สังฆานุสสติกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 27 ธันวาคม 2019.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974




    ?temp_hash=0018a016ae8b0baf3d9113e44270db29.jpg


    สังฆานุสสติกรรมฐาน


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้ให้โอวาทธรรมเกี่ยวกับเรื่อง "สังฆานุสสติ" ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้หนังสือ "ธรรมปฏิบัติ 22" ไว้ดังนี้...ต่อไปนี้ก็มาพูดถึงสังฆานุสสติกรรมฐาน คำว่า สังฆานุสสติกรรมฐานแปลว่าการนึกถึงคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์ที่นี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ถือว่าการโกนหัว แล้วก็ห่มผ้าเหลืองเป็นสำคัญ ถ้าเราเห็นการโกนหัวและห่มผ้าเหลืองเป็นสำคัญ ถ้าอย่างนั้นใครๆก็เป็นพระสงฆ์ได้ ทีนี้สังฆานุสสติการนึกถึงคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ท่านกล่าวว่าการนึกถึงคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์นี่ก็หมายความว่า ต้องนึกถึงความดีที่ทำคนให้เป็นพระสงฆ์ ไม่ใช่พอบวชปั๊ปลงมาแล้วก็เป็นพระ พอบวชลงมาแล้วท่านเรียกว่าสมมุติสงฆ์ ยังไม่เรียกว่าพระสงฆ์ สมมุติว่าเป็นพระแต่ไม่ใช่ว่าเป็นพระแท้ ท่านที่สมมุติว่าเป็นพระสงฆ์นี้อยู่ในอาการหนัก เพราะอะไร เพราะว่าจะต้องระวังตัวให้มาก ถ้าหากว่าทำผิดพระธรรมวินัย นั่นก็หมายถึงว่ามีโทษอย่างหนัก

    ทีนี้เรามาพูดถึงว่าคุณธรรมประเภทใดที่ทำคนให้เป็นพระสงฆ์ ถ้าเราพูดกันประเภทเลอะเทอะกันไปก็ฟังกันได้ แต่ทว่าเรามาเอาเนื้อแท้กันดีกว่าที่คุณธรรมประเภทไหนว่าเป็นพระสงฆ์ แล้วพระพุทธเจ้าทรงยกย่องคนประเภทใดว่าเป็นพระสงฆ์ นี่เราก็ไปดูตามแบบ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องคนที่ละสังโยชน์ ตั้งแต่ 3 ประการขึ้นไปว่าเป็นพระสงฆ์ แต่บุคคลนั้นจะเป็นฆราวาสก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นฆราวาสพระพุทธเจ้าก็ทรงเรียกว่าพระ ดูตัวอย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเป็นฆราวาส พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีพระโสดาบัน นางวิสาขาพระโสดาบัน เห็นไหมนี่หัวไม่ได้โล้นนะไม่ได้ห่มผ้าเหลือง ถ้าหากท่านที่ห่มผ้าเหลืองหัวโล้น ท่านเรียกว่าสมมุติสงฆ์ ฉะนั้นเป็นอันว่าคนที่จะเรียกว่าพระต้องละสังโยชน์ตั้งแต่ 3 ประการขึ้นไปได้ อันนี้พระพุทธเจ้าจึงจะทรงยกย่องเรียกว่าพระ



    ทีนี้การเป็นพระในพระพุทธศาสนาไม่ได้ยับยั้งอยู่แค่สังโยชน์ 3 คือพระโสดาบัน นี่เราต้องการคุณธรรมกันจริงๆการที่จะระลึกถึงนี่มันระลึกผ้าเหลืองระลึกถึงความเป็นผู้โกนหัวโกนหนวดถือว่าเป็นพระนี่ไม่ได้แน่ ดีไม่ดีเขาก็พาเราลงนรกไป เพราะการนึกถึงหมายถึงการยอมรับนับถือ การยอมรับนับถือก็หมายถึงว่าการปฏิบัติตาม ถ้าเรายอมรับนับถือแล้ว แล้วก็ยอมปฏิบัติตามคิดว่าเขาดี

    ทีนี้เราจะมานึกถึงคุณของพระสงฆ์กันตรงไหนมันถึงจะถูก ถ้าว่ากันว่าสุปฏิปันโน สาวกสังโฆอะไรกันนี่นะ ตามที่เรียกแบบนักธรรมนี่มันไม่ถูกหรอก เรียกมาแล้วนะไม่ถูก แต่ว่าครูไม่ได้สอนผิด เพราะครูของครูสอนต่อๆกันมา อันนี้ไม่ถูกทีนี้ถ้าเราจะนึกถึงคุณธรรมที่ทำให้เป็นพระสงฆ์กันจริงๆ ก็ต้องนึกถึงว่า สังโยชน์ 10 ประการ ที่เราควรจะยอมรับนับถือ แล้วไม่ต้องไปนั่งหาพระองค์ใดองค์หนึ่งเอาเนื้อเอาหนังมาเป็นสำคัญ ไอ้ไอ้การติดเนื้อติดหนังนี่ ไม่ได้ติดพระ อย่างพระวักกลิ จำได้ไหมล่ะ ติดผิวติดรัศมีของพระพุทธเจ้า ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็อัปเปหิ ไล่ไปให้เป็นพระอรหันต์ เพราะว่าถ้าขืนติดเนื้อติดหนังแล้วมันไม่เป็น




    **ป้ายแขวนหน้าร้าน**

    ทีนี้เราก็เหมือนกัน ถ้าเราจะพอใจในพระสงฆ์องค์ไหน ก็ต้องดูคุณธรรมท่านด้วย ถ้าพระองค์นั้นหนักไปในทางโลกียวิสัย พอใจในโลกธรรม คือพอใจในลาภ เวลาเสื่อมลาภใจก็ไม่สบาย พอใจในการที่ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ ถ้ายศถาบรรดาศักดิ์เสื่อมไปก็ใจไม่สบาย ชอบสรรเสริญ ไม่ชอบนินทา ชอบความสุขแล้วไม่ชอบชอบสรรเสิญไม่ชอบนินทาชอบความสุขแล้วไม่ชอบความทุกข์ ถ้าอารมณ์ของท่านองค์นั้นถ้ามีนิสัยเป็นอย่างนี้เราบูชาไม่ได้ เพราะอะไร เพราะยังไม่เป็นพระ เพราะพระนี่เขาต้องวางโลกธรรมให้หมด

    โลกธรรมที่อยู่ประจำโลกก็ได้แก่ของ 8 อย่าง คือ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ทั้ง 8 อย่างนี้ถือว่าไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ไม่มีความหมายที่เราจะเอาจิตใจของเราเข้าไปพัวพัน ลาภมันจะมีก็เชิญมี

    มีมาแล้วเราก็มองหน้าลาภ ว่าลาภส่วนนี้เราได้มาแล้วเราจะไปวางไว้ที่ไหน ไอ้สถานที่จะพึงวางก็วางในส่วนที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่สาธารณประโยชน์ แล้วของที่เราได้มา มันหายไป มันเสื่อมตัวไป มันพังไป ถือกันว่าเป็นเรื่องธรรมดา คือไม่เมาในฐานะในความมั่นคงของตัวเอง ถ้าสะสมทรัพย์นี่ใช้ไม่ได้ นี่เรื่องยศถาบรรดาศักดิ์จึงสำคัญ ไม่สนใจเป็นพิเศษ



    68657007_2125100990934966_1952247547258994688_n(1)(1).jpg



    แล้วไอ้การตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ ความดีที่ได้มาจากการแต่งตั้ง มันไม่ใช่ดีมันเลว นี่ว่ากันถึงพระนะ ไม่ใช่ฆราวาสถ้าฆราวาสไม่มียศอดข้าวตาย เกิดมามียศเป็นลูกของเตี่ย พอมีน้องก็ต้องเลื่อนยศไปเป็นพี่แล้ว ใช่ไหม พอมีหลานก็เลื่อนยศไปเป็นน้า เป็นอาเห็นไหม มีลูกก็เลื่อนยศไปเป็นพ่อ คนทุกคนมียศทั้งนั้นไม่มีเสียท่าเขา ได้ตำแหน่งที่เด่นที่สุดคือ เป็นปู่เป็นตาคน แหม...หาคนเหนือยาก หาคนเป็นทวดมาข่มเรายาก ยศใหญ่ แล้วยกนี่ไม่ต้องมีใครมาตั้งเราตั้งมันเอง ถ้าเราตั้งเองแล้วเราไม่ถอด เชิญใครมาถอดไม่มี นี่ว่ากันถึงโลกธรรม

    ทีนี้คุณธรรมที่ทำให้เป็นพระสงฆ์ก็คือ 1.มีอารมณ์ไม่เกาะในลาภ ยศสรรเสริญ สุข ไม่พอใจหรือว่าไม่ดีใจเกินไปที่ ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ สุขรวมความว่าไม่เมาก็แล้วกัน ถ้าเขาให้ลาภมาก็พิจารณาลาภให้เป็นคุณ ไม่มาสะสมเพื่อความเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ได้ยศมาก็ปฏิบัติตามหน้าที่ที่เขาให้มา ไม่เอายศไปเบ่งใคร ไม่ทะนงตัวว่าเราเป็นผู้วิเศษกว่าคนอื่นว่ามียศ

    ทีนี้ถ้าใครเขาสรรเสริญก็มีอารมณ์คิดว่าเจ้านี่หวังต้องการเอาเราไปเป็นทาส ไอ้คำสรรเสริญนี่ถ้าเขาไม่ต้องการใช้เราก็ไม่มีใครมาชมเรา พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าหากได้ยินคำสรรเสริญให้คิดว่านี่เขาเอาหอกหรือแหลน หลาวเข้ามาเสียบหัวใจเรา ที่นี้ความสุขจากกามสุขเกิดขึ้น ก็รู้ทันทีว่าไอ้นี่มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ นำความทุกข์มาให้ ไม่มีอะไรดี

    ทีนี้ลาภเสื่อมไป ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาแล้วมันก็สลายตัวไปได้ ยศก็เหมือนกันไม่น่าจะเดือดร้อน เขานินทาเราว่าเลว ถ้าเราทำดีเสียอย่างเดียวมันก็ไม่เลว ไปตามคำเขาพูด ที่นี้ความทุกข์ที่เกิดมา เราก็รู้แล้วว่าคนที่เกิดมาในโลกจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม ไม่มีเวลาไหนที่จะมีความสุข มันมีแต่ความทุกข์ตลอดเวลา

    ที่เราจะมองจริยาขั้นแรกของท่านที่ควรจะรับว่าเป็นพระสงฆ์นะ ไอ้นี่เขาเรียกว่าเป็นป้ายหน้าร้านเท่านั้นนะ เป็นยี่ห้อเท่านั้น คือการไม่เมาในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ สุข ไม่หวั่นไหวในการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ อาการอย่างนี้ ท่านบอกว่าเป็นป้ายแขวนหน้าร้านเท่านั้น ไม่ใช่ของในร้าน ชักยุ่งละ!

    **คุณธรรมภายใน**

    ที่นี้เราก็ต้องย่องเข้าไปในร้าน เข้า ไปในบ้านดูว่าคุณธรรมที่เราควรจะยอมรับนับถือ คือ 1.ท่านผู้นั้นไม่เมาอยู่ในสักกายทิฏฐิ มีอารมณ์คิดเป็นปกติว่า อัตภาพร่างกายที่เรียกว่าขันธ์ 5 อันนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา เรียกว่าวางร่างกายเสียได้ ถือว่าร่างกายนี้มันจะพัง มันจะทำลายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีความเกิดเป็นเบื้องต้น แล้วก็มีความเสื่อมติดตามมา แล้วก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ที่เราเรียกกันว่าตาย อันนี้ท่านถือว่าเป็นธรรมดา ขณะที่ทรงกายอยู่จะมีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียน มีอารมณ์ขัดข้องใจหรืออะไรก็ตาม มันเป็นเหตุของความไม่ปกติของร่างกาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่หวั่นไหวแล้วเวลามันจะตายจริงๆ ท่านก็เลยบอกว่าดีพังเสียได้นั่นแหละดี เพราะฉันเป็นทาสแกมานานแล้ว

    เป็นอันว่าไม่เห็นว่าร่างกายนี้มีประโยชน์เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเรามีร่างกายอยู่ก็ลองคิดดูซิ วันทั้งวันนี่เราหาความสุขอะไรไม่ได้หรือว่าใครมีความสุข ถ้าไม่โกหกตัวเองละก็บอกเวลาไหนที่มีความสุขที่สุด พออยากจะได้มันก็เริ่มตะเกียกตะกายน่ะสิ นอนไม่หลับถ้าไม่ได้มา ไอ้แหวนเพชรวงนี้ราคาเท่าไหร่หว่า ราคาพันบาท แหม.... นี่เงินเดือน 15 บาทเท่านั้น จะเก็บไปกี่ร้อยเดือนกว่าจะได้ ชักเริ่มลำบากละซินะ ทีนี้เราเคยใช้แค่เดือนละ 15 บาทสบายๆไม่ได้แล้ว กินแค่เดือนละ 10 บาท เก็บไว้เดือนละ 5 บาท เอาสิเริ่มกระแหม่วท้องแล้ว นี่อาการเป็นทุกข์มันเกิดตั้งแต่เราอยากได้

    ทีนี้พอมีเงินครบไปรับมาดีใจว่าเราได้แหวนเพชร พอมาถึง เอาแล้วสิ อันดับแรก อะไรมันเปื้อนหน่อยมันหมองเช็ดเสียอีกแล้ว ไม่สบายใจใช่ไหม ทีนี้ทำยังไงล่ะ ของหามาได้ยากเก็บซุกนะซิ กลัวขโมยจะลัก ทีนี้เอาประดับกายแต่งตัว ไปทางไหนเดินไปทางไหน เห็นไอ้โจรทั้งหลายเดินมา ชักไม่ไว้ใจ เพราะไอ้แถวนี้มันจี้กันเก่ง เอ๊...แหวนเพชรนี่ไม่เป็นเรื่อง ใส่กระเป๋าดีกว่า เป็นอันว่าตั้งแต่อยากจะได้มาและได้แล้วไม่มีความสุข ใช่ไหม นี่เป็นอันว่าเราตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายมันหาความสุขไม่ได้ คนที่หาความสุขได้อยู่ผู้เดียวคือคนโง่ ใช่ไหม พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า "สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ว่าท่านผู้รู้หาข้องอยู่ไม่"

    นี่แม้ว่าพวกท่านทั้งหมดโง่ทั้งนั้น แถมฉันอีกคนดันเสือกเกิดมาได้ นี่เราเกิดมาอย่างนี้ก็เพราะว่าเราโง่ เราโง่เพราะ กิเลส ความเศร้าหมองของจิต ที่ไม่ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ตัณหา อยากได้ในสิ่งที่เป็นโทษเข้าใจว่าเป็นคุณ อุปาทาน ยึดมั่นในสิ่งที่เป็นโทษที่มันจะต้องสลายตัวไป หาว่ามันจะทรงตัวอยู่ได้ แล้วก็อกุศลกรรม ความชั่วที่ทำขึ้น ทำด้วยอำนาจของความชั่วคิดว่าเป็นความดี

    นี่สิ่งทั้ง 4 ประการนี้ ที่เราปฏิบัติมา เราปฏิบัติเพราะความโง่ เพราะเรามีความโง่เราจึงยึดถือกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง ในที่สุดเราก็ต้องเกิด เกิดแล้วก็เต็มไปด้วยความทุกข์หาความสุขไม่ได้ นี่เพราะอะไร เพราะว่าในสมัยนั้นเรายึดถือร่างกายคือขันธ์ 5 ที่เรียกว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสรณะ ถือว่าเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกายร่างกายมีในเรา ยึดถือว่ามันประเสริฐยึดถือว่ามันวิเศษ คนชาวบ้านเขาตายให้ดูเท่าไรก็ตาม เราไม่เคยคิดว่าเราจะตาย เขาแก่ให้เราดูทุกวันทุกเวลา ไปไหนก็พบแต่คนแก่ เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะแก่

    นี่อาการทรุดโทรมทั้งหลายเกิดจากร่างกาย ความลำบากทั้งหลายปรากฏเราไม่เคยคิดว่ามันลำบาก เพราะเราเมามันอยู่ในร่างกาย นี่เพราะอาศัยความโง่เป็นปัจจัยเป็นเครื่องสอนเราเราจึงเข้าไปยึดถือขันธ์ 5



    60529316_1964755173636216_4390495151143780352_n(2)(1).jpg



    **นิพพานสูญจากกิเลส**

    ทีนี้มาระบบขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านมีความสุข คือพระนิพพาน นี่เป็นแดนที่มีความสุขที่สุด หาความทุกข์อะไรไม่ได้เลย ขึ้นชื่อว่าความทุกข์และความขัดข้องใจนิดนึงไม่มีในจิต ในพระนิพพาน เอ๊..พระนิพพานนี่เขาว่า สูญนี่น่ะ สูญหรือไม่สูญ ถ้าสูญเขาก็ไม่เขียนไว้ ใช่ไหม สูญก็ไม่มีชื่อซินะ ชื่อยังมี สูญไม่ได้ แต่ความจริงพระนิพพานเขาบอกว่าสูญน่ะจริง มันจริงตรงไหน จริงตรงที่กิเลสมันสูญ แต่ว่าสภาวะมี

    นี่ฉันสอนมันขวางตำราเขานะ แต่ทว่ามันขวางตำราของชาวบ้านที่เขาเขียน แต่ไม่ขวางกับพระไตรปิฎก เพราะพระไตรปิฎกทรงรับรองไว้ตั้งหลายสิบแห่งว่า พระนิพพานนี่มีสภาพไม่สูญ พระนิพพานเป็นแดนที่มีความสุขที่สุด ลองมาคิดกฎธรรมดาๆดูก็แล้วกัน ไอ้คนตายที่ไม่มีความรู้สึกน่ะ มันสุขหรือมันทุกข์( ไม่เคยตายครับ) ไม่เคยตายไม่ยาก เอาหัวไปทิ่มถังน้ำเข้า เดี๋ยวตาย เอางี้ก็แล้วกัน ไม้ท่อนที่เราวางไว้กลางสนาม มันสุขหรือมันทุกข์ (ไม่มีความรู้สึกครับ) เออ...ไม่มีความรู้สึก มันจะสุข มันจะทุกข์ยังไง ใช่ไหม

    ในเมื่อมันไม่มีความรู้สึกมันก็ ไม่สุข มันก็ไม่ทุกข์ เราจะบอกว่าสุขก็ไม่ได้ ทุกข์ก็ไม่ได้ ไอ้ความสุขหรือความทุกข์นี่มันต้องมีความรู้สึก ทีนี้ถ้าไม่มีความรู้สึก ใครไปตอบว่าสุขหรือตอบว่าทุกข์มันผิดทั้งสองอย่าง เพราะไอ้คำว่าสุขหรือทุกข์ต้องมีความรู้สึก มีจิตเป็นเครื่องรับ ถ้าหากว่าหาจิตเป็นเครื่องรับไม่ได้ จะไปตอบว่าสุขหรือทุกข์ไม่ได้ ฉะนั้น คนตายก็เหมือนกัน จะบอกว่าสุขหรือบอกว่าทุกข์มันก็ไม่ถูก มันไม่มีทั้งสุขมันไม่มีทั้งทุกข์ เพราะไม่มีเครื่องรับ ไม้ท่อนก็มีสภาพเหมือนกัน

    ที่นี้พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "นิพพานัง ปรมัง "นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"

    แต่ถ้าหากว่าภาวะพระนิพพานไม่มีแล้ว เอาอะไรมาสุขใช่ไหม มันไม่มีตัวรับ เมื่อไม่มีตัวรับ เอาอะไรมาสุขกัน ไอ้คำว่าสุขนี่มันต้องมีตัวรับ ที่นี้เราก็ไปดูในพระไตรปิฎก ไม่เห็นตรงไหนเลยที่พระพุทธเจ้าบอกว่าพระนิพพานสูญ

    ก็มีบาลีเป็นพุทธภาษิตอยู่ศัพท์เดียวว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง

    ไอ้ตัวอื่นมันแปลได้ แต่ไอ้ตัวสูญมันไม่แปล ไอ้คำว่าสูญ นี่เขาแปลว่าว่าง คือว่างจากเหตุที่จะเกิดความทุกข์ ได้แก่กิเลสใช่ไหม กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม นี่ไม่เข้าถึงใจพระ ไม่ถึงเขตพระนิพพาน นี่ไม่ต้องพูดถึงตาย เอาแค่มีชีวิตอยู่นี่

    นิพพานมี 2 อย่าง 1.สอุปาทิเสสนิพพาน 2 อนุปาทิเสสนิพพาน

    สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึงดับกิเลสแต่ว่ายังมีเบญจขันธ์อยู่ คือร่างกายยังทรงอยู่ ยังพูดได้ทำได้ทุกอย่าง กับอีกพวกหนึ่งที่นิพพานแล้ว แต่ ส่งชีวิตอยู่ไม่ได้ ได้แก่พวกท่านที่ตายไปแล้ว

    ที่นี้นิพพานมี 2 อย่าง เขากล่าวว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นี่ถ้าเราถือว่าพระนิพพานมีสภาพสูญละก็ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีตัว พอถึงพระนิพพาน พอจิตเข้าถึงอรหันตผล เขาเรียกว่านิพพานแล้ว ต้องละลายไปในอากาศไปหมด แต่นี่พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เมื่อบรรลุความเป็นอรหันต์แล้ว ท่านก็เดินไปเดินมา เดินมาเดินไปตามอัธยาศัย อีตรงนี้ท่านเรียกว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง

    พระพุทธเจ้าก็ดีพระอรหันต์ก็ดี ก็มีความรู้สึกหนาวร้อน หิวกระหาย มีปวดอุจจาระปัสสาวะ มีป่วยไข้ไม่สบาย มีร่างกายทรุดโทรมเหมือนพวกเรา แต่ทว่าพระอรหันหรือว่าพระพุทธเจ้าก็ตามที่เป็นอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นพระอรหันต์ ท่านวางภาระเสียได้ ที่กล่าวกันว่าเตสัง วูปะสโม สุโข การเข้าไปสงบกายนั้นชื่อว่าเป็นสุข

    เพราะอะไร เพราะว่ามันจะเป็นยังไงก็เชิญเป็น ฉันรู้แล้วแกจะเป็นอย่างนี้ ร่างกายมันจะแก่ท่านก็ไม่หนักใจ เพราะท่านรู้มานานแล้วว่าร่างกายมันจะแก่ ถ้าโรคภัยไข้เจ็บมันเกิดแก่ร่างกายท่านก็ไม่หนักใจ เพราะท่านรู้ของท่านอยู่แล้วว่าร่างกายนี่มันเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโลก ปภังคุณัง ในที่สุดมันก็เปลื่อยมันก็เน่าไปมันก็สลายตัวไป

    ทีนี้เข้ามาโลกธรรม 8 ประการที่เข้ามากระทบจิต มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทาสรรเสริญ สุขทุกข์ 8 อย่างนี้ ถ้าไม่ถือว่าเป็นสรณะ ถือว่าเป็นสิ่งที่ใช้อะไรไม่ได้เลย ไม่ยึดไม่ถือ เมื่อได้ลาภเข้ามา ใครให้ลาภเข้ามาท่านก็รับ พระพุทธเจ้า ท่านมีสมบัติตั้งเยอะแยะ เราจะดูวิหารสักหลังหนึ่งไม่รู้ราคาเท่าไหร่ เอาเพียงแค่ผ้าผืนเดียวก็แล้วกัน พระมหาวิหารที่นางวิสาขาสร้างถวายชื่อ บุปผาราม วิหารหลังนี้ทั้งหลังไม่รู้ว่าราคาเท่าไร



    51882(1)(1)(1)(1)(1).jpg



    **เพื่อนนางวิสาขาอยากถวายผ้ากัมพล**

    มีวันหนึ่งเพื่อนของนางวิสาขาคนหนึ่งมีผ้ากัมพลสีแดงราคา 5แสนกหาปณะ เท่ากับ 4 บาท ในสมัยที่ข้าวราคาเกวียนละ 16 บาท หรือเทียบกับราคาทองคำ ก็เท่ากับ ราคาทองคำของเราหนักบาทละ 20 บาทสมัยนั้น ถ้าสมัยนี้เทียบกันไม่ได้ นี่เธอมีผ้ากัมพลอยู่ผืนหนึ่งราคาประมาณ 5 แสนกหาปณะ ผืนเดียวตั้ง 5แสน 5แสนตำลึงสมัยนั้น ไม่รู้ราคากี่สิบล้านสมัยนี้นะ คว้ามาได้รวยเลย เสียดายเกิดไม่ทัน

    เธอก็มาถามนางวิสาขาว่านี่ฉันมีผ้าอยู่ผืนหนึ่ง อยากจะไปปูในวิหารเป็นอาสนะของพระ เธอจะอนุญาตไหม ในวิหารของเธอ นางวิสาขาตอบว่ายังไง ตอบว่าไม่เป็นไรหรอกเพื่อนเรามันเพื่อนกัน การทำบุญร่วมกันนี่เป็นของดี เธอไปดูผ้าในวิหารก็แล้วกันผ้าผืนไหน ราคามันต่ำกว่านี้เอามันออกไปเลยแล้วเอาผ้าผืนนี้ปูแทน

    ยายคนนั้นเดินรอบวิหารวางไม่ลงเลย เพราะถ้าแต่ละผืนที่เขาปูราคามากกว่านั้น หลายเท่า แล้วพระพุทธเจ้ารวยไม่รู้เท่าไหร่เลย นี่ผ้าผืนหนึ่งราคา 5 แสนยังวางไม่ลงเลย แสดงว่าผ้าของนางวิสาขาแต่ละผืนไม่รู้ราคาเท่าไร ที่พระพุทธเจ้ามีทรัพย์สมบัติราคาประมาณเท่าไร แต่ว่าท่านไม่สนใจ ยายคนนั้นเดินร้องไห้ออกมาเสียใจ ว่าตั้งใจว่าจะบูชาพระรัตนตรัยด้วยผ้ากัมพลผืนนี้แต่ไม่มีโอกาส

    พอดีพบพระอานนท์เข้า พระอานนท์ถามว่าโยมร้องไห้ทำไมกัน เธอก็เลยเล่าให้ฟัง พระอานนท์ก็เลยบอกว่าอ้าว...ไม่เป็นไรๆ ในวิหารยังมีผ้าขาดอีกผืนหนึ่ง แกบอกว่าเต็ม ฉันดูแล้วเต็มหมด หาบกพร่องไม่ได้ พระอานนท์ก็บอกว่ามี โยมมี เชื่ออาตมาเถอะ อาตมาเป็นคนดูแลวิหารนี้รู้

    ท่านก็เลยบอกให้เดินตาม แกก็เดินตามพระอานนท์ไป แกข้อสงสัยว่าพระอานนท์จะต้มแกหรือจะตุ๋นแกก็ไม่รู้ ไปดูมาแล้วมันไม่พร่อง พอถึงหน้าประตูพระอานนท์ก็ชี้ไปตรงประตูบอกว่า ตรงนี้แหละโยมผ้าเช็ดเท้าของพระไม่มี แหม...ยายคนนั้นดีใจเกือบตาย ไม่ได้เสียใจไม่ได้โกรธพระอานนท์นะ ดีใจว่าได้ทำบุญทำกุศลอีก ได้เอาผ้าผืนนั้นมาเป็นผ้าเช็ดเท้าเพื่อพระ

    นี่คือความจริงพระอานนท์ท่านไม่ได้ต้มนะ มันไม่มีจริงๆผ้าเช็ดเท้าความจริงนี่มีความลำบาก พระถ้าไม่มีรองเท้ามาหรือมีรองเท้าอย่างพวกเราใส่ ไอ้ฝุ่นละอองโคนมันเข้าไปถึงเท้าได้ แต่ว่าถ้ามีผ้าเช็ดเท้าอีกหน่อยก็จะดี เพราะผ้าที่เขาปูแต่ละผืนราคามันแพงมาก

    **เจริญศรัทธา**

    นี่เป็นอันว่า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วนี่มีทรัพย์มหาศาล ที่เขาถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าใจของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์สมัยนั้นมีความรู้สึกยังไง ท่านไม่เคยติดอยู่ในวัตถุเลย เขาให้มาก็ดีใจเพราะว่าเขาได้บริจาคทานการกุศลเป็นการทำลายโลภะ ความโลภ ก็รับเพื่อเป็นการเจริญศรัทธา เขาให้ใช้ท่านก็ใช้แต่ทว่าใจของท่านไม่เกาะในทรัพย์สินทั้งหลาย

    เมื่อท่านเดินเลยไปที่อื่น ท่านไม่เคยห่วงของข้างหลังแต่ก็ตั้งพระไว้เป็นผู้ดูแลไว้ เพราะของที่เขาให้มาถ้าไม่ดูแลรักษาเป็นการทำลายศรัทธาของญาติโยมให้เสื่อมไป อันนี้เป็นโทษต้องรักษาด้วยดี ไม่ใช่เขาให้มาก็โยนทิ้งไป ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าใจนี่ไม่ได้นึกว่ามันเป็นเราเป็นของเรา เป็นอันว่าพระอรหันต์ก็ดีพระพุทธเจ้าก็ดีไม่ทรงติดอยู่ในลาภ ที่เขาเรียกว่าเป็นป้ายหน้าร้านนะ

    เอาล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท ตามที่แนะนำมาในเรื่องสังฆานุสสติกรรมฐาน ก็ขอยุติกันแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน
    .....................................
    คัดลอกจาก ธรรมปฏิบัติ22โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...