สติดีดออกจากสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย dangcarry, 18 สิงหาคม 2010.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    เรานั่งสมาธิมา5ปี เกิดความอัศจรรย์ใจอย่างประหลาดขณะที่จิตเข้าสมาธิกำลังจะดิ่งอยู่เหมือนมี สิ่งหนึ่งดีดออกจากสมาธิเป็นผู้ดู รู้ทั้งกาย และจิต แฃะดูเหมือนจิตจะมีกำลังมาก อาการเวทนาทั้งหลายหายหมด ปลายเท้าหายไป แต่สติก็ตามรู้ไม่หวั่นใดๆ จิตละเอียดมาก แต่พอได้เวลาออกจากสมาธิมันออกเอง เหมือนมันอิ่ม ไม่เคยเป็นอาการนี้เลยหลังจากนั้นก็เป็นแบบนี้ตลอดมาได้สัก 3วันแล้ว จิตมีสุขมากในขณะอยู่ในสมาธิ แต่นั่งประมาณไม่เกิน40นาที ไม่รู้ว่ามีใครมีประสบการณ์แบบนี้บ้างหรือเปล่า หรือผ่านช่วงนี้แล้วแนะนำด้วย
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    keyword อยู่ตรงนี้

    คำว่า อยู่ในสมาธิ จิตตั้งอยู่ที่ไหนครับ

    1. อยู่นอกกาย กับสิ่งแวดล้อม

    2. อยู่ใกล้ๆเข้ามาหน่อย ประมาณปลายจมูก มีลมหายใจคลอ กายเบาจิตเบา แต่สลับเสียว

    3. อยู่ในกาย เห็นกายขยับเพราะจิต เห็นจิตขยับเพราะกาย เวทนาไหวใจไปจับ แต่ไม่เห็น
    ความสิ้นไปใดๆ กายเบาจิตเบามีอยู่แต่จืดๆ

    4. เหมือนข้อ 3 แต่ไม่ได้สนใจว่า กายขยับเพราะจิต หรือ จิตขยับเพราะกาย หรือ เวทนา
    เสียดใจไม่คว้า เพียงแต่เห็นความสิ้นไป และการเห็นความสิ้นไปใจก็ไม่ยึดการเห็นเหล่านั้น
    จนแน่นอก

    5. อื่นๆ

    ***************

    แต่ไม่ว่าจะเห็นอะไรนะ คอยดูไว้ ตอนไหนที่อาการนี้หายไป หายไปแล้ว ใจเป็นอย่างไร
    กลับมาถูกไหม หรือ กลับมาไม่เป็น อันนี้สำคัญกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2010
  3. เป็ดเซ็ง

    เป็ดเซ็ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +858
     
  4. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    เราว่าไม่น่าจะถึงฌาน 4 น่ะ แต่อารมณ์ฌานไหนไม่ทราบจริงๆ รอผู้รู้มาขยายความอีกที เพราะอารมณ์ฌาน 4 จะละเอียดและสามารถอยู่ในฌานได้กันข้ามวันข้ามคืนเลย แต่เรายังไม่สามารถขนาดนั้น อันนี้แบบตรงๆเลย ไม่หลงว่าน่าจะใช่
     
  5. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    อารมณ์สมาธิอยู่ในข้อ4 มันเหมือน เรา3คน คนที่หนึ่งคือกาย คนที่2คือจิต ส่วนคนที่3คือสติ เพราะไอ้คนที่3นี่แหละที่มันออกมาดูเจ้า2คนนั้น มันตามรู้มันเห็นแต่มันเฉย จิตมันมีกำลังน่ะนั่งมาเพิ่งจะเห็นกำลังของจิตว่ามันเยอะ ส่วนกายมันไม่มีพิษสงอะไรทื่อๆไปเหมือนคนที่ไร้บทบาทแค่เป็นเหมือนโปร่งๆๆแค่นั้น แปลกดี !
     
  6. wattanadist

    wattanadist เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +1,134
    สมถะกรรมฐานนั้นเป็นสื่งดีสำหรับบุคคลทั่วไปครับ...ดีแล้วครับลองฝึกกำหนดนิมิตขึ้นมาสิครับ ถ้าสามารถทำให้สังขารรำงับลงได้(ร่างกายไม่เจ็บ ไม่ปวด +ลมหายใจที่ละเอียดมาก)แล้ว....พอนิมิตชัดเจนจนเป็นสิ่งเดียวกับลมหายใจ พุทธ โธ แล้ว...คุณจะนั่งได้นานข้ามวันเลยครับ อันนี้คือการควบคุมจิตตสังขารซึ่งเป็นเรื่องที่ยากเอาการในการใช้อานาปนสติ แต่ถ้าข้ามขั้นนี้ไปได้แล้ว สามารถทำให้ระงับได้(หรือเรียกอีกอย่างว่าควบคุมได้ทุกรูปแบบโดยให้มันหายไปก็ได้ ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้) ประกอบกับการใช้ธรรมมานุสสติพิจารณา(ว่าสุข ปิติ หรือนิมิตที่เกิดขึ้นมานั้น ไม่เที่ยง เกิดได้ ดับได้)ด้วยแล้ว ความสำเร็จใน ฌาณนั้น อยู่ไม่ไกลครับ...เอาใจช่วยครับ
     
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อนุโมทนาครับ

    อยู่ในสมาธิ สลัดความฟุ้งซ่านออกไป จนมา สุข วิ๊ด ๆ สลับกับอุเบกขา สุขยาว ๆ สลับกับอุเบกขาสั้น ๆ แล้วก็สุขยาว ๆ โดยมีความรู้อยู่ว่ามันสุขซาบซ่านใช่ใหม่ครับ
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขออนุญาติ ปรับคำให้ตรงตามปริยัติ

    1. กองของรูปกาย
    2. ไม่ใช่จิต แต่เป็น กองวิญญาณขันธ์
    3. ไม่ใช่สติ แต่เป็น กองสัญญาขันธ์

    ทีนี้ ผมอาศัยอะไร ระบุว่า่ ยังไม่ใช่ สติ ทั้งๆที่ควรจะใช้มากทีเดียว

    ก็ต้องตอบว่า อาศัยการที่คุณยังพูดว่า "คนที่ไร้บทบาท" คือ มันมี
    คำว่า คน เจือเข้ามาในการเห็นอยู่ หากยังเห็นว่า คน ตัวตน สัตว์
    บุคคล เราเขา อันนี้ จะต้อง น้อมปรับตามปริยัติไว้ก่อนว่า การออก
    ไปเห็นยังไม่แจ่มพอ ยังไม่ใช่การเห็น ปรมัตถ์

    หากเป็นการเห็น ปรมัตถ์ ก็จะพอพูดได้ว่า เห็น รูป จิต(มโน,วิญญาณ,ธาตุรู้ ฯ)
    เจตสิก(สติ) ได้เต็มภูมิขึ้นมาอีกนิด

    แต่ ถามว่าผิดไหม ก็ไม่ผิด เพราะ เป็นการเห็นที่ดีทีเดียว ให้ทำแบบ
    นี้ให้ได้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนคนหว่านข้าวทำนาทุกปีๆ อย่าให้ขาดปี
    ขาดวัน วันไหนทำได้ก็ดีไป วันไหนทำไม่ได้ก็ไม่ร้อนใจ ไม่ล้ม ไม่ท้อ
    วันไหนเห็นได้ยาวนานโดยไม่ต้องตั้งท่า ตั้งใจ วันนั้น เรียกว่า ยกวิปัสสนา
    สำเร็จ(แต่ยังหายไปทั้งหมดได้)

    พอเห็นบ่อยๆ คราวนี้ กายมันจะไม่ใช่คนที่ไร้บทบาท แต่เป็นก้อนธาตุที่
    ไหวไปตามบทของแรงกรรมวิบาก จิตวิญญาณจะเป็นผู้ครองอยู่ในกาย
    กลวงๆ หนาคืบกว้างศอก(ถ้าเห็นตรงนี้บ่อยๆ ให้เรียกว่า ฐานของจิต ฐาน
    ของการรู้ ยิ่งกลวงๆยิ่งเข้าฐาน ยิ่งหาที่ตั้งไม่ได้ยิ่งใช่)
    นี้คอยสืบทอดพืช
    พันธ์แห่งกรรมดีและชั่ว เจตสิก(สติ,องค์ฌาณ,สมาธิ,ศีล,โยนิโส ฯลฯ)ที่ประกอบไว้ดี
    แล้วเป็นมหากุศลจิตทั้งหลายจะเป็นผู้ประชุมกันเพื่อนำออกจากสิ่งร้อยรัด

    .......ส่วน ธรรมปรมัตถ์ อีกชนิดนั้น ขึ้นอยู่กับ ความสมควรแก่ธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2010
  9. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    ที่เล่ามา ไม่ละเอียด นะ ต้องลองเทียบ ที่องค์ฌาน ดู
    และ ลองฟังคำ อธิบายของหลวงพ่อ ( ฤาษี ) อีกทีนะ จะแน่นอนกว่า

    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1024105/[/MUSIC]​
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เดี๋ยวจะไม่มีส่วนต่อยอด

    ขอว่าไปตามเนื้อผ้านะ

    จะเห็นว่า เกิด "คน" แทนการเห็น "ธาตุ" อันนี้บอกอะไร

    ก็แปลว่า ขาดการอบรมจิตในเรื่องการเห็นธาตุ และขาดการอบรมจิตให้เห็นมรณะสัญญา(กองสุญญตาสมาธิ)

    การอบรมธาตุ ก็แยกตามความเคยชินในชีวิต
    ชอบคิด ก็พิจารณา "ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว" ไป
    ทำงานใช้แรง,กิน,นอน ก็พิจารณา "อาหาร4 อาหารเรกูล ธาตุไหลเข้าไหลออก"

    แต่ถ้าชอบสมถะนำ เพิ่มเข้ามา
    ก็พิจารณา "เกษา โลมา นักขา ทันตา ตะโจ" จนกว่าจะเห็น "คน" แปรเป็น"นิมิต"
    (จะเห็นว่า ตรงนี้เห็นเป็นคนได้ แต่คนที่เห็น จะต้องเน่าสลายผุผังให้เห็น)

    ถ้าสมถะนำแต่ตัณหาเยอะอยู่ ก็พิจารณา อสุภะกรรมฐาน

    สุดท้ายทั้งหมด จะได้ การอบรมจิตให้รู้จักการแลเห็น เป็น ธาตุ4 เท่านั้น

    พอแลเห็นเป็นธาตุ4 ได้ ก็มาพิจารณาการ "สติดีดออกไปจากสมาธิ" นี้อีก
    ทีว่า มันเห็นแบบไหน เห็นแล้ว ก็ต้องทำซ้ำๆ เนืองๆ ไม่ใช่ครั้งเดียว(สำหรับ
    คนในสมัยนี้) จนกว่า จิตจะได้รับการ "ยกวิปัสสนาญาณ" สำเร็จ

    เมื่อยกสำเร็จแล้ว ก็ทำไปเรื่อยๆ จนกว่า กองสังขาร กองรูปนาม จะดับ
    ทั้งหมดให้เห็น แล้ว ความที่เราอบรมจิตให้เห็นปรมัตถ์มามาก ตอนถอย
    กลับมาสู่ โลกธาตุ นั้นมันจะสะดุ้ง หวาดกลัว กองสังขารที่ปรากฏไหม
    หากมี แต่เราไปสะดุ้งกับการเห็น การหวาดกลัว นั้น ก็เรียกว่า ยังต้อง
    เดินทางกันอีก จนกว่าจะเป็นกลางต่อการเห็นสภาวะ สะดุ้ง หวาดกลัว
    เบื่อหน่าย คลายกำหนัด ในจังหวะถอยเข้าสู่โลก ก็จะเรียกว่า "มันอิ่ม"
    ที่เป็น อิ่มในอริยะวินัยแท้ๆ ไม่ใช่แค่ทำสมาธินิดๆหน่อยๆแบบชาวบ้านแล้ว
    ก็บอกว่าอิ่ม

    ลองดูนะ

    เรื่อง ฌาณ แณน นานหรือไม่นาน แนะนำว่า อย่าพึ่งสนใจ มาอบรม
    จิตให้มีกรรมฐาน องค์ธรรมที่จะเกิดขึ้นสัมปยุตไว้ให้มากๆก่อน ความยาว
    นานของฌาณ ของแฌณ ไม่ใช่เรื่องมรรคผลอะไร หากไม่มีองค์ธรรม
    ที่เป็นกอง"ปัญญาญาณ" ยาวนานไปก็เท่านั้น หากมีกองปัญญาญาณมากๆ
    สติสัมปชัญญะในการงานทำนิพพานให้แจ้งมีมาก ฌาณ แฌณ เกิดขึ้น
    ไม่กี่วงรอบของวิถีจิตก็เห็นทางที่สมควรแก่ธรรมได้

    * * * * *

    ถ้าหากฟังดูแล้ว ยังมีไม่เขาที ก็ยังมีอีกนะ วิธีการ แต่ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2010
  11. ธัมปฏิบัติ

    ธัมปฏิบัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +1,019
  12. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    ขอตอบความคิดเห็นคุณเอกวีร์ค่ะ ขอบคุณมากน่ะค่ะที่แน่ะนำ ปริยัติเราก็พอรู้บ้าง แต่อยากเขียนคำง่ายๆเพื่อให้ผู้ที่ปฎิบัติแบบล้วนๆได้อ่านและแสดงความคิด เห็นได้ง่าย แต่ถ้าจะใช้ปริยัติล้วนๆเราจะได้ความคิดเห็นน้อย เพราะปริยัติไม่สามารถทำให้เกิดปฏิเวชได้ถูกไหมค่ะ เพราะบางครั้งการใช้บาลี หรือภาษาเฉพาะสำหรับบางท่านยากมาก นอกจาก ประเภทปริยัติ รู้หมดจำได้ หรือหมายถึงสัญญาจำได้หมายรู้ แต่แค่รู้เท่านั้น ทางเดินไม่ถึง แต่คุณอาจจะเป็นกลุ่มที่ได้ทั้งปริยัติและปฏิบัติ จนได้ปฎิเวชแล้ว ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
     
  13. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    รักษา ศีล 5 ให้ครบ ครับ การปฏิบัติจะดีขึ้น
     
  14. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ถูกทางแล้วครับ

    ยังมีละเอียดกว่านี้อีกครับ...
     
  15. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    เข้าฌานไปทำไมหนอ เพื่อให้ปราศจากนิวรณ์ เพื่อให้จิตพร้อมต่อการวิปัสสนาเห็นตามจริงเกิดปัญญา ไม่ใช่เอาฤทธิ์ หมอดู ตาทิพย์ หรือเอาโชคลาภโลกธรรม8นะ

    เอาสำนวนหลวงพ่อสงบ
    ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นของโลกๆ แต่พอรวมกันเข้าสิเป็นโลกุตตระ
    เหมือนกับรถนี่ ชิ้นส่วนแยกกันมาต่างแหล่ง เอามาประกอบกันเข้า จึงเป็นรถ

    แปลว่าศีลก็โลกๆ มีเสื่อม
    สมาธิ ก็โลกๆมีเสื่อม
    ปัญญา ที่ยังเป็นโลกๆก็มีเสื่อม
    แต่เมื่อรวมกันเข้า ประชุมมรรคสมังคี คือ ทำเหตุให้ถึงพร้อม
    แต่ปัญญาที่เป็นโลกุตตระ คือ รู้แล้วไม่หลงอุปทานขันธ์แล้วนี่ไม่มีเสื่อม

    เรื่องนั่งแล้วปลายเท้าหายไป นี่นะ สำนวนหลวงพ่อพุธสอนว่า
    "นั่งฌานลึกไปแล้วกายมันไม่มี พอลดกำลังฌานมากายกลับมี ตกลงกายมีหรือไม่มี"

    นั่งฌานเฉยๆไม่น้อมพิจารณาไตรลักษณ์ปัญญาย่อมไม่เกิด
    มันก็สงบเฉยๆนั่นแหละ

    ที่ทำมาก็ดีแล้ว จิตอารมณ์เดียว พอผัสสะกระทบรู้อารมณ์เปลี่ยน
    รู้รูปนาม พิจารณาไตรลักษณ์

    นั่งสมาธิเต็ม คือ นั่งไม่นั่งสงบไม่ต่างรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องนั่งคือเลื่อนเป็นภูมิวิปัสสนา
     
  16. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    ถามเฉยๆนะ
    สงสัยว่าที่เห็นว่าจิตมีกำลังมากนี่ เห็นจิตมีกำลังเพื่อทำอะไรครับทำไมถึงว่าจิตมีกำลังมาก
    ที่ว่าอาการเวทนาทั้งหลายหายหมด หมายถึงอาการของกายเท่านั้นใช่หรือป่าวครับ
    เพราะเห็นบอกว่าจิตมีสุขมากขณะอยู่ในสมาธิ ก็แปลว่าเวทนาไม่ได้หายไปหมดหนะสิครับ
    แล้วทำไมถึงนั่งได้ไม่เกิน40นาทีละครับ ถ้าหากเวทนาทั้งหลายหายไปหมด และมีสุขมากขณะอยู่ในสมาธิ ก็น่าจะนั่งได้นานกว่านั้นไม่ใช่หรือ หรือว่าตั้งใจจะนั่งแค่นั้นอยู่แล้ว
     
  17. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    สภาวะธรรมของผู้ปฏิบัติ สมาธิ ภาวนา การรู้ลงที่จิต

    ขออนุญาติครับ
    ผมต้องขออภัยที่ยกกระทู้เดิมมาตอบทบทวนให้อีกที 2 กระทู้
    ผมเชื่อว่าด้วยสติปัญญาของท่านสามารถเข้าใจได้อยู่แล้ว
    ขออนุโมทนาบุญร่วมด้วยนะครับ
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา


    ------------------------------------------------------

    กระทู้ ที่ 1 สภาวะธรรมของผู้ปฏิบัติ สมาธิ ภาวนา
    ________________________________________
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ jprabs
    1. ผมนั่งสมาธิโดยกำหนดสติตามดูลมหายใจไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตสงบนิ่ง แล้วรู้สึกว่ามีอีกกายหนึ่งลอยอยู่ข้างบน ลักษณะกำลังมองชำเลืองลงมาที่ร่างกาย แต่มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากเห็นลมหายใจเข้าออกทางจมูกยาวเป็นสายไปสุดที่ท้อง เข้าออกอย่างนี้ อยู่สักพักนึง จิตก็ถอนออกมา เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นครั้งนึง แล้วไม่เกิดอีกเลย

    2. ระยะหลังมานี้นั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าจิตแยกออกจากความคิด ไปโดดเด่นอยู่เฉย ๆ ขณะเดียวกันรู้สึกว่ามีความคิดต่าง ๆ เกิดขึ้นมาไม่หยุดเลย แต่รู้สึกว่าจิตมันแยกจากความคิดอย่างเด็ดขาด รู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้น ดับไป แล้วก็มีเรื่องใหม่เกิดขึ้นอีกตลอดเวลา แต่ไม่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญ แค่รู้อยู่เฉย ๆ อาการแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งครับ

    รบกวนท่านผู้รู้ผู้ชำนาญ ช่วยชี้แนะชี้แจงด้วยครับว่าถูกต้องมั้ย ต้องทำอย่างไรต่อไปครับ

    ขออนุญาติครับ
    ขอแสดงความยินดี และ ขออนุโมทนาในบุญบารมีที่ท่านได้ตั้งใจสร้างตั้งใจทำ
    นานๆจะเจอผู้มีบุญบารมีตัวจริงซักที เบิกบานครับเบิกบานจริงๆ
    ขอตอบเลยครับ
    ข้อ 1. อาการที่ว่าเป็นอาการของการทบทวนให้ทราบว่า บุญบารมีที่ท่านได้สร้างไว้ในภพก่อนๆไว้มากมายนั้นได้แสดงออกมาให้เห็นและมักเกิดเพียงครั้งเดียวไม่ต้องพะวง ไม่ต้องไปตามหาอีก ให้เดินหน้าต่อไป
    แต่ที่ผมหวาดเสียวแทนกลัวว่า ที่ท่านเล่ากำหนดจิตดูลมหายใจนั้น ผมกลัวว่าท่านจะไม่มีคำภาวนากำกับ เดี๋ยวเกิดจิตตกแล้วเข้าสมาธิไม่ได้ขึ้นมาจะยุ่งใหญ่ ขนาดท่านอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปัญโณ ท่านก็เคยเกิดมาแล้ว ท่านบอกว่าทุกข์ทรมาณมากเหมือนตกนรกทั้งเป็น ปีกว่าๆจึงหาวิธีแก้ได้ วิธีแก้ที่ท่านว่าก็คือ การกลับมา ภาวนา พุทธ หายใจเข้า โธ หายใจออก อีกครั้ง
    แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณมีบุญบารมีใกล้เคียงกับพระบรมครูพระบรมศาสดา ก็ให้กำหนดจิตโดยไม่มีองค์ภาวนาก็ได้
    ส่วนการที่จิตวิ่งตามลมลงไปที่ท้องนั้น ท่านอาจารย์ปู่ทวด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านได้เคยอธิบายว่าไม่มีความจำเป็นใดๆเลยเปลืองพลังงานเปล่าๆ จิตจะออ่นหล้าเร็ว ให้ภาวนาแล้วดูลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่โพรงจมูกจุดเดียวจะดีกว่า
    ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เรียกว่า สมถะ เป็นการพัก เป็นการสะสมพลังงานของจิต เพื่อนำไปใช้ในโอกาสต่อไป
    ข้อ 2. ที่ท่านบอกว่าจิตแยกออกจากความคิดนั้นน่ะ ความจริงเป็น สติ แยกออกจาก ความคิด ครับ
    คือว่า จิต เป็นตัวรู้ หรือเรียกว่า วิญญาณ หรือเรียกว่า ความคิด
    ส่วนสติ เป็นตัว รู้ดี รู้ชั่ว รู้ถูก รู้ผิด เป็นตัว ที่จะไปควบคุมจิต อีกที
    คุณต้องเข้าใจก่อนว่า
    การปฏิบัติภาวนา เป็นการ สร้างบุญบารมี โดยตรง
    การปฏิบัติภาวนา เป็นการ ฝึก สติ ให้ รู้เท่าทันจิต
    การปฏิบัติภาวนา เป็นการ ฝึก สติ ให้ เร็วกว่าจิต เพื่อ ควบคุมจิตให้ได้
    การปฏิบัติภาวนา เป็นการ สร้างปัญญา เพือให้ เกิด วิมุติ หลุด พ้น
    การที่สติ แยก ออกจาก จิต (ความคิด) เป็นอาการขั้นต้นว่า สติ ของท่าน เริ่มจะเร็วกว่า จิต แล้ว
    การมีความคิดต่าง ๆ เกิดขึ้นมาไม่หยุดเลย รู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้น ดับไป แล้วก็มีเรื่องใหม่เกิดขึ้นอีกตลอดเวลา อันนี้แสดงว่า จิตอิ่มในอารมณ์ของสมถะแล้วมันกำลังเดิน วิปัสนา ความคิดที่ผุดขึ้นมานี้ สติจะตาม รู้ดี รู้ชั่ว รู้ถูก รู้ผิด ความรู้อันนี้ละครับจะทำให้เกิดปัญญา ปัญญาที่สะสมมากๆเข้า จะทำให้ เกิดความ เบื่อหน่าย นำไปสู่ วิมุติ หลุดพ้น ได้ ในที่สุด
    ซึ่งอาการที่ความคิดผุดขึ้นมาแล้วสติตามรู้นี้ ก็คือ จิตตานุปัสนาสติปัฐฐาก นั่นเอง
    ส่วนการรู้การเกิด การดับ เป็น ธรรมมานุปัสนาสติปัฐฐาก
    ที่กล่าวมาล้วนอยู่ในหมวดปัญญาทั้งสื้น
    มาถึงตอนนี้ผมคาดว่าเวลาเจอผู้คนต่างๆ จิตคุณก็จะพิจรณา พวกเขาโดยอัตโนมัติไปด้วย และจะเกิดอาการที่เรียกว่าจิตอุทานตามมา
    ถ้าคุณปฏิบัติไปจนชำนาญ ก็จะไปเจอ ที่ท่านอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว เรียกว่า สติ อัตโนมัติ
    แต่ตอนนี้คุณอยู่ที่ ที่ท่านหลวงปู่พุทธ ฐานิโย เรียกว่า "สติวินะโย"คืออาการที่จิตเห็นอะไร มันจะฉกเอามาคิดเอามาพิจระณา เมื่อรู้แล้ว เข้าใจแล้ว มันจะปล่อยทิ้ง ไปพิจระณาอันใหม่ต่อไป
    ตัวผมเองไม่ห่วงเรื่องปฏิบัติของท่านแล้วล่ะครับ แต่ที่น่าห่วงมากกว่าก็คือ มารในรูปของคนรอบข้าง ของคนรัก ของคู่ครอง ของครอบครัว มากกว่า มารพวกนี้ล่ะครับ ที่จะสามารถ ทำให้ท่านสดุดหัวทิ่มได้ง่ายๆ
    มาถึงตรงนี้ ครูบาอาจารย์ส่วนมาก จะแนะนำให้ ปฏิบัติแบบละกิเลสโดยด่วน โดยการพิจรณา อสุภะกรรมฐาน ก่อนซะเลย จะได้ตัดกิเลสกองใหญ่ออกไปก่อน เป็นการป้องกันการผิดพลาดในอนาคต
    เดี๋ยวจะเหมือนท่าน ยันตระ ที่ปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย มาแพ้ เด็ก ม.ปลาย ซะนี่ วูปเดียวแท้ๆ กู่ไม่กลับเลย
    อยากถามเรื่องคนรอบข้างซึ่งจะมีผลมากแต่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวเลยถามไม่ได้
    แล้วความเข้มแข็งเด็ดเดียวของคุณอีกล่ะ ไม่รู้ว่าจะเด็ดขาดแค่ใหน ว่าจะยอมเดินไปให้สุดทาง หรือจะยั้งรอไว้ก่อน แบบนักปฏิบัติบางท่านบุญบารมี กุศลผลบุญก็สร้างไม่หยุด วัดวาอารามก็สร้างไปเป็นสิบๆวัด แต่แฮ่ๆท่านจะมีภรรยา เก้าคน สิบคน ใครจะทำไม มันเรื่องของท่าน(กู)นี่หว่า
    หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
    ขออนุโมทนาบุญในบุญบารมีที่ท่านตั้งใจสร้าง
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

    กระทู้ที่ 2 สภาวะธรรมของผู้ปฏิบัติ สมาธิ ภาวนา การรู้ลงที่จิต การรู้การเข้าสมาธิ
    ________________________________________
    อ้างอิง
    การมีความคิดต่าง ๆ เกิดขึ้นมาไม่หยุดเลย รู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้น ดับไป แล้วก็มีเรื่องใหม่เกิดขึ้นอีกตลอดเวลา อันนี้แสดงว่า จิตอิ่มในอารมณ์ของสมถะแล้วมันกำลังเดิน วิปัสนา ความคิดที่ผุดขึ้นมานี้ สติจะตาม รู้ดี รู้ชั่ว รู้ถูก รู้ผิด ความรู้อันนี้ละครับจะทำให้เกิดปัญญา ปัญญาที่สะสมมากๆเข้า จะทำให้ เกิดความ เบื่อหน่าย นำไปสู่ วิมุติ หลุดพ้น ได้

    ...ลุงมหาครับ ความคิดที่ว่านี้เหมือนๆกับการฝันหรือเปล่าครับ คือเวลานั่งสมาธิแล้วการเห็นภาพต่างๆเป็นเรื่องเป็นราวพอจบก็มีใหม่...แต่ช่วงนั้นยังรับรู้การหายใจเข้าออกอยู่นะครับ ถ้าเมื่อไหรรู้สึกว่าจะวูบๆจะไม่รับรู้ผมก็จะสูดลมลึกๆแล้วเริ่มจับลมหายใจต่อนี้ถูกไหมครับ...ขอบคุณครับ

    จากความเดิม...ที่กระทู้อื่นมานะครับ.....คือเราจะรู้ได้ยังไงครับว่าเราอยู่ในสมาธิ...

    ขออนุญาติครับ
    ดูจากที่คุณได้บอกเล่าคราวก่อนที่ว่า ถ้าเมื่อไหรรู้สึกว่าจะวูบๆจะไม่รับรู้
    แสดงว่าจริตของคุณเวลาจะผ่านภวังค์มันจะ รู้สึกว่าจะวูบๆจะไม่รับรู้ นี่ล่ะครับเสียดายคุณไม่รู้เลยไปรั้งมันไว้คุณเลยเข้าสมาธิไม่ได้ ครั้งหน้าก็ปล่อยมันไปตามธรรมชาติเลยนะครับอย่าไปรั้งมันไว้ แล้วค่อยสังเกตุดูว่าคุณจะเป็นแบบที่หนึ่งหรือแบบที่สอง
    แบบที่ 1. คือ จิตผ่านภวังค์เข้าไปแล้ว แต่สติตามไปไม่ทัน ก็จะเกิดการหลับในท่านั่งสมาธิ เมื่อหลับไประยะหนึ่งสติก็จะตื่นเองตามธรรมชาติเมื่อตื่นขึ้นมาคราวนี้ ก็จะเกิดอาการที่ว่า จิตผ่านภวังค์เข้าไปก่อนแล้วสติตามเข้าไปตื่นทีหลัง แล้วก็จะครบที่ว่าทั้งจิตทั้งสติต่างก็ผ่านภวังค์มาแล้วทั้งคู่ ก็คือ คุณได้เข้าสมาธิแล้ว จิตจะรู้สึกเย็นกาย เย็นใจ ไม่ร้อนรุ่ม ไม่กระวนกระวาย และจะนั่งได้นานเท่าที่กำลังสมาธิที่คุณได้ปฏิบัติภาวนา สะสมไว้ ช่วงเวลาที่สติหายไปจากการหลับก็จะอยู่ประมาณ ยี่สิบนาที เป็นส่วนมาก
    แบบที่ 2. คือ จิตผ่านภวังค์เข้าไปพร้อมกับสติ คุณจะ รู้สึกว่าจะวูบๆจะไม่รับรู้ ถ้าจิตและสติผ่านภวังค์เข้าไปพร้อมๆกัน เมื่อวูบๆแล้วมันจะไม่หลับ วูบๆแล้วคือ คุณได้เข้าสมาธิแล้ว จิตจะรู้สึกเย็นกาย เย็นใจ ไม่ร้อนรุ่ม ไม่กระวนกระวาย และจะนั่งได้นานเท่าที่กำลังสมาธิที่คุณได้ปฏิบัติภาวนา สะสมไว้ เมื่อหมดกำลังสมาธิ มันก็จะถอนออกมาเอง แล้วเราก็ภาวนาต่อเพื่อเข้าไปใหม่ เหมือนการเริ่มต้นอืกที
    คุณต้องภาวนามากจน อาการเย็นกายเย็นใจ อยู่กับคุณไปตลอดวัน(เวลาที่ใช้ชีวิตตามปรกติ อาจจะไปเรียน หรือไปทำงาน) ซึ่งต้องใช้เวลาในการภาวนาวันล่ะ 2-5 ชั่วโมงต่อวัน
    สรุปการเข้าสมาธิ คือ การที่จิตและสติ ผ่านภวังค์เข้าไปในสมาธิ ซึ่งก็คือ การที่สติวิ่งตามไปจนทันจิตนั่นเอง อาการที่ผ่านภวังค์นั้น บางครั้งเรียกว่า ปิติ ผมจะหลีกเลี่ยงการพูดถึง ปิติ ฌาน หนึ่ง สอง สาม สี่ เพราะอาจจะทำให้เกิดการสับสนได้ เพราะโดยความเป็นจริง อาการที่รู้ลงที่จิตจะไม่มีคำพวกนี้ มันเป็นแค่สัญญาความจำ และในความเป็นจริง เวลาปฏิบัติภาวนานั้นจิตและสติ จะเคลื่อนใหวไปมาระหว่างฌานทั้งสี่ ตามกำลังของสมาธิของแต่ล่ะท่านตลอดเวลาเหมือนที่ท่านอาจารย์ปู่ หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปัณโณ มักสอนอยู่บ่อยๆว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เป็นอันเดียวกัน อริยสัจจ์สี่ ก็เป็นอันเดียวกัน มรรคแปดก็เป็นอันเดียวกัน ที่ท่านสอนบ่อยๆว่า มรรคแปดรวมลงป็นหนึ่งก็เป็นสมาธินั่นล่ะครับ เพราะฉนั้น ฌาน 1 2 3 4 มันก็เป็นอันเดียวกัน ที่แยกออกมาเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
    แต่นักปฏิบัติจริงๆท่านให้เน้นดู อาการที่รู้ลงที่จิต ว่าเป็นอย่างไร เวลาครูบาอาจารย์ถาม ก็ต้องตอบตามนั้น แล้วท่านจะแนะนำขั้นตอนต่อไปให้
    แต่ของเราเพื่อประโยชน์ของชาวเว็บ ก็เลยต้องแนะนำให้ละเอียดหน่อย ไม่งั้นมันไม่เร้าใจให้ปฏิบัติ เพื่อจะได้รู้ว่า เราอยู่ตรงใหน เราจะไปใหน จะไปอย่างไร ไอ้เราจะไปอย่างไรนี่ล่ะครับ ท่านอาจารย์ปู่ท่านให้ความสำคัญมาก เพราะคนไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยไปรู้ไปเห็น จะบอกไม่ได้ ต่อให้ไปลอกเขามา หรือฟังคนอื่นเล่ามา มันก็ไม่หนักแน่น ไม่กระจ่างชัด เท่าคนที่เขาปฏิบัติมาจริงๆ โดนซักไซ้ไล่เรียงเข้าหน่อย เดี๋ยวก็จอด
    นี่เป็นเหตุผลว่าทำใมศิษย์สายนี้จึงไม่สอนทางลัด จึงไม่รีบไปรีบจบ ก็ท่านเตรียมลูกศิษย์ของท่านให้ครบเครื่องเพื่อให้สอนรุ่นต่อๆไปยังไงล่ะครับ ไอ้ผมก็รอเมื่อไรท่านอาจารย์ปู่จะปั้นสามเณรพระอรหันต์บ้าง สงสัยผมต้องรอดูรุ่นต่อไปเรื่อยๆโน่นล่ะครับ

    เมื่อจิตและสติผ่านภวังเข้าไปก็เรียกว่าเข้าสมาธิ จะมีอาการ เย็นกาย เย็นใจ ไม่ร้อนรุ่ม ไม่กระวนกระวาย
    เราก็ภาวนาต่อไปเพื่อให้สติเร็วกว่าจิต ที่ผมว่า อาการเบื้องต้นที่สติเร็วกว่าจิต คือ สติจะมองเห็นจิต เห็นการเริ่มต้นการคิดของจิตผุดขึ้นมา เหมือนเรามองเห็นการผุดของตาน้ำในแหล่งต้นน้ำนั่นละครับ
    ต้องขออภัยครับที่ตอบคราวก่อนผมลืมตอบที่คุณว่าวูบๆไปว่าจะเพิ่มเข้าไปก็มีท่านอื่นมาแทรกแล้ว
    คงต้องรอให้ท่านอื่นๆถามมาเพิ่มด้วยจึงจะสามารถสรุปให้ครอบคลุมทุกแง่มุมอีกที
    ขออนุโมทนาบุญร่วมกับทุกๆท่านที่มีความตั้งอกตั้งใจในการสร้างบุญบารมีอันสูงสุดนี้ครับ
    ขออนุโมทนา
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  18. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    ขอบคุณท่านลุงมหามาก ขออนุโมทนาในความรู้ที่ท่านได้ให้พิจารณา ขอบอกว่าท่านมีความรู้ลึกมากในการปฏิบัติ ขอตอบคำถามในบ้างข้อที่ตอบได้น่ะค่ะ เริ่มจากตอบข้อที่2 ความคิดมันผุดตลอดแต่ตามรู้ พิจารณาว่ามันเยอะจริงๆเอาอย่างที่เกิดคือเรื่องของสมมุติก่อให้เกิดความพอใจ ไม่พอใจ ยึดติดก่อให้เกิดภพ เกิดชาติ เพราะไปยึดติดกับสมมุติ อันนี้เป็นธรรมที่เกิดหรือเปล่า กายที่จิตอาศัยเปรียบเหมือนบ้านเช่า หมดสัญญาก็ย้ายกันไป หาที่อยู่ใหม่ไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนเรื่องที่ต้องอยู่กับคนรอบข้างจิตที่สัมผัสโดยอัตโนมัติมันรู้มาได้สักระยะแล้วแรกๆก็แกว่งเยอะมาก หลังๆก็มีสติมากขึ้นเพราะการรู้แล้ววางไม่ได้ก็คงน่าเป็นห่วงอย่างที่ท่านลุงมหาบอก แต่เราเจริญสติมากขึ้นก็เข้าใจในธรรมชาติของจิตท่านอื่นก็เลยไม่เข้าไปปะปนกับความคิดของเค้า เราพิจารณาว่าสติที่มีของแต่ละท่านไม่เท่ากัน สืบเนื่องจากการมีที่มา ที่ไปไม่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าท่านลุงมหาจะเชื่อหรือไม่ว่าเราไม่เคยตกภวังค์เลยนั่งสมาธิไม่เคยหลับเลย อาจเป็นเพราะมีวาสนาเก่ามั้ง เราไม่เคยปิดกั้นความฟุ้งของจิตเราเข้าใจว่ามันคือธรรมชาติของจิต ให้เราได้พิจราณา ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใช่หรือเปล่า ส่วนเรื่องสติทันจิตหรือเปล่าต้องเรียนถามท่านลุงมหา ว่าใช่อาการแบบนี้ไหม อกุศลจิตเกิดปุ๊บมันยังไม่ได้เริ่มเราตัดปั๊บ อย่างนี้ใช่หรือเปล่าเป็นอย่างนี้มาได้พักใหญ่แล้วมันเหมือนพอร่างกายเจ็บที่ใดที่หนึ่งสติจะจับตรงนั้นทันที ถูกไหมค่ะ สุดท้ายเรื่องนิมิตถ้ามีเราไม่สนใจเลยไม่ยุ่งด้วยเห็นก็รู้ว่าเห็นไม่ตาม จบที่เห็นก็พอ จิตมันไม่ให้ความสนใจมันเดินหน้าของมันเอง ถ้าท่านลุงมหาแวะเข้ามาอ่าน โปรดชี้แนะด้วยถือว่าให้เป็นธรรมทานน่ะค่ะ ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
     
  19. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    การที่ได้เห็นจิตมีกำลังเพราะโดยปกติเราจะระงับเวทนาไม่ได้โดยเฉพาะการเกิดของเวทนาต่างๆการปฏิบัติแทบทุกคนจะต้องเจอ ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับข้อที่คุณถามต่อเพราะถ้าจิตไม่มีกำลังการระงับเวทนาเป็นเรื่องยากมาก การที่เรานั่งได้เท่านั้นเพราะที่ผ่านมาเราผ่านเวทนาไม่ได้เลยเนื่องจากกำลังจิตไม่เพียงพอ แต่มาพักหลังใช้อธิฐานเอาค่ะ แต่ก็ไม่เคยได้นานเกิน1.05ช.ม มันได้นานที่สุดแค่นี้ื ณ ตอนนี้น่ะ ยังไม่ได้ประจำเพราะกำลังได้เท่านั้น แต่ถ้าด้านการพัฒนาจิตละเอียดขึ้นเรื่อยๆ รู้ได้ได้โดยเฉพาะตนเท่านั้นค่ะ หมดคำตอบแล้วจ๊า
     
  20. wattanadist

    wattanadist เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +1,134
    ผมว่าหนทางของคุณ จขกท ถูกแล้วครับ แต่เพียงยังเป็นขั้นต้นเฉย ๆ
    ผมตอบแบบบ้าน ๆ เลยว่า ผมก็เพิ่งนั่งสมาธิได้ไม่นาน ซึ่งอาการต่าง ๆ
    เกิดขึ้นเหมือนคุณทุกประการ ซึ่งเฉลี่ยเวลาตอนนี้ในการนั่งแต่ละครั้งของ
    ผมแล้วคือประมาณ 1 ชม. เพราะผมไม่มีเวลามากกว่านั้น และเวลาสูงสุด
    ของผมในตอนนี้ก็แค่ 2 ชม ที่พอจะทำได้ ผมเพิ่งทำจริง ๆ จัง ๆ มาแค่ 4 เดือน
    โดย ทุกวันพระและวันเกิดของผมจะต้อง ทานมังสวิรัติ จะต้องรักษาศีล 5 โดยยาก
    ที่สุดคือ วาจา(เงียบอย่างเดียวเลยผมเพราะกลัวต้องไปตอบคำถามใครเพราะชอบมีคนมาหลอกถามผมตอนวันพระและวันที่เกิดจากคนที่ทำงานเพราะเค้ารู้ว่าผมถือศีล)

    และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าสิ่งที่ได้นั้นอยู่ในระดับใด แต่เพียงผมลองไปหาท่านผู้รู้บางท่านโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ(คือไปกับเพื่อน) เค้าก็บอกว่าผมนั้นสามารถทำได้ดี แต่สิ่งที่เค้าตอบมาตรงกับใจของผมก็คือผมต้องการทำไปเพื่อให้เกิดการดับทุกข์ ดับกิเลส เฉย ๆ...ในตรงนี้ทั้ง ๆ ที่ผมคิดว่ามันปลายเล็บหรือฝุ่นละอองธุลีของพระอริยสงฆ์มากมายและไม่ได้บรรลุสมาธิระดับใดเลยด้วยซ้ำแต่ผมฝึกตาม กองกรรมฐานโดยอิงพระไตรปิฎกเป็นสำคัญตามหลักสูตร...มีคนบอกว่าต่อยอดเพื่อที่เอาทางฤทธิ์นั้นเป็นไปได้แต่ ผมไม่เคยอยากได้มันเลย...แต่เป็นเพียงไปเพื่อแค่ "ดับทุกข์เท่านั้นเอง"

    ผมคนมักน้อยครับ เพราะกิจของผมทางโลกยังอีกยาวไกลและจะยุ่งยากกว่านี้เพิ่มขึ้นมากมายนัก เลยต้องรีบฝึกสมถะเป็นตัวอบรมและนำมาใช้ในชีวิตประจำวันครับ โดยในที่ทำงานก็มีบ้างที่ลอง ๆ วิปัสนา แต่ทำไม่ได้นานเลย เพราะมีเผลออยู่มาก และเสมอ ๆ หลุดตลอด

    ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเสนอแนะกับ จขกท และ ให้ผมได้มีความรู้เพิ่มเติมเป็นผลพ่วงไปด้วยและมีกำลังใจว่า...จิตแห่งพุทธะ นั้น...ยังมีพวกเราชาวพุทธเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่ากันจริง ๆ และนำมาปฏิบัติเหมือนๆกัน ถึงแม้ผมจะยังไม่เก่งแต่ก็มีกำลังใจขึ้นเยอะครับ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งปฏิบัติและศึกษาธรรม ได้ไม่นาน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...