สรรพคุณของลูกใต้ใบ เกี่ยวกับตับ ไต ข้อ และเบาหวานด้วย ฯลฯ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย janjar56, 16 มกราคม 2014.

  1. janjar56

    janjar56 Lucky

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +1,196
    สรรพคุณของลูกใต้ใบ มีมากมายเหลือเกิน แต่เรามองเห็นเป็นแค่หญ้าที่ขี้นรกๆ เท่านั้น
    (ผมก็ดื่มอยู่นะครับ ดีจริงๆ ดื่มสมุนไพรไทยนิ สุดยอดแล้ว)

    ใช้แก้ไข้ เป็นสรรพคุณแรก ๆ ของลูกใต้ใบที่คนรู้จักกันมากที่สุดว่า สามารถแก้ไข้ได้ผลดีเยี่ยม ลูกใต้ใบ จึงมักเป็นสมุนไพรที่พระธุดงค์ มักพกติดตัวในยามออกธุดงค์ เพื่อแก้ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ที่อาจเกิดขึ้นได้จากอากาศที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ลูกใต้ใบ ยังสามารถแก้ไข้จากการอ่อนเพลีย ไข้จับสั่น ได้อีก โดยวิธีการใช้จะนำลูกใต้ใบไปตากแห้งเก็บใส่โหลไว้ เพื่อชงเป็นชาดื่มเวลาเกิดอาการ

    แก้ปวด แก้อักเสบ แก้ร้อนใน นอกจากลูกใต้ใบจะสามารถแก้ไข้ได้แล้ว ยังมีงานวิจัยพบว่า ลูกใต้ใบสามารถแก้อาการปวดข้อ อาการอักเสบต่าง ๆ ได้

    แก้ปวดหลัง ปวดเอว ปวดเมื่อย โดยนำลูกใต้ใบมาล้างน้ำ และสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดให้แห้ง ต้มใส่หม้อดิน นำมาดื่มแทนน้ำชา

    บำรุงตับ ลดอาการตับอักเสบ หมอจีนเชื่อว่า การรับประทานลูกใต้ใบติดต่อกันนาน 1 สัปดาห์ จะช่วยกำจัดพิษออกจากตับ รักษาอาการดีซ่าน และช่วยบำรุงตับให้ดีขึ้น โดยจะนำลูกใต้ใบนี้ไปต้มกินเป็นยารักษาอาการดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง เนื่องจากมีผลวิจัยว่า สารสกัดจากลูกใต้ใบมีฤทธิ์ป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจากสารพิษ เช่น เหล้า ช่วยรักษาอาการอักเสบของตับทั้งประเภทเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่น ไวรัสตับอักเสบบี นอกจากนี้ยังช่วยปรับไขมันในตับให้เป็นปกติ และยังช่วยให้เซลล์มะเร็งตับเติบโตช้าลง แต่ไม่ได้ฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรง

    ควบคุมระดับน้ำตาล เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะมีการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาพบว่า สารสกัดของลูกใต้ใบมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่มีข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยเบาหวานว่า ต้องรับประทานยาแผนปัจจุบันตามแพทย์สั่ง และหมั่นตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอด้วย

    ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว ลดความดัน โดยหมอยาพื้นบ้านในแถบประเทศบราซิล สเปน นิยมนำลูกใต้ใบมาใช้ขับนิ่ว รักษานิ่วในถุงน้ำดีและนิ่วในไตได้ นอกจากนี้ยังนำลูกใต้ใบไปใช้รักษาอาการมีไข่ขาวในปัสสาวะ อาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ลดอาการบวม ช่วยคนที่เป็นโรคเก๊าท์ขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะ

    ขับประจำเดือน สำหรับคุณผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาไม่ปกติ ลูกใต้ใบ ยังเป็นยาชั้นดีในการช่วยขับประจำเดือนได้อีกด้วย โดยนำต้นลูกใต้ใบมาต้มกิน แต่หากประจำเดือนมามากกว่าปกติ ให้นำรากสดของลูกใต้ใบมาตำผสมกับน้ำซาวข้าวกินจะช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ ส่วนผู้ที่เป็นไข้ทับระดู ก็นำลูกใต้ใบทั้ง 5 มาล้างน้ำสะอาด นำมาตำผสมเหล้าขาว คั้นเฉพาะน้ำยามาดื่นครั้งละ 1 ถ้วยชา

    แก้อาการนมหลง สำหรับหญิงที่คลอดบุตรแล้วน้ำนมเกิดหยุดไหล หลังจากเคยไหลมาแล้ว จะเกิดอาการปวดเต้านม ซึ่งเรียกว่า อาการนมหลง ถ้าปล่อยไว้อาจกลายเป็นฝีที่นมได้ ให้นำลูกใต้ใบทั้ง 5 จำนวน 1 กำมือมาตำผสมเหล้าขาว คั้นเอาน้ำ ดื่ม 1 ถ้วยชา แล้วเอากากพอก ก็จะช่วยให้น้ำนมไหลออกมาได้

    รักษาแผล ในอินเดียนิยมนำลูกใต้ใบมาตำพอก หรือตำแล้วคั้นเอาน้ำมาทารักษาแผลสด แผลฟกช้ำ แต่หากเป็นแผลเรื้อรังจะใช้ใบตำผสมน้ำซาวข้าวมาพอกได้

    แก้คัน ตำใบของลูกใต้ใบผสมกับเกลือ แล้วนำมาทาจะช่วยแก้คันได้

    แก้เริม ใช้ลูกใต้ใบทั้งห้า ตำผสมกับเหล้าแล้วคั้นเอาน้ำยา จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำยามาแปะตรงที่เป็นเริม เพื่อให้รู้สึกเย็น แล้วจะหายปวด

    แก้ฟกช้ำ แก้ฝี ใช้ต้นสด ๆ ตำผสมกับเหล้า แล้วนำมาพอกแก้ฟกช้ำ ปวดบวมได้

    (มีมากกว่านี้อีกครับ...ลองค้นดูนะ อาจเป็นประโยชน์กับเราและคนที่เรารักก็ได้นะ)
    ครูจันทร์

    ข้อที่ควรระวังก็คือ ห้ามใช้ลูกใต้ใบกับหญิงมีครรภ์ เพราะลูกใต้ใบมีสรรพคุณในการขับประจำเดือน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
     
  2. janjar56

    janjar56 Lucky

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +1,196
    ขิงกระชาย (กระชายเหลือง ใส่ในผัดเผ็ดนะๆ) ดีกว่าโสมนะ ดีกว่ากระชายดำอีกนะ เพราะไม่มีผลข้างเคียง ไม่ตกค้างในร่างกาย สรรพคุณแบบโดนๆ จริง 555
    (รสมันแปลกดีนะทานบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชินนะ ใส่น้ำผี้งนิดก็รสดีไม่น้อยครับ)

    สรรพคุณของกระชาย
    1.กระชาย สรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ2.ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (ใบ)
    3.กระชายเหลือง สรรพคุณช่วยแก้ลมวิงเวียน แน่นหน้าอก
    4.ช่วยบำรุงกำลัง เสริมสมรรถภาพทางเพศ บำบัดโรคนกเขาไม่ขัน หรือโรคอีดี (Erectile Dysfunctional หรือ ED) (เหง้าใต้ดิน)
    5.ช่วยบำรุงหัวใจ ด้วยการใช้เหง้าและรากของกระชายนำมาปอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาหั่นตากแห้งแล้วบดจนเป็นผง และให้ใช้ผงแห้งที่เตรียมไว้ประมาณ 1 ช้อนชา นำมาชงกับน้ำร้อนครึ่งถ้วยชา แล้วรับประทานเพียงครั้งเดียว (เหง้า,ราก)
    6.ช่วยบำรุงกระดูก ช่วยทำให้กระดูกไม่เปราะบาง
    7.ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย
    8.ช่วยบำรุงกำหนัด แก้อาการกามตายด้าน (เหง้าใต้ดิน)
    9.ช่วยบำรุงสมอง เพราะช่วยทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนกลางได้ดีมากขึ้น
    10.ช่วยปรับสมดุลของความดันโลหิตในร่างกาย ช่วยลดความดันโลหิตเมื่อความดันโลหิตสูง แต่เมื่อความดันโลหิตต่ำก็จะช่วยทำให้ความดันเพิ่มขึ้นจนเป็นปกติ
    11.สรรพคุณกระชายช่วยแก้โลหิตเป็นพิษ (ใบ)
    12.กระชาย สรรพคุณทางยาช่วยแก้โรคในปากและคอ เช่น ปากเปื่อย ปากแห้ง ปากเป็นแผล (ใบ,เหง้า)
    13.ช่วยแก้ฝ้าขาวในปาก ด้วยการใช้กระชายที่ล้างสะอาดนำมาบดแบบไม่ต้องปอกเปลือก แล้วใส่ในโถปั่นปั่นพอหยาบ แล้วนำมาใส่ขวดปิดฝาแช่ไว้ในตู้เย็น แล้วนำมากินก่อนอาหารครั้งละ 1 ช้อนชาเล็ก กินวันละ 3 มื้อก่อนอาหารประมาณ 15 นาทีสักประมาณ 1 อาทิตย์ (ราก)
    14.เหง้าใต้ดิน มีรสเผ็ดร้อนและขม มีสรรพคุณช่วยแก้อาการปวดท้อง มวนในท้อง อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ด้วยการใช้เหง้าและรากประมาณครึ่งกำมือ ถ้าสดให้ใช้ประมาณ 5-10 กรัม แต่ถ้าเป็นแห้งให้ใช้ประมาณ 3-5 กรัม แล้วนำมาต้มเอาน้ำดื่มแก้อการ หรือจะนำมาใช้ปรุงเป็นอาหารไว้รับประทานก็ได้เช่นกัน (เหง้าใต้ดิน)
    15.ช่วยแก้อาการท้องร่วง ท้องเดิน ด้วยการใช้เหง้าสด 1-2 เหง้า ใช้เหง้าที่ปิ้งไฟแล้วนำมาฝนหรือตำผสมกับน้ำปูนใส หรือจะคั้นให้ข้นๆ แล้วนำมารับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชาก็ได้ (เหง้า,ราก)
    16.ช่วยแก้บิด โดยใช้เหง้าสดประมาณ 2 เหง้า นำมาบดจนละเอียดแล้วเติมน้ำปูนใส คั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม (เหง้าสด)
    17.ช่วยรักษาอาการท้องเดินในเด็ก (เหง้า,ราก)
    18.รากกระชาย สรรพคุณช่วยแก้โรคกระเพาะ (ราก)
    19.ช่วยแก้อาการบิดมูกเลือด (เหง้า,ราก)
    20.ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการปัสสาวะพิการ (เหง้า,ราก)
    21.ช่วยบำรุงตับและไตให้แข็งแรง ช่วยรักษาโรคไต ช่วยทำให้ไตทำงานได้ดียิ่งขึ้น
    22.ช่วยป้องกันไทรอยด์เป็นพิษ
    23.ช่วยรักษาอาการกระเพาะปัสสาวะเกร็ง ซึ่งในกรณีนี้อาจจะต้องใช้เม็ดบัว ที่ต้มแล้วนำมารับประทานร่วมด้วย
    24.ช่วยแก้อาการไส้เลื่อนในเพศชาย
    25.ช่วยควบคุมไม่ให้ต่อมลูกหมากโต
    26.ช่วยบำรุงมดลูกของสตรี ป้องกันไม่ให้มดลูกโต
    27.แก้อาการตกขาว ช่วยขับระดูขาวของสตรี (เหง้า)
    28.ช่วยขับน้ำคาวปลาของสตรีหลังคลอดบุตร
    29.ใช้เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้เหง้าสดประมาณ 60 กรัม (6-8 เหง้า) นำมาผสมกับเนื้อมะขามเปียกประมาณ 60 กรัม เกลือแกง 3 ช้อนแกง และนำมาตำแล้วต้มกับน้ำ 6 แก้ว แล้วเคี่ยวจนเหลือ 2 แก้ว นำมารับประทานครั้งละครึ่งแก้วก่อนนอน แล้วรับประทานติดต่อกันประมาณ 1 เดือนจนกว่าจะหาย (เหง้าใต้ดิน)
    30.ใบช่วยถอนพิษต่างๆ (ใบ)
    31.ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย ด้วยการใช้เหง้าหรือรากแก่ๆ นำมาหั่นเป็นแว่นบางๆ แล้วนำไปตากแห้งและนำมาชงกับน้ำดื่ม (ราก,เหง้า)
    32.ช่วยบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง
    33.เหง้าและรากใช้เป็นยาภายนอก สรรพคุณช่วยรักษาขี้กลาก ขี้เกลื้อน (เหง้า,ราก)
    34.ช่วยรักษาโรคน้ำกัดเท้า ด้วยการใช้รากกระชายทั้งเปลือกมาล้างแล้วผึ่งให้แห้ง ฝานเป็นแว่นๆ และนำไปบดให้เป็นผงหยาบๆ และใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวมาอุ่นในหม้อใบเล็กๆ เติมผงกระชายใช้น้ำมัน 3 เท่าของปริมาณกระชาย แล้วนำมาหุงด้วยไฟอ่อนๆ ราว 15-20 นาที แล้วกรองกระชายออก เก็บน้ำมันไว้ในขวดแก้วสีชานำมาใช้ทาบริเวณที่เป็น (ราก)
    35.ช่วยแก้อาการคันหนังศีรษะจากเชื้อรา ด้วยการใช้น้ำมันดังกล่าว (จากสูตรรักษาโรคน้ำกัดเท้า) นำมาเข้าสูตรทำเป็นแชมพูสระผม หรือจะใช้น้ำมันกระชายโกรกผมแล้วนวดให้เข้าหนังศีรษะก็ได้ แล้วค่อยล้างออก (น้ำมันกระชาย)
    36.ช่วยรักษาฝีด้วยการใช้เหง้ากับรากมาตำให้ละเอียด แล้วนำมาทาหัวฝีที่บวมจะทำให้หายเร็วยิ่งขึ้น (เหง้า,ราก)
    37.เหง้ามีฤทธิ์ในการช่วยต้านเชื้อรา ที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคผิวหนังและโรคในช่องปากดีพอสมควร (เหง้า)
    38.กระชายมีสารที่ออกฤทธิ์ช่วยต้านการก่อกลายพันธุ์ โดยการบริโภครากกระชายสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้
    39.กระชายมีสารที่ออกฤทธิ์ทำให้อนุมูลอิสระเป็นกลาง จึงมีผลช่วยลดความเสียหายของการเกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกายได้
    40.กระชายมีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบ การบริโภคกระชายเป็นประจำอาจได้ผลคล้ายกับการกินยาแอสไพรินและอาจะช่วยป้องกันการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากการอักเสบเรื้อรังภายในร่างกายได้
    41.งานวิจับจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ศึกษาพบว่าสารสกัดจากกระชายสามารถช่วยต้านการเสื่อมของกระดูกอ่อนในหลอดทดลองได้ และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
    42.งานวิจัยในประเทศกานาพบว่าสาร Pinostrobin จากรากและใบมีฤทธิ์ช่วยต้านเชื้อ Plasmodium falciparum ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมาลาเรีย
    43.งานวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์พบว่าสารสกัดคลอโรฟอร์มและเมทานอลจากรากของกระชายมีฤทธิ์ในการต้านการเจริญเติบโตของเชื้อ Giardia intestinalis ซึ่งเป็นพยาธิเซลล์เดียวในลำไส้ ที่ก่อให้เกิดภาวะท้องเสีย ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างมากสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
    44.งานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่าสาร Pinostrobin, Pinocembrin, Panduratin A และ Alpinetin ของกระชายนั้นมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียได้หลายชนิด

    (สรรพคุณของกระชายเหลืองนั้นมีมากมายจริงๆ ครับ...ลองค้นดูนะ อาจเป็นประโยชน์กับเราและคนที่เรารักก็ได้นะ)
    ครูจันทร์
    ผมชอบจริงๆ และกินเป็นประจำครับ ผมต้มกระชายและลูกใต้ใบทั้งต้นเลย ปริมาณกะเอาตามชอบใจละกันนะ (ผมทานขมได้สบายครับ คนอีสานนะๆ ก็เลยชอบ555 ส่วนกระชายบ้างครั้งผมเคี้ยวเล่นเลย ใช้จิ้มจุ่มกับน้ำผึ้งก็ดีครับ อร่อยแก้หนาวดีเชียว)
     
  3. janjar56

    janjar56 Lucky

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +1,196
    แก้เบาหวาน (จะค่อยดีขึ้นนะ)และ มดลูกโต หรือหย่อน
    ต้นลูกใต้ใบ+รากเตย+ตะไคร้+อ้อยแดง+กระชายเหลือง
    ใส่พอประมาณ เน้นลูกใต้ใบมากที่สุดนะ
    ทำให้คุณพ่อดื่ม(ต้ม)แก้หนาวและบรรเทาเบาหวาน (คือฉี่คุณพ่อมีปัญหา...ตอนดีขึ้นละ555)
    ส่วนคุณแม่ปวดท้อง เกี่ยวกับมดลูกนะๆ แม่ดื่มแก้หนาวมาสัปดาห์หนึ่งละ บอกไม่ปวดท้องละ ดีใจมากๆ เลย สาธุขอให้พ่อกับแม่แข็งแรง อารมณ์ดีมีความสุขตลอดไป555

    ครูจันทร์
    "เห็นพ่อแม่อิ่มอร่อยเราก็อิ่ม เห็นท่านมีความสุขเราก็สุข5555555"
     
  4. janjar56

    janjar56 Lucky

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +1,196
    เคยปวดท้องเพราะเคยดื่มเหล้าจัดเป็นสิบปี
    หายปวดเพราะชาชงเห็ดหลินจือธรรมดา (แบบไม่แพงอะนะ)
    อีกอัน..แม่บอกมาคือหญ้าปล้องแดงก็ดีตัวนิ แก้พวกพิษเหล้า ตับมีปัญหานะ
    แต่ก็ดูผลข้างเคียงช่วงแรกที่ทานนะ อาจมีบ้างนะ
    ที่สำคัญ..เลิกเหล้าเถอะดีที่สุดเลย ไม่บาป แถมยังดีต่อร่างกายและคนที่รักเรา ที่อยู่รอบข้างด้วย
    จะได้อยูกับเขานานๆ ชีวิตสั้นนักนะ ทำบุญ ละบาปนะ สาธุ
    ครูจันทร์
     
  5. janjar56

    janjar56 Lucky

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +1,196
    การดูแลพ่อแม่เรื่องอาหารก็ต้องใส่ใจนิดหนึ่งนะ
    ส่วนตัวผมคิดว่า คนอายุมากแล้วระบบย่อย ระบบขับถ่ายอาจไม่ดีเหมือนเดิม อีกทั้งระบบดูดซึมก็ไม่ควรมองข้าม ผมมักจะให้คุณพ่อกับคุณแม่ทานปลาอยู่บ่อยๆ ผักท่านก็ชอบอยู่แล้วก็เลยสบายใจ (ที่บ้านปลูกเอง55) ประเภทปลานะมันย่อยง่ายมีสารอาหารที่ดีเหมาะกับคนชราเคยศึกษามาบ้าง ลองหาให้ท่านทานดูนะ อย่าลืมผลไม้ตามฤดูกาลของไทยเราก็ควรมีมาเพิ่มให้ท่านด้วยนะจะได้สดชื่น สดใสนะ
    ครูจันทร์
     
  6. Number-5

    Number-5 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +32
    ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูลดีๆ
     
  7. homesmile

    homesmile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2014
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +178
    แนะนำการลดน้ำหนักง่ายๆ มาฝากครับ

    1. ลดแบบออกกำลังกาย ( อันนี้ลดไวจริง ) เคยทดสอบมาแล้ว
    2. ลดแบบคุมอาหารการกิน

    เริ่มจาก ลดแบบออกกำลังกาย
    จะเห็นผลที่สุด ถ้าได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ต้องไปเพิ่งยาลดน้ำหนักเลย
    อันนี้ผมจะเล่าจากประสบการณ์ ที่ได้ทำมา แบบข้าวๆ
    คือ ตอนนั้นผมจะน้ำหนักเพื่อจะไปรับปริญญาตรี มีเวลา ประมาณ 1 ปี ก่อนไปรับ
    แต่แล้วผม พยายาม หลายรอบแล้วไม่ได้ ผล ไม่ว่าจะทำอย่างไร น้ำหนักก็ไม่ลด
    ตอนนั้น น้ำหนักผม อยู่ ที่ 101 - 102 ผมใช้เวลา 1 เดือนกว่า ลดเหลือ 97 - 98
    แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว จนกระทั่ง เพื่อนผมชวนไปวิ่งออกกำลังกาย
    วันแรก ผมจำได้ดีแม่งเหนื่อยมาก เดินสลับวิ่ง แล้วก็นั่งพัก อยู่ 2 ชม. ผมก็ไม่ไหว
    วันที่ 2 ก็ยังคงเหมือนเดิม คือ เดินสลับวิ่ง แล้วก็นั่งพัก วันละ 2 ชม.
    จนไปถึงวันที่ 7 ทุกอย่างมันก็เริ่มเปลี่ยน สภาพร่างกาย จากเดินสลับวิ่ง เป็น วิ่งสลับเดิน
    วิ่งได้เยอะขึ้น เหนื่อยน้อยลง จึงเพิ่ม เวลาจาก 2 ชม. เป็น 3 ชม. ทำแบบนี้อยู่ 3 วัน
    วันที่ 10 เพื่อนผมให้ เสื้อมา 1 ตัว เป็นเสื้อบางๆ ใส่แล้ว รู้สึกร้อน ลมไม่เข้าถึงตัวเลย
    ใส่ได้แปบเดียว เหงื่อไหล เลย ผมก็เรียกไม่ถูก ว่าเสื้ออะไร ใส่ไอ้เนี่ยละ วิ่งสลับเดิน
    อยู่ 1 สัปดาห์ เหงื่อก็เริ่มไหลน้อยลด และผมก็วิ่งได้ไกลขึ้น เดินน้อยลง น้ำหนักลดไวเกิน
    จนผิวหนังย่น เหมือนคนแก่ เพื่อนจึงแนะนำให้ออกกำลังจากเครื่องเล่นที่สวนสาธารณะ
    เช่น ซิทอัพ ดึงข้อ วิดพื้น อะไรประมาณนี้ แล้วการกินก็เปลี่ยนไปให้มากินผลไม้เยอะๆ
    ตอนนั้น คือ วิ่ง 1 - 2 ชม. ซิทอัพ/วิดพื้น 30 นาที ทำแบบนี้อยู่ 5 วัน
    ผิวหนังก็เริ่มดีขึ้น ไม่ย่นมากนัก แล้วก็ไป ชั่งน้ำหนัก จาก 98 เหลือ 70 ลดลง 28
    ภายในเวลา เกือบ 1 เดือน คือ 22 วัน

    สรุปการกินอาหาร
    สัปดาห์แรก ผมกินข้าว วันละ 2 มื้อ คือ เช้ากับกลางวัน ออกกำลังช่วงบ่ายๆ
    ต่อมา ผมก็กินข้าว แค่มื้อ 1 มื้อ คือกลางวัน ออกกำลังช่วงเย็นๆ
    เพราะมันเริ่มจะไม่ค่อยหิวแล้ว ในช่วง สัปดาห์ที่ 2
    อีกอย่างที่ สำคัญ ผม กิน บูลเบอร์รี่ ทุกวัน ถึงจัยผมไม่อยากกินก็ตาม
    เพื่อนบอกกินแล้วมันดี เลยกินๆ ไป

    ปล. ไม่ต้องเชื่อในสิ่งที่ผมพูดก็ได้ครับ แต่อยากให้เพื่อนๆ ออกกำลังกาย กัน ดีที่สุด
    เนื่องจาก ผม เห็น เพื่อนผม กินยาลดน้ำหนัก ประปุก 2000-5000 บ. แล้วมันไม่ได้ผล
    ผมเห็นแล้วเสียด้าย ตัง แล้วยาบ้างตัวมันไม่ดีต่อสุภาพด้วย ครับ

    ติดตาม ภาค 2 ลดแบบคุมอาหารการกิน
    ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/224405527751712/
    หรือ ADD Fackbook ชื่อ เอิง เอิง คุง
    เป็นกำลังจัยในกับทุกคนที่ลดน้ำหนัก
    Megaproject Panda เริ่ม 13-03-57
     

แชร์หน้านี้

Loading...