเรื่องหลวงปู่โลกอุดรให้ศิษย์ของท่านฟังว่า หลวงปู่โลกอุดรมีตัวตนอยู่จริง และอธิบายให้ฟังว่าในสมัยอยุธยาท่านใช้ชื่อว่า “คง” เป็นพระอภิญญาอยู่ “วัดกุฏีดาว” และเหตุที่เรียกวาวัดกุฏีดาวนั้นเล่าว่า ค รั้งหนึ่งหลวงปูโลกอุดร(คง) ท่านนั่งเสื่อแล้วเสกให้เหาะขึ้นไปบนฟ้า ลอยเข้าไปถึงเขตราชฐาน พวกนางสนมกำลังเล่นน้ำเห็นเข้าก็กลัวรีบไปทูลพระเจ้าอยู่หัวให้ทราบ พระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้จับ ตามไปถึงกุฏิท่าน ทหารล้อมเอาไว้หมดท่านก็ไม่ออก จนรับสั่งให้จุดไฟเผา หลวงพ่อใหญ่โลกอุดร(คง) ท่านก็แสดงฤทธิ์ใช้อภิญญาลอยขึ้นไปบนฟ้า แต่ไม่ได้ลอยเฉพาะตัวของท่าน กลับลอยขึ้นไปทั้งกุฏิ ชาวบ้านเห็นเป็นอัศจรรย์กันทั่วและเหตุที่กุฏิของท่านติดไฟแล้วจึงเห็นเป็นดวงไฟลูกใหญ่ลอยอยู่บนฟ้า คล้ายดาวอีกดวงหนึ่ง ชาวบ้านเลยเรียกว่ากุฏีดาวแต่นั้นมา

    kudeedaow36.jpg

    (วัดกุฎีดาว ขอบคุณท่านเจ้าภาพ)

    นี่คือเรื่องหลวงปู่โลกอุดรที่หลวงปู่ดู่ท่านเปิดเผยและยืนยันว่ามีตัวตนอยู่จริง และใช้ชื่อว่า “คง” ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และเมื่อสืบค้นดูเรื่องพระอาจารย์คงจากนิทานพื้นบ้านไทยก็พบและมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจด้วยดังจะนำมาเล่าดังนี้



    nh(6).jpg

    ตำนานเรื่องหลวงพ่อคง กับนายม่วงวัดกุฏีดาว

    เรื่องพระอาจารย์คงหรือสมภารคงนั้น ปรากฏอยู่ในนิทานไทยเรื่อง “กระต่ายสามขา” เรื่องมีว่าพระอาจารย์คงเป็นคนแก่กล้าทางวิชาอาคม มีศิษย์วัดคือนายม่วง อยู่มาวันหนึ่งมีชาวบ้านล่ากระต่ายมาถวาย นายม่วงก็เอาไปย่างตั้งใจจะไว้ถวายพระอาจารย์คง ตอนย่างกระต่ายกลิ่นกระต่ายย่างหอมจนนายม่วงทนไม่ไหว เลยเด็ดเอาขากระต่าย ข้างหนึ่งมารับประทาน แล้วเอากระต่ายที่เหลือสามขาไปถวายพระอาจารย์คง พอพระอาจารย์รับถวายแล้วพิจารณาเห็นแปลก ว่าทำไมกระต่ายมันมีสามขา ก็นึกรู้ทันทีว่าเจ้าศิษย์คือนายม่วงคงแอบกินไปขาหนึ่ง ก็ถามนายม่วงว่า

    “ทำไมกระต่ายมีสามขาวะ”

    นายม่วงก็ตอบว่า “มันมีสามขาแบบนี้แหละครับ”

    อาจารย์คงเห็นว่านายม่วงไม่รับผิด ก็คาดคั้นอีก นายม่วงก็ยืนยันว่ากระต่ายมีสามขา อาจารย์คงเลยทำโทษที่นายม่วงไม่ยอมรับความจริง การทำโทษสมัยก่อนก็เฆี่ยนใช้หวายเฆี่ยนจนหลังแตก พระอาจารย์คงก็หมายว่านายม่วงโดนเฆี่ยนเจ็บๆ สามสี่ทีก็คงยอมสารภาพเพราะกลัว เจ็บ แต่เหตุการณ์กลับปรากฏว่านายม่วงไม่ยอมสารภาพกลับยืนยันคำเดิมว่า “กระต่ายมันมีสามขา”

    พระอาจารย์คงก็ว่า “กระต่ายมันจะมีสามขาได้ยังไง”

    นายม่วงก็ยืนยันว่า “ก็กระต่ายมันมีสามขา”

    พระอาจารย์คงก็เฆี่ยนซ้ำ เฆี่ยนนายม่วงจนท่านเหนื่อย นายม่วงเองเจ็บเจียนตายก็ยังยืนยันคำเดิมว่า กระต่ายมีสามขา พระอาจารย์คงเห็นว่านายม่วงนี่มันปากหนักขนาดตัวจะตายยังไม่ยอมสารภาพคนแบบนี้หาได้ยากนัก เลยอภัยให้แถมยังนึกชอบจริตนิสัยนายม่วงขึ้นอีก

    ต่อมาพระอาจารย์คงตั้งใจสอนศิษย์ให้มีคาถาอาคมติดตัว จึงเรียกนายม่วงมาถามว่าอยากหายตัวได้ไหม นายม่วงชอบเรื่องทางนี้อยู่แล้วจึงออกปากว่าอยากครับ พระอาจารย์คงเลยสอนวิชาล่องหนโดยเสกก้านพลูทัดหู เมื่อเรียนสำเร็จก็อาจลองหนหายตัวเข้าไปที่ไหนๆ ได้

    เมื่อนายม่วงทำวิชานี้สำเร็จก็อยากลองเข้าไปในวังดูบ้าง เลยล่องหนเข้าไปในพระราชวังขณะนั้นกำลังถึงเวลาเสวยพระกระยาหาร นายม่วงเลยแอบเข้าไปกินอาหารกับพระราชา กรมวังสังเกตว่าพระราชาเสวยเพียงนิดเดียวทำไมอาหารพร่องไปเยอะ กราบทูลให้พระราชาทราบ พระราชาโปรดให้โหรหลวงจับยามสมตาดู ได้ความว่ามีคนดีมีวิชาแอบลักลอบเข้ามาเสวยร่วมโต๊ะพระกระยาหาร


    นาย ม่วงเองไม่รู้ตัวว่าในวังเขารู้แล้วว่ามีคนล่องหนหายตัวเข้ามาก็ชะล่าใจ คราวต่อไปก็ล่องหนไปกินสำรับพระกระยาหารของพระราชาอีก แต่คราวนี้ในวังเตรียมพร้อมไว้แล้ว โดยโรยผงแป้งเอาไว้ นายม่วงเลยถูกจับตัวได้ พระราชาพิจารณาโทษเห็นว่าให้ประหาร ข่าวนายม่วงจะโดนประหารรู้ไปถึงพระอาจารย์คง ท่านก็คิดจะไปช่วย พอถึงวันประหารพระอาจารย์คงขอไปแสดงธรรมโปรดนักโทษประหาร พระราชาอนุญาต เมื่อไปถึงลานประหารพระอาจารย์คงเห็นนายม่วงถูกพันธนาการเอาไว้ก็เข้าไปกระซิบ ถามนายม่วงว่า

    “กระต่ายมีกี่ขา”

    นายม่วงตอบว่า “มีสามขาครับ” พระอาจารย์คงยิ้มนึกในใจว่าเจ้านี่มันจะตายยังไม่ยอมสารภาพมันแน่จริงๆ พระอาจารย์คงเลยเสกพลูใบหนึ่งเป็นมายา ตบตาคนทั้งปวงขึ้นเป็นรูปนายม่วงโดนพันธนาการและบังตาเสกเอานายม่วงหลุดจากเครื่องพันธนาการเสียล่องหนออกมา

    พอถึงเวลาประหารเพรชฆาตฟันหุ่นนายม่วง พอหัวขาดตกลงพื้นก็กลับกลายเป็นใบพลูเสกไปเสีย พระราชารู้เข้าจึงตามไปจับอีกถึงวัด พระอาจารย์คงกล่าวกับนายม่วงว่าพระราชาพระองค์นี้ ไม่รู้จักคนดีมีความสามารถ ปกติถ้าเป็นเยี่ยงนี้คงพระราชทานอภัยโทษ แต่นี่ไม่มีสติปัญญาไม่มีน้ำพระทัยรู้จักรักษาคนดีเอาไว้ ต่อไปบ้านเมืองเห็นทีจะตกต่ำ พวกเราควรออกเสียจากกรุงจะดีกว่า ว่าแล้วพระอาจารย์คงก็พานายม่วงล่องหนหายไปนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    ทั้งหมดนี้เป็นนิทานเรื่องพระอาจารย์คงกับนายม่วงหรือเรื่อง “กระต่ายสามขา” คำ ว่าระต่ายสามขาหรือกระต่ายขาเดียว จึงเป็นชื่อเรียกคนที่หัวแข็งไม่ยอมรับความจริงง่ายๆ มาแต่บัดนั้น

    เรื่อง พระอาจารย์คง วัดกุฏีดาว กับพระอาจารย์คงเรื่องกระต่ายสามขา ก็เรื่องเดียวกันนี่เอง เป็นท่านเดียวกัน ในปัจจุบันไม่มีวัดกุฏีดาวให้เห็นแล้ว เหลือเพียงแต่ซากวัดทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์เท่านั้น และจากเรื่องนี้ก็ทำให้เราได้ทราบเรื่องราวของหลวงปู่โลกอุดรเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ทิพยจักร, หนังสือบารมีเหนือโลกหลวงปู่เทพโลกอุดร


    ---------------
    ที่มา
    http://www.tnews.co.th/contents/207767


     
  2. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    อนุโมทนา สาธุๆๆ ขอรับ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ถ้าเป็นช่วงปลายในยุคนั้น
    มีความเป็นไปได้สูง
    โดยเฉพาะเหตุที่
    อาจารย์กับนายม่วง
    ถึงต้องออกมา
    ปล.แค่ความเชื่อ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    หลวงพ่อจรัญก็ได้พบท่านนะคะ หลวงพ่อเรียกท่านว่า"หลวงพ่อดํา"
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ที่จะพูดต่อไปนี้คือเป็นแบบส่วนตัวเลยนะ
    มองว่าช่วงปลายสมัยนั้นมีโอกาสเกิดเหตุการณ์
    อย่างนั้นได้ ส่วนหนึ่งเอ๊ะใจกับข้อมูลบางอย่าง
    ที่ได้ มีการเพิ่มเติมเนื้อหาเข้าไป
    ในตำราหลายๆเรื่องเสริมเข้าไปในต้นฉบับ
    ที่ถ้าเราได้อ่านแล้ว เป็นแนวคิดที่ทำให้คนยึดติด
    ยึดมั่นถือมั่นในนามธรรมต่างๆมากเกินไป
    คือไม่ได้บอกว่า มันไม่มี แต่มีและพากันไปยึด
    จนเหมือนกับว่า มันเป็นรูปธรรมเกินไป...

    ยกตัวอย่าง เหมือนคนขาด้วน ฝันว่าตัวเองวิ่งได้
    พอลืมตาขึ้นมา ในใจก็จะคิดว่า ตัวเองเป็นคน
    ปกติวิ่งได้ นั่นหละ พอมองภาพเปรียบเทียบออกไหม...
    ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมามากมาย

    ซึ่งส่วนตัวมองว่า ถ้าเป็นทางพุทธจากตำราต้นฉบับแล้ว
    (ซึ่งก็อยากที่จะพิสูจน์ได้ว่า ต้นฉบับเป็นอย่างไร)
    ซึ่งสมัยนี้ก็สืบๆกันมา จนไม่รู้ว่า ต้นฉบับแท้เป็นอย่างไร
    หรือกลายเป็นประเพณีต่างๆ ทำกันจนเราเห็นกันจนเคยชิน

    ซึ่งเนื้อหาเดิมแท้
    น่าจะเป็นเนื้อหา ที่ออกแนวสอนแล้ว
    ทำให้คนไม่ยึดติด ซึ่งเราสามารถ
    ดูจาก ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพ หรือพระพุทธฯเป็นตัวอย่างได้

    ส่วนเรื่องเล่าตำนาน
    เรื่องเหนือวิสัยที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ยากนั้น
    ก็ควรใช้วิจารณญานในการพิจารณาไปเป็นเรื่องๆ
    เป็นไปได้ก็คือ การพิสูจน์ด้วยตัวเอง
    แม้พิสูจน์ได้แล้ว รู้แล้วก็ต้องวางซะ
    และสิ่งที่ควรระวังก็คือ การไปตัดสิน ชี้ชัด
    โดยไม่วางใจเป็นกลาง นี่ต้องระวังสุดๆ

    และระวังเรื่องการจะไปกล่าว ไปอ้าง
    ในนามธรรมเหล่านี้ เพื่อให้เป็นไป
    ในทาง ที่ได้มา ซึ่ง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    อย่างใดอย่างหนึ่ง...
    ในระดับอย่าง พระท่าน เราไม่ต้องไปห่วง
    อะไรท่านเลย ที่ต้องระวังๆก็คือ
    ระดับฆารวาสนี่หละครับ

    สายตรงพระอาจารย์ใน ดง
    จะทำเรื่องกสิณ(ทุกกอง) เรื่องเกี่ยวกับ
    วิญญานธาตุ อากาศธาตุ ความว่าง
    พูดง่ายๆว่า เรื่องพลังงานต่างๆได้หมดแระครับ
    ไม่ว่า ลด เพิ่ม ดึง ดูด ส่ง ฯลฯ
    ในระดับแสดงผลได้ เห็นผลได้
    พิสูจน์ได้อยู่แล้วเป็นปกติ(ย้ำว่าปกติ)

    เชื่อไหม ว่าร้อยละเก้าสิบอัพ
    ให้พิสูจน์ตรงนี้ เสร็จเกือบทุกราย..๕๕

    แต่ผู้ที่เป็นสายตรงจริงๆ
    มักจะไม่ค่อยมีใครยกมาอ้างกันหรอกครับ
    เพราะผู้ที่เป็นสายตรงจะรู้ดี
    และให้ความเคารพอย่างที่สุด...
    ดัง นัยยะที่ว่า ''ทำตัวให้เหมือนน้ำ
    อยากรู้อะไรให้ดูที่ใจตัวเอง...''

    และเรื่องนามธรรม ถ้าไม่มีเหตุ
    เค้าจะไม่เอามาพูดกันเลย...


    ปล.ไม่ได้มีองค์เดียวหรอก ยังมีอีกเยอะ
    ถ้าจิตเราเคยมีสัมพันธ์มาก่อนในอดีต
    ปกติคนเราทุกคน ก็จะมีโอกาสได้พบ
    ได้เจอครูบาร์อาจารย์ในอดีตหรือปัจจุบันนี้
    ได้อยู่แล้วเป็นปกติ ถ้าวาระมาถึง
    เห็นได้แม้กระทั่ง สองตาปกตินี่หละครับ...

    แบบที่เราไม่ต้องไม่เสาะแสวงหาอะไรมากมาย
    สำคัญที่ คำว่า วาระ ที่เป็นนัยยะแห่งตน
    และการไปถึง วาระ ตรงนี้ต่างๆหาก
    ที่เราทุกคนต้องไปพึ่งพิจารณาเอาเอง
    ซึ่งมันล้วนแล้ว แต่ส่งผล แห่งพฤติกรรมแห่งจิต
    ตนเอง ณ ปัจจุบันทั้งสิ้น
    แม้เมื่อได้พบแล้ว หากไม่วาง ไปยึดติดอีก
    ก็จะต้องใช้จิตไปทางตาม วิบาก ตามจริต
    ตามอนุสัยแห่งจิตตนอีก...
    ซึ่งมันก็ยังไม่ทำให้เราพ้นได้เหมือนเดิมนั่นหละครับ


    ตัวอย่างการไปยึดทางด้านนามธรรมนะครับ
    มันจะส่งผลอย่างนี้.ยกตัวอย่าง..การยึด
    เช่น เรามีเงิน ร้อย แต่คิดอยู่นั้นหละว่าตัวเองมี
    เงินมากกว่าคนมีเงินเป็นแสน ถ้าเรายึดเราก็จะมี
    อยู่แค่ร้อยเดียวนั่นหละ เพราะเรายึดว่า ร้อยเดียว
    คือที่สุดแล้วสำหรับเรา...และก็จะยังคิดอยู่เรื่อยๆ
    ว่าฉันยังมีเงินมากกว่าคนมีเงินแสน...

    ซึ่ง ตามความจริง เรามีร้อย ก็ควรรู้ว่าเรามีแค่ร้อย
    ซึ่งต่อไปมันอาจจะน้อยกว่าร้อย หรือ มากกว่าร้อยก็ได้
    ก็ช่างมัน แต่ไม่ต้องไม่ยึดว่าจะมีมากร้อยหรือน้อยกว่าร้อย

    ส่วนใครเค้ามีเป็นแสนก็เรื่องของเค้า
    เค้าอาจจะมีมากกว่าแสนหรือน้อยกว่าแสนก็ได้
    หรือเค้าอาจจะมีแสนเท่าเดิม
    ก็เรื่องของเค้าไม่ใช่เรื่องของเรา
    ที่จะมัวไป ยึดว่า
    ฉันมีร้อยแต่ฉันมีมากกว่าคนที่มีเป็นแสน
    การยึดแบบนี้หละ ที่สร้างให้เกิดปัญหา
    กับตัวเอง ในการอยู่ร่วมกับสังคม...
    ปล. แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง

     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,358
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    "หลวงปู่เทพโลกอุดร"
    วัฏจักรชีวิตบทที่ 41 50 นิยายธรรมะ หลวงพ่อจรัญ
     
  7. ด้วยรัก30

    ด้วยรัก30 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    3,771
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ตอนนั้นท่านเกษมบอกว่าไม่มีด้วยการอ้างเหตุผลหลายอย่าง แต่ผมทราบของจริง มีพระอาจารย์หลายท่านอ้างว่ามีจริงจึงเชื่อที่ผ่านขอขมา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลวงปู่เทพโลกอุดร มาณที่นี้ด้วยครับ (หลวงพ่อจรัล,หลวงพ่อวิ...ก็บอกว่ามีอยู่จริงจึงเชื่อถือได้แน่นอนสาธุ)
     
  8. ืืnorawonrwon

    ืืnorawonrwon สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +42
    อนุโมทนาสาธุคับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...