เรื่องเด่น ศึกประลองกสิณไฟ ระหว่างหลวงพ่อกัสสปมุนีกับมหาฤาษีแห่งอินเดีย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 9 ตุลาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ?temp_hash=ec11c28706318a18bae77743f7b1a0fc.jpg




    ศึกประลองกสิณไฟ ระหว่างหลวงพ่อกัสสปมุนีกับมหาฤาษีแห่งอินเดีย

    หลวงพ่อกัสสปมุนี พระอริยสงฆ์ผู้ทรงฤทธิ์ เมื่อครั้งที่ท่านได้จาริกไปบำเพ็ญภาวนา ณ ดินแดนแห่งฤาษี เมืองฤาษีเกษ ประเทศอินเดีย ท่านได้ถูกมหาฤาษีผู้เป็นใหญ่เชื้อเชิญให้ไปหา แล้วมหาฤาษีนั้นก็จู่โจมท่านด้วยกสิณไฟ เป็นเหตุให้ท่านต้องสำแดงฤทธานุภาพออกมา มิเช่นนั้นก็จะอยู่ยาก เขาจะดูหมิ่นศาสนาพุทธได้..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • G.jpg
      G.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.3 KB
      เปิดดู:
      209
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
     
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ในหนังสือปกิณกสารธรรม อนุสรณ์ ๑๐ ปี แห่งการมรณภาพของหลวงพ่อ ภายในหนังสือเล่มดังกล่าวมีบทความที่กล่าวถึงความประทับใจสมัยเมื่อหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ หลายบทความเป็นเรื่องที่กล่าวถึงอภินิหาริย์ที่ตนเองเคยพบเห็น และก็อีกหลายบทความครับที่สอนถึงเรื่องของการปฏิบัติธรรม

    โดยเฉพาะในเรื่องของอานาปานสติซึ่งก็คือการพิจารณาลมหายใจเข้าออก

    อย่างไรก็ตามในตอนท้ายของบทความทุกเรื่องล้วนมาหยุดตรงที่ว่า

    หลวงพ่อเป็นเสมือนผู้นำทางให้พวกเขาเหล่านั้นพบแสงสว่างในการดำเนินชีวิต คือแนวทางของพระพุทธศาสนา

    ว่ากันว่าธรรมะที่หลวงพ่อได้เคยอบรมสั่งสอนไว้ ล้วนแล้วแต่ฟังง่าย เข้าใจง่ายและสามารถนำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ความยากลำบากที่สุดในการฝึกปฏิบัติตามคำสอนของท่านก็คือ

    ความเพียรในการปฏิบัติธรรม



    วันนี้พวกเราอยู่ที่ “วัดปิปผลิวนาราม” ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ครับ

    ปิป-ผะ-ลิ-วะ-นา-ราม คือชื่อเรียกที่ถูกต้อง

    พูดถึงวัดปิปผลิวนาราม อาจจะไม่คุ้นหูคุ้นตาเท่าใดนัก แต่สำหรับผู้ที่เกิดทันยุคทันสมัยนั้น จะทราบกันดีว่า

    ที่นี่มีคำสอนที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งทางธรรมและทางโลก

    ที่นี่มีเรื่องราวที่ลึกลับซับซ้อนเกี่ยวโยงกันแบบข้ามมิติแห่งกาลเวลา

    ที่นี่มีที่เรื่องราวของ “เจ้าแม่จัมปากะสุนทรี” ซึ่งมีความผูกพันกับ “เจ้าแม่วิสาขา” แห่งภูกระดึง

    ที่นี่มีเรื่องราวของเทพารักษ์ที่มีวิมานอยู่ต้นไม้พันกันสามต้นและมีช่องที่โคน นามว่า “ท้าวสุโรดม

    และที่นี่มีเรื่องราวของ “หลวงพ่อกัสสปมุนี อดีตเจ้าอาวาส” ผู้มีอัจฉริยภาพในหลายๆด้านครับ


    ในพระพุทธศาสนา “สัปปุริสธรรม” หรือ “สัปปุริสธรรม ๗” หมายถึงธรรมของสัตบุรุษ ผู้ใดที่ได้ปฏิบัติธรรมหมวดนี้ ย่อมเป็นผู้ถึงซึ่งความเจริญ ไม่มีวันเสื่อม....

    หลวงพ่อกัสสปมุนีเกิดที่กรุงเทพมหานคร มีนามก่อนบวชเป็นพระภิกษุว่า “ประจงวาศ” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “ประยุทธิ วรวุธิ” นามสกุล “อาภรณ์ศิริ” บิดาของหลวงพ่อคือ “พระยาหิรรัชฏพิบูลย์ (ประวัติ อาภรณ์ศิริ) มารดานาม “นางพาหิรรัชฏพิบูลย์ (เผื่อน อาภรณ์ศิริ)”

    หลวงพ่อมีพี่น้องสามคนครับ คนโตชื่อ“ประไพวงศ์” คนเล็กชื่อ “ประสาทศิลป์” ส่วนหลวงพ่อเป็นคนกลาง ในชีวิตของหลวงพ่อก่อนบวชท่านสมรส “นางประชุมศรี อาภรณ์ศิริ” มีบุตรชาย ๒ คนและบุตรี ๒ คน

    สังคีติสูตรในพระไตรปิฏกได้บรรยายไว้ว่า

    ผู้รู้จักเหตุ ผู้รู้จักผล ผู้รู้จักตน ผู้รู้จักประมาณ ผู้รู้จักกาล ผู้รู้จักบริษัทและผู้รู้จักบุคคล

    ซึ่งการรู้จักในประเด็นทั้ง ๗ ข้อนี้ เราเรียกว่า “สัตบุรุษ ๗” กล่าวกันว่าธรรมทั้ง ๗ ข้อนี้คือคุณสมบัติของคนดี

    คุณกฤษฤกษ์ เปรมรัตนา ได้เขียนบันทึกถึงความประทับใจที่มีกับหลวงพ่อในแง่ที่ช่วยให้เขาสามารถต่อสู่ชีวิตและมีกำลังใจที่จะสร้างสมบารมีต่อไปดังนี้ครับ

    ตนเองโชคดีมีโอกาสได้พบและได้รับฟังคำสอนของท่าน ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาที่น้อยนิดเสียเหลือเกินและคำสอนก็แสนจะสั้น แต่คำสอนที่ท่านได้เมตตาสอนไว้นั้นเมื่อเขาได้นำมาพิจารณาในคำสอนก็พบว่ามันได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับตัวของเขาเอง เรื่องราวมีอยู่ว่า

    มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อที่ศาลาหงษ์ยนต์ ในวันนั้นเป็นช่วงจังหวะที่ดีมากเพราะบนศาลามีเพียงเขากับหลวงพ่อ

    โยมรู้จักธรรมของสัตบุรุษไหม

    คุณกฤษฤกษ์ได้เรียนตอบท่านว่าเขาไม่ทราบ หลวงพ่อจึงได้เมตตาบอกให้เขาไปหาดูได้จาก”หนังสือนวโกวาท” ซึ่งมีอยู่ ๗ หัวข้อ พร้อมกับกล่าวว่า



    สัตบุรุษนั้นย่อมรู้เหตุแห่งความเสื่อม เหตุแห่งความเจริญ เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้เหตุแล้ว เราก็หมั่นพิจารณาปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่างๆให้ดี เราก็จะไม่เสื่อม มีแต่ความสุข ความเจริญ

    ใช่แล้วครับการเป็นคนดีไม่มีวันเสื่อม.....

    จะว่าไปแล้วในบรรดาความต้องการของมนุษย์นั้น “ความดี” ถึงจะไม่ได้เป็นความต้องการขั้นสูงสุดก็จริง แต่ที่สุดแล้ว “ความดี” กลับถูกใช้เป็นตัวเชื่อมหรือสื่อที่เข้าถึงความต้องการของมนุษย์ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะกับชีวิตในปัจจุบันนั้นแทบจะเรียกได้ว่าต้องใช้ “ความดี” เป็นตัวกำกับแนวทางชีวิตไว้เสมอ

    คงไม่มีใครหรอกครับที่อยากมีชีวิตแบบที่ปราศจาก “ความดี

    ว่ากันว่าการสร้างอนาคตเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องสร้างรากฐานในปัจจุบันให้ดี

    หลวงพ่อเคยเล่าไว้ว่า ตอนที่ท่านอายุได้ ๔๖ ปี ขณะนั้นท่านรับราชการอยู่ ในตอนเย็นของวันหนึ่งท่านได้ไปงานเลี้ยงกับเพื่อนร่วมเมา จบงานเลี้ยงก็ประมาณ ๒๓.๐๐ น. เพื่อนจึงขับรถไปส่งท่านที่บ้าน รุ่งเช้ายังไม่ทันตื่น ลูกชายของเพื่อนมาบอกท่านว่า

    พ่อตายแล้ว

    หลวงพ่อเล่าว่าในจังหวะนั้นเกิดเป็น “มรณานุสสติกรรมฐาน” ปรากฏกับจิตใจ ทำให้ท่านหวนคิดว่า

    แล้วเราล่ะ

    หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาท่านจึงเริ่มปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจังและได้ออกธุดงค์ตามถ้าต่างๆ จนสุดท้ายแล้วท่านเห็นว่าชีวิตในทางธรรมเป็นเส้นทางที่ถูกต้องและต้องการของชีวิต ท่านจึงได้ขอลาออกจากราชการ ลาออกทั้งๆที่มีคำสั่งอนุมัติท่านเป็น”รองอธิบดี


    หลังจากได้รับอนุมัติให้ลาออก ท่านจึงได้อุปสมบทที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน โดยมีสมเด็จพระวันรัต (ต่อมาสมเด็จพระวันรัตได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช) เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระราชสังวราภิมนฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    ตลอดชีวิตในสมณเพศของหลวงพ่อ ท่านได้สมาทานธุดงควัตร ๔ ข้อมาตลอด คือ ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ครองจีวรชุดเดียว (จะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อเก่าหรือชำรุด) เป็นวัตร รับบิณฑบาตเป็นวัตรและอยู่ป่าเป็นวัตร จนกระทั่งท่านมรณภาพครับ


    เรื่องราวในชีวิตของหลวงพ่อเป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ

    ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งที่มีความเป็นอยู่สุขสบายและมีตำแหน่งหน้าที่การงานชั้นสูงแต่กลับละทิ้งอย่างไม่ยี่หระ โดยเดินทางเข้าสู่ถนนชีวิตสายพระพุทธศาสนา การฝึกปฏิบัติธรรมอย่างมุ่งมั่นและมั่นคง ได้สร้างศรัทธาให้กับผู้ที่ได้พบเห็น

    นอกจากนี้ในชีวิตของท่านที่น่าแปลกใจคือท่านไม่เคยเข้าศึกษาวิชาอาคมจากสำนักใดๆเลย แต่ก็สามารถเรียกศรัทธาได้จากผู้คนด้วยวัตถุมงคลที่มีความขลังแบบไม่จำกัด และที่สร้างศรัทธาได้แบบคาตาชาวต่างชาติคือ

    การใช้พลังจิตช่วยขบวนรถไฟให้เคลื่อนที่ไปจอดยังสถานีที่มีความชันในประเทศอินเดีย

    ย้อนหลังไปในสมัยที่หลวงพ่อกัสสปมุนีได้เดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย คุณเอื้อ บัวสรวง หนึ่งในผู้ติดตามได้เล่าถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้ว่า...

    ในการเดินทางครั้งนั้นมีอุปสรรคเกิดขึ้นกับคณะของเรา ในตอนเช้ามืดวันหนึ่งตู้นอนรถไฟที่เราเช่าไว้สำหรับคณะของเรา ณ สถานีรถไฟแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของอินเดีย ถูกจอดทิ้งไว้อยู่ห่างจากตัวสถานี ๒๐ เส้นและเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข็นมาไว้ที่ใกล้ๆสถานีเพื่อใช้ประกอบกิจส่วนตัว เมื่อไปขอร้องให้เจ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟช่วยเข็นก็พบว่าทั้งสถานีมีเจ้าหน้าที่อยู่เพียงสองคน

    หมู่คณะจึงลงมติว่า”ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ด้วยการระดมแรงงานคนหนุ่มและแรงงานพระสงฆ์ที่ร่วมคณะอีก ๕-๖ รูปเพื่อช่วยกันเข็นรถไฟตู้นอนไปไว้ในสถานี แต่เนื่องจากสถานีตั้งอยู่บนเนิน การใช้แรงงานดังกล่าวจึงไม่ประสบความสำเร็จ เข็นเท่าไรก็ไม่ขยับ

    คุณเอื้อจึงได้ลองอาราธนาหลวงพ่อกัสสปมุนีด้วยสำเนียงที่เป็นเชิงเล่นว่า

    ช่วยที หลวงพ่อ ช่วยที หลวงพ่อ

    หลวงพ่อท่านตอบว่า

    ก็ลองดูยังได้

    ว่าแล้วหลวงพ่อกัสสปมุนีจึงได้ใช้ไม้เท้ายาวราว ๑.๕๐ เมตรยกชูขึ้นไปในอากาศแล้วก็ส่งหัวไม้เท้ามาที่คุณเอื้อ จากนั้นท่านจึงได้ตั้งท่าเดินนำหน้า คุณเอื้อจึงรีบคว้าไม้เท้าที่ท่านส่งมาทันที คุณเอื้อได้บันทึกถึงเรื่องราวตอนนี้ไว้ว่า

    ทันใดนั้น ผมรู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าดูด หรือเหมือนผมไปจับสายไฟฟ้าแบตเตอรี่รถยนต์ แล้วรถไฟก็เคลื่อนตามหลวงพ่อกัสสปมุนีไป ผมยังได้ร้องขอให้พระอาจารย์วิริยังค์ช่วยด้วย ท่านอาจารย์วิริยังค์ตอบว่าไม่ได้ศึกษามาทางนี้

    เหตุการณ์ดังกล่าวจบลงตรงที่รถตู้นอนได้มาจอดที่ชานชาลาสถานีอย่างเรียบร้อย ซึ่งการที่หลวงพ่อกัสสปมุนีสามารถทำให้ตู้นอนรถไฟเคลื่อนที่จากที่ต่ำผ่านเนินสูงได้นั้น หลายความเห็นมีความเชื่อตรงกันว่า

    เป็นผลมาจากอำนาจฌานสมาบัติที่หลวงพ่อได้บำเพ็ญเพียรมา

    และเมื่อมีลูกศิษย์ถามว่าหลวงพ่อสามารถทำได้อย่างไร ท่านตอบว่า

    6.jpg

    ใช้การรวมพลังเข้ามาเป็นหนึ่งและออกเดินนำหน้าทันทีไม่เหลียวหลัง ไม่ใช่ อิทธิวิธี (อภิญญา)หากแต่เป็นการใช้ อาโลกกสิณ (ความว่าง)

    ครับนี่คือตัวอย่างที่แสดงถึงบารมีของหลวงพ่อ อันเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความศรัทธาขึ้นในหมู่คณะ โดยมีความมหัศจรรย์ของพลังจิตเป็นแรงหนุน ซึ่งผมเชื่อว่าอย่างน้อยมันก็เป็นการบอกให้เพื่อนๆทราบว่า

    ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องที่จะได้มันมาโดยง่าย

    ในชีวิตของหลวงพ่อกัสสปมุนี ท่านได้อนุโลมให้สร้างวัตถุมงคลเพื่อเป็นอนุสติน้อมนำคนที่ยังต้องการสิ่งยึดมั่นทางจิตใจ

    สิ่งที่น่าสังเกตุคือ “ตัวยันต์” ที่ท่านได้นำมาไว้ด้านหลังขององค์พระ

    จะว่าไปแล้ว ตัวยันต์ดังกล่าวถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหลวงพ่อเลยครับ พบเห็นที่ไหนไม่ผิดฝาผิดตัวแน่นอน

    จากความรู้ส่วนตัวที่ได้สะสมมาพบว่าในรูปแบบของตัวยันต์ดูอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ครับ เมื่อสอบถามจากบรรดาลูกศิษย์จึงทราบว่าตัวยันต์ดังกล่าวหลวงพ่อท่านได้จากนิมิตในขณะที่ท่านนั่งสมาธิ คุณสมบัติทราบเพียงแต่ว่า “ครอบจักรวาล

    10.jpg

    พระยันต์นี้ชื่อว่า “พุทธเกษตร

    พุทธะ หมายถึง ผู้รู้

    เกษตร เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า ที่อยู่ ที่ตั้ง

    ชะรอยหรือว่านี่คือ “ปริศนาธรรม” ด้วยเหตุผลที่ว่าจักรวาลนี้ไม่ว่ามันจะกว้างใหญ่แค่ไหน มันก็ยังมีที่ตั้งของมัน แน่นอนครับเมื่อมีที่ตั้ง มันก็ต้องดำรงอยู่ และดับไปในที่สุด เพียงแต่คนที่จะทราบก็คือ “พุทธะ” เท่านั้น

    8.jpg

    เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ากับพระภิกษุทั้งหลายกำลังเดินกันอยู่ในป่า พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงกอบใบไม้ที่มีมากมายเกลื่อนกลาดอยู่ขึ้นมากำมือหนึ่งและทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า

    ใบไม้ในกำมือนี้มากหรือน้อยเมื่อเทียบกับใบไม้หมดทั้งป่า

    ภิกษุทั้งหลายก็ตอบว่า

    ใบไม้ทั้งป่ามีอยู่มากกว่ากันมากจนมิอาจนำมาเปรียบเทียบได้

    พระพุทธองค์จึงตรัสว่า

    เรื่องที่ตรัสรู้และรู้นั้นมันมาก เท่ากับใบไม้ทั้งป่า แต่เรื่องที่จำเป็นที่ควรรู้ ควรนำมาสอนและนำมาปฏิบัติ อันได้แก่ "เรื่องการดับทุกข์" นั้น เท่ากับใบไม้กำมือเดียว

    ครับเรื่องราวต่างๆในโลกนี้ล้วนมีมากมายเหมือนใบไม้ในป่า เรื่องที่ไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ต้องสอน เรื่องที่สมควรบอกเป็นรายบุคคลก็มีมากบางเรื่องที่พูดไปแล้วเกิดโทษ ก็ให้งดไว้ บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะไม่มีความจำเป็น ก็มีเยอะ แต่เรื่องที่ต้องสมควรรู้เกี่ยวกับหลวงพ่อกัสสปมุนี มีแน่นอนในตอนหน้า...สวัสดีครับ

    13.jpg

    ขอขอบคุณเอกสารอ้างอิง หนังสือปกิณกสารธรรม “อนุสรณ์ ๑๐ ปีแห่งการมรณภาพของหลวงพ่อกัสสปมุนี” หนังสือ “หกเดือนบนภูกระดึงและเมื่อข้าพเจ้ามาพบที่ใหม่

    คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อกับคำแนะนำ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจครับ

    ****************************

    เครดิต http://oknation.nationtv.tv/blog/sitthi/2009/12/01/entry-1
     
  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ภาพขณะเข้านิโรธสมาบัติของหลวงพ่อกัสสปมุนี

    12-jpg.jpg



    topicpic-070206233607477-jpg.jpg








    รูปถ่ายของหลวงพ่อกัสสปมุนีที่อินเดียมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ?



    ตอบ

    เมื่อปี พ.ศ. 2507 หลวงพ่อกัสสปมุนีได้เดินทางไปยังชมพูทวีปหรือประเทศอินเดีย และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานถึง 5 เดือน ตลอดเวลาที่ท่านเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ท่านจะห่มดองหรือห่มลดไหล่ตลอด ในขณะที่พระเถระองค์อื่น ๆ จะห่มคลุมตามพระวินัยบัญญัติว่า เมื่อภิกษุออกนอกบริเวณวัด ต้องห่มคลุมให้เป็นปริมณฑลคือข้างบนจีวรต้องติดคอ ด้านล่างต้องคลุมครึ่งแข้งจึงถูกต้อง แต่การที่หลวงพ่อห่มดองตลอดรายการนั้น ท่านให้เหตุผลว่าชมพูทวีปเป็นดินแดนแห่งพระพุทธองค์ ทุกหนแห่งล้วนแต่เป็นแผ่นดินของพระองค์ที่ทรงจาริกไปแสดงธรรม จึงถือว่าเป็น ‘เขตพุทธาวาส’ ทั้งสิ้น ท่านจึงไม่ห่มคลุม
    และทุกแห่งที่ท่านไปนมัสการ ตามพุทธประวัติก็ดี ตามโบราณาจารย์กล่าวอ้างก็ดี ตามที่แขกอินเดียเล่าให้ฟังก็ดี ว่าสถานที่นี้พระพุทธเจ้าทรงกระทำพุทธกิจอย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อท่านยังไม่เชื่อทีเดียว หากท่านลงมือนั่งภาวนา ‘ตรวจสอบ’ ด้วยองค์ท่านเองในที่ทุกแห่ง
    กระทั่งจิตท่านเห็นชัดว่า ณ สถานที่นี้พระพุทธองค์ได้ทรงทำกิจดังกล่าวอ้างมาแล้วจริง ๆ ท่านจึงปลงใจเชื่อ และเป็นที่น่ายินดีว่าเมื่อท่าน ‘พิจารณา’ ด้วยอำนาจฌาน-ญาณ อันสูงยิ่งของท่านแล้ว ปรากฏว่าในทุกสถานที่ล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น ทุกแห่งแฝงเร้นด้วยพระพุทธบารมีที่ยังคงอบอวลแผ่รัศมีอยู่ทุก ๆ เวลา รอคอยผู้มีบุญญาธิการมานมัสการให้เกิดมหาบุณย์-มหากุศล
    ดังนั้นท่านใดที่คิดจะไปหรือไปมาแล้ว...
    ก็จงสบายใจและจงอิ่มบุญในใจให้เต็มที่เถิด
    ดังภาพถ่ายหน้าสถูปที่ถาม หลวงพ่อท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ที่ถ้ำอจันตา ขณะที่ใช้อำนาจจิต ‘ตรวจสอบ’ อยู่นั้น ก็มีฝรั่งคนหนึ่งผ่านมาเห็นท่านเข้า เวลานั้นท่านเปลื้องจีวรและสังฆาฏิออกแล้วคงเหลือเพียงสบงและอังสะ อีกทั้งยังพาดลูกประคำเส้นเบ้อเริ่ม ทำให้ฝรั่งนายนั้นนึกว่าท่านเป็นเณร จึงเกิดความเอ็นดูและทำการบันทึกภาพท่านไว้
    ภายหลังฝรั่งก็ได้นำรูปนั้นมาให้ท่านดู ปรากฏว่าท่านไม่พอใจมาก คงเพราะแอบถ่ายโดยไม่ขออนุญาตท่านก่อนประการหนึ่ง และคงเพราะท่านแต่งตัวไม่เรียบร้อยประการหนึ่ง ท่านจึงดุเขา(เพราะท่านพูดภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยม) และยึดทั้งรูปทั้งฟิล์มกลับมา
    ครั้นกลับเมืองไทยแล้ว คณะศิษย์อยากได้ของที่ระลึกจากท่าน ท่านจึงให้นำฟิล์มนี้ไปอัดออกมาเป็นรูปใบน้อย และยังเมตตาเขียนยันต์วิเศษที่ชื่อว่า ‘ยันต์พุทธเกษตร’ มอบให้ด้วยลายมือท่านเอง (ท่านได้มาเมื่อครั้งไปเที่ยววิเวกภาวนาใน จ.ลพบุรี ยันต์พุทธเกษตรได้ปรากฏขึ้นในนิมิตท่าน ท่านบอกว่ายันต์นี้มีอานุภาพครอบจักรวาล ตามแต่ผู้ใช้จะอธิษฐานให้เป็นไปดังปรารถนา)
    ศิษย์ได้นำยันต์พุทธเกษตรลายมือท่านไปบันทึกเป็นภาพถ่ายใบน้อยออกมาอีก 1 ใบ จากนั้นก็นำรูปหลวงพ่อกับรูปยันต์พุทธเกษตรนี้ประกบเข้าด้วยกัน แล้วนำมาถวายให้ท่านอธิษฐานจิตแจกผู้ศรัทธาในราวปี พ.ศ. 2508 –2509
    ต่อมาเมื่อท่านประสงค์จะตอบแทนคุณของเสี่ยไซ โยมอุปการะเป็นที่ยิ่ง ท่านก็ดำริเข้า ‘สัญญาเวทยิตนิโรธ’ เป็นครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2510 เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน
    และรูปนี้ก็อยู่ในวาระนิโรธสมาบัติด้วย
    หลวงพ่อเคยบอกว่า นิโรธสมาบัตินี้มีอานุภาพมากนัก มิใช่แต่กุฏิของท่านเท่านั้น แต่กำลังแห่งนิโรธยังครอบคลุมไปทั่วภูเขา ‘สุนทรีบรรพต’ อันเป็นที่ตั้งวัด อย่าว่าแต่ของในกุฏิท่านเลย แม้กรวดหินหน้าวัดหากจะหยิบขึ้นมาแล้วตั้งจิตระลึกถึงท่านก็ยังมีอานุภาพได้
    อะไรจะขนาดนั้น
    เชื่อท่านไหม ?
    ถ้าเชื่อ....! รูปใบน้อยและพระเครื่องต่าง ๆ ที่ผ่านการเข้านิโรธจากท่านมาตั้งแต่ปี 2510 กระทั่งท่านละสังขารจากไปในวันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2531
    จะขลังเพียงไหน !?
    ผมยังเดาไม่ถูกเลย
    ดังนั้น ท่านจึงไม่ใคร่แจกรูปนี้ให้ใครง่าย ๆ แม้มีคนขอกันมาก ท่านก็ยังเลือกคนให้ ท่านบอกว่า ของดีต้องให้กับคนดีและนับถือเราจริงเท่านั้น
    หากจะมีคนขอเหรียญรุ่นแรกของท่านที่สร้างในปี พ.ศ. 2518 บางทีท่านก็มอบรูปนี้ให้ ครั้นคนนั้นบ่นว่าอยากได้เหรียญต่างหากเล่า ท่านจะบอกดุ ๆ ทันทีว่า
    “อะไร ให้ของดีแล้วยังไม่รู้จัก รูปนี่เก่งกว่าเหรียญอีกนะ”
    คือคนโบราณเมื่อจะกล่าวชมมงคลวัตถุใด ๆ ว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์เหลือกำลัง ท่านมักใช้วลีว่า ‘เก่ง’ ก็เป็นอันรู้กัน
    ฉะนั้น รูปนี้จึงเหลือตกค้างมาจนทุกวันนี้ และมีคนได้รับประสบการณ์มากมายยิ่งกว่าเหรียญเสียอีก ถ้าจะให้เล่า คงต้องนัดเจอกันดีกว่าเพราะยาวมากจนไม่อยากพิมพ์
    เล่ามาเสียยืดยาว หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจ ใครที่มีอยู่แล้วก็รีบเอามาใส่ซะ คนที่ยังไม่มีก็ค้นคว้าหาเอาเถิด ของดีสุดยอดอย่างนี้ อย่าให้หลุดมือเลยครับ.


    เครดิต �ٻ���� � ���ø��Һѵ� ��ǧ��͡��ʻ�ع�
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...