+++สุดยอดพระเครื่อง เครื่องรางยอดนิยม ให้-รับ บูชาในราคามิตรภาพ กันเองแบบสุดๆครับ!!!

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย -Sapphire-, 28 พฤศจิกายน 2013.

  1. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    [​IMG]

    ทางร้านเป็นแนวสะสมของเก่า(เพื่อการบูชา)ไม่มีหน้าร้านครับ--ไม่มีตู้โชว์พระและไม่ได้เปิดเป็นร้านค้า นําเสนอสินค้าผ่านเวปไซด์และส่งสินค้าทางพัสดุ EMS แบบด่วนพิเศษลงทะเบียน หรือ นัดเจอครับที่ๆมีรถไฟฟ้าใต้ดินถึงครับ---ไม่เน้นในเชิงธุรกิจครับ !!!เพราะไม่ได้ทำเป็นธุรกิจหลัก!!! นิยมพระเครื่องในเรื่องพุทธคุณของพระและพุทธศิลป์(คือศิลป์ความงามของพระและเครื่องราง) ที่ปล่อยนะครับจะมีต้นทุนสินค้าเข้ามาที่แตกต่างกันจึงทําให้ราคาอาจจะดูสูงไปบ้างในของบางรายการ+++แต่ทางร้านไม่นิยมของฝีมือหรือขายของเก๊เลย-_- เพราะเข้าใจว่าของทุกชิ้นมีที่มาของความศักดิ์สิทธิ์ บาป บุญ คุณโทษ มีจริง_-_เป็นเรื่องที่จะต้องรู้สึกผิดอยู่ในใจตลอดเวลา@@@หากเกิดความผิดพลาดด้วยประการใดๆที่ไม่เจตนาก็จะยินดีรับผิดชอบทุกกรณี@@@ยินดีรับคําติชมแนะนําและขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่่แวะมาเยี่ยมชมทางร้านครับ-^v^-

    ติดต่อได้ที่ โทร 083-037-1968

    line id swat_light-

    ธนาคารกสิกรไทย 7632033553

    นายอัครวุฒิ จาละ

    ส่งข้อความมาหา โทรคุยกันได้นะครับ เที่ยงวันยันเที่ยงคืนครับ

    ถ้าไม่รับอาจจะติดธุระนะครับ



    รับประกันแท้ทุกรายการครับ มีปัญหาคืนเงินเต็มครับ

    ในกรุงเทพสะดวกนัดเจอได้เลยครับผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2013
  2. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 1 พระหลวงพ่อปาน พิมพ์โบราณ ขี่เม่น


    ท่านผู้ใดมีพระหลวงพ่อปานไว้ครอบครองบูชา หรือวัตถุมงคลใดๆ ของหลวงพ่อปานจะมีแต่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ดังเปรียบเสมือนว่า “ท่านยังได้ปกป้องดูแลเรา เหมือนดังตอนท่านยังมีชีวิตอยู่“
    หลวงพ่อปาน เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบางนมโค รูปที่สาม เดิมเกิดในสกุลสุทธาวงศ์ โยมบิดาชื่ออาจ โยมมารดาชื่ออิ่ม ถือกำเนิดวันศุกร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ตรงกับวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๑๘ ที่บ้านบางนมโค อ.เสนา โดยเข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดบางปลาหมอ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๘ ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะแม
    โดยมีหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อ.บางบาล เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจ้อย วัดบ้านแพน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์อุ่ม วัดสุธาโภชน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาในเพศบรรพชิตว่า “โสนันโท”
    การเรียนพระปริยัติธรรมตลอดพุทธาคมต่างๆ ของหลวงพ่อปาน นั้นท่านเล่าเรียนจากพระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ก่อนที่จะฝากตัวในสำนักหลวงพ่อเนียม วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี และเป็นสหมิกธรรม ร่วมสำนักกับหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน (วัดใหม่อัมพวา) จ.สุพรรณบุรี
    นอกจากนี้ ท่านยังได้ศึกษาพระปริยัติธรรม ตลอดจนภาษาบาลีสำเร็จแตกฉานในสำนักอาจารย์จีน วัดเจ้าเจ็ด อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา และสำนักวัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร
    หลังจากนั้น หลวงพ่อปานได้มาตั้งสำนักธรรมขึ้นที่วัดบางนมโค ทำการบูรณปฏิสังขรณ์
    รวมถึงการรักษาชาวบ้านด้วยวิธีการของหลวงพ่อปาน ไม่ว่าจะงูกัด ตะขาบกัด แมลงป่องต่อย ปลากะเบนยอก ต่อแตนต่อย โดยการอาราธนาจากพระเครื่องของท่าน เป็นต้น
    ท่านรักษาให้ชาวบ้านมาตลอด จนได้รับอีกฉายาว่า “พระหมอ”
    หลวงพ่อปาน ที่ท่านได้สร้างไว้มากมายท่านได้บูรณะและสร้างวัดทั้งในพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดใกล้เคียงรวมแล้วไม่ต่ำกว่า ๔๐ วัด ตามหลักฐานที่มีอยู่ และคำบอกเล่า โดยที่ท่านไม่ได้ใช้งบประมาณของแผ่นดินแต่อย่างใด หลวงพ่อปานท่านมรณภาพ เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๑ ได้ทิ้งมรดกอันล้ำค่าไว้ให้ลูกหลาน และคนรุ่นหลังไว้บูชาสักการะ

    [​IMG]

    ปิดรายการแล้วครับ Close
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2013
  3. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 2 ตะโพนหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์

    หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์

    หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ จ.อ่างทองท่านเป็นเกจิยุคเก่าร่วมสมัยเดียวกันกับหลวงพ่อนุ่ม วัดนางในและหลวงพ่อชวน วัดยางมณี ท่านเป็นพระที่ทรงอภิญญาจิตชั้นสูง ท่านเป็นพระที่เรียบง่ายสมถะ วิชาที่โด่งดังของท่านนอกจากการทำเบี้ยแก้ที่มีพุทธคุณสูงแล้ว ท่านยังมีอีกหนึ่งวิชาที่โด่งดังและหายากมาก ๆ ไม่แพ้เบี้ยแก้นั้นก็คือ"ตะโพน"บางทีก็เรียก"กลองตะโพน ตะโพนเรียกคน" ส่วนพุทธคุณของตะโพนนั้นเป็นที่ประจักษ์มาก ๆ ในเรื่องมหาลาภ เมตตาและมหานิยมเป็นเอกอุ เป็นที่เลื่องลือมาตั้งแต่โบราณ ส่วนด้านอื่น ๆ ก็ไม่เบาเหมือนกันครับ ว่ากันว่าตะโพนของท่านนั้นเป้นเครื่องรางที่สร้างได้ยากมาก ๆ และจะหาคนที่สร้างได้เข้มขลังแบบท่านก้ไม่มีอีกแล้ว และที่สำคัญนั้น "ไม่สามารถมีของหรือวิชาอาคมใด ๆ แก้ได้อีกด้วย" เหตุก้เพราะท่านพิถีพิถันในการสร้างและปลุกเสกครับ และการแจกตะโพนของท่านในสมัยนั้นท่านจะพิจารณาและมอบให้แก่สิษยืที่ยังไม่มี ครอบครัวและเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงเท่านั้น และที่สำคัญท่านสร้างแจกไว้จำนวนไม่มากนัก ทำให้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันน้อยมาก ๆ เรียกว่าในสมัยก่อนนั้นแทบจะไม่มีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันเลย ส่วนมากจะเป็นในรูปแบบมรดกตกทอดกันมากกว่า ใครมีต่างก็จะหวงกันเป็นพิเศษ สรุปได้ว่าตะโพนของท่านนั้นหายากมาก ๆ และมีพุทธคุณสูง มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนในวงการน้อยสุด ๆ มีเงินอย่างเดียวอาจจะไม่ได้เป็นเจ้าของ

    ตะโพนของท่านนั้นจัดได้ว่าเป็นสุดยอดเครื่องรางเมตตามหานิยม หลวงพ่อพักตร์ วัดโบสถ์ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัยเดียวกับหลวงพ่อนุ่ม วัดนางในและหลวงพ่อชวน วัดยางมณี ท่านเป็นพระที่ทรงอภิญญาจิตชั้นสูง เรียบง่ายและสมถะ วิชาเด็ดของท่านนอกจากเบี้ยแก้ที่มีพุทธคุณสูงเป็นที่ประจักษ์มานานแล้ว ยังมีอีกวิชาหนึ่งที่เรียกว่าโด่งดังไม่แพ้เบี้ยแก้ของท่านก็คือ "ตะโพน" บางทีก็เรียกว่า "กลองตะโพน" "ตะโพนเรียกคน" ตะโพนหลวงพ่อภักตร์ นับเป็นเครื่องรางที่ถือได้ว่าสุดยอด ด้านเมตตามหานิยม
    สมัยหลวงพ่อยังไม่มรณะภาพ มีคณะลิเกคณะหอมหวลไปเล่นที่วัด แล้วไม่มีคนดู หลวงพ่อสงสารเลยได้ลงอักขระไว้ที่กลองตะโพนของคณะปรากฏว่าในเย็นวันนั้นคนดู มาชมกันแน่นโรงลิเกและ หลังจากนั้นไม่นานชื่อเสียงของคณะลิเกหอมหวลนั้นก็เริ่มโด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ จนคณะลิเกอื่น ๆ ในสมัยนั้นทราบข่าว ต่างก็พากันมาฝากตัวเป็นศิษย์และนำตะโพนของคณะมาให้หลวงพ่อท่านเสกกันมาก และปรากฎว่าทุกคณะก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น จากเหตุนี้เองทำให้งานประจำปีของหลวงพ่อท่านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจะมี คณะลิเกไปตั้งโรงแสดงเพื่อเป็นการบูชาคุณหลวงพ่อท่าน ตะโพนท่านหลวงพ่อพักตร์ถือว่าเป็นเครื่องรางที่ชาวอ่างทอง เสาะหากันมากแต่หายากเหลือเกินสำหรับตะโพนนั้นถือได้ว่าเป็นจักรพรรดิ์ของ เครื่องดนตรีไทยถือได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีเอกจะขึ้นก่อนเครื่องดนตรีชนิด อื่นแม้จะเล็กกว่าเขาก็ตาม แต่เสียงและจังหวะดังเร่งเร้ากระตุ้นจิตใจให้คนสนใจที่จะดู เป็นเคล็ดอย่างหนึ่ง...ว่าดังเป็นหนึ่งถือเป็นเมตตามหานิยมอย่างเอกอุ
    สำหรับการสร้างตะโพนของท่านหลวงพ่อพักตร์วัดโบถส์นั้นจะสร้างจาก เนื้องา เขากวาง กระดูกสัตว์เป็นต้น แล้วนำมาเจาะรูตรงกลางเพื่อบรรจุผงจากนั้นจึงนำห่วงทองเหลืองหล่อมาใส่ไว้ สำหรับแขวนตะโพนส่วนใหญ่จะเป็น ขนาดติดตัว หายากมากๆ โดยเฉพาะคนพื้นที่นั้นจะหวงแหนกันมากเป็นพิเศษครับ เพราะของแท้มีน้อยมากแต่ความศรัทธาและความต้องการตะโพนแท้ ๆ ของท่านมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
    พวกนักการเมือง ผู้ใหญ่แถวอ่างทอง วิเศษไชยชาญ จะมีตะโพนหลวงพ่อภักตร์ติดตัวแทบทั้งสิ้น สำหรับผู้ที่มีวาสนาได้ครอบครองตะโพนของท่านหลวงพ่อพักตร์ให้ว่าพระคาถานี้ ทุกวันครับ นะโม (3 จบ) พุทธัง รัตตะนัง ธัมมัง รัตตะนัง สังฆัง รัตตะนัง

    [​IMG]

    ลูกนี้แกะจากกรามช้าง ครับ ห่วงหล่อโบราณ เก่าแห้งถึงใจ

    ปิดให้คนนครปฐมแล้วครับขอบคุณครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2014
  4. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 3 ปิดตาหลวงพ่อปล้อง วัดหลุมดิน เนื้อ เมฆพัตร

    1 ใน 5 เบญจภาคี พระปิดตาเนื้อเมฆพัตร พระเบญจภาคีปิดตามหาอุด เนื้อเมฆพัตรของเมืองไทย ที่ได้รับการยกย่องทั่วไปว่าสุดยอดประกอบด้วย 1.พระปิดตามหาอุด หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ จ.นครปฐม 2.พระปิดตามหาอุด หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก จ.นครปฐม 3.พระปิดตามหาอุด หลวงปู่จันทร์ วัดบ้านยาง จ.นครปฐม 4.พระปิดตามหาอุด หลวงพ่อปล้อง วัดหลุมดิน จ.ราชบุรี 5.พระปิดตามหาอุด หลวงพ่อชม วัดบางปลา จ.นครปฐม หลวงพ่อปล้อง สุลีโล หรือพระครูธรรมภินันท์แห่งวัดหลุมดิน ผู้สร้างพระปิดตาอันลือลั่น ท่านเป็นชาวราชบุรีโดยกำเนิด เกิดเมื่อปีเดือนตุลาคม พ.ศ.2419 ในวัยเด็กได้ศึกษาหนังสือไทยและอักษรขอมที่วัดบางลี่ อายุ 18 ปี บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดหลุมดิน (วัดสุรชายาราม) เมื่อพ.ศ. 2437 ได้ 1 พรรษา แล้วได้ลาเพศไปช่วยบิดามารดาทำนา จนอายุครบ 20 ปี เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2439 จึงอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดหลุมดิน โดยมีพระพุทธวิริยากร (จิตร) วัดสัตนารถปริวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อปล้องท่านมีความรู้แตกฉานทั้งไทยและบาลี โดยได้ศึกษากับพระวินัยธร (เบี้ยว) วัดท่าโขลง ทั้งยังเชี่ยวชาญวิปัสสนากรรมฐาน มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแพร่หลาย ต่อมาได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดหลุมดิน เมื่อ พ.ศ.2448 และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท ที่พระครูธรรมภินันท์ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 อีกทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดเกจิอาจารย์ 1 ใน 108 องค์ของประเทศไทยในยุคนั้น วัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงของหลวงพ่อได้แก่ พระปิดตามหาอุด ที่นิยมกันมากได้แก่ พระปิดตามหาอุดเนื้อเมฆพัด ใช้แร่ธาตุหลายอย่างมาผสมกันเช่น ทองแดง ทองเหลือง ตะกั่ว ดีบุก กัมมะถัน ฯลฯ นำมาผสมหล่อละลายเป็นเนื้อเดียวกันมีสีดำเป็นมันวาว สมัยนั้นพระมหาอุดเมฆพัดจะมีอยู่เฉพาะที่วัดหลุมดินเท่านั้น จากคำบอกเหล่าของผู้เฒ่าที่ได้รับพระมหาอุดและพระพิมพ์กลีบบัว จะได้รับในช่วงเวลาระหว่างการสร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่ในปี พ.ศ. 2471 โดยผู้ชายจะได้รับพระมหาอุด และผู้หญิงจะได้รับพระพิมพ์กรีบบัว ในระยะเวลาต่อมาชื่อเสียงของหลวงพ่อปล้อง ดังมากช่วงเกิดสงครามอินโดจีน กรณีไทยเรียกร้องดินแดนอินโดจีนบางส่วนคืนจากฝรั่งเศส ทหารประจำการและทหารกองหนุนทุกคนต้องออกไปรบ กรมการทหารช่างราชบุรีส่งทหารไปชายแดนเช่นเดียวกัน ก่อนออกเดินทางทหารทุกคนจะไปขอรับพระเครื่องจากหลวงพ่อ ระยะแรกๆ หลวงพ่อก็แจกพระมหาอุดเนื้อเมฆพัดจนทำไม่ทัน เพราะพระเนื้อเมฆพัดมีวิธีการทำที่ใช้เวลามาก เมื่อหล่อเสร็จเป็นองค์พระแล้วยังต้องตกแต่งให้เรียบร้อย หลวงพ่อจะจารอักขระไว้ด้วยตัวเองทุกองค์ แล้วจึงนำเข้าพิธีพุทธาภิเษก ช่วงนั้นหลวงพ่อเริ่มเป็นอัมพฤกษ์ มือขวาที่ใช้จารจะจารได้เฉพาะช่วงเช้ามืด หลวงพ่อไม่สามารถทำพระมหาอุดเมฆพัดทันกับความต้องการ ท่านจึงทำเฉพาะเนื้อตะกั่วล้วนๆ แม้กระนั้นก็ยังไม่ทันอีก จนถึงกับต้องพิมพ์รูปมหาอุดลงบนผืนผ้า (ผ้าประเจียด) แล้วทำพิธีพุทธาภิเษกเช่นเดียวกับวัตถุมงคลอื่นๆ วัตถุมงคลของหลวงพ่อทุกชนิดแจกฟรีเป็นการช่วยประเทศชาติได้ทางหนึ่ง หลวงพ่อปล้อง (พระครูธรรมภินันท์) มรณภาพ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2484 รวมอายุได้ 66 ปี พรรษา 45 พรรษา
    [​IMG]

    องค์นี้เลี่ยมเก่ามาแต่เดิมเลยครับ

    ปิดแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2013
  5. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 4 แพะเขาควายเผือก หลวงพ่อลัดวัดหนองกระบอก ปี 2530
    ท่านพระครูวิจิตรธรรมานุวัต(หลวงพ่อลัด) เจ้าคณะอำเภอบ้านค่าย จ.ระยอง เป็นพระอาจารย์องค์เดียวในประเทศไทยที่ได้รับการถ่ายทอดวิชา สร้างและปลุกเสกแพะจากเขาควายฟ้าผ่าจากหลวงพ่ออ่ำ อดีตพระอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงแห่งวัดหนองกระบอก ผู้ที่ปลุกเสกแพะได้จะต้องมีสัจจะว่า บวชไม่สึกหนึ่ง เรียนวิชาเพ่งกสินไฟสำเร็จหนึ่ง อ่านหนังสือในที่มืดได้หนึ่ง ต้องทำการปลุกเสกตามกำลังวันทุกวันตลอดพรรษาหนึ่ง และแพะจะต้องสร้างจากเขาควายฟ้าผ่าหนึ่ง ขั้นตอนในการจัดสร้างยากลำบากจึงมีผู้รับการถ่ายทอดไว้น้อย แต่หลวงปู่ลัดมีพร้อมทุกอย่างจึงมีองค์เดียวเท่านั้นในประเทศไทยที่ได้วิชานี้ไว้ แพะที่สร้างสมัยหลวงพ่ออ่ำ หลวงปู่ลัดก็เป็นองค์ปลุกเสกแทบทุกรุ่น ในปัจจุบันนี้หาดูยากค่าแรกเปลี่ยนก็สูง
    ในพรรษา 2530 (11 ก.ค.- 7 ต.ค. 30) ศิษย์ได้จัดสร้างแพะมหาลาภถวายหลวงปู่ลัด ปรากฏว่าช่างแกะหวาดผวาตลอดคืนแรก เพราะฝันว่ามีควายเผือกไล่ขวิดแทบเอาตัวไม่รอด จนกระทั่งต้องทำการบวงสรวงให้วิญญาณควายเจ้าของเขาทราบว่าจะแกะเป็นรูปแพะเพื่อนำปัจจัยทำบุญสร้างโรงพยาบาล จึงทำการแกะได้จำนวน 700 ตัว เปิดโอกาสให้จองได้ตัวละ 300 บาท วัตถุประสงค์เพื่อสมทบทุนในการสร้างตึกอาพาธสงฆ์โรงพยาบาลบ้านค่าย จ.ระยอง
    หลวงปู่ลัดปลุกเสกแพะมหาลาภอย่างไร ? นอกจากผู้ที่สร้างจะปลุกเสกแพะได้ จะต้องเป็นพระที่มีสัจจปฏิญาณมากมาย เช่น 1. บวชไม่สึก 2.เพ่งกสินไฟสำเร็จ 3.อ่านหนังสือในที่มืดได้ 4.แกะแพะจากเขาควายที่ถูกฟ้าผ่า 5.ปลุกเสกแพะตามกำลังวันตลอดไตรมาส แล้วหลวงพ่ออ่ำยังกำชับให้ผู้ได้วิชาที่มีขั้นตอนมากมายนี้เพิ่มเติมอีก กล่าวคือ
    เมื่อหลวงปุ่ลัดได้รับแพะเพื่อเตรียมปลุกเสกในไตรมาสแล้ว หลวงปู่ลัดจะทำการเรียกวิญญาณ 32 ด้วยบทคาถา เกศา โลมา นขา ทันตาฯ จนครบ 32 แพะทุกตัวจะมีธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ จากนั้นหลวงปู่จะนั่งเพ่งกสินไฟเสกด้วยพระคาถา กรณียเมตตสูตร ตามกำลังวันทุกคืนจนครับ 3 เดือน
    ในพรรษานี้เริ่ม 11 กรกฎาคมถึง 7 ตุลาคม รวม 88 วัน เมื่อแยกออกแล้ว จะต้องสวดพระคาถากรณียสูตรดังนี้
    วันอาทิตย์ 6 ในพรรษานี้มี 13 วันสวดจนครบพรรษาเท่ากับ 78 ครั้ง
    วันจันทร์ 15 ในพรรษานี้มี 13 วันสวดจนครบพรรษาเท่ากับ 195 ครั้ง
    วันอังคาร 8 ในพรรษานี้มี 12 วันสวดจนครบพรรษาเท่ากับ 96 ครั้ง
    วันพุธ 17 ในพรรษานี้มี 13 วันสวดจนครบพรรษาเท่ากับ 221 ครั้ง
    วันพฤหัสบดี 19 ในพรรษานี้มี 12 วันสวดจนครบพรรษาเท่ากับ 228 ครั้ง
    วันศุกร์ 21 ในพรรษานี้มี 12 วันสวดจนครบพรรษาเท่ากับ 252 ครั้ง
    วันเสาร์ 10 ในพรรษานี้มี 13 วันสวดจนครบพรรษาเท่ากับ 130 ครั้ง
    เมื่อเสกครบไตรมาสจะเท่ากับได้สวดพระคาถากรณียสูตร 1,200 ครั้งแพะมหาลาภจะมีคุณด้านมหาลาภมหานิยนสูงมาก
    การจัดสร้างและปลุกเสกแพะนั้นมิได้จัดทำกันง่ายๆและไม่บ่อยครั้ง เมื่อจัดสร้างและปลุกเสกได้ครบตามแบบที่โบราณาจารย์กำหนดก็จะส่งผลส่งคุณให้กับผู้บูชาได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด นับตั้งแต่หลวงปู่ลัดได้จัดสร้างแพะมาพรรษาเป็นแพะที่สวยงามที่สุด กรรมวิธีในการสร้างถูกต้องตามแบบหลวงพ่ออ่ำ ไม่มีผิดเพี้ยน ครั้นข่าวการสร้างแพะของหลวงปู่ลัด ได้มีการเปิดเผยสู่แวดวงยุทธจักร ก็มีการทำแพะกันมากรายและมักจะแอบอ้างว่าเป็นแพะหลวงปู่ลัด ปีนี้หลวงปู่ลัดจึงกำกับด้วโค๊ตจากทางวัดแต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ได้ตอกโค้ตและบรรจุกล่อง”วิสันพลาสติกทุกตัว”เพื่อป้องกันการแกะปลอมแปลง จึงนับได้ว่าแพะมหาลาภรุ่นไตรมาส 2530 เป็นแพะที่มั่นใจได้ในพุทธคุณ

    [​IMG]

    ประวัติการสร้างชัดเจน ตัวนี้ได้มาจากสายตรงที่ระยองเลยครับนำมาแบ่งกันครับ

    ปิดแล้วครับ ขอบคุณครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2013
  6. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 5 สิงห์หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว

    พระครูนิสิตคุณากร(กัน) วัดเขาแก้ว นครสวรรค์
    วัดเขาแก้ว

    วัดเขาแก้ว ที่ได้ชื่อว่า เขาแก้ว เพราะสภาพหินของเขามีลักษณะเป็นเหลี่ยมหกเหลี่ยม เป็นแก้วใส บางก้อนก็มีสาหร่าย มีสีต่าง ๆ เช่น สีเขียว สีแดง สีผักตบ เป็นรูปต่าง ๆ บางชนิดก็มีเข็ม เป็นเข็ม
    ทอง เข็มเงิน อยู่ภายในก้อนแก้วนั้น ชาวบ้านได้ขุดหินแก้วนี้มาฝนหรือเจียระไน ทำเป็นหัวแหวนและเครื่องประดับตามลักษณะของหินแก้วนี้เอง จึงได้ชื่อว่า เขาแก้ว
    พระครูนิสิตคุณากร(กัน)

    เกิด ประมาณปี 2420

    อุปสมบท ณ วัดเขาแก้ว ปี 2440 ปีระกา ขณะอายุ 20 ปี

    มรณภาพ ปี 2518-20

    วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม

    เครื่องรางของขลังที่นิยม ได้แก่ มีดหมอ เสื้อยันต์ ผ้ายันต์ ตระกรุดเอว 108 ดอก(มีชื่อเสียงมาก) แหวนลงยา สิงห์งาแกะ นางกวักงาแกะ รูปกรอกระจก

    พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา

    ท่านเด่นในด้านเมตตามหานิยม และอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาด

    พระครูนิสิตคุณากร (หลวงพ่อกัน) วัดเขาแก้ว อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ( ประวัติโดยย่อ )หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ 2434 อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ 2454 โดยมี หลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อกัน ท่านเป็นศิษย์เอก ยุคแรกๆของ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดพุทธาคม ตลอดจนสรรพศาสตร์ต่างๆมาจนอย่างเข้มขลังหลวงพ่อกัน มรณภาพ เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ 2513 มีอายุ 79ปี ได้รับการ ฌาปณกิจ เมื่อเดือน มีนาคม 2515

    [​IMG]

    สิงห์ตัวนี้ผ่านการใช้มาครับแต่ยังสวยอยู่

    ราคาไม่ถึงครึ่งหมื่นครับที่อื่นเป็นหมื่นครับ โทรหาหรือ pm ได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 6 สีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง

    หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง หรือพระครูอรรถโกศล เป็นคนระยองโดยกำเนิด เกิดที่บ้านนาตาขวัญ ต. นาตาขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เมื่อวันศุกร์ เดือนหก ปีฉลู ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๒๐ โยมบิดา ชื่อ อุ่น เพชรนคร โยมมารดา ชื่อ ฉิม พื้นเพเป็นชาวจังหวัดจันทบุรี ท่านมีพี่น้องถึง ๘ คน หลวงพ่อทาบเป็นน้องคนสุดท้อง

    สมัยท่านเป็นเด็กมีคนเล่าให้ฟังว่า ท่านเป็นคนใจบุญสุนทาน เมื่อโยมของท่านจับปลามาขังไว้เพื่อประกอบอาหาร ท่านมักจะปล่อยลงน้ำไปหมดด้วยความสงสาร จนถูกโยมบิดามารดาดุเอาหลายครั้งหลายหน แต่เมื่อมีโอกาสท่านมักจะปล่อยปลาลงน้ำไปเสมอๆ จนโยมท่านต้องงดนำปลาเป็นๆ มากักขังไว้ หลวงพ่อทาบท่านได้เริ่มต้นเล่าเรียนเมื่ออายุได้เพียง ๔-๕ ขวบ พออายุได้ ๒๐ ปี เข้าสู่วัยฉกรรจ์ ท่านก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารเรือรับใช้ชาติตามหน้าที่ของลูกผู้ชายอยู่ถึง ๔ ปี จึงได้ปลดประจำการ หลังจากนั้นท่านก็บวชอุทิศส่วนกุศลให้แก่โยมบิดามารดาทั้งสองคนโดยมีพระครูสมุทรสมานคุณ (แหยว) เจ้าอาวาสวัดป่าประดู่เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์มาก เจ้าอาวาสวัดนาตาขวัญเป็นพระกรรมวาจารย์ และพระอาจารย์รวม วัดบ้านแลง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงพ่อทาบเป็นพระหนุ่มที่เคร่างครัดสำรวมขยันขันแข็งมาก ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยและสามารถแปลมูลกัจจายน์มงคลทีปนี้ได้ในพรรษาแรก นอกจากนี้หลวงพ่อทาบก็ยังได้ศึกษาวิชาอาคมกับหลวงพ่อมาก พระกรรมวาจารย์ของท่านอีก จากนั้นท่านก็ไปอยู่รับใช้พระอุปัชฌาย์อีกประมาณ ๒ ปี ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากพระอุปัชฌาย์จนหมดสิ้น

    พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อทาบ คือ พระครูสมุทรสมานคุณ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดระยอง ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อแหยว เป็นผู้มีวิชาอาคมขลังยิ่งรูปหนึ่งในจังหวัดระยองยุคนั้น โดยเฉพาะทางด้านเมตตามหานิยม เล่ากันว่าผ้ายันต์พัดโบกของท่านนั้น ใช้โบกไปทางไหนผู้หญิงก็จะต้องตามไปทางนั้นทันที เรียกว่าหลวงพ่อมีชื่อเสียงทางผ้ายันต์หรือผ้าพัดโบกมาก

    เมื่อหลวงพ่อทาบ บวชได้พรรษาที่ ๕ พ้นจากการเป็นพระนวกะแล้ว ท่านก็เริ่มออกเดินธุดงค์เพื่อหาความสงบวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร และแสวงหาพระอาจารย์ดี ๆ ไปตามที่ต่าง ๆ ในช่วงเวลานั้น หลวงพ่อทาบชอบพอกันหลวงพ่อทิมมาก เคยไปธุดงค์และแสวงหาพระอาจารย์ด้วยกันหลายครั้งหลายหน

    อานุภาพสีผึ้งหลวงพ่อทาบ

    นักเลงรุ่นเก่าชาวระยองยอมรับว่าสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบนั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งใน ต.ตาสิทธิ์ ติดกับวัดหลวงปู่ทิมเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ ข้าก็ได้อาศัยสีผึ้งเขียว ของหลวงพ่อทาบนี่แหละ จึงได้แม่อ้ายยอด มาจนทุกวันนี้ แม่อ้ายยอดเมื่อสาวๆ มันสวยอย่าบอกใครเชียว หนุ่ม ๆ มาจีบกันหัวกระไดแทบไม่แห้ง แต่ลุง (ตัวคนเล่า) มันพูดจาไม่เก่ง รูปก็ไม่หล่อ แรกๆแม่อ้ายยอดไม่เคยมองลุงเลย ความที่อยากเอาชนะไอ้พวกหนุ่มรุ่นเดียวกัน ลุงจึงดั้นต้นไปขอสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ ไปก็หลายครั้งหลายหนอยู่จนท่านจำได้และเห็นมาบ่อย ๆ หลวงพ่อทาบท่านเลยสงสารควักให้มาหัวไม้ขีดหนึ่งสั่งว่าเพียงเอาห่อติดตัว เวลาจะใช้กับผู้หญิงคนใดก็เพียงแต่ทำใจให้นึกเห็นใบหน้าเขาและเข้าไปหาเถอะไม่ช้าก็สำเร็จ และก็ได้ผลจริงๆไม่นานแม่อ้ายยอดเกิดสงสารเห็นใจลุง ทั้งที่ก่อนนั้นเขาไม่เคยชายตามองลุงเลย พวกหนุ่มบ้านอื่นงงเป็นไก่ตาแตก

    ท่านผู้เฒ่าเล่าเสริมต่อไปว่า หลังจากได้แม่อ้ายยอดมาเป็นเมียและอยู่กับมาจนบัดนี้แล้ว ลุงเคยถามเขาว่า เพราะเหตุใดจึงเกิดมารักลุง ทั้งๆ ที่แต่แรกไม่เคยสนใจลุงเลย แม่อ้ายยอดบอกกับลุงว่าเป็นเพราะอะไรไม่รู้ วันไหนถ้าไม่เห็นหน้าลุงใจคอมันหงุดหงิด ร้อนรุ่ม พอได้เห็นหน้าลุงแล้วสบายใจ และไม่ช้าลุงก็ชวนมันมาอยู่กับลุงเสียเลย ผมได้ถามลุงผู้เฒ่าว่า แล้วสีผึ้งนั้นอยู่ไหน? ขอผมดูหน่อย ท่านผู้เฒ่าบอกว่า เมื่อลุงได้เมียแล้วก็ไม่ได้ใช้อีกเลย เพราะหลวงพ่อท่านสั่งนักสั่งหนาว่าถ้าใช้กับผู้หญิงแล้วต้องเลี้ยงเขาเป็นลูกเมีย ห้ามทิ้งขว้าง ลุงได้แม่อ้ายยอดมาครองคนเดียวก็นับว่าพอใจแล้ว เลยหุ้มทองเก็บไว้ จนอ้ายยอดลูกหัวปีของลุงมันเป็นหนุ่มแล้ว ลุงจึงมอบให้มัน ก็ดูซิอ้ายยอดลูกชายลุงมีเมียตั้ง ๓ คน และอยู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น หลานลุงมีเป็นพรวน มีเมียมากมันก็ไม่ดีหรอกหลาน หาเท่าไรไม่พอเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย แต่ก็ดีไปอย่าง อ้ายยอดมันได้เขาแล้วมันก็ไม่ทิ้งไม่ขว้าง เลี้ยงเป็นลูกเป็นเมียทุกคน อ้ายยอดลูกลุงน่ะ มันไม่เท่าไหร่หรอก มีเพียงแค่ ๓ คน เท่านั้น แต่ลูกศิษย์หลวงพ่อทาบที่เคยบวชอยู่กับท่านคนหนึ่งซิ เดี๋ยวนี้ย้ายไปอยู่จันทบุรี มีเมียอยู่บ้านเดียวกันถึง ๖ คน ทุกคนปรองดองกันดี ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเลย แต่ลูกเป็นกระบุง แต่เขาก็มีฐานะดีนะ เรื่องสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบ ถ้าใช้เรื่องผู้หญิงรับรองได้เยี่ยมจริง ๆ
    [​IMG]

    อันนี้เลี่ยมเดิมครับ สมัยก่อนแจกกันเท่าหัวไม้ขีด แล้วนำมาเลี่ยมติดตัวครับ

    ราคากันเองโทรหาหรือ pm ได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 7 พระคงลำพูน

    พระคง เป็นพระเนื้อดินเผา ขนาดเล็กกะทัดรัด กว้างประมาณ 1.7 ซ.ม. สูงประมาณ 2.8 ซ.ม. มีทั้งสีขาว สีเหลืองพิกุล สีเขียว สีแดง และสีดำ แต่เป็นที่นิยมที่สุดจะเป็น "พระคงสีเขียว" พบมากที่วัดคงฤาษี และมีกระจายอยู่ตามวัดต่างๆ ในลำพูนรวมทั้งเชียงใหม่ สันนิษฐานว่าน่าจะมีการนำพระคงมาบรรจุกรุทีหลังหลังจากมีการแตกกรุจากวัดคง ฤาษี และเนื่องด้วยพระคงมีการแตกกรุมาหลายครั้ง จึงมีการแบ่งแยกออกเป็น "กรุเก่าและกรุใหม่"

    "พระคงกรุเก่า" ให้สังเกตเนื้อขององค์พระ จะมีเนื้อละเอียดหนึกนุ่ม แต่มีความแกร่ง และปรากฏว่านดอกมะขามเป็นจุดสีแดงเล็กๆ ประปรายตามผิวขององค์พระ ส่วน "พระคงกรุใหม่" เนื้อขององค์พระจะค่อนข้างยุ่ยและหยาบ โดยเฉพาะว่านดอกมะขามและแร่ที่จมอยู่ในเนื้อ จะหยาบและกระจายอยู่ตามผิวและฝังอยู่ในเนื้อมากมาย

    พระคงมีพุทธคุณ เป็นเลิศในเรื่องคงกระพันชาตรี ดังคำกล่าวเปรียบเปรยของชาวเหนือว่า "พระคงเป็นพงศาวดารของทหาร ส่วนพระลือเป็นพงศาวดารของยอดขุนพล" พระคงนับว่าเป็นพระเก่าแก่ที่น่าสะสมมากพิมพ์หนึ่ง ซึ่งถือว่าสนน ราคาเช่าหายังพอสู้ไหว ก็ขึ้นอยู่กับความสวยงามสมบูรณ์แบบขององค์พระด้วย และเป็นเรื่องปกติที่พระกรุเก่าเช่นนี้จะต้องมีของเทียมเลียนแบบค่อนข้างมาก จึงต้องพิจารณากันให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจครับผม

    [​IMG]

    องค์นี้ผ่านการใช้มาดูง่ายสุดๆครับ

    ปิดแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2013
  9. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 8 แพะหลวงพ่อลัดวัดหนองกระบอกยุคต้น

    ท่านพระครูวิจิตรธรรมานุวัต (หลวงพ่อลัด) เจ้าคณะอำเภอบ้านค่าย จ.ระยอง เป็นพระอาจารย์องค์เดียวในประเทศไทยที่ได้รับการถ่ายทอดวิชา สร้างและปลุกเสกแพะจากเขาควายฟ้าผ่าจากหลวงพ่ออ่ำ อดีตพระอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงแห่งวัดหนองกระบอก ผู้ที่ปลุกเสกแพะได้จะต้องมีสัจจะว่า

    1. บวชไม่สึก

    2. เรียนวิชาเพ่งกสินไฟสำเร็จ

    3. อ่านหนังสือในที่มืดได้

    4. ต้องทำการปลุกเสกตามกำลังวันทุกวันตลอดพรรษา

    5. แพะจะต้องสร้างจากเขาควายฟ้าผ่า

    ขั้นตอนในการจัดสร้างยากลำบากจึงมีผู้รับการถ่ายทอดไว้น้อย แต่หลวงปู่ลัดมีพร้อมทุกอย่างจึงมีองค์เดียวเท่านั้นในประเทศไทยที่ได้วิชา นี้ไว้ แพะที่สร้างสมัยหลวงพ่ออ่ำ หลวงปู่ลัดก็เป็นองค์ปลุกเสกแทบทุกรุ่น ในปัจจุบันนี้หาดูยากค่าแรกเปลี่ยนก็สูง

    [​IMG]

    แพะหลวงพ่อลัดใช้แทนหลวงพ่ออ่ำได้ครับ สวยส่องเพลินครับ

    ราคากันเองโทรหา หรือ pm ได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 9 สิงห์หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่

    สิงห์งาแกะ ๒ ขวัญ หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ พิมพ์เล็ก สวยงามมากๆ เพิ่งเอาออกจากเลี่ยมพลาสติกวัดรูปหัวใจค่ะ

    หลวงพ่อมุ่ยมีอาจารย์หลายท่าน ทั้งฆราวาส และพระเกจิอาจารย์ อย่างไรก็ดี จะกล่าวถึงอาจารย์ที่สำคัญดังต่อไปนี้
    1.หลวงพ่ออิ่มวัดหัวเขา
    หลวงพ่อได้ศึกษาวิปัสสนากัมฐานขั้นต้นจนสำเร็จหมดทุกวิชาจากหลวงพ่ออิ่ม มีเรื่องเล่าว่า การฝึกขั้นพื้นฐานกับหลวงพ่ออี่มนั้นต้องนั่งสมาธิจนลอยขี้นจากหลุม แล้วจึงสามารถเรียนวิชาอื่นๆ ต่อไปได้
    หลวงพ่ออิ่มเป็นพระเกจิที่ทรงคุณวิเศษ เป็นพระสหายกับหลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านเป็นที่นับถือมากสำหรับชาวบ้านในย่านอำเภอเดิมบางและสามชุก ท่านสามารถเดินตากฝนโดยไม่เปียกฝน และทำมือยาวไปหยิบกระเบื้องหลังคาโบสถ์ได้

    2.หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    เมื่อหลวงพ่อได้ศึกษาวิชาจนแตกฉานแล้วจากหลวงพ่ออิ่ม หลวงพ่ออิ่มได้เมตตาพาท่านไปศึกษาวิชาเพิ่มเติมจากหลวงปู่สุข ได้มีบันทึกถึงเรื่องนี้จากชาวบ้านซึ่งเคยถามกับหลวงพ่ออิ่ม หลังจากที่เดินทางพาหลวงพ่อมุ่ยมุ่งหน้าไปหาหลวงปู่สุขหลายเดือนก่อนจะกลับมาว่า หลวงพ่อิ่มได้อะไรกลับมาบ้าง หลวงพ่ออิ่มท่านตอบว่า ได้มาครึ่งเล่มแต่ท่านมุ่ยได้มาเล่มครึ่ง ซึ่งบ่งบอกว่าหลวงพ่อมุ่ยท่านเก่งและหนุ่มกว่า จึงได้มามาก ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ทันทีว่า หลวงพ่อก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่สุขอีกองค์หนึ่งเช่นกัน

    3.หลวงพ่ออ้น วัดดอนบุปผาราม
    เมิ่อหลวงพ่อบวชครั้งที่2 หลวงพ่ออ้นเป็นพระอุปชาย์ ซึ่งหลวงพ่ออ้นองค์นี้เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ทรงคุณวิเศษมากอีกท่านหนึ่ง ลูกศิษย์องค์อื่นๆที่มีชื่อเสียงได้แก่ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน และ หลวงพ่อสม วัดดอนบุปผารามเป็นต้น

    หลวงพ่อยังได้เรียนวิชาทำยาสมุนไพรจากอาจารย์ฆราวาส และพระอาจารย์อีกหลายองค์
    ท่านมรณภาพ เมื่อ วันที่ 15 มกราคม 2517 รวมสิริอายุ 85 ปี

    วัตถุมงคลของท่าน พุทธคุณเด่นในด้าเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัย เป็นเยี่ยม

    [​IMG]

    ตัวนี้งาฉ่ำ ดูง่ายแท้ตาเปล่าครับ

    ปิดแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2013
  11. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 10 ราชสีห์งาแกะ หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ อ่างทอง

    ราชสีห์งาแกะหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์สวยๆอย่างนี้หาชมยากครับ""""พุทธคุณ ราชสีห์ มหาอำนาจ บารมี เหมาะกับ ผู้เป็นเจ้าคนนายคน ผู้ที่ต้องดูแลคนหมู่มาก ข้าราชการ นักการเมือง..ใช้ร่วมกับตะโพนครับ หลวงพ่อพักตร์ จนฺทสุวณฺโณ วัดโบสถ์ ตำบลสามโก้ อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง หลวงพ่อพักตร์ จนฺทสุวณฺโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดโบสถ์ท่านเป็นพระคณาจารย์ดัง เป็นที่รู้จักกัน แพร่หลายทั้งในอดีตและปัจจุบัน เปรียบเสมือนเพชรน้ำเอกอีกเม็ดหนึ่ง ของชาวจังหวัดอ่างทอง วัตถุมงคลของท่านไม่ว่าจะเป็นเขี้ยวเสือแกะ สิงห์งาแกะ ตะโพนงาแกะ ตะกรุดโทนเบี้ยแก้ผ้ายันต์แดงเหรียญรูปเหมือนพิมพ์เสมาหลังยันต์ ล้วนเป็นที่เสาะแสวงหาของบรรดาลูกศิษย์และบุคคลเลื่อมใสศรัทธาโดยทั่วไป ท่านเกิดเมื่อปีพ.ศ.2425 ตรงกับวันอังคารเดือน11 ปีมะเมีย ณ หมู่บ้านท่ามะขาม ตำบลดอนปรูุ อำเภอวิเศษชัยชาญ(ปัจจุบันเป็นอำเภอศรีประจันต์) บิดาชื่อถมยา เป็นชาวบ้านอบทม มารดาชื่อพุก เป็นชาวปทุมธานี มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 3 เมื่อย่างเข้าวัยหนุ่ม่บิดามารดาได้นำไปฝากไว้กับหลวงปู่เถื่อนเจ้าอาวาส วัดหลวง อ่างทอง เพื่อเรียนหนังสือกระทั่งปีพ.ศ.2445อายุครบ 20 ปี จึงได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดอ้อย โดยมีหลวงปู่เถื่อนวัดหลวงเป็นอุปัชฌาย์ เมื่ออุปสมบทแล้วได้ติดตามพระพี่ชายคือท่านเจ้าคุณรัตนมุนี ไปจำพรรษาที่วัดหงษ์ ฝั่งธนบุรีเพื่อศึกษาทางคันธุระและวิปัสสนาธุระ อยู่ในสำนักพระอาจาร์อูฐ เพียง 6 พรรษา ท่านก็มีความชำนาญเป็นอย่างดีกระทั่งถึงปีพ.ศ.2454 หลวงปู่เนตร เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ ได้มรณภาพ่ลงชาวบ้านจึงมานิมนต์ให้ท่านกลับไปจำพรรษา ณ วัดโบสถ์ปี พ.ศ.2455 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโบสถ์อย่างเป็นทางการ การศึกษาพระเวทย์วิทยาคมนั้น เริ่มแรกท่านได้ศึกษาาจากอาจารย์วาดหรือครูวาต ซึ่งเป็นคฤหัสถ์และเป็นลูกผู้พี่ของท่านเอง โดยพื้นเพของครูวาตเป็นชาวบ้านท่ามะขาม อดีตเคยเป็นมหาโจรอยู่แถวชานเมืองอ่างทองและสุพรรณบุรีเมื่ออายุย่างเข้าสู่วัยชรา จึงได้เลิกลาจากการเป็นโจรสรรพวิชาต่างๆ ที่ได้เรียนมาท่านถ่ายทอดให้หลวงพ่อภักตร์ ทั้งหมดเช่น วิชาการทำเบี้ยแก้ ทำตะกรุดโทน ทำผ้ายันต์แดง เป็นต้น อาจารย์คนต่อมาคือครูบุญ วิชาที่ได้รับการถ่ายทอดมา ได้แก่วิชาการปลุกเสกเขี้ยวเสือแกะ งาช้างแกะ เป็นวัตถุมงคลชนิดต่างๆ หลวงพ่อพักตร์ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อปี พ.ศ.2461เป็นเจ้าคณะตำบล พ.ศ.2462 และได้ถึงแก่มรณภาพเมื่อปี พ.ศ.2485 ตรงกับปีจอ รวมสิริอายุได้ 60 ปี40 พรรษา

    [​IMG]

    ราชสีห์ตัวนี้ที่มาดีครับหายากมากดูง่าย ดูแล้วจบครับ

    ราคากันเองแบบหายากสุดๆครับ โทรหาหรือ pm ได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 11 ตะโพน หลวงพ่อภักตร์วัดโบสถ์

    หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์

    หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ จ.อ่างทองท่านเป็นเกจิยุคเก่าร่วมสมัยเดียวกันกับหลวงพ่อนุ่ม วัดนางในและหลวงพ่อชวน วัดยางมณี ท่านเป็นพระที่ทรงอภิญญาจิตชั้นสูง ท่านเป็นพระที่เรียบง่ายสมถะ วิชาที่โด่งดังของท่านนอกจากการทำเบี้ยแก้ที่มีพุทธคุณสูงแล้ว ท่านยังมีอีกหนึ่งวิชาที่โด่งดังและหายากมาก ๆ ไม่แพ้เบี้ยแก้นั้นก็คือ"ตะโพน"บางทีก็เรียก"กลองตะโพน ตะโพนเรียกคน" ส่วนพุทธคุณของตะโพนนั้นเป็นที่ประจักษ์มาก ๆ ในเรื่องมหาลาภ เมตตาและมหานิยมเป็นเอกอุ เป็นที่เลื่องลือมาตั้งแต่โบราณ ส่วนด้านอื่น ๆ ก็ไม่เบาเหมือนกันครับ ว่ากันว่าตะโพนของท่านนั้นเป้นเครื่องรางที่สร้างได้ยากมาก ๆ และจะหาคนที่สร้างได้เข้มขลังแบบท่านก้ไม่มีอีกแล้ว และที่สำคัญนั้น "ไม่สามารถมีของหรือวิชาอาคมใด ๆ แก้ได้อีกด้วย" เหตุก้เพราะท่านพิถีพิถันในการสร้างและปลุกเสกครับ และการแจกตะโพนของท่านในสมัยนั้นท่านจะพิจารณาและมอบให้แก่สิษยืที่ยังไม่มี ครอบครัวและเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงเท่านั้น และที่สำคัญท่านสร้างแจกไว้จำนวนไม่มากนัก ทำให้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันน้อยมาก ๆ เรียกว่าในสมัยก่อนนั้นแทบจะไม่มีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันเลย ส่วนมากจะเป็นในรูปแบบมรดกตกทอดกันมากกว่า ใครมีต่างก็จะหวงกันเป็นพิเศษ สรุปได้ว่าตะโพนของท่านนั้นหายากมาก ๆ และมีพุทธคุณสูง มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนในวงการน้อยสุด ๆ มีเงินอย่างเดียวอาจจะไม่ได้เป็นเจ้าของ

    ตะโพนของท่านนั้นจัดได้ว่าเป็นสุดยอดเครื่องรางเมตตามหานิยม หลวงพ่อพักตร์ วัดโบสถ์ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัยเดียวกับหลวงพ่อนุ่ม วัดนางในและหลวงพ่อชวน วัดยางมณี ท่านเป็นพระที่ทรงอภิญญาจิตชั้นสูง เรียบง่ายและสมถะ วิชาเด็ดของท่านนอกจากเบี้ยแก้ที่มีพุทธคุณสูงเป็นที่ประจักษ์มานานแล้ว ยังมีอีกวิชาหนึ่งที่เรียกว่าโด่งดังไม่แพ้เบี้ยแก้ของท่านก็คือ "ตะโพน" บางทีก็เรียกว่า "กลองตะโพน" "ตะโพนเรียกคน" ตะโพนหลวงพ่อภักตร์ นับเป็นเครื่องรางที่ถือได้ว่าสุดยอด ด้านเมตตามหานิยม
    สมัยหลวงพ่อยังไม่มรณะภาพ มีคณะลิเกคณะหอมหวลไปเล่นที่วัด แล้วไม่มีคนดู หลวงพ่อสงสารเลยได้ลงอักขระไว้ที่กลองตะโพนของคณะปรากฏว่าในเย็นวันนั้นคนดู มาชมกันแน่นโรงลิเกและ หลังจากนั้นไม่นานชื่อเสียงของคณะลิเกหอมหวลนั้นก็เริ่มโด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ จนคณะลิเกอื่น ๆ ในสมัยนั้นทราบข่าว ต่างก็พากันมาฝากตัวเป็นศิษย์และนำตะโพนของคณะมาให้หลวงพ่อท่านเสกกันมาก และปรากฎว่าทุกคณะก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น จากเหตุนี้เองทำให้งานประจำปีของหลวงพ่อท่านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจะมี คณะลิเกไปตั้งโรงแสดงเพื่อเป็นการบูชาคุณหลวงพ่อท่าน ตะโพนท่านหลวงพ่อพักตร์ถือว่าเป็นเครื่องรางที่ชาวอ่างทอง เสาะหากันมากแต่หายากเหลือเกินสำหรับตะโพนนั้นถือได้ว่าเป็นจักรพรรดิ์ของ เครื่องดนตรีไทยถือได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีเอกจะขึ้นก่อนเครื่องดนตรีชนิด อื่นแม้จะเล็กกว่าเขาก็ตาม แต่เสียงและจังหวะดังเร่งเร้ากระตุ้นจิตใจให้คนสนใจที่จะดู เป็นเคล็ดอย่างหนึ่ง...ว่าดังเป็นหนึ่งถือเป็นเมตตามหานิยมอย่างเอกอุ
    สำหรับการสร้างตะโพนของท่านหลวงพ่อพักตร์วัดโบถส์นั้นจะสร้างจาก เนื้องา เขากวาง กระดูกสัตว์เป็นต้น แล้วนำมาเจาะรูตรงกลางเพื่อบรรจุผงจากนั้นจึงนำห่วงทองเหลืองหล่อมาใส่ไว้ สำหรับแขวนตะโพนส่วนใหญ่จะเป็น ขนาดติดตัว หายากมากๆ โดยเฉพาะคนพื้นที่นั้นจะหวงแหนกันมากเป็นพิเศษครับ เพราะของแท้มีน้อยมากแต่ความศรัทธาและความต้องการตะโพนแท้ ๆ ของท่านมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
    พวกนักการเมือง ผู้ใหญ่แถวอ่างทอง วิเศษไชยชาญ จะมีตะโพนหลวงพ่อภักตร์ติดตัวแทบทั้งสิ้น สำหรับผู้ที่มีวาสนาได้ครอบครองตะโพนของท่านหลวงพ่อพักตร์ให้ว่าพระคาถานี้ ทุกวันครับ นะโม (3 จบ) พุทธัง รัตตะนัง ธัมมัง รัตตะนัง สังฆัง รัตตะนัง

    [​IMG]

    หายากสุดๆครับ ปัจจุบันราคาหมื่นกลางๆแล้วครับ ที่ผมให้บูชาหมื่นติ้ดๆครับแกะจากกรามช้างงดงาม ห่วงหล่อเก่าเดิม มันส์ๆส่องเพลินครับ

    ราคากันเองโทรหาหรือ pm ได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 12 ตะกรุด หลวงพ่อกลั่นวัดพระญาติ
    หลวงกลั่น ธมฺมโชโต ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2390 ตรงกับปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาเจษฎาบดินทร์ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ณ ต.อรัญญิก อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีฐานะยากจนได้ให้กำเนิดเด็กชายผู้มีบุญมาเกิด นามว่า "กลั่น" ในสมัยเด็ก ท่านต้องช่วยพ่อแม่ทำงานตามลำพัง และเพียงลำพังคนเดียว ทำให้ท่านเป็นคนเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว จนกระทั่งเมื่อมีอายุได้ 27 ปี ท่านได้อุปสมบท ณ วัดโลกยสุธาศาลาปูน โดยมี พระญาณไตรโลก (สอาด) ต่อมาเป็นพระธรรมราชานุวัตร (อาจ) เจ้าคณะใหญ่อยุธยา เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูกุศลธรรมธาดา วัดขุนยวน (วัดพรหมนิวาส) กับ พระอธิการชื่น วัดพระญาติฯ เป็นคู่สวด ได้ฉายาว่า ธมฺมโชติ แปลว่า เป็นผู้สว่างในทางธรรม หลังจากนั้นท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ทรงธรรม ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัย และ เรียนรู้วิชาอาคม จนแตกฉาน เมื่อฝึกฝนวิชาต่าง ๆ จนเชี่ยวชาญแล้ว จึงได้ออกธุดงค์ไปทั่วป่าเขาลำเนาไพรเผชิญสัตว์ร้ายนานา จากออกธุดงค์ มาถึงวัดพระญาติการามในเวลาค่ำ ท่านพิจารณาว่า วัดนี้เงียบสงบดี เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม สามารถเจริญสมาธิและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้สะดวก ท่านจึงได้ปักกลดพักอยู่ที่บริเวณวัดในคืนนั้น หลวงพ่อกลั่นท่านยังมีวิชาลูกเบา หรือวิชาชาตรี ซึ่งเป็นวิชาอยู่ยงคงกระพันวิชาหนึ่งขอท่าน อำนาจจิตของหลวงพ่อกลั่นนั้นมากมาย เรื่องนี้หลวงพ่ออั้นอุปัฏฐาก หลวงพ่อกลั่นได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังถึงครั้งที่เรียนวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อกลั่นว่า ขณะที่เรียนกรรมฐานนั้นหลวงพ่อกลั่นได้ให้หลวงพ่ออั้นไปนั่งปฏิบัติในโบสถ์ หลวงพ่อท่านมีพระปฏิปทาที่ดี ท่านถึงแก่มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2477 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร


    ตะกรุดสาลิกาหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ พระนครศรีอยุธยา เป็นตะกรุดที่มีความยาว ๑นิ้ว๖หุน หายากมั๊กๆ ขึ้นเส้นเชือกสี่เสาผ่านการใช้ผ่านประสบการณ์มาเพียงเล็กน้อยสภาพเดิมๆน่ารักแบบสุดๆ
    ด้านข้างจึงกระทบกับลูกคั่น ที่คนเก่าก่อนชอบนำมาใช้ใส่คั่นกันระหว่างตะกรุดดอกที่ใช้ใส่กับเครื่องรางชิ้นอื่นๆ ตะกรุดดอกนี้ เป็นตะกรุดที่เส้นเชือกตรงปลายเปิดออก จึงมองเห็นความเก่าของไขตะกั่ว และการตัดสอบของปลายตะกรุด และเมื่อส่องดูในรูตะกรุด ก็จะเห็นเส้นตารางการจารอักขระตรงขอบทั้งสองด้านอย่างชัดเจนม้านมันส์ จบด้วยอายุของชินตะกั่ว เชือกที่ถักเป็นเชือกปอธรรมชาติ รักที่ลงเป็นรักจีนแดงแห้งติดเส้นเชือกสะใจ ประกอบกับเอกลักษณ์การขึ้นลายการถักการทอเส้นเชือกตามตำนานคนโบราณเล่นหา

    [​IMG]

    ถักขั้นเสาสี่ต้น รักเก่าหดแห้ง เชือกไหม้ ตะกั่วแห้ง แท้ตาเปล่าครับ

    ที่อื่นหมื่นกลางๆครับผมให้กันเองหมื่นติ้ดๆครับ ราคาโทรหา หรือ pm ได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 13 พระปิดตาเนื้อว่านผสมผงยา หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว

    พระเครื่องวัตถุมงคลหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เกี่ยวกับวัตถุมงคลและ พระพิมพ์พระเครื่อง หลวงปู่บุญท่านสร้างพระเครื่องรางของขลังขึ้นหลายอย่าง และการสร้างสมัยของท่านนั้น มิได้สร้างเพื่อเรียกร้องเงินทองแต่อย่างใด ท่านแจกให้แก่ชาวบ้านญาติโยมไปฟรีๆ เฉพาะผู้ที่อยากจะได้ ในการสร้างพระเครื่องรางและวัตถุมงคลครั้งแรก หรือยุคแรกของท่านนั้น มีหลักฐานบันทึกไว้ในสมัยนั้นว่ามีเพียง พระยาหอม ที่เรียกในสมัยนี้ว่า พระผงยาจินดามณี และ เบี้ยแก้ ทั้งสองอย่างนี้ได้สร้างชื่อเสียงของท่านให้โดดเด่น และโด่งดังขึ้นมาตามลำดับ

    พระเครื่องรางของขลังหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วยุคหลังรุ่นแรกๆ รวมทั้งที่ได้พบในกรุพระของท่าน ซึ่งบรรจุใส่ไว้ใน ๒๒ บาตร ในมณฑปที่คนร้ายลักลอบเข้ามาขโมยขุด มักจะสร้างด้วยเนื้อนวโลหะ เนื้อว่าน เนื้อว่านผสมรักดำ และพระเนื้อดินเผาหลวงปู่บุญ เท่าที่มีผู้ค้นคว้าไว้แล้ว โดยเฉพาะที่โดดเด่นและโด่งดังตั้งแต่ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น เนื้อนวโลหะก็มี พระช่อชัยวัฒน์หลวงปู่บุญ ทรงชะลูด พระช่อชัยวัฒน์ทรงป้อม (ภาษาใช้ในสมัยนั้น) พระช่อชัยวัฒน์ บัวคว่ำบัวหงาย และ เหรียญรูปเหมือนหลวงปู่บุญ

    พระเนื้อว่านหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ซึ่งจะมีส่วนเนื้อว่านก็มี พระนั่งสมาธิเพชร, พระนั่งสมาธิเพชร ทรงโค้ง, พระนั่งสมาธิเพชร ทรงสามเหลี่ยม นอกจากนี้ยังมีพระเนื้อว่านผสมรักดำ ได้แก่ พระหลวงปู่บุญเศียรโล้นสะดุ้งกลับ, พระหลวงปู่บุญ พิมพ์ปรกโพธิ์ใหญ่-เล็ก, พระหลวงปู่บุญ พิมพ์นาคปรกเล็ก และพระหลวงปู่บุญ ซุ้มเรือนแก้ว

    พระเครื่องเนื้อดินเผาหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว นอกจากนี้ก็ยังมี พระเนื้อดินเผา ได้แก่ พระหลวงปู่บุญ พิมพ์เศียรโล้นสะดุ้งกลับ, พระหลวงปู่บุญพิมพ์บัวใหญ่-เล็ก, พระหลวงปู่บุญ ปางนาคปรก และยังมีอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ก็คงต้องค่อยศึกษากันไป

    พระผงยาวาสนาจินดามณี วัดกลางบางแก้ว สำหรับ พระยาหอม หรือ พระผงยาจินดามณี บ้างก็เรียกว่า พระผงยาวาสนา หลวงปู่บุญ นั้น มีผู้อ้างว่าตำราดังกล่าว (จากวัดกลางบางแก้ว) ตำราเล่มนี้ตกทอดมาอยู่ที่อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว แล้วมาถึงยุคหลวงปู่บุญ แถมยังมีการถ่ายทอดไปถึง หลวงปู่เพิ่ม และ พระอาจารย์ใบ ตามลำดับ แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือพระผงยาจินดามณีของหลวงปู่บุญ

    ตามประวัติอัตโนของท่านกล่าวอีกว่า หลวงปู่บุญ ท่านมิได้สร้างพระผงยาจินดามณีโดยตรง แต่มีลูกศิษย์ไปช่วยปั้นเม็ดยาวาสนากันหลายคน ลูกศิษย์บางคนได้ทดลองเอาเนื้อยานั้นกดในพิมพ์พระที่ทำขึ้นเอง จากนั้นก็นำเอาไปให้หลวงปู่บุญ ปลุกเสกพร้อมกับเม็ดยาวาสนา เสร็จแล้วนำไปแจกญาติมิตรบ้าง ใช้เองบ้างและได้ผลว่าเป็นเลิศในทางเมตตามหานิยมเป็นอย่างที่สุด เป็นยอดในด้านแคล้วคลาด อีกทั้งยังมีอำนาจส่งเสริมดวงชะตาให้เจริญรุ่งเรืองอย่างชนิดที่ไม่มีวันตกอับ จึงนับว่าเป็นวาสนาแก่ผู้ครอบครองโดยแท้ ด้วยเหตุนี้ พระผงยาจินดามณี จึงกลายเป็นพระยอดนิยมของหลวงปู่บุญอีกประเภทหนึ่ง ในทัศนะของผู้เขียน ศิลปะ หรือพุทธศิลป์พิมพ์พระผงยาจินดามณี อยู่ในระดับสูง ฟังหูไว้หูก็แล้วกัน ไม่ว่าผงยาวาสนาของหลวงปู่บุญจะประสิทธิผลสัมฤทธิ์หรือไม่ ใครได้มาครอบครองก็ไม่มีวันขาดทุนเพราะศิลปะจัดเหลือเกิน จึงมีค่าแก่การสะสมอย่างไม่มีเงื่อนไข

    [​IMG]

    องค์นี้ด้านหลังมีรอยจารแบบรางๆด้วยครับสวยดูง่าย

    ราคากันเองไม่แพงๆ โทรหาหรือ pm ได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 14 ผ้ายันต์ม้าเสพนาง ครูบาวังวัดบ้านเด่น

    ครูบาวัง วัดบ้านเด่น จังหวัด ตาก

    หลวงพ่อครูบาวัง พรหมเสโน พื้นเพเดิมท่านเป็นชาวจังหวัดลำพูน นามสกุลเดิมของท่านคือ ณ ลำพูน สืบเชื้อสายมาจากเจ้าหลวงเศรษฐีคำฟั้นซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูน และเป็นต้นสกุล ณ ลำพูน สืบสายมาจากเชื้อเจ้าเจ็ดตน เพราะเป็นบุตรของเจ้าฟ้าชายแก้ว ซึ่งเป็นพระโอรสของเจ้าพระยาสุลวฤไชย (พ่อเจ้าทิพย์ช้าง) แห่งสกุลทิพยจักร์

    หลวงพ่อครูบาวัง เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๓๔ และมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๑๖ ท่านเป็นเพศพรหมจรรย์คือบวชตั้งแต่เป็นสามเณรจนกระทั่งมรณภาพ (บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๒ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ และอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่ออายุ ๒๑ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ) ในขณะที่ท่านดำรงอยู่ในสมณเพศ ได้จาริกเดินธุดงค์ควบคู่กันไปกับการศึกษาตำราโหราศาสตร์และไสยศาสตร์,ตำราพระเวทมนต์คาถา ทั้งตำราที่เป็นอักษรธรรมของล้านนาและของเมืองพม่าจนแตกฉานและสามารถพูดทั้งสองภาษาได้ด้วยเช่นเดียวกัน รวมทั้งได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสนพิธีต่างๆตามตำหรับโบราณดั้งเดิมของล้านนาและของพม่า เป็นระยะเวลา ๑๖ ปี เมื่อท่านชราภาพจึงย้ายมานั่งหนักที่วัดบ้านเด่น

    หลวงพ่อท่านเป็นผู้รู้เชี่ยวชาญในเรื่องของโหราศาสตร์และไสยเวทมนต์คาถารวมทั้งศาสนพิธีตามแบบประเพณีของล้านนา ในระหว่างการถือธุดงควัตร หลวงพ่อท่านได้ประจักษ์ในสัจจะธรรมแห่งการเวียนว่ายตายเกิด จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านสร้างวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังฯ เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยส่งเสริมและมุ่งเน้นให้เขาเหล่านั้นทำความดีและรักษาศีลห้าไปพร้อมกันในขณะที่ถือครองวัตถุมงคลของท่านอยู่ในมือ ท่านมีความรู้แตกฉานในการสร้างเครื่องรางของขลัง โดยมุ่งเน้นสงเคราะห์และให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในยาม เจ็บ ป่วย ไข้ ท่านทำงานในหลายบทบาทหน้าที่มาก

    ในขณะที่ท่านยังดำรงชีวิตอยู่ในสมณเพศท่านไม่เคยที่จะหยุดกิจวัตรของสงฆ์เลย ยกตัวอย่างเช่น การสร้างศาสนสถานและทำนุบำรุงวัดบ้านเด่น จ.ตาก ส่งเสริมสนับสนุนช่วยเหลือให้บุตรหลานได้มีการศึกษา บวชเรียนเป็นเณรในวัดและเป็นนักเรียนที่ดีในโรงเรียน (เพื่อติดอาวุธทางปัญญาในการประกอบสัมมาอาชีพซึ่งเรียกว่าเป็นทรัพย์ภายในที่แท้จริง)นี่คือปรัชญาและวิสัยทัศน์ของหลวงพ่อครูบาวัง ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั้งชายและหญิง ส่วนมากทุกคนชอบเรียกท่านว่า พ่อตุ๊ มีความหมายว่า (พ่อพระ) ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นการแสดงถึงความเคารพนับถือเทิดทูนอย่างเต็มเปี่ยมในตัวหลวงพ่อท่านนั่นเอง ท่านเป็นพระพรหมจรรย์(ศึกษาปรมัตถ์และพระเวท)ที่ถือศีลบริสุทธิ์เพราะท่านหมดกิเลศ นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไม พระพุทธคุณนัง, ธัมมะคุณนัง, และสังฆะคุณนัง ในวัตถุมงคลของท่านจึงเข้มขลังและศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์และประสบการณ์มากมาย

    วัตรปฏิบัติของท่านมุ่งเน้นในการช่วยเหลือและสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ที่มีความทุกข์ กับวลีคำพูดที่ไม่มีวันตายของท่านที่ทุกคนฟังอย่างตั้งใจในคำกล่าวต้อนรับที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนไม่เคยพบพานที่ไหนมาก่อน ในประโยคที่เหมือนกันคือ

    "ขอให้บอกพ่อมาเถิดลูก ไม่ต้องเกรงใจลูกจะเอาอะไรต้องการอะไรจากพ่อ ขอให้ลูกบอกพ่อมาเลย"

    นี่คือวลีคำพูดที่เปี่ยมด้วยเมตตาในมาตรฐานเดียวกันหมดทุกคน (ไม่เคยเลือกที่จะปฏิบัติ) ไม่ว่าลูกศิษย์และศรัทธาประชาชนทุกชนชั้น ตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรีไปจนถึงระดับคนรากหญ้า สิ่งหนึ่งที่อยากกล่าวถึงซึ่งเกี่ยวกับกลุ่มคนที่เป็นโรคบ้าทุกชนิดที่มีความมุ่งหวังต้องการมาพบกับหลวงพ่อเพื่อให้ท่านช่วยรักษาตัวให้หายจากอาการของโรคบ้า หลังจากหายดีแล้วแต่เขาเหล่านั้นไม่มีเงิน ท่านยังให้ความเมตตาเหมือนเดิมด้วยการช่วยสงเคราะห์ค่ารถให้กลับบ้านไปหาครอบครัวและใช้ชีวิตอย่างเป็นปรกติสุขเหมือนเดิม

    ท่านสร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลัง โดยมุ่งเน้นช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง ท่านเป็นพระสงฆ์อันเป็นที่รักยิ่งของทุกคน คุณงามความดีของหลวงพ่อท่านไม่เคยตายจากและจะเป็นอมตะในความทรงจำของเราเสมอ นี่คือหนึ่งในหลายๆเหตุผลที่เราเรียกท่านคือ " เทพเจ้าแห่งความเมตตา

    [​IMG]

    พื้นนี้ได้มาจากคนจังหวัดตากครับ มั่นใจในพุทธคุณเมตตามหานิยม เพศตรงข้าม

    ค้าขายเล่นการพนันครับ
    ที่อื่นราคาหมื่นกลางถึงปลายของผมหมื่นต้นๆไม่ถึงสามหมื่นคร้าบ

    ราคากันเองสุดๆหายากสุดๆ โทรหาหรือ pm ได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 15 ลูกอมผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่

    ประวัติกำเนิดผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เมื่อกลางปี 2515 คณะกรรมการวัดละหารไร่ มีนายสาย แก้วสว่าง ไวยาวัจกร ประชุมกันเรื่องการสร้างพระเครื่องวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสมนาคุณแด่ชาวบ้านและสาธุชนทั่วไป ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินร่วมทำบุญกับวัดละหารไร่ ต่อไปในวันข้างหน้าโดยเฉพาะงานผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ วัดละหารไร่ ในการนี้หลวงปู่ทิมได้กล่าวว่า หากได้ผงพรายกุมารมหาภูติผสมใส่ลงไปด้วย พระเครื่องที่สร้างขึ้นนี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเพราะมีอานุภาพแห่งพรายกุมารมหาภูติแฝงอยู่คอยช่วยเหลือเอื้ออำนวยพร เมื่อหลวงปู่ทิมมีความต้องการจะทำผงพรายกุมารมหาภูติ เพื่อนำมาเป็นมวลสารที่สำคัญยิ่งในการสร้างปลุกเสกพระเครื่องครั้งนี้นั้น ในบรรดาลูกศิษย์ยุคแรกของหลวงปู่ทิมอิสริโกทั้งหมดไม่มีใครกล้าเสนอตัวอาสากระทำการ เพราะต่างคนต่างก็เกรงกลัวความอาถรรพ์ของผีตายทั้งกลม ซึ่งโบราณกล่าวไว้ว่ามีความดุร้ายและหวงลูกมาก ถึงขั้นตามเอาชีวิตกันเลยทีเดียว มีแต่เพียง “หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ “ ผู้เดียวที่มีวิชาคาถาอาคมและสมาธิกล้าแข็งเพียงพอ กล้าขอเสนอตัวรับอาสาสนองพระคุณหลวงปู่ทิม จะไปนำ ” กะโหลกพรายกุมาร “ วัตถุอาถรรพ์สำคัญยิ่ง จากหญิงตายทั้งกลม (หญิงชาวบ้านท้องแก่ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสยดสยอง ทางญาติได้นำศพมาฝังไว้ที่ป่าช้าวัดละหารใหญ่ ปัจจุบันเป็นบริเวณที่ชาวบ้านทำไร่สับปะรด ) มาเพื่อให้ท่านสร้างปลุกเสกเป็น ”ผงพรายกุมารมหาภูติ “ ซึ่งหมอกุหลาบ จ้อยเจริญ ต้องพบกับอิทธิฤทธิ์ของอาจารย์พรายนายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร แต่ด้วยมูลเหตุแห่งวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างบุญกุศลในพระพุทธศาสนา บารมีของหลวงปู่ทิม และคาถาอาคมที่หลวงปู่ทิมได้ประสิทธิให้นั้น ทำให้นายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร ได้ยินยอมและเต็มใจ เกิดความปิติในกุศลผลบุญที่ตนเองจะได้รับ หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ จึงกระทำการครั้งนี้ได้สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ “ วิญญาณของาจารย์นายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร มีอยู่จริงเห็นตัวตนเป็นเงาใสๆ ลางๆ เหมือนกับภาพที่สะท้อนบนพื้น ในปัจจุบันวิญญาณเหล่านี้ก็ยังอยู่คุ้มครองที่วัดละหารไร่ “ หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ กล่าวย้ำ การสร้างผงพรายกุมารมหาภูตินั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เมื่อได้กระโหลกพรายกุมารมาแล้ว หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ ใส่ห่อผ้าเก็บไว้หลังพระประธานในพระอุโบสถหลังเก่า เป็นระยะเวลาประมาณสามถึงสี่เดือน จนกระโหลกพรายกุมารแห้งสนิทหมดกลิ่นดีแล้ว จึงนำมาโขลกตำให้ละเอียดแล้วผสมกับผงวิเศษสำคัญต่างๆ ที่หลวงปู่ทิมมอบให้มาจนครบทั้งหมดผสมน้ำแช่เกสรบัวทั้งห้า ปั้นเป็นแท่งขนาดใหญ่ แล้วตากแดดไว้จนแห้งสนิท เมื่อได้ฤกษ์งาม ยามดีวันดี ตามที่หลวงปู่ทิมได้กำหนดไว้ จึงจะนำแท่งผงปั้นนี้มาเขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ บนกระดานชนวน กระทำในพระอุโบสถหลังเก่า ท่ามกลางการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ ๙ รูป โดยหลวงปู่ทิมอิสริโก เป็นประธานสงฆ์ เขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ ลงบนกระดานชนวนแล้วลบผงก่อนเป็นปฐมฤกษ์ แล้วจึงมอบให้หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ เป็นผู้ลงอักขระพระยันต์และลบผงต่อไป การปลุกเสกผงพรายกุมารมหาภูตินี้ หลวงปู่ทิมท่านได้ปลุกเสกพรายกุมารทั้งหลายให้เป็นกึ่งเทพกึ่งภูติเป็นมหาภูติขวาและซ้าย(พระพรายคู่ เป็นรูปเทวดานั่งคู่กัน แทนรูปมหาภูติซ้าย-ขวา) วิญญาณพรายกุมารไม่ใช่มีอยู่ตนเดียว แต่มีมากมายประมาณมิได้ หลวงปู่ทิมได้อธิฐานให้วิญญาณพรายกุมารทุกตนที่ผ่านไปมาในบริเวณพิธี หากจะช่วยกันบำรุงพระพุทธศาสนา ก็ให้มาสถิตย์อยู่รวมกันในผงพรายกุมารมหาภูติที่ท่านปลุกเสกนี้ ให้มีอิทธิฤทธิ์คอยช่วยเหลือคุ้มครองอำนวยพรให้ผู้ศรัทธาบูชาอยู่ระยะเวลาหนึ่ง หลังจากเสร็จพิธีเรียบร้อยแล้วได้ผงพรายกุมารมหาภูติบริสุทธิ์สีขาวหม่นอมเทาประมาณ 1 ถาดใหญ่ เมื่อแบ่งผสมผงว่านมหามงคลจะได้ผงพรายกุมารมหาภูติเนื้อละเอียดสีน้ำตาลเข้มประมาณ 1 กะละมังใหญ่ แล้วเก็บรวบรวมไว้ในกุฎิหลวงปู่ทิม เมื่อจะทำพระเครื่องจึงจะขออนุญาตหลวงปู่ทิมไปตักแบ่งเอามาผสมผงที่จะกดพิมพ์พระอีกครั้งหนึ่ง.หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ กล่าวยืนยันโดยเห็นกับตาตนเองว่า “ผงที่หลวงปู่ทิมอิสริโก เขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ นั้น หลุดร่วงทะลุลอดกระดานชนวนลงมา และทะลุผ้าขาวที่ปูรองเอาไว้ถึงเจ็ดชั้นจนถึงพื้นพระอุโบสถวัดละหารไร่ “ที่กล่าวนี้ไม่ได้กล่าวเกินความจริงแต่อย่าง แต่กล่าวเปิดเผยเพื่อให้ท่านทั้งหลายที่ศรัทธาหลวงปู่ทิมอิสริโก จะได้เกิดความปิติ และซาบซึ้ง ในบุญญาบารมีของหลวงปู่ทิมอิสริโก หากผู้ใดได้ครอบครองบูชา พระผงขุนแผนพรายกุมาร นับว่าท่านมีของวิเศษขั้นสูงอยู่กับ จะส่งผลให้เกิดโภคทรัพย์ ความเจริญรุ่งเรือง เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง นับว่าเป็นบุญกุศลของผู้นั้นที่เคยได้ร่วมสร้างกันมา หลวงปู่ท่านกล่าวว่าพระของท่านมีเจ้าของอยู่แล้ว ของของใครต้องมาอยู่กับผู้นั้น ผู้ใดมิใช่เจ้าของจักมีอันต้องเปลี่ยนมือไปไม่ช้าก็เร็ว

    [​IMG]

    จาการสอบถามเซียนเก่านะครับลูกนี้ยุคแรกครับมีคราบสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบครับ
    โดนแมลงแทะครับลูกนี้ ราคาไม่ถึงหมื่นครับตามสภาพ ลูกเล็กหนึ่งเซ็น พร้อมกรอบเงินครับ

    ราคากันเองโทรหา pm มาได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2013
  17. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 16 ประคำผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่

    ประวัติกำเนิดผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เมื่อกลางปี 2515 คณะกรรมการวัดละหารไร่ มีนายสาย แก้วสว่าง ไวยาวัจกร ประชุมกันเรื่องการสร้างพระเครื่องวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสมนาคุณแด่ชาวบ้านและสาธุชนทั่วไป ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินร่วมทำบุญกับวัดละหารไร่ ต่อไปในวันข้างหน้าโดยเฉพาะงานผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ วัดละหารไร่ ในการนี้หลวงปู่ทิมได้กล่าวว่า หากได้ผงพรายกุมารมหาภูติผสมใส่ลงไปด้วย พระเครื่องที่สร้างขึ้นนี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเพราะมีอานุภาพแห่งพรายกุมารมหาภูติแฝงอยู่คอยช่วยเหลือเอื้ออำนวยพร เมื่อหลวงปู่ทิมมีความต้องการจะทำผงพรายกุมารมหาภูติ เพื่อนำมาเป็นมวลสารที่สำคัญยิ่งในการสร้างปลุกเสกพระเครื่องครั้งนี้นั้น ในบรรดาลูกศิษย์ยุคแรกของหลวงปู่ทิมอิสริโกทั้งหมดไม่มีใครกล้าเสนอตัวอาสากระทำการ เพราะต่างคนต่างก็เกรงกลัวความอาถรรพ์ของผีตายทั้งกลม ซึ่งโบราณกล่าวไว้ว่ามีความดุร้ายและหวงลูกมาก ถึงขั้นตามเอาชีวิตกันเลยทีเดียว มีแต่เพียง “หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ “ ผู้เดียวที่มีวิชาคาถาอาคมและสมาธิกล้าแข็งเพียงพอ กล้าขอเสนอตัวรับอาสาสนองพระคุณหลวงปู่ทิม จะไปนำ ” กะโหลกพรายกุมาร “ วัตถุอาถรรพ์สำคัญยิ่ง จากหญิงตายทั้งกลม (หญิงชาวบ้านท้องแก่ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสยดสยอง ทางญาติได้นำศพมาฝังไว้ที่ป่าช้าวัดละหารใหญ่ ปัจจุบันเป็นบริเวณที่ชาวบ้านทำไร่สับปะรด ) มาเพื่อให้ท่านสร้างปลุกเสกเป็น ”ผงพรายกุมารมหาภูติ “ ซึ่งหมอกุหลาบ จ้อยเจริญ ต้องพบกับอิทธิฤทธิ์ของอาจารย์พรายนายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร แต่ด้วยมูลเหตุแห่งวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างบุญกุศลในพระพุทธศาสนา บารมีของหลวงปู่ทิม และคาถาอาคมที่หลวงปู่ทิมได้ประสิทธิให้นั้น ทำให้นายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร ได้ยินยอมและเต็มใจ เกิดความปิติในกุศลผลบุญที่ตนเองจะได้รับ หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ จึงกระทำการครั้งนี้ได้สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ “ วิญญาณของาจารย์นายป่าช้า แม่นางพราย และพรายกุมาร มีอยู่จริงเห็นตัวตนเป็นเงาใสๆ ลางๆ เหมือนกับภาพที่สะท้อนบนพื้น ในปัจจุบันวิญญาณเหล่านี้ก็ยังอยู่คุ้มครองที่วัดละหารไร่ “ หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ กล่าวย้ำ การสร้างผงพรายกุมารมหาภูตินั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เมื่อได้กระโหลกพรายกุมารมาแล้ว หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ ใส่ห่อผ้าเก็บไว้หลังพระประธานในพระอุโบสถหลังเก่า เป็นระยะเวลาประมาณสามถึงสี่เดือน จนกระโหลกพรายกุมารแห้งสนิทหมดกลิ่นดีแล้ว จึงนำมาโขลกตำให้ละเอียดแล้วผสมกับผงวิเศษสำคัญต่างๆ ที่หลวงปู่ทิมมอบให้มาจนครบทั้งหมดผสมน้ำแช่เกสรบัวทั้งห้า ปั้นเป็นแท่งขนาดใหญ่ แล้วตากแดดไว้จนแห้งสนิท เมื่อได้ฤกษ์งาม ยามดีวันดี ตามที่หลวงปู่ทิมได้กำหนดไว้ จึงจะนำแท่งผงปั้นนี้มาเขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ บนกระดานชนวน กระทำในพระอุโบสถหลังเก่า ท่ามกลางการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ ๙ รูป โดยหลวงปู่ทิมอิสริโก เป็นประธานสงฆ์ เขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ ลงบนกระดานชนวนแล้วลบผงก่อนเป็นปฐมฤกษ์ แล้วจึงมอบให้หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ เป็นผู้ลงอักขระพระยันต์และลบผงต่อไป การปลุกเสกผงพรายกุมารมหาภูตินี้ หลวงปู่ทิมท่านได้ปลุกเสกพรายกุมารทั้งหลายให้เป็นกึ่งเทพกึ่งภูติเป็นมหาภูติขวาและซ้าย(พระพรายคู่ เป็นรูปเทวดานั่งคู่กัน แทนรูปมหาภูติซ้าย-ขวา) วิญญาณพรายกุมารไม่ใช่มีอยู่ตนเดียว แต่มีมากมายประมาณมิได้ หลวงปู่ทิมได้อธิฐานให้วิญญาณพรายกุมารทุกตนที่ผ่านไปมาในบริเวณพิธี หากจะช่วยกันบำรุงพระพุทธศาสนา ก็ให้มาสถิตย์อยู่รวมกันในผงพรายกุมารมหาภูติที่ท่านปลุกเสกนี้ ให้มีอิทธิฤทธิ์คอยช่วยเหลือคุ้มครองอำนวยพรให้ผู้ศรัทธาบูชาอยู่ระยะเวลาหนึ่ง หลังจากเสร็จพิธีเรียบร้อยแล้วได้ผงพรายกุมารมหาภูติบริสุทธิ์สีขาวหม่นอมเทาประมาณ 1 ถาดใหญ่ เมื่อแบ่งผสมผงว่านมหามงคลจะได้ผงพรายกุมารมหาภูติเนื้อละเอียดสีน้ำตาลเข้มประมาณ 1 กะละมังใหญ่ แล้วเก็บรวบรวมไว้ในกุฎิหลวงปู่ทิม เมื่อจะทำพระเครื่องจึงจะขออนุญาตหลวงปู่ทิมไปตักแบ่งเอามาผสมผงที่จะกดพิมพ์พระอีกครั้งหนึ่ง.หมอกุหลาบ จ้อยเจริญ กล่าวยืนยันโดยเห็นกับตาตนเองว่า “ผงที่หลวงปู่ทิมอิสริโก เขียนอักขระพระยันต์ต่างๆ นั้น หลุดร่วงทะลุลอดกระดานชนวนลงมา และทะลุผ้าขาวที่ปูรองเอาไว้ถึงเจ็ดชั้นจนถึงพื้นพระอุโบสถวัดละหารไร่ “ที่กล่าวนี้ไม่ได้กล่าวเกินความจริงแต่อย่าง แต่กล่าวเปิดเผยเพื่อให้ท่านทั้งหลายที่ศรัทธาหลวงปู่ทิมอิสริโก จะได้เกิดความปิติ และซาบซึ้ง ในบุญญาบารมีของหลวงปู่ทิมอิสริโก หากผู้ใดได้ครอบครองบูชา พระผงขุนแผนพรายกุมาร นับว่าท่านมีของวิเศษขั้นสูงอยู่กับ จะส่งผลให้เกิดโภคทรัพย์ ความเจริญรุ่งเรือง เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง นับว่าเป็นบุญกุศลของผู้นั้นที่เคยได้ร่วมสร้างกันมา หลวงปู่ท่านกล่าวว่าพระของท่านมีเจ้าของอยู่แล้ว ของของใครต้องมาอยู่กับผู้นั้น ผู้ใดมิใช่เจ้าของจักมีอันต้องเปลี่ยนมือไปไม่ช้าก็เร็ว

    [​IMG]

    เม็ดประคำผงพรายกุมารเม็ดนี้ดูง่าย แท้ตาเปล่าครับ ที่อื่นราคาไปไกลแล้วครับ
    เป็นหมื่นของผมไม่ถึงครับ พร้อมตลับเงินครับ

    ราคากันเองสุดๆครับ โทรหาหรือ pm มาได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 17 ขุนแผนสากหัก

    พระขุนแผน (พรายกุมาร) รุ่นสากหัก พระขุนแผนพรายกุมารรุ่นที่เริ่มผงครกแรกแล้วสากหินที่เอามาตำผงเกิดหักขึ้นมา คงจะเป็นไปตามอาถรรพ์ของการสร้างผงพรายกุมารตามตำรับของหลวงปู่ทิม ที่เป็นมาแล้วถึง ๒ ครั้ง ครั้งแรกพอเริ่มตำผงพรายครกหินขนาดใหญ่ที่ใช้ตำก็แตกออกเป็นสองเสี่ยง, ครั้งที่สอง หลวงปู่ทิมให้นายครอก อัมฤทธิ์เอาไปทำที่บ้านพอตำผงได้ที่ไฟก็ลุกขึ้นในครก และครั้งที่ ๓ เกิดที่บ้านผมหรือสำนักงานมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก ในซอยเฉลิมสุข เขตจตุจักร กรุงเทพฯ พอผงพรายกุมารที่ตำกำลังจะได้ที่สากหินที่ตำก็หักเป็นสองท่อน ก็คงเป็นเครื่องสำแดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของการสร้างพระขุนแผนในครั้งนี้เป็นแน่ เพราะก่อนจะสร้างพระขุนแผนรุ่นนี้ทั้งผมและลุงแมงต่างก็บอกกล่าวกับรูปหล่อหลวงปู่ทิม ทุกครั้งก็สวดมนต์ไหว้พระเพื่อขอให้บังเกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ดุจเดียวกับที่หลวงปู่ทิมทำเมื่อครั้งยังมีชีวิต เพราะเราจะเอาพระขุนแผนพรายกุมารชุดนี้ไปทำบุญทำกุศล แจกแก่ผู้ร่วมทำบุญทอดกฐิน ณ วัดพงเสลี่ยง บ้านห้วยโป้ สุโขทัยในวันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๖ และขอให้พระขุนแผนพรายกุมารที่ทำขึ้นมีความขลังความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับที่หลวงปู่ทิมทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ พระขุนแผนพรายกุมาร รุ่นสากหัก ที่ทำขึ้นครั้งนี้ ถ้าจะเรียกว่าเป็นการสร้างที่มีวัตถุมงคลมากที่สุดเท่าที่ได้เคยสร้างกันมาหลังจากหลวงปู่ทิม มรณะภาพแล้วก็เห็นจะไม่ผิด

    ลุงแมง อัมฤทธิ์ บุตรบุญธรรมหลวงปู่ทิม ซึ่งท่านตั้งชื่อให้ว่า นายสิงหราช อัมฤทธิ์ และเป็นผู้ที่หลวงปู่ทิมมอบหมายให้สร้างพระขุนแผนพรายกุมารให้ท่านเป็นคนแรก (ขุนแผนลองพิมพ์) อีกทั้งเป็นผู้ที่หลวงปู่ทิมใช้ให้ไปขุดโคกดินใต้ถุนศาลาภาวนาภิรัต เพื่อเอาน้ำมันพระเจ้าตากมาสร้างพระขุนแผนนั้นคงเป็นเพราะลุงแมงมีชื่อเป็นมหาอำนาจ ลุงแมงย้ายจากระยองไปอยู่สุโขทัยแล้วลงทุนซื้อไร่ปลูกส้มเขียวหวานออกจำหน่าย แกเห็นศาลาเอนกประสงค์ของวัดพงเสลี่ยงซึ่งใช้เป็นที่ประชุมชาวบ้านอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม ก็เลยมาปรึกษากับผมเพื่อขอให้ผมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินในปีนี้ เพื่อนำปัจจัยที่จะได้มาสร้างศาลาให้วัดพงเสลี่ยง ผมก็รับปากและบอกว่าจะแจ้งข่าวบอกบุญไปยังบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่ทิม ให้ช่วยกันเป็นเจ้าภาพเพื่อสร้างศาลา โดยให้ชื่อว่า “ศาลาศิษย์หลวงปู่ทิม ร่วมใจ”

    เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของผู้ร่วมงานจึงคิดสร้างพระขุนแผนพรายกุมารเอาไว้แจกผู้ร่วมทำบุญ ลุงแมงและพระทอง สุขวงศ์จันทร์ ซึ่งทั้งสองคนเคยรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่ทิม โดยทั้งสองคนได้มอบผงพรายกุมารชนิดบริสุทธิ์ (เพียวๆ) หรือชนิดเข้มข้นที่ทั้งคู่เก็บไว้ครั้งสร้างพระขุนแผนให้หลวงปู่ แก่ผมหนึ่งขวดเนสกาแฟขนาดเล็ก แกบบอกว่าเก็บไว้ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อ (หมายถึงหลวงปู่ทิม) ไม่กล้าเอาออกมาทำพระเพราะเกรงใจพระอาจารย์เชยเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ เลยตัดสินใจมอบให้ผมเพื่อให้เอามาทำพระขุนแผนแจกงานกฐินในครั้งนี้

    [​IMG]

    องค์นี้สภาพเดิมเลยครับด้านหลังฝังพลอยเสกหลวงปู่ทิม มาพร้อมตลับเงินลงยาครับ

    ราคากันเองสุดๆไม่แพงครับ โทรหาหรือ pm มาได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    รายการที่ 18 ปิดตาหกเหลี่ยม หลวงปู่ทิม ออกวัดบ่อวิน

    พระชุดวัดบ่อวิน อ.ศรีราชา จังหวัดชลบุรี

    พระชุดนี้ หลวงปู่ทิมได้มอบมวลสารศักดิ์สิทธิ์ ให้คุณมาโนช เหล่าขวัญสถิตย์ เจ้าของร้านนาวาชายหาด ศิษย์ก้นกุฎิเป็นผู้ดำเนินการ จัดสร้างเมื่อราวปี พ.ศ.2515-2516

    มวลสารที่ใช้ในการจัดสร้าง
    มวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงปู่ทิมมอบให้ในปริมาณมาก อาทิ ผงพุทธคุณต่างๆ, ผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม, จีวร, เกศาของหลวงปู่ทิม, หมอนหนุนหัว ของหลวงปู่ทิม พลอยเสก (หมอนที่ใช้หนุนมาตั้งแต่บวชใหม่ๆ และบอกว่า นี่แหละของดี เพราะหมอนมีความหมายถึงการหนุนดวง สำหรับคนดวงตก หมายถึงการค้ำดวง จากคำบอกเล่า ของครูดุก พัทยา ผู้เคยบวชร่วมสมัยกับพระอาจารย์กิม ซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อตาของคุณมาโนช ผู้สร้างพระชุดนี้ครับ)

    เมื่อแล้วเสร็จคุณมาโนช ได้นำไปถวายให้พระอาจารย์สายกรรมฐาน เมตตาอธิษฐานจิตในวาระแรก
    รายนามพระอาจารย์ที่ร่วมปลุกเสกพระชุดวัดบ่อวิน
    1.หลวงปู่ฝั้น วัดป่าอุดมสมพร
    2.หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง
    3.หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    4.หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล
    5.พระอาจารย์วัน วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม
    6.หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั่ง
    7.หลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพาราม
    8.หลวงปู่สาม วัดป่าไตรวิเวก
    หลังจากนั้นก็นำเข้าพิธีต่างๆ ในแถบภาคตะวันออกอีกไม่ต่ำกว่า 9 พิธี

    วาระสุดท้าย
    ได้นำไปถวายให้ หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ เมตตาอย่างมาก ปลุกเสกเดี่ยวให้ ตั้งแต่ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2517 จนถึง วันที่ 29 กรฎาคม พ.ศ.2518 เป็นระยะเวลานานมากถึง 9 เดือน 20วัน ถือว่าเป็นพระของหลวงปู่ที่มีประวัติการปลุกเสกชัดเจนและมากด้วยคุณค่าอย่าง แท้จริง

    พระเครื่องพิมพ์ต่าง ๆ นั้นแบบพิมพ์ถูกแกะมาอย่างมีเอกลักษณ์ บางพิมพ์ล้อมาจากพิมพ์พระเครื่องของเกจิดัง ๆ เช่นพิมพ์ปิดตาซุ้มตัน พิมพ์จะคล้าย ของหลวงปู่เฮี้ยง วัดป่า แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะครับต้องสังเกตให้ดี ด้านหลังขององค์พระพิมพ์อื่น ๆ ก็จะมีความแตกต่างกันเช่น บางองค์มียันต์จม บางองค์มีปั้มตรายาง ยันต์ห้าเขียนว่าปลุกเสกโดยหลวงปู่ทิม บางองค์ปั้มตัว “ก” ซึ่งหมายถึงอาจาร์ย กิม ที่มีศักดิ์เป็นหลานเขยหลวงปู่ทิม ผู้จัดสร้าง บางองค์มีเส้นเกศา บางองค์มีคราบกาวด้านหลัง บางองค์มีคราบกรุ นับว่าเป็นของดีราคาเบาน่าใช้อีกรุ่นหนึ่งครับ

    [​IMG]

    สวยๆผงชัดครับ ส่องเพลินอีกองค์หนึ่งครับ

    ราคาไม่แพงไม่ถึงครึ่งหมื่นครับ โทรหาหรือ pm มาได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. -Sapphire-

    -Sapphire- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +293
    ปิดรายการนี้ให้พี่นอกเวปแล้วครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...