ศาสตร์แห่งการช่วยเหลือมนุษย์ทั้งทางโลกและทางธรรม..หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย apichayo, 4 ตุลาคม 2012.

  1. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ประวัติหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    [​IMG]

    พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มีชาติกำเนิดในสกุล “หนูศรี” เดิม ชื่อ ดู่
    เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๗ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง
    <O:p
    ซึ่งตรงกับ วันวิสาขบูชา

    ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา
    โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พุ่ม
    ท่านมีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ๓ คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้าย มีโยมพี่สาว ๒ คน มีชื่อตามลำดับดังนี้

    ๑ . พี่สาวชื่อ ทองคำ สุนิมิตร
    ๒ . พี่สาวชื่อ สุ่ม พึ่งกุศล
    ๓ . ตัวท่าน

    ปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้น

    ชีวิตในวัยเด็กของท่าน ดูจะขาดความอบอุ่นอยู่มาก ด้วยกำพร้าบิดา มารดาตั้งแต่เยาว์วัย
    นายยวง พึ่งกุศล ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของท่าน ได้เล่าให้ฟังว่า บิดามารดาของท่าน มีอาชีพทำนา โดยนอกฤดูทำนาจะมีอาชีพทำขนมไข่มงคลขาย เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นเด็กทารก มีเหตุการณ์สำคัญที่ควรบันทึกไว้คือ ในคืนวันหนึ่งซึ่งเป็นหน้าน้ำ ขณะที่บิดามารดาของท่านกำลังทอด“ขนมมงคล”อยู่นั้น ท่านซึ่งถูกวางอยู่บนเบาะนอกชานคนเดียว ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กลิ้งตกลงไปในน้ำ ทั้งคนทั้งเบาะแต่เป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง ที่ตัวท่านไม่จมน้ำ กลับลอยน้ำจนไปติดอยู่ข้างรั้ว

    กระทั่งสุนัขเลี้ยงที่บ้านท่าน มาเห็นเข้าจึงได้เห่าพร้อมกับวิ่งกลับไปกลับมาระหว่างตัวท่านกับมารดาท่าน เมื่อมารดาท่านเดินตามสุนัขเลี้ยงออกมา จึงได้พบท่านลอยน้ำติดอยู่ที่ข้างรั้ว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มารดาท่านเชื่อมั่นว่า ท่านจะต้องเป็นผู้มีบุญวาสนามากมาเกิด

    มารดาของท่าน ได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านยังเป็นทารกอยู่ ต่อมาบิดาของท่านก็จากไปอีก ขณะท่านมีอายุได้เพียง ๔ ขวบเท่านั้น ท่านจึงต้องกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กจำความไม่ได้ ท่านได้อาศัยอยู่กับยาย โดยมีโยมพี่สาวที่ชื่อ สุ่ม เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ และท่านก็ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และ วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ

    สู่เพศพรหมจรรย์

    เมื่อท่านอายุได้ ๒๑ ปี ก็ได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบท
    เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันอาทิตย์แรม ๔ ค่ำ เดือน ๖
    ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    โดยมี หลวงพ่อกลั่น เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์
    มี หลวงพ่อแด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก ขณะนั้น เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    และมี หลวงพ่อฉาย วัดกลางคลองสระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “พรหมปัญโญ”

    ในพรรษาแรกๆ นั้น ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่ วัดประดู่ทรงธรรม
    ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า วัดประดู่โรงธรรม
    โดยมีพระอาจารย์ผู้สอนคือ ท่านเจ้าคุณเนื่อง พระครูชม และ หลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น
    ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น

    ท่านได้ศึกษากับ หลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นอุปัชฌาย์ และ หลวงพ่อเภา ศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่สองประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๙ หลวงพ่อกลั่นมรณภาพ ท่านจึงได้ศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อเภา เป็นสำคัญ นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาจากตำรับตำราที่มีอยู่จากชาดกบ้าง จากธรรมบทบ้าง และด้วยความที่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้รักการศึกษา ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม จากพระอาจารย์อีกหลายท่านที่จังหวัดสุพรรณบุรี และสระบุรี

    ประสบการณ์ธุดงค์

    ประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๖ ออกพรรษาแล้ว ท่านก็เริ่มออกเดินธุดงค์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีเป้าหมายที่ป่าเขาทางแถบจังหวัดกาญจนบุรี และ แวะนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น พระพุทธฉาย และ รอยพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี จากนั้นท่านก็เดินธุดงค์ไปยังจังหวัดสิงห์บุรี สุพรรณบุรี จนถึงจังหวัดกาญจนบุรี จึงเข้าพักปฏิบัติตามป่าเขาและถ้ำต่างๆ

    หลวงปู่ดู่ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า เริ่มแรกที่ท่านขวนขวายศึกษาและปฏิบัตินั้น แท้จริงมิได้มุ่งเน้นมรรคผลนิพพาน หากแต่ต้องการเรียนรู้ให้ได้วิชาต่างๆ เป็นต้นว่า วิชาคงกระพันชาตรี ก็เพื่อที่จะสึกออกไปแก้แค้นพวกโจรที่ปล้นบ้าน โยมพ่อโยมแม่ท่านถึง ๒ ครั้ง แต่เดชะบุญ แม้ท่านจะสำเร็จวิชาต่าง ๆ ตามที่ตั้งใจไว้ ท่านกลับได้คิดนึกสลดสังเวชใจตัวเอง ที่ปล่อยให้อารมณ์อาฆาตแค้น ทำร้ายจิตใจตนเองอยู่เป็นเวลานับสิบ ๆ ปี

    ในที่สุดท่านก็ได้ตั้งจิตอโหสิกรรมให้แก่โจรเหล่านั้น แล้วมุ่งปฏิบัติฝึกฝนอบรมตน
    ตามทางแห่ง ศีล สมาธิ และ ปัญญา อย่างแท้จริง

    ในระหว่างที่ท่านเดินธุดงค์อยู่นั้น ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ได้พบฝูงควายป่ากำลังเดินเข้ามาทางท่าน ท่านตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว หยุดยืนภาวนานิ่งอยู่ ฝูงควายป่าที่มุ่งตรงมาทางท่าน พอเข้ามาใกล้จะถึงตัวท่าน ก็กลับเดินทักษิณารอบท่านแล้วก็จากไป

    บางแห่งที่ท่านเดินธุดงค์ไปถึง ท่านมักพบกับพวกนักเลงที่ชอบลองของ ครั้งหนึ่งมีพวกนักเลงเอาปืนมายิงใส่ท่าน ขณะนั่งภาวนาอยู่ในกลด ท่านเล่าให้ฟังว่า พวกนี้ไม่เคารพพระ สนใจแต่ “ของดี” เมื่อยิงปืนไม่ออก จึงพากันมาแสดงตัวด้วยความนอบน้อม พร้อมกับอ้อนวอนขอ “ ของดี ” ทำให้ท่านต้องออกเดินธุดงค์หนีไปทางอื่น

    การปฏิบัติของท่านในช่วงธุดงค์อยู่นั้น เป็นไปอย่างเอาจริงเอาจัง ยอมมอบกายถวายชีวิตไว้กับป่าเขา แต่สุขภาพธาตุขันธ์ของท่านก็ไม่เป็นใจเสียเลย บ่อยครั้งที่ท่านต้องเอาผ้ามาคาดที่หน้าผาก เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ อีกทั้งก็มีอาการเท้าชารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระนั้นท่านก็ยังไม่ละความเพียร

    สมดังที่ท่านเคย สอนลูกศิษย์ว่า
    “นิพพานอยู่ฟากตาย”
    ในการประพฤติปฏิบัตินั้น จำต้องยอมมอบกายถวายชีวิตลงไป
    ดังที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า
    “ถ้ามันไม่ดี หรือ ไม่ได้พบความจริง...ก็ให้มันตาย
    ถ้ามันไม่ตาย...ก็ให้มันดี หรือ ได้พบกับความจริง
    <O:p</O:p
    ดังนั้น อุปสรรคต่างๆ จึงกลับเป็นปัจจัย ช่วยให้จิตใจของผู้ปฏิบัติแข็งแกร่งขึ้นเป็นลำดับ

    นิมิตธรรม

    อยู่มาวันหนึ่ง ประมาณก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เล็กน้อย หลังจากหลวงปู่ดู่สวดมนต์ทำวัตรเย็น และปฏิบัติกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็จำวัด เกิดนิมิตไปว่า ได้ฉันดาวที่มีแสงสว่างมาก ๓ ดวง
    ในขณะที่กำลังฉันอยู่นั้น ก็รู้สึกว่า กรอบๆ ดี ก็เลยฉันเข้าไปทั้งหมด แล้วจึงตกใจตื่น
    เมื่อท่านพิจารณาใคร่ครวญถึงนิมิตธรรมที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจขึ้นว่า
    แก้ว ๓ ดวงนั้น ก็คือ พระไตรสรณาคมน์นั่นเอง

    พอท่านว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”
    ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นในจิตท่าน พร้อมกับอาการปีติอย่างท่วมท้น ทั้งเกิดความรู้สึกลึกซึ้ง และ มั่นใจว่า
    พระไตรสรณาคมน์นี้แหล่ะ เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา
    ท่านจึงกำหนดเอามาเป็นคำบริกรรมภาวนาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    <O:pหลวงปู่ดู่ ท่านให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนา
    ท่านว่า “ถ้าไม่เอา(ปฏิบัติ)เป็นเถ้าเสียดีกว่า”

    ในสมัยก่อนเมื่อตอนที่ศาลาปฏิบัติธรรมหน้ากุฏิท่านยังสร้างไม่เสร็จนั้น ท่านก็เมตตาให้ใช้ห้องส่วนตัวที่ท่านใช้จำวัด เป็นที่รับรองสานุศิษย์และผู้สนใจได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งนับเป็นเมตตาอย่างสูง
    สำหรับผู้ที่ไปกราบนมัสการท่านบ่อยๆ หรือ มีโอกาสได้ฟังท่านสนทนาธรรม ก็คงจะได้เห็นกุศโลบายในการสอนของท่านที่จะโน้มน้าว ผู้ฟังให้วกเข้าสู่การปรับปรุงแก้ไขตนเอง เช่น ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์วิพากษ์วิจารณ์คนนั้นคนนี้ให้ท่านฟังในเชิงว่ากล่าวว่า เป็นต้นเหตุของปัญหาและความยุ่งยาก แทนที่ท่านจะเออออไปตาม อันจะทำให้เรื่องยิ่งบานปลายออกไป ท่านกลับปรามว่า

    “เรื่องของคนอื่น เราไปแก้เขาไม่ได้ ที่แก้ได้คือตัวเรา
    แก้ข้างนอก...เป็นเรื่องโลก
    แต่แก้ที่ตัวเรานี่...เป็นเรื่องธรรม
    คำสอนของหลวงปู่ดู่จึงสรุปลงที่ การใช้ชีวิตอย่างคนไม่ประมาท
    <O:p
    นั่นหมายถึงว่า สิ่งที่จะต้องเป็นไปพร้อมๆ กันก็คือ
    ความพากเพียรที่ลงสู่ภาคปฏิบัติ ในมรรควิถีที่เป็นสาระแห่งชีวิตของผู้ไม่ประมาท
    ดังที่ท่านพูดย้ำเสมอว่า “หมั่นทำเข้าไว้ ๆ”

    อ่อนน้อมถ่อมตน

    นอกจาก ความอดทน อดกลั้น ยิ่งแล้ว
    หลวงปู่ดู่ยังเป็นแบบอย่างของ ผู้ไม่ถือตัว วางตัวเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ยกตนข่มผู้อื่น
    เมื่อครั้งที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม) วัดสุทัศน์เทพวราราม หรือ ที่เราเรียกกันว่า
    “ท่านเจ้าคุณเสงี่ยม” ซึ่งมีอายุพรรษามากกว่าหลวงปู่ดู่ ๑ พรรษา มานมัสการหลวงปู่โดยยกย่องเป็นครูเป็นอาจารย์ แต่เมื่อท่านเจ้าคุณเสงี่ยม กราบหลวงปู่เสร็จแล้ว หลวงปู่ท่านก็กราบตอบ เรียกว่า ต่างองค์ต่างกราบซึ่งกันและกัน เป็นภาพที่พบเห็นได้ยากเหลือเกิน ในโลกที่ผู้คนทั้งหลายมีแต่จะเติบโตทางด้านทิฏฐิมานะ ความถือตัวอวดดี อวดเด่น ยกตนข่มท่าน ปล่อยให้กิเลสตัวหลงออกเรี่ยราด เที่ยวประกาศให้ผู้คนทั้งหลายได้รู้ว่า ตนเก่ง โดยเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่า ถูกกิเลสขึ้นขี่คอพาบงการให้เป็นไป

    <O:p
    หลวงปู่ดู่ ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติธรรมของสำนักไหนๆ ในเชิงลบหลู่
    หรือ เปรียบเทียบดูถูกดูหมิ่น ท่านว่า “คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร”
    ซึ่งลูกศิษย์ทั้งหลายได้ถือเป็นแบบอย่าง
    หลวงปู่ดู่เป็นพระพูดน้อย ไม่มากโวหาร
    ท่านจะพูดย้ำอยู่แต่ในเรื่องของ การปฏิบัติธรรมและความไม่ประมาท เช่น
    “ของดีอยู่ที่ตัวเรา หมั่นทำ (ปฏิบัติ) เข้าไว้”
    “ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต”
    “อย่าลืมตัวตาย
    “ให้หมั่นพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” เป็นต้น

    อุบายธรรม

    หลวงปู่ดู่เป็นผู้ที่มี อุบายธรรมลึกซึ้ง สามารถขัดเกลาจิตใจคนอย่างค่อยเป็นค่อยไป มิได้เร่งรัดเอาผล เช่น ครั้งหนึ่ง มีนักเลงเหล้าติดตามเพื่อนซึ่งเป็นลูกศิษย์มากราบนมัสการท่าน
    สนทนากันได้สักพักหนึ่ง เพื่อนที่เป็นลูกศิษย์ ก็ชักชวนเพื่อนนักเลงเหล้าให้สมาทานศีล ๕ พร้อมกับฝึกหัดปฏิบัติสมาธิภาวนา

    นักเลงเหล้าผู้นั้นก็แย้งว่า
    “จะมาให้ผมสมาทานศีลและปฏิบัติได้ยังไง ก็ผมยังกินเหล้าเมายาอยู่นี่ครับ ”
    หลวงปู่ดู่ท่านก็ตอบว่า
    “เอ็งจะกินก็กินไปซิ ข้าไม่ว่า แต่ให้เอ็งปฏิบัติให้ข้าวันละ ๕ นาที ก็พอ”

    นักเลงเหล้าผู้นั้นเห็นว่า นั่งสมาธิแค่วันละ๕ นาที ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร จึงได้ตอบปากรับคำจากหลวงพ่อ ด้วยความที่เป็นคนนิสัยทำอะไรทำจริง ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ทำให้เขาสามารถปฏิบัติได้สม่ำเสมอเรื่อยมามิได้ขาดแม้แต่วันเดียว บางครั้งถึงขนาดงดไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ เพราะได้เวลาปฏิบัติ จิตของเขาเริ่มเสพคุ้นกับความสุขสงบจากการที่จิตเป็นสมาธิ ไม่ช้าไม่นานเขาก็สามารถเลิกเหล้าได้โดยไม่รู้ตัว ด้วยอุบายธรรมที่น้อมนำมาจากหลวงปู่

    ต่อมาเขาได้มีโอกาสมานมัสการท่านอีกครั้ง
    ที่นี้หลวงปู่ดู่ท่านให้โอวาทว่า
    “ที่แกปฏิบัติอยู่ ให้รู้ว่าไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อตัวแกเอง”
    คำพูดของหลวงปู่ทำให้เขาเข้าใจอะไรมากขึ้น ศรัทธาและความเพียรต่อการปฏิบัติก็มีมากขึ้นตามลำดับ ถัดจากนั้นไม่กี่ปี เขาผู้ที่อดีตเคยเป็นนักเลงเหล้า ก็ละเพศฆราวาส เข้าสู่เพศบรรพชิต...ตั้งใจปฏิบัติธรรมเรื่อยมา

    อีกครั้งหนึ่งมีชาวบ้านหาปลามานมัสการท่าน และ ก่อนกลับท่านก็ให้เขาสมาทานศีล ๕
    เขาเกิดตะขิดตะขวงใจกราบเรียนท่านว่า
    “ผมไม่กล้าสมาทานศีล ๕ เพราะรู้ว่าประเดี๋ยวก็ต้องไปจับปลา จับกุ้ง มันเป็นอาชีพของผมครับ ”
    หลวงปู่ตอบเขาด้วยความเมตตาว่า

    “แกจะรู้เหรอว่า แกจะตายเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าแกเดินออกไปจากกุฏิข้าแล้ว อาจถูกงูกัดตายเสียกลางทางก่อนไปจับปลา จับกุ้งก็ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อตอนนี้แกยังไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร ยังไงๆ ก็ให้มีศีลไว้ก่อน ถึงจะมีศีลขาด ก็ยังดีกว่าไม่มีศีล ”

    หลวงปู่ดู่ ท่านไม่เพียงพร่ำสอนให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายเจริญบำเพ็ญคุณงามความดีเท่านั้น หากแต่ยังเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญ และระมัดระวังในการรักษาไว้ซึ่งคุณงามความดีนั้นๆให้คงอยู่ รวมทั้งเจริญงอกงามขึ้นเรื่อยๆ ท่านมักจะพูดเตือนเสมอๆว่า เมื่อปลูกต้นธรรมด้วยดีแล้ว ก็ต้องคอยหมั่นระวังอย่าให้หนอนและแมลง ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง มากัดกินทำลายต้นธรรมที่อุตส่าห์ปลูกขึ้น

    และอีกครั้งหนึ่งที่ท่านแสดงถึงแบบอย่างของความเป็นครูอาจารย์ ที่ปราศจากทิฏฐิมานะ และเปี่ยมด้วยอุบายธรรมก็คือ ครั้งที่มีนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ๒ คน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน มากราบลาพร้อมกับเรียนให้ท่านทราบว่า จะเดินทางไปพักค้างเพื่อปฏิบัติธรรมกับ ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี

    หลวงปู่ดู่ท่านฟังแล้ว ก็ยกมือพนมขึ้นไหว้ไปทางข้างๆ พร้อมกับพูดว่า
    “ข้าโมทนากับพวกแกด้วย ตัวข้าไม่มีโอกาส...”
    ไม่มีเลยที่ท่านจะห้ามปราม หรือ แสดงอาการที่เรียกว่า หวงลูกศิษย์ ตรงกันข้ามมีแต่จะส่งเสริม
    สนับสนุน ให้กำลังใจเพื่อให้ลูกศิษย์ของท่านขวนขวายในการปฏิบัติธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป
    แต่ถ้าเป็นกรณีที่มีลูกศิษย์มาเรียนให้ท่านทราบ ถึงครูอาจารย์องค์นั้นองค์นี้
    ในลักษณะตื่นครูตื่นอาจารย์ ท่านก็จะปรามเพื่อวกเข้าสู่เจ้าตัว โดยพูดเตือนสติว่า

    “ครูอาจารย์ดีๆ แม้จะมีอยู่มาก
    แต่สำคัญที่ตัวแก ต้องปฏิบัติให้จริง
    สอนตัวเองให้มากนั่นแหละจึงจะดี

    หลวงปู่ดู่ท่านมีแนวทาง การสอนธรรมะที่เรียบง่าย ฟังง่ายชวนให้ติดตามฟัง ท่านนำเอาสิ่งที่เข้าใจยากมาแสดงให้เข้าใจง่าย เพราะท่านจะยกอุปมาอุปไมยประกอบในการสอนธรรมะ จึงทำให้ผู้ฟังเห็นภาพ และ เกิดความเข้าใจในธรรมที่ท่านนำมาแสดง แม้ว่าท่านมักจะออกตัวว่า ท่านเป็นพระบ้านนอกที่ไม่มีความรู้อะไร แต่สำหรับบรรดาศิษย์ทั้งหลาย คงไม่อาจปฏิเสธว่า
    หลายครั้งที่ท่านสามารถพูดแทงเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของผู้ฟังทีเดียว

    อีกประการหนึ่ง ด้วยความที่ท่านมีรูปร่างลักษณะที่เป็นที่น่าเคารพ เลื่อมใส เมื่อใครได้มาพบเห็นท่านด้วยตนเอง และถ้ายิ่งได้สนทนาธรรมกับท่านโดยตรงก็จะยิ่งเพิ่มความเคารพเลื่อมใส และ ศรัทธาในตัวท่านมากขึ้นเป็นทวีคูณ

    หลวงปู่ดู่ท่านพูดถึง การประพฤติปฏิบัติของคนสมัยนี้ว่า
    “คนเราทุกวันนี้ โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม
    เรามัวพากันยุ่งอยู่กับโลกจนเหมือนลิงติดตัง เรื่องของโลก เรื่องเละๆ เรื่องไม่มีที่สิ้นสุด
    เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ จะต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง
    ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง
    ท่านได้อบรมสั่งสอนศิษย์ โดยให้พยายามถือเอาเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นครูสอนตนเองเสมอ

    เช่น ในหมู่คณะ หากมีผู้ใดประพฤติปฏิบัติดี เจริญในธรรมปฏิบัติ ท่านก็กล่าวชม และให้ถือเป็นแบบอย่าง แต่ถ้ามีผู้ประพฤติผิด ถูกท่านตำหนิติเตียน ก็ให้น้อมเอาเหตุการณ์นั้นๆ มาสอนตนทุกครั้งไป ท่านไม่ได้ชมผู้ทำดีจนหลงลืมตน และท่านไม่ได้ติเตียนผู้ทำผิดจนหมดกำลังใจ แต่ถือเอาเหตุการณ์ เป็นเสมือนครูที่เป็นความจริง แสดงเหตุผลให้เห็นธรรมที่แท้จริง

    การสอนของท่าน ก็พิจารณาดูบุคคลด้วย เช่น
    คนบางคนพูดให้ฟัง เพียงอย่างเดียวไม่เข้าใจ บางทีท่านก็ต้องทำให้เกิดความกลัว เกิดความ ละอายบ้าง ถึงจะหยุดเลิกละการกระทำที่ไม่ดีนั้นๆได้ หรือบางคนเป็นผู้มีอุปนิสัยเบาบางอยู่แล้ว ท่านก็สอนธรรมดา

    การสอนธรรมะของท่าน บางทีก็สอนให้กล้า บางทีก็สอนให้กลัว
    ที่ว่าสอนให้กล้านั้นคือ ให้กล้าในการทำความดี กล้าในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อถอดถอนกิเลสออกจากใจ
    ไม่ให้ตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป

    ส่วนที่สอนให้กลัวนั้น ท่านให้กลัวในการทำความชั่ว ผิดศีลธรรม เป็นโทษ ทำแล้วผู้อื่นเดือดร้อน
    บางทีท่านก็สอนให้เชื่อ คือ ให้เชื่อมั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อในเรื่องกรรม
    อย่างที่ท่านเคยกล่าวว่า
    “เชื่อไหมล่ะ ถ้าเราเชื่อจริง ทำจริง มันก็เป็นของจริง ของจริงมีอยู่
    แต่เรามันไม่เชื่อจริง จึงไม่เห็นของจริง

    <O:p</O:p
    หลวงปู่ดู่ท่านสอนให้ มีปฏิปทาสม่ำเสมอ
    ท่านว่า “ขยันก็ให้ทำ ขี้เกียจก็ให้ทำ
    ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่...ก็ต้องทำ
    วันไหนเลิกกินข้าวแล้วนั่นแหละ...จึงค่อยเลิกทำ

    การสอนของท่านนั้น มิได้เน้นแต่เพียงการนั่งหลับตาภาวนา หากแต่หมายรวมไปถึงการ
    กำหนดดู กำหนดรู้ และพิจารณาสิ่งต่างๆ ในความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านชี้ให้เห็นถึงสังขารร่างกายที่ มันเกิด มันตาย อยู่ตลอดเวลา ท่านว่าเราวันนี้กับเราเมื่อตอนเป็นเด็กมันก็ไม่เหมือนเก่า เราขณะนี้กับเราเมื่อวานก็ไม่เหมือนเก่า จึงว่าเราเมื่อตอนเป็นเด็ก หรือเราเมื่อวานมันได้ตายไปแล้ว เรียกว่า ร่างกายเรามันเกิด - ตาย อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก มันเกิด - ตาย อยู่ทุกขณะจิต

    ท่านสอนให้บรรดาศิษย์เห็นจริงถึงความสำคัญของความทุกข์ยากว่า เป็นสิ่งมีคุณค่าในโลก
    ท่านจึงพูดบ่อยครั้งว่า
    การที่เราประสบทุกข์ นั่นแสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว
    เพราะอาศัยทุกข์นั่นแหละ จึงทำให้เราเกิดปัญญาขึ้นได้

    ใช้ชีวิตอย่างผู้รักสันโดษและเรียบง่าย
    หลวงปู่ดู่ท่านยังเป็นแบบอย่างของ ผู้มักน้อยสันโดษ ใช้ชีวิตเรียบง่าย
    ไม่นิยมความหรูหราฟุ่มเฟือย
    แม้แต่การสรงน้ำ ท่านก็ยังไม่เคยใช้สบู่เลย
    แต่ก็น่าอัศจรรย์ เมื่อได้ทราบจากพระอุปัฏฐากว่าไม่พบว่า ท่านมีกลิ่นตัว แม้ในห้องที่ท่านจำวัด

    มีผู้ปวารณาตัวจะถวายเครื่องใช้ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับท่าน ซึ่งส่วนใหญ่ท่านจะปฏิเสธ คงรับไว้บ้างเท่าที่เห็นว่า ไม่เกินเลยอันจะเสียสมณะสารูป และใช้สอยพอให้ผู้ถวายได้เกิดความปลื้มปีติที่ได้ถวายแก่ท่าน ซึ่งในภายหลังท่านก็มักยกให้เป็นของสงฆ์ส่วนรวมเช่นเดียวกับข้าวของต่างๆ ที่มีผู้มาถวายเป็นสังฆทานโดยผ่านท่าน และเมื่อถึงเวลาเหมาะควร ท่านก็จะจัดสรรไปให้วัดต่างๆ ที่อยู่ในชนบท และ ยังขาดแคลนอยู่

    สิ่งที่ท่านถือปฏิบัติสม่ำเสมอในเรื่องลาภสักการะ ก็คือ การยกให้เป็นของสงฆ์ส่วนรวม
    แม้ปัจจัยที่มีผู้ถวายให้กับท่านเป็นส่วนตัวสำหรับค่ารักษาพยาบาล ท่านก็สมทบเข้าในกองทุนสำหรับจัดสรร
    ไปในกิจสาธารณประโยชน์ต่างๆ ทั้งโรงเรียน และ โรงพยาบาล

    หลวงปู่ดู่ ท่านไม่มีอาการแห่งความเป็นผู้อยากเด่นอยากดังแม้แต่น้อย ดังนั้นแม้ท่านจะเป็นเพียงพระบ้านนอกรูปหนึ่ง
    ซึ่งไม่เคยออกจากวัดไปไหน ทั้งไม่มีการศึกษาระดับสูงๆในทางโลก

    แต่ในความรู้สึกของลูกศิษย์ทั้งหลาย ท่านเป็นดั่งพระเถระผู้ถึงพร้อมด้วยจริยวัตรอันงดงาม สงบ
    เรียบง่าย เบิกบาน และ ถึงพร้อมด้วยธรรมวุฒิที่รู้ถ้วนทั่วในวิชชา อันจะนำพาให้ พ้นเกิด พ้นแก่
    พ้นเจ็บ พ้นตาย ถึงฝั่งอันเกษม เป็นที่ฝากเป็นฝากตาย และฝากหัวใจของลูกศิษย์ทุกคน

    ในเรื่องทรัพย์สมบัติดั้งเดิมของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นา ซึ่งมีอยู่ประมาณ ๓๐ ไร่ ท่านก็ได้แบ่งให้กับหลานๆ ของท่าน ซึ่งในจำนวนนี้ นายยวง พึ่งกุศล ผู้เป็นบุตรของนางสุ่ม โยมพี่สาวคนกลาง ที่เคยเลี้ยงดูท่านมาตลอด ก็ได้รับส่วนแบ่งที่นาจากท่านด้วยจำนวน ๑๘ ไร่เศษ แต่ด้วยความที่นายยวงผู้เป็นหลานของท่านนี้ไม่มีทายาท ได้คิดปรึกษานางถมยา ผู้ภรรยาเห็นควรยกให้เป็นสาธารณประโยชน์ จึงยกที่ดินแปลงนี้ให้กับโรงเรียนวัดสะแก ซึ่งหลวงปู่ดู่ท่านก็อนุโมทนาในกุศลเจตนาของคนทั้งสอง

    กุศโลบายในการสร้างพระ

    หลวงปู่ดู่ท่านมิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ การที่ท่านสร้าง หรือ อนุญาตให้สร้างพระเครื่อง หรือ
    พระบูชา ก็เพราะเห็นประโยชน์ เพราะบุคคลจำนวนมากยังขาดที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ท่านมิได้จำกัดศิษย์
    อยู่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นคณะศิษย์ของท่านจึงมีกว้างขวางออกไป ทั้งที่ใฝ่ใจธรรมล้วนๆ หรือ
    ที่ยังต้องอิงกับวัตถุมงคล

    ท่านเคยพูดว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล”
    ทั้งนี้ ท่านย่อมใช้ดุลยพินิจพิจารณา ตามความเหมาะควรแก่ผู้ที่ไปหาท่าน
    แม้ว่า หลวงปู่ดู่จะรับรองในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่อง ที่ท่านอธิษฐานจิตให้
    แต่สิ่งที่ท่านยกไว้เหนือกว่านั้นก็คือ การปฏิบัติ
    ดังจะเห็นได้จากคำพูดของท่านว่า
    “เอาของจริงดีกว่า พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สรณัง คัจฉามิ นี่แหละของแท้”

    จากคำพูดนี้ จึงเสมือนเป็นการยืนยันว่า
    การปฏิบัติภาวนานี้แหละ...เป็นที่สุดแห่งเครื่องรางของขลัง
    เพราะคนบางคนแม้แขวนพระที่ผู้ทรงคุณวิเศษอธิษฐานจิตให้ก็ตาม ก็ใช่ว่าจะรอดปลอดภัยอยู่ดีมีสุขไปทุกกรณี
    อย่างไรเสียทุกคนไม่อาจหลีกหนีวิบากกรรมที่ตนได้สร้างไว้
    ดังที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็คือ กรรม

    ดังนั้น จึงมีแต่ พระ “สติ” พระ “ปัญญา” ที่ฝึกฝนอบรมมาดีแล้วเท่านั้น ที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติ รู้เท่าทัน
    และพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาและสิ่งกระทบต่างๆที่เข้ามาในชีวิต...อย่างไม่ทุกข์ใจ
    ดุจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเสมือนฤดูกาลที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางครั้งร้อนบางครั้งหนาว ทุกสิ่งทุกอย่าง
    ล้วนเป็นไปตามธรรมดาของโลก

    พระเครื่อง หรือ พระบูชาต่างๆ ที่ท่านอธิษฐานปลุกเสกให้แล้วนั้น ปรากฏผลแก่ผู้บูชาในด้านต่างๆ
    เช่น แคล้วคลาด ฯลฯ นั่นก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ทางโลกๆ
    แต่ประโยชน์ที่ท่านสร้างมุ่งหวังอย่างแท้จริงนั้นก็คือ
    ใช้เป็นเครื่องมือในการ "ปฏิบัติภาวนา" มีพุทธานุสติกรรมฐาน เป็นต้น

    นอกจากนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติยังได้อาศัยพลังจิตที่ท่านตั้งใจบรรจุไว้ในพระเครื่อง ช่วยน้อมนำ และ
    ประคับประคองให้จิตรวมสงบได้เร็วขึ้น ตลอดถึงการใช้เป็นเครื่องเสริมกำลังใจ และระงับความหวาดวิตก
    ในขณะปฏิบัติ ถือเป็นประโยชน์ทางธรรม ซึ่งก่อให้เกิดพัฒนาการทางจิตของผู้ใช้ไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ในที่สุด

    จากที่เบื้องต้น เราได้อาศัย พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ และ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
    คือ ยึดเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ จนจิตของเราเกิดศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราเรียกกันว่า ตถาคตโพธิสัทธา คือ เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าขึ้นแล้ว เราก็ย่อมเกิดกำลังใจขึ้นว่า พระพุทธองค์เดิมก็เป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับเรา ความผิดพลาดพระองค์ก็เคยทรงทำมาก่อน

    แต่ด้วยความเพียร ประกอบกับพระสติปัญญาที่ทรงอบรมมาดีแล้ว จึงสามารถก้าวข้ามวัฏฏะสงสาร
    สู่ความหลุดพ้น เป็นการบุกเบิกทางที่เคยรกชัฏให้พวกเราได้เดินกัน

    ดังนั้นเราซึ่งเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพระองค์ ก็ย่อมที่จะมีศักยภาพ ที่จะฝึกฝนอบรม กาย วาจา ใจ ด้วยตัวเราเองได้
    เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงกระทำมา พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ กาย วาจา ใจ เป็นสิ่งที่ฝึกฝนอบรมกันได้ ใช่ว่าจะต้องปล่อยให้ไหลไปตามยถากรรม

    เมื่อจิตเราเกิดศรัทธาดังที่กล่าวมานี้แล้ว ก็มีการน้อมนำเอาข้อธรรมคำสอนต่างๆ มาประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลากิเลส ออกจากใจตน จิตใจของเราก็จะเลื่อนชั้น จากปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลส ขึ้นสู่กัลยาณชนและอริยชน เป็นลำดับ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว
    ในที่สุดเราก็ย่อมเข้าถึงที่พึ่งคือตัวเราเอง อันเป็นที่พึ่งที่แท้จริง เพราะ กาย วาจา ใจ ที่ได้ผ่านขั้นตอนการฝึกฝนอบรมโดย การเจริญศีล สมาธิ และปัญญาแล้ว ย่อมกลายเป็น กายสุจริต วาจาสุจริต และมโนสุจริต กระทำสิ่งใด พูดสิ่งใด คิดสิ่งใด ก็ย่อมหาโทษมิได้ ถึงเวลานั้นแม้พระเครื่องไม่มี ก็ไม่อาจทำให้เราเกิดความหวั่นไหว หวาดกลัว ขึ้นได้เลย

    เปี่ยมด้วยเมตตา

    นึกถึงสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ทรงประชวรหนักครั้งสุดท้ายแห่งการปรินิพพาน ท่านพระอานนท์ผู้อุปัฏฐากพระองค์
    อยู่ตลอดเวลา ได้ห้ามมานพผู้หนึ่ง ซึ่งขอร้องจะขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะนั้น พระอานนท์คัดค้านอย่างเด็ดขาดไม่ให้เข้าเฝ้า แม้มานพขอร้องถึง ๓ ครั้ง ท่านก็ไม่ยอม จนกระทั่งเสียงขอกับเสียงขัดดังถึงพระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า“อานนท์ อย่าห้ามมานพนั้นเลยจงให้เข้ามาเดี๋ยวนี้” เมื่อได้รับอนุญาตแล้วมานพ ก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ฟังธรรม
    จนบรรลุมรรคผลแล้วขอบวชเป็นพระสาวกองค์สุด ท้ายมีนามว่า “พระสุภัททะ”

    พระอานนท์ท่านทำหน้าที่ของท่านถูกต้องแล้ว ไม่มีความผิดอันใดเลยแม้แต่น้อย

    ส่วนที่พระพุทธเจ้าให้เข้าเฝ้านั้นเป็นส่วน พระมหากรุณาธิคุณ ของพระองค์ ที่ทรงมีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มีประมาณ ย่อมแผ่ไพศาลไปทั่วทั้งสามโลก พระสาวกรุ่นหลังกระทั่งถึง พระเถระ หรือ ครูบาอาจารย์ผู้สูงอายุโดยทั่วไปที่มีเมตตาสูง รวมทั้งหลวงปู่ ย่อมเป็นที่เคารพนับถือของชนหมู่มาก ท่านก็อุทิศชีวิตเพื่อกิจพระศาสนา ก็ไม่ค่อยคำนึงถึงความชราอาพาธของท่าน เห็นว่าผู้ใดได้ประโยชน์จากการบูชาสักการะท่าน ท่านก็อำนวยประโยชน์นั้นแก่เขา

    เมื่อครั้งที่หลวงปู่อาพาธอยู่ ได้มีลูกศิษย์กราบเรียนท่านว่า “รู้สึกเป็นห่วง หลวงปู่”
    ท่านได้ตอบศิษย์ผู้นั้นด้วยความเมตตาว่า “ห่วงตัวแกเองเถอะ”

    อีกครั้งที่ผู้เขียนเคยเรียนหลวงปู่ว่า “ขอให้หลวงปู่พักผ่อนมากๆ”
    <O:p</O:p
    หลวงปู่ตอบทันทีว่า “พักไม่ได้ มีคนเขามากันมาก บางทีกลางคืนเขาก็มากัน เราเหมือนนกตัวนำ
    เราเป็นครูเขานี่ ครู..เขาตีระฆังได้เวลาสอนแล้วก็ต้องสอน ไม่สอนได้ยังไง

    ชีวิตของท่านเกิดมาเพื่อเกื้อกูลธรรมแก่ผู้อื่น แม้จะอ่อนเพลียเมื่อยล้าสักเพียงใด ท่านก็ไม่แสดงออก
    ให้ใครต้องรู้สึกวิตกกังวล หรือลำบากใจแต่อย่างใดเลย เพราะอาศัยความเมตตาเป็นที่ตั้ง จึงอาจกล่าวได้ว่า
    ปฏิปทาของท่านเป็นดั่ง พระโพธิสัตว์ หรือ หน่อพุทธภูมิ

    ซึ่งเห็นประโยชน์ของผู้อื่น มากกว่าประโยชน์ส่วนตน
    ดังเช่น พระโพธิสัตว์ หรือ หน่อพุทธภูมิอีกท่านหนึ่ง คือ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
    พระสุปฏิปันโนสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งหลวงปู่ดู่ได้สอนให้ลูกศิษย์ให้ความเคารพ เสมือนครูอาจารย์
    ผู้ชี้แนะแนวทางการปฏิบัติอีกท่านหนึ่ง

    หลวงปู่ดู่ ท่านได้ตัดสินใจไม่รับกิจนิมนต์ออกนอกวัด ตั้งแต่ก่อน ปี พ.ศ. ๒๔๙๐
    ดังนั้นทุกคนที่ตั้งใจไปกราบนมัสการ และ ฟังธรรมจากท่านจะไม่ผิดหวังเลยว่า จะไม่ได้พบท่าน
    ท่านจะนั่งรับแขกบนพื้นไม้กระดานแข็งๆ หน้ากุฏิของท่านทุกวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ บางวันที่ท่านอ่อนเพลีย
    ท่านจะเอนกายพักผ่อนหน้ากุฏิ แล้วหาอุบายสอนเด็กวัด โดยให้เอาหนังสือธรรมะ มาอ่านให้ท่านฟังไปด้วย

    ข้อวัตรของท่านอีกอย่างหนึ่งก็คือ การฉันอาหารมื้อเดียว ซึ่งท่านกระทำมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ แต่ภายหลังคือ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เหล่าสานุศิษย์ ได้กราบนิมนต์ให้ท่านฉัน ๒ มื้อ เนื่องจากความชราภาพของท่าน ประกอบกับ
    ต้องรับแขกมากขึ้น ท่านจึงได้ผ่อนปรนตามความเหมาะควรแห่งอัตภาพ ทั้งจะได้เป็นการโปรดญาติโยมจากที่ไกลๆ
    ที่ตั้งใจมาทำบุญถวายภัตตาหารแด่ท่าน

    หลวงปู่แม้จะชราภาพมากแล้ว ท่านก็ยังอุตส่าห์นั่งรับแขกที่มาจากทิศต่างๆ วันแล้ววันเล่า ศิษย์ทุกคนก็ตั้งใจมาเพื่อกราบนมัสการท่าน บางคนก็มา เพราะมีปัญหาหนักอกหนักใจแก้ไขด้วยตนเองไม่ได้ จึงมุ่งหน้ามาเพื่อกราบเรียนถามปัญหา เพื่อให้คลายความทุกข์ใจ บางคนมาหาท่านเพื่อต้องการของดี เช่น เครื่องรางของขลัง ซึ่งก็มักได้รับคำตอบจากท่านว่า

    “ของดีนั้นอยู่ที่ตัวเรา พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละของดี ”
    บางคนมาหาท่าน เพราะได้ยินข่าวเล่าลือถึง คุณความดี ศีลาจาริยวัตรของท่านในด้านต่างๆ
    บางคนมาหาท่าน เพื่อขอหวยหวังรวยทางลัดโดยไม่อยากทำงาน แต่อยากได้เงินมากๆ
    บางคนเจ็บไข้ไม่สบาย ก็มาเพื่อให้ท่านรดน้ำมนต์ เป่าหัวให้ มาขอดอกบัวบูชาพระของท่าน
    เพื่อนำไปต้มดื่ม ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานาสารพันปัญหา
    แล้วแต่ใครจะนำมาเพื่อหวังให้ท่านช่วยตน

    บางคนไม่เคยเห็นท่าน ก็อยากมาดูว่าท่านมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
    บ้างแค่มาเห็นก็เกิดปีติ สบายอกสบายใจ จนลืมคำถาม หรือ หมดคำถามไปเลย
    หลายคนเสียสละเวลา เสียค่าใช้จ่ายเดินทางไกลมาเพื่อพบท่าน
    ด้วยเหตุนี้ท่านจึงอุตส่าห์นั่งรับแขกอยู่ตลอดวัน โดยไม่ได้พักผ่อนเลย และไม่เว้นแม้ยามป่วยไข้
    แม้นายแพทย์ผู้ให้การดูแลท่านอยู่ประจำจะขอร้องท่านอย่างไร ท่านก็ไม่ยอมตาม
    ด้วยเมตตาสงสาร และ ต้องการให้กำลังใจแก่ญาติโยมทุกคนที่มาพบท่าน

    ท่านเป็นดุจพ่อ

    หลวงปู่ดู่ ท่านเป็นดุจพ่อ...ของลูกศิษย์ทุกๆคน
    เหมือนอย่างที่พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นเรียกหลวงปู่มั่นว่า “ พ่อแม่ครูอาจารย์ ”
    ซึ่งถือเป็น คำยกย่องอย่างสูง เพื่อให้สมฐานะอันเป็นที่รวมแห่งความเป็นกัลยาณมิตร

    หลวงปู่ดู่ท่านให้การต้อรับแขกอย่างเสมอหน้ากันหมด ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ท่านจะพูดห้ามปราม
    หากมีผู้มาเสนอตัวเป็นนายหน้า คอยจัดแจงเกี่ยวกับแขกที่เข้ามานมัสการท่าน ถึงแม้จะด้วยเจตนาดี
    อันเกิดจากความห่วงใยในสุขภาพของท่านก็ตาม เพราะท่านทราบดีว่า มีผู้ใฝ่ธรรมจำนวนมากที่อุตส่าห์เดินทางมาไกล
    เพื่อนมัสการ และซักถามข้อธรรมจากท่าน หากมาถึงแล้วยังไม่สามารถเข้าพบท่านได้โดยสะดวกก็จะทำให้เสียกำลังใจ

    นี้เป็นเมตตาธรรมอย่างสูง ซึ่งนับเป็นโชคดีของบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าใกล้หรือไกล ที่สามารถมีโอกาสเข้ากราบนมัสการท่านได้โดยสะดวก หากมีผู้สนใจการปฏิบัติกรรมฐานมาหาท่าน ท่านจะเมตตาสนทนาธรรมเป็นพิเศษ อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย บางครั้งหลวงพ่อก็มิได้กล่าวอะไรมาก เพียงการทักทายศิษย์ด้วยถ้อยคำสั้นๆ เช่น
    “ เอ้า . . . กินน้ำชาสิ ” หรือ “ ว่า ไง . . ” ฯลฯ
    เท่านี้ก็เพียงพอที่ยังปีติให้เกิดขึ้นกับศิษย์ผู้นั้น เหมือนดังหยาดน้ำทิพย์ชโลมให้เย็นฉ่ำ
    เกิดความสดชื่นตลอดร่างกายจน . . . ถึงจิต . . . ถึงใจ

    หลวงปู่ดู่ท่านให้ความเคารพในองค์ หลวงปู่ทวด อย่างมาก
    ทั้งกล่าวยกย่อง ในความที่เป็นผู้ที่มีบารมีธรรมเต็มเปี่ยม
    ตลอดถึงการที่จะได้มาตรัสรู้ธรรมในอนาคต ให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายยึดมั่นและหมั่นระลึกถึง
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อติดขัดในระหว่างการปฏิบัติธรรม หรือแม้แต่ประสบปัญหาในทางโลกๆ
    ท่านว่า..หลวงปู่ทวด...ท่านคอยจะช่วยเหลือทุกคนอยู่แล้ว
    แต่ขอให้ทุกคนอย่าได้ท้อถอย หรือ ละทิ้งการปฏิบัติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _8_659.jpg
      _8_659.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.2 KB
      เปิดดู:
      2,506
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ตุลาคม 2012
  2. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    (ต่อ)​


    [​IMG]


    หลวงปู่ดู่กับครูอาจารย์ท่านอื่น

    ในระหว่างปี พ.ศ.๒๕๓๐ - ๒๕๓๒ ได้มีพระเถระ และ ครูบาอาจารย์หลายท่าน เดินทางมาเยี่ยมเยียนหลวงปู่ดู่ เช่น
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรี ท่านเป็นพระเถระซึ่งมีอายุย่างเข้า ๙๖ ปี ก็ยังเมตตามาเยี่ยม
    หลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก ถึง ๒ ครั้ง และบรรยากาศของการพบกันของท่านทั้งสองนี้ เป็นที่ประทับใจผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างยิ่ง เพราะต่างองค์ต่างอ่อนน้อมถ่อมตน ปราศจากการแสดงออกซึ่งทิฏฐิมานะใดๆ เลย

    แป้งเสกที่หลวงปู่บุดดาเมตตามอบให้หลวงปู่ดู่
    ท่านก็เอามาทาที่ศีรษะเพื่อแสดงถึงความเคารพอย่างสูง

    พระเถระอีกท่านหนึ่ง ซึ่งได้เดินทางมาเยี่ยมหลวงปู่ดู่ค่อนข้างบ่อยครั้งคือ
    หลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก จังหวัดพิจิตร ท่านมีความห่วงใยในสุขภาพของหลวงปู่ดู่อย่างมาก โดยได้สั่งให้ลูกศิษย์จัดทำป้ายกำหนดเวลารับแขกในแต่ละวันของหลวงปู่ดู่ เพื่อเป็นการถนอมธาตุขันธ์ของหลวงปู่ให้อยู่ได้นานๆ แต่อย่างไรก็ดี ไม่ช้าไม่นานหลวงปู่ดู่ท่านก็ให้นำป้ายออกไป เพราะเหตุแห่งความเมตตา ที่ท่านมีต่อผู้คนทั้งหลาย

    ในระยะเวลาเดียวกันนั้น ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร วัดพระธาตุดอนเรือง ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่โง่น โสรโย ก็ได้เดินทางมากราบนมัสการหลวงปู่ดู่ ๒ ครั้ง โดยท่านได้เล่าให้ฟังภายหลังว่า เมื่อได้มาพบหลวงปู่ดู่ จึงได้รู้ว่า หลวงปู่ดู่ก็คือ พระภิกษุชราภาพที่ไปสอนท่านในสมาธิ ในช่วงที่ท่านอธิษฐานเข้ากรรมปฏิบัติไม่พูด ๗ วัน ซึ่งท่านก็ได้แต่กราบระลึกถึงอยู่ตลอดทุกวัน โดยไม่รู้ว่าพระภิกษุชราภาพรูปนี้คือใคร

    กระทั่งได้มีโอกาสมาพบหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก เกิดรู้สึกเหมือนดังพ่อลูกที่จากกันไปนานๆ
    แม้ครั้งที่ ๒ ที่พบกับหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ดู่ก็ได้พูดสอนให้ท่านเร่งความเพียร
    เพราะหลวงปู่จะอยู่อีกไม่นาน
    ครูบาบุญชุ่มยังได้เล่าว่า ท่านตั้งใจจะกลับไปวัดสะแกอีก เพื่อหาโอกาสไปอุปัฏฐากหลวงปู่ดู่
    แต่แล้วเพียงระยะเวลาไม่นานนักก็ได้ข่าวว่า หลวงปู่ดู่ มรณภาพ ยังความสลดสังเวชใจแก่ท่าน
    ท่านได้เขียนบันทึกความรู้สึกในใจของท่าน ไว้ในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ดู่ ตอนหนึ่งว่า

    “…หลวงปู่ท่านมรณภาพสิ้นไป เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างส่องแจ้งในโลกดับไป
    อุปมาเหมือนดังดวงประทีปที่ให้ความสว่างไสวแก่ลูกศิษย์ได้ดับไป
    ถึงแม้ พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้มรณะไปแล้ว แต่บุญญาบารมีที่ท่านแผ่เมตตาและรอยยิ้ม อันอิ่มเอิบ
    ยังปรากฏฝังอยู่ในดวงใจอาตมา มิอาจลืมได้

    ….ถ้าหลวงปู่มีญาณรับทราบ และแผ่เมตตาลูกศิษย์ลูกหาทุกคน ขอให้พระเดชพระคุณหลวงปู่เข้าสู่ พระนิพพานเป็นอมตะแด่ท่านเทอญ กระผมขอกราบคารวะพระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    ด้วยความเคารพสูงสุด

    นอกจากนี้ยังมีพระเถระอีกรูปหนึ่งที่ควรกล่าวถึงเพราะหลวงปู่ดู่ให้ความยกย่องมากในความเป็นผู้มีคุณธรรมสูง
    และเป็นแบบอย่างของผู้ที่มีความเคารพในพระรัตนตรัยเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหลวงปู่ดู่ได้แนะนำสานุศิษย์ให้ถือท่าน
    เป็นครูอาจารย์อีกท่านหนึ่งด้วย นั่นก็คือ หลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง

    ปัจฉิมวาร

    นับแต่ พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นต้นมา สุขภาพของหลวงปู่เริ่มแสดงไตรลักษณะ ให้ปรากฏอย่างชัดเจน สังขารร่างกายของหลวงปู่ ซึ่งก่อเกิดมาจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และมีใจครองเหมือนเราๆท่านๆ เมื่อสังขารผ่านมานานวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีการใช้งานมาก และพักผ่อนน้อย ความทรุดโทรมก็ย่อมเกิดเร็วขึ้นกว่าปรกติ กล่าวคือ สังขารร่างกายของท่านได้เจ็บป่วย อ่อนเพลียลงไปเป็นลำดับ

    ในขณะที่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งญาติโยม และบรรพชิตก็หลั่งไหลกันมานมัสการท่านเพิ่มขึ้นทุกวัน
    ในท้ายที่สุดแห่งชีวิตของหลวงปู่ดู่ ด้วยปณิธานที่ตั้งไว้ว่า “สู้แค่ตาย”
    ท่านใช้ความอดทน อดกลั้นอย่างสูง แม้บางครั้งจะมีโรคมาเบียดเบียนอย่างหนัก
    ท่านก็อุตส่าห์ออกโปรดญาติโยมเป็นปกติ

    พระที่อุปัฏฐากท่านได้เล่าให้ฟังว่า
    บางครั้งถึงขนาดที่ท่านต้องพยุงตัวเองขึ้นด้วยอาการสั่น และมีน้ำตาคลอเบ้า
    ท่านก็ไม่เคยปริปากให้ใคร ต้องเป็นกังวลเลย

    ในปีท้ายๆ ท่านถูกตรวจพบว่าเป็น โรคลิ้นหัวใจรั่ว
    แม้นายแพทย์จะขอร้องท่านเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ท่านก็ไม่ยอมไป
    ท่านเล่าให้ฟังว่า “แต่ก่อนเราเคยอยากดี
    เมื่อดีแล้วก็เอาให้หายอยาก อย่างมากก็สู้แค่ตาย
    ใครจะเหมือนข้า ข้าสู้จนตัวตาย

    มีบางครั้งได้รับข่าวว่า ท่านล้ม ขณะกำลังลุกเดินออกจากห้อง...เพื่อออกโปรดญาติโยม

    คือประมาณ ๖ นาฬิกา อย่างที่เคยปฏิบัติอยู่ทุกวัน โดยปกติในยามที่สุขภาพของท่านแข็งแรงดี ท่านจะเข้าจำวัดประมาณสี่ห้าทุ่ม แต่กว่าจะจำวัดจริงๆ ประมาณเที่ยงคืน หรือ ตีหนึ่ง แล้วมาตื่นนอนตอนประมาณตีสาม มาช่วงหลังที่สุขภาพของท่านไม่แข็งแรง จึงตื่นตอนประมาณตีสี่ถึงตีห้า เสร็จกิจทำวัตรเช้าและกิจธุระส่วนตัว แล้วจึงออกโปรดญาติโยมที่หน้ากุฏิ

    ประมาณปลายปี พ.ศ.๒๕๓๒ หลวงปู่ดู่พูดบ่อยครั้งในความหมายว่า ใกล้ถึงเวลาที่ท่านจะละสังขารนี้แล้ว
    ในช่วงท้ายของชีวิตท่าน ธรรมที่ถ่ายทอดยิ่งเด่นชัดขึ้น
    มิใช่ด้วยเทศนาธรรมของท่าน
    <O:p</O:p
    หากแต่เป็นการสอน ด้วยการปฏิบัติให้ดู
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิปทาในเรื่องของ ความอดทน

    สมดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ว่า
    “ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ....ความอดทนเป็นตบะอย่างยิ่ง
    แทบจะไม่มีใครเลย นอกจากโยมอุปัฏฐากใกล้ชิดที่ทราบว่า
    ที่ท่านนั่งรับแขกบนพื้นไม้กระดานแข็งๆ ทุกวันๆ
    ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เป็นระยะเวลานับสิบๆ ปี ด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใส
    ใครทุกข์ใจมา ท่านก็แก้ไขให้ได้รับความสบายใจกลับไป
    แต่เบื้องหลังก็คือ ความลำบากทางธาตุขันธ์ของท่าน ที่ท่านไม่เคยปริปากบอกใคร

    กระทั่งวันหนึ่งโยมอุปัฏฐากได้รับการไหว้วานจากท่านให้เดินไปซื้อยาทาแผลให้ท่าน จึงได้มีโอกาสขอดู
    และได้เห็นแผลที่ก้นท่าน ซึ่งมีลักษณะแตกซ้ำๆ ซากๆ ในบริเวณเดิม

    เป็นที่สลดใจ...จนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้

    ท่านจึงเป็นครูที่เลิศ
    สมดังพระพุทธโอวาทที่ว่า
    สอนเขาอย่างไร พึงปฏิบัติให้ได้อย่างนั้น

    ดังนั้น ธรรมในข้อ “อนัตตา” ซึ่งหลวงปู่ท่านยกไว้เป็นธรรมชั้นเอก ท่านก็ได้ปฏิบัติให้เห็นเป็นที่ประจักษ์
    แก่สายตาของศิษย์ทั้งหลายแล้วถึงข้อปฏิบัติต่อหลักอนัตตาไว้อย่างบริบูรณ์ จนแม้ความอาลัยอาวรณ์
    ในสังขารร่างกาย ที่จะมาหน่วงเหนี่ยว หรือ สร้างความทุกข์ร้อนแก่จิตใจท่าน ก็มิได้ปรากฏให้เห็นเลย

    </O:p
    ในตอนบ่ายของวันก่อนหน้าที่ท่านจะมรณภาพ ขณะที่ท่านกำลังเอนกายพักผ่อนอยู่นั้น ก็มีนายทหารอากาศ
    ผู้หนึ่งมากราบนมัสการท่าน ซึ่งเป็นการมาครั้งแรก
    หลวงปู่ดู่ได้ลุกขึ้นนั่งต้อนรับด้วยใบหน้าที่สดใส ราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ
    กระทั่งบรรดาศิษย์ ณ ที่นั่นเห็นผิดสังเกต หลวงปู่แสดงอาการยินดีเหมือนรอคอยบุคคลผู้นี้มานาน

    ท่านว่า ต่อไปนี้ข้าจะได้หายเจ็บหายไข้เสียที”

    ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า...ท่านกำลังโปรดลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่าน
    หลวงปู่ดู่ท่านได้ย้ำในตอนท้ายว่า “ข้าขอฝากให้แกไปปฏิบัติต่อ”
    ในคืนนั้นก็ได้มีคณะศิษย์มากราบนมัสการท่าน ซึ่งการมาในครั้งนี้ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเช่นกันว่า
    จะเป็นการมาพบกับสังขารธรรมของท่าน...เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

    หลวงปู่ดู่ได้เล่าให้ศิษย์คณะนี้ฟังด้วยสีหน้าปรกติว่า
    “ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดในร่างกายข้า ที่ไม่เจ็บปวดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้องไอซียูไปนานแล้ว

    พร้อมทั้งพูดหนักแน่นว่า “ข้าจะไปแล้วนะ”

    ท้ายที่สุดท่านก็เมตตากล่าวย้ำให้ทุกคนตั้งอยู่ใน ความไม่ประมาท
    <O:p</O:p“ถึงอย่างไรก็ขออย่าได้ทิ้งการปฏิบัติ
    ก็เหมือนนักมวยขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่า เงอะๆงะๆ

    <O:p</O:p
    นี้ดุจเป็น ปัจฉิมโอวาท แห่งผู้เป็นพระบรมครูของผู้เป็นศิษย์ทุกคน อันจะไม่สามารถลืมเลือนได้เลย

    หลวงปู่ดู่ ได้ละสังขารไปด้วยอาการอันสงบด้วยโรคหัวใจในกุฏิท่าน
    เมื่อเวลาประมาณ ๕ นาฬิกา ของวันพุธที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓
    อายุ ๘๕ ปี ๘ เดือน อายุพรรษา ๖๕ พรรษา
    สังขารธรรมของท่านได้ตั้งบำเพ็ญกุศลโดยมีเจ้าภาพสวดอภิธรรมเรื่อยมาทุกวันมิได้ขาด
    ตลอดระยะเวลา ๔๕๙ วัน จนกระทั่งได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ
    ในวันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๔

    พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้อุปสมบทและจำพรรษาอยู่ ณ วัดสะแก มาโดยตลอด
    จนกระทั่งมรณภาพ ยังความเศร้าโศก และอาลัยแก่ศิษยานุศิษย์ และผู้เคารพรักท่านเป็นอย่างยิ่ง
    อุปมาดั่งดวงประทีปที่เคยให้ความสว่างไสวแก่ศิษยานุศิษย์ได้ดับไป
    แต่เมตตาธรรม และ คำสั่งสอนของท่าน
    จะยังปรากฏอยู่ใน...ดวงใจของศิษยานุศิษย์ และผู้ที่เคารพรักท่านตลอดไป

    บัดนี้ สิ่งที่คงอยู่มิใช่สังขารธรรมของท่าน
    หากแต่เป็นหลวงปู่ดู่องค์แท้...ที่ศิษย์ทุกคนจะเข้าถึงท่านได้
    ด้วยการสร้างคุณงามความดี ให้เกิดให้มีขึ้นที่ตนเอง
    สมดังที่ท่านได้กล่าวไว้เป็นคติว่า

    ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว ก็ยังไม่นับว่าแกรู้จักข้า
    แต่ถ้าเมื่อใด แกเริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว
    เมื่อนั้น...ข้าจึงว่าแกเริ่มรู้จักข้าดีขึ้นแล้ว

    ธรรมทั้งหลายที่ท่านได้พร่ำสอน ทุกวรรคตอนแห่งธรรม ที่บรรดาศิษย์ได้น้อมนำมาปฏิบัตินั้นก็คือ
    การที่ท่านได้เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามบนดวงใจของศิษย์ทุกคน
    ซึ่งนับวันจะเติบใหญ่ผลิดอก ออกผลเป็น สติ และ ปัญญา

    บนลำต้นที่แข็งแรงคือ สมาธิ
    และบนพื้นดินที่มั่นคงแน่นหนาคือ ศีล
    สมดังเจตนารมณ์ที่ท่านได้ทุ่มเททั้งชีวิต ด้วยเมตตาธรรมอันยิ่ง
    อันจักหาได้ยากทั้งในอดีต ปัจจุบัน และ...อนาคต


    ขอบคุณข้อมูล.. http://palungjit.org/threads/ประวัติ-หลวงปู่ดู่-พรหมปัญโญ.248174/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _46_721.jpg
      _46_721.jpg
      ขนาดไฟล์:
      141.1 KB
      เปิดดู:
      1,690
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ตุลาคม 2012
  3. ganyamala

    ganyamala เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +168
    ขอขอบคุณท่านผู้แบ่งปัน เป็นอย่างสูง ขอบคุณจริงๆครับ
     
  4. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD height="100%" vAlign=top width="85%">
    ธรรมะสั้นๆ ของหลวงปู่ดู่

    [​IMG]




    ".....เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ"

    "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือ กรรม"

    "คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร"

    "ของดีอยู่ที่ตัวเราหมั่นทำ(ปฏิบัติ)เข้าไว้"

    "ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต"

    "อย่าลืมตัวตาย"

    "ให้หมั่นพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

    "ที่แกปฏิบัติอยู่ให้รู้ไว้ว่าไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อตัวแกเอง"

    "ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว ก็ไม่นับว่าแกรู้จักข้า
    แต่ถ้าเมื่อใดที่เริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว
    เมื่อนั้น ข้าว่าแกรู้จักข้าดีขึ้นแล้ว"

    "บุญนั้นหมั่นทำไว้ปฏิบัติไว้ คนไหนที่เขาว่าทำได้ดีได้เห็นอะไรก็ตาม
    โมทนาไปเลยไม่มีเสียมีแต่ได้ อย่าไปขัดเขา"

    "หมั่นทำเข้าไว้...ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต
    ...ของดีอยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา"

    "ปฏิบัติแล้ว โลภ โกรธ หลง แกลดน้อยลงหรือเปล่าล่ะ ถ้าลดลงข้าว่าแกใช้ได้"

    "นั่งไปเถอะ สว่างก็ได้บุญ มืดก็ได้บุญ"

    "โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม"

    "ธรรมนั้น อยู่ฟากตาย"

    "ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นตามดูจิต รักษาจิต"

    "ตัวตายน่ะ ตัวสำเร็จ"

    "นิพพาน อยู่ฟากตาย"

    "ถ้าไม่เอา(ปฏิบัติ) เป็นเถ้าเสียดีกว่า"

    "เรื่องของคนอื่น เราไปแก้เขาไม่ได้ ที่แก้ได้คือตัวเรา แก้ข้างนอกเป็นเรื่องโลก แต่แก้ที่ตัวเรานี่เป็นเรื่องธรรม"

    "เชื่อไหมหละ ถ้าเราเชื่อจริง ทำจริง มันก็เป็นของจริง ของจริงมีอยู่ แต่เรามันไม่เชื่อจริง จึงไม่เห็นของจริง"

    "ติดวัตถุมงคล ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล"

    "เอาของจริงดีกว่า พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สรณัง คัจฉามิ นี่แหละของแท้"

    "ของจริง ต้องหมั่นทำ"

    "ถ้าแกเกลียดกิเลสเหมือนหมาเน่า หรือของบูดเน่าก็ดี ให้เกลียดให้ได้อย่างนั้น"

    "ข้าไม่มีอะไรให้แก
    (ธรรม)ที่สอนไปนั้นแหละ ให้รักษาเท่าชีวิต"

    "แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก
    แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็ยังคิดถึงแก"

    "หมั่นทำเข้าไว้ พระท่านคอยจะช่วยเราอยู่แล้ว แล้วเราได้ช่วยเหลือตัวเองก่อนหรือยัง"

    "ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาวนี่แหละดี เพราะเมื่อแก่เฒ่าไปแล้ว จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย หากจะรอไว้ให้แก่เสียก่อน แล้วจึงค่อยปฏิบัติ ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำเอาตอนที่แพใกล้จะแตก มันจะไม่ทันการณ์"

    "ถ้ามันไม่ดีหรือไม่ได้พบความจริงก็ให้มันตาย ถ้ามันไม่ตายก็ให้มันดี หรือได้พบกับความจริง"

    "แกจะรู้เหรอว่า แกจะตายเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าแกเดินออกไปจากกุฏิข้าแล้ว อาจถูกงูกัดตายเสียกลางทางก่อนไปจับปลา จับกุ้ง ก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อตอนนี้แกยังไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร ยังไง ๆ ก็ให้มีศีลไว้ก่อน ถึงจะมีศีลขาดก็ยังดีกว่าไม่มีศีล"

    "ครูอาจารย์ดี ๆ แม้จะมีอยู่มาก แต่สำคัญที่ตัวแกต้องปฏิบัติให้จริง สอนตัวเองให้มากนั่นแหละจึงจะดี"

    "คนเราทุกวันนี้ โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม เรามัวพากันยุ่งอยู่กับโลกจนเหมือนลิงติดตัง เรื่องของโลก เรื่องเละ ๆ เรื่องไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้จะต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนด้วยตนเอง"

    "ขยันก็ให้ทำ ขี้เกียจก็ให้ทำ ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำ วันไหนเลิกกินข้าวแล้ว นั่นแหละ จึงค่อยเลิกทำ"

    "ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียว เท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตัดบาตรจนขันลงหินทะลุ"

    "หมั่นทำเข้าไว้ หมั่นทำเข้าไว้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า"

    นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ
    นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ
    นะโมโพธิสัตโต พรหมปัญโญ

    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%">
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" border=0 width="100%" align=left><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา ธรรมะสั้นๆของ หลวงปู่ดู่
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 139_resize.jpg
      139_resize.jpg
      ขนาดไฟล์:
      27.8 KB
      เปิดดู:
      1,756
  5. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พระเหนือพรหม..และมหาบารมีหลวงปู่ดู่

    [​IMG]


    ช่วงที่ 1

    เขาเล่าให้ฟังว่าเขาแต่งงานอยู่กินกับภรรยามา12ปีไม่มีบุตร เลยคิดว่าชาตินี้คงไม่มีลูกไว้ดูแลยามแก่เฒ่าจึงหมดหวัง และวันหนึ่งภรรยาได้ไปหาหมอเพราะระยะหลังเธอเมารถ หมอบอกว่าเธอตั้งครรภ์ได้4เดือน ผมดีใจมากภรรยาผมแพ้ท้องมากกว่าคนอื่นในที่สุดก็คลอดลูกเป็นผู้ชายโดยเธอ ต้องแบกท้องอยูสิบเดือนกว่า ผมรับลูกชายและภรรยากลับมาอยู่บ้าน ในวันหนึ่งก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้นว่าดูหมอไหมครับนาย ผมรีบตอบทันทีว่าไม่ดูครับลุง แต่ไหนๆก็มาแล้วกินน้ำให้หายเหนื่อยก่อน

    ผมถามลุงมาจากไหน ชายผู้นั้นบอกว่าเขาเป็นคนจรหมอนหมิ่นค่ำไหนนอนนั่น ผมนึกสงสารจึงดูหมอกับแกเลยหันไปถามภรรยาว่าดูอะไรดี ภรรยาว่าดูดวงลูกเราสิ แกบวกเลขอยู่พักใหญ่แล้วพูดด้วยเสียงที่หนักแน่นว่า ลูกของนายคงอยู่กับนายได้ไม่นานไม่ถึง2ฝนจะต้องตกน้ำเป็นตายร้ายดียังบอกไม่ ได้ แต่ถ้ารอดไปได้ฝนที่5จะต้องถูกสัตว์ร้ายด้วยเขี้ยวงา ตายหรือเป็นฟ้าดินกำหนดแต่ถ้ายังไม่วายชีวา ฝน7จะต้องอาวุธร้ายเป็นตายกำหนดยาก ถ้ารอดไปได้ถึงฝนเก้าเทวดาก็ช่วยยาก

    ชายชราพูดต่อว่าที่ผมบอกนายเป็นแต่ตอนร้ายหน่อย แต่ยังมีอีกมากถ้าบอกไปกลัวนายจะใจเสียผมจึงไม่กล้าบอกนายครับ ผมพูดขึ้นอย่างไม่พอใจลุงเอาอะไรมาพูดตำราของลุงเดาเอาหรือเปล่า ท่าทางแกโมโหเหมือนกันแกพูดว่าถ้านายด่าหรือดูถูกผมไม่ว่ากัน นี่นายดูถูกตำราผม มันเกินไปผมทนไม่ได้ผมจะบอกให้เอาบุญตำราของผมตระกูลเราหลายชั่วอายุคนไม่ สอนคนนอกตระกูลคนที่จะเรียนได้ต้องเป็นลูกชายเท่านั้น ถ้าดูว่าร้ายก็ต้องร้ายถ้าดูว่าดีก็ต้องดี ดูตายไม่เคยมีใครรอดสักคนเลย แกพูดด้วยท่าทางดุดันและเอาจริง

    ผมมองดูแววตาแกมีอำนาจอะไรบางอย่างทำให้ผมขนลุกทั้งตัว ผมรู้สึกเกรงใจในความเอาจริงเอาจังของแกจึงพูดด้วยวาจาที่สุภาพว่า ลุงครับแล้วผมจะทำอย่างไรดีลุงช่วยผมหน่อยน่ะครับ แกมองผมอย่างเห็นใจ"พูดน่าฟังอย่างนี้พอคุยกันได้" ผมจะบอกให้ตำราท่านว่าดวงตกร้ายถึงปานนี้เทวดาช่วยไม่ได้ พระอรหันต์ท่านยังต้องวางเฉย แต่ผู้มีบุญใหญ่ช่วยได้ ผมถาม"ลุงครับผู้มีบุญกว่าพระอรหันต์ ผมจะหาได้ที่ไหนหล่ะ"

    ชายชราตอบว่าเรื่องนี้ผมก็ตอบนายไม่ได้เหมือนกัน ผมพยายามคุยกับแกเพื่อขอคำแนะนำแต่ก็หาทางออกไม่ได้ ผมคุยกับแกอยู่หลายชั่วโมงจนเย็นแล้วแกก็ลาผมจึงส่งเงินให้แกไป100บาท แกร้องโอ้โหตั้ง100หรือครับนายไม่เคยมีใครให้ผมมากเท่านี้เลย ชายชราผู้นั้นเดินออกจากบ้านผมไปไม่ไกลมากนัก แกหันมามองผมกับภรรยาแล้วพูดขึ้นว่า"บุญเป็นของพึ่งได้จริง"


    ช่วงที่ 2

    แล้วแกก็หันเดินจากไปจนลับสายตา ชายแปลกหน้าจากไปแล้ว ผมก็บอกกับภรรยา "เธออย่าไปฟังหมอดูมากนัก เดี๋ยวจะไม่สบายใจ เขาก็บอกว่า เขาเป็นคนจรหมอนหมิ่น เธออย่าคิดมากนะ โบราณก็เคยบอกคนจรหมอนหมิ่นเชื่อยาก" จากวันนั้นมาลูกชายเราก็ได้สองเดือนเขาเริ่มเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่บ่อย ๆ ผมและภรรยาต้องพาลูกชายเข้าออกคลีนิค-โรงพยาบาลหลายสิบครั้ง

    ลูกชายผมได้สองขวบ บ้านเราอยู่ติดกับแม่น้ำป่าสัก วันนั้นก็เหมือนกับทุกวัน ผมและภรรยาออกไปธุระนอกบ้าน น้องสาวผมเลี้ยงลูกของผมอยู่ตามปกติ น้องสาวบอกผมว่า วันนั้นเธอไม่ค่อยสบาย เลยกินยาแก้ไข้ไปสองเม็ดจึงง่วงนอน และหลับไป ตื่นอีกครั้งก็ได้ยินคนตะโกนว่า "เด็กตกน้ำ!" เธอก็วิ่งไปดู มองเห็นหลานนอนอยู่ โดยมีคนสองคนผายปอดให้อยู่ แต่เด็กก็ไม่มีอาการดีขึ้น

    คนข้างบ้านช่วยกันเอารถไปส่งโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่า เด็กขาดอากาศนานเกินไป หมอไม่แน่ใจว่าจะมีความหวังอยู่เท่าไหร่ อยากให้ญาติทำใจ ลูกผมอยู่ รพ.หลายวัน อาการก็ยังไม่มีทีท่าจะดีขึ้น และอยู่ ๆ วันหนึ่งลูกชายผมก็ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ ไม่นานก็กลับบ้านได้ ลูกชายผมเกิดเรื่องอีกมากมายหลายอย่าง จนน่าเป็นห่วงว่าชีวิตของเขาจะรอดไปได้หรือไม่

    ในปีที่เขาอายุครบห้าขวบ ขณะเท่ากับห้าฝนพอดี ตอนนี้เขาเข้าโรงเรียนแล้ว วันนี้ที่เขาและเพื่อน ๆ วิ่งเล่นกันอยู่ในสนามของโรงเรียน มีหมาตัวหนึ่งวิ่งตรงมากัดลูกชายผม จนเป้นแผลลึกและใหญ่ถึงสี่เขี้ยว ทั้ง ๆ ที่มีเด็กตั้งมากมายวิ่งเล่นกันอยุ่แต่หมาตัวนั้นกลับไม่สนใจเด็กคนอื่น กัดเฉพาะลูกชายของผมเพียงคนเดียว แล้วมันก็วิ่งจากไป

    เรารักษาเขาตามประสาแบบชาวบ้าน ผู้เฒ่าของชาวบ้านที่คนทั่วไปนับถือวาแกมีวิชาต่าง ๆ เช่น สูณฝี กวาดยา พ่นลมพิษ งูสวัต และรักษาได้อีกหลายอย่างตามแบบอย่างหมอประจำหมู่บ้านทั่วไป ผมพาลูกชายไปหาปู่ใหญ่ แกก็นำว่านยาหลายชนิดมาบดแล้วปิดแปลให้แกบอกว่า "ไอ้หนูไม่เป็นอะไร แล้วมาหาปู่ เปลี่ยนยาสามวันก็หาย" ผมถามปู่ใหญ่ว่า "คืนนี้ลูกผมจะปวดแผลหรือครับ" แกบอกว่า "รักษามามารกไม่เคยมีคนมาบอกว่าปวดเลยสักคน ว่านยาที่ใส่ให้แก้ได้ทั้งพิษงูและพิษสัตว์ร้ายต่าง ๆ เอ็งไม่ต้องห่วงหรอกไอ้หนู"

    ผมพาลูกชายไปให้แกเปลี่ยนว่านยาทุกวัน จนครบสามวัน แต่พอถึงวันที่สี่ลูกชายผมก็มีอาการหนัก ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก สิ่งเดียวที่คิดได้คือพาลูกชายไป รพ. พอถึงมือหมอทั้งหมอและพยาบาลวิ่งวุ่นไปหมด หมอบอกว่า อาการน่าเป็นห่วงสงสัยหมาที่กัดเขาคงเป็นหมาบ้า ผมได้ยินคำว่าหมาบ้าผมนึกไม่ถึงว่าลูกชายจะโชคร้ายถึงปานนี้ วันนี้ผมเฝ้าลูกชายอยู่ที่ รพ.ทั้งคืน ประมาณตีห้าผมก็เผลอหลับไป และก็มีนางพยาบาลคนหนึ่งมาปลุกผมบอกว่า "กลับบ้านไปก่อนค่ะ ทางเราต้องเอาตัวเด็กไว้ก่อน ตอนนี้เด็กอยู่ในห้องไอซียู"

    ผมกลับบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีความหวังอะไรมากนัก เพราะผมเห็นอาการลูกชายขนาดนั้น คนเป็นพ่อยังคิดว่าจะรอดยาก อาการของเขาน่ากลัวตอนที่เขาชักจนตาค้างแล้วแน่นิ่งไป เป็นภาพที่ติดตาผมเวลานอนภาพนั้นจะปรากฏอยู่เสมอ ทำให้ผมข่มตานอนไม่ลงผมไป รพ.ทุกวัน เฝ้าเขาจนมืดหรือบางวันก็ดึก ถึงจะกลับบ้าน ผมนอนไม่กี่ชั่วโมงก็รีบตื่นแต่เช้าไปรพ.ผมทำอยู่อย่างนี้ถึงแปดวันในวันที่ เก้าคุณหมอก็บอกว่า "เด็กพ้นขีดอันตรายแล้ว ผมดีใจกับคุณด้วยปาฏิหาริย์จริง ๆ" คุณหมอพูดแล้วเดินจากไป ส่วนผมยืนน้ำตาซึมและไหลออกมาจนเปียกแก้มสองข้าง

    ตอนนั้นผมรู้สึกว่าชีวิตครึ่งหนึ่งที่หายไปของผมได้กลับคืนมาอีกครั้ง เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวของผม ภรรยาและผมก็หวังจะฝากผีฝากไข้กับเขา ตอนไม่มีเขาเราสองคนก็ทำใจไว้แล้ว ว่าคงต้องอยู่กันตามลำพังไปจนเฒ่า และตายอย่างไม่มีผู้สืบสกุล แต่พอมีเขาความหวังเของเราก็เปลี่ยนไปจากคนสิ้นหวัง เป็นคนมีความหวัง ภรรยาของผมเป็นคนใจอ่อน จึงไม่กล้ามา รพ.ดูอาการลูกชาย คอยแต่ฟังข่าวเล่าที่ผมกลับบ้าน

    ผมก็ไม่กล้าเสี่ยงให้เธอไป รพ.ผมกลัวเธอเห็นลูกชายเป็นอะไรไปแล้วเธอจะช็อก ผมไม่อยากเสียทั้งลูกชายและภรรยา วันนั้นพอผมได้ข่าวดีจากคุณหมอ ผมรีบกล้บบ้านไปบอกข่าวดีกับภรรยา พอภรรยาของผมเธอรู้ว่าลูกรอดตายแล้ว เธอดีใจจนน้ำตาออกมาแล้วเธอก็กอดผม และพูดว่า “ลูกเราไม่จากเราไปแล้วพี่”



    ช่วงที่ 3


    นับจากวันนั้นหวนคิดไปถึงคำพูดของคนจรหมอนหมิ่นหมอดูชรา ที่แกบอกว่า ฝนสองจะต้องตกน้ำ พอลูกผมอายุได้สองขวบเขาก็ตกน้ำจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และแกบอกต่อว่าถ้ารอดไปได้ฝนห้าจะต้องถูกสัตว์ร้ายด้วยเขี้ยวงา ลูกผมครบห้าขวบก็ถูกหมาบ้ากัด พึ่งรอดมาได้ แกยังพูดอีกว่า ฝนเจ็ดจะต้องถูกอาวุธร้าย เป็นตายกำหนดยาก คำพูดของแกไม่เคยผิดเลยสักครั้งแล้วครั้งที่สามจะเป็นอย่างไร ทำให้ผมและภรรยาเกิดความกลัวถึงชะตากรรมของลูกชายเราทั้งสอง ว่าต่อไปจะดีร้ายอย่างไร

    คนแก่แถวบ้านผมบอกว่าลูกของเอ็งเป็นอย่างนี้โบราณเคราะห์ ร้ายดวงตก ต้องพาไปทำสังฆทานต่ออายุถึงจะดี แกบอกว่าเรื่องอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ดังนั้นวันต่อมาผมและภรรยา ก็พาลูกชายตะเวนไปทำสังฆทาน บางวัดท่านก็อาบน้ำมนต์ให้บ บางที่ก็ให้นอนแล้วเอาผ้าขาวมาคลุมแล้วบังสกุล

    บางวัดก็ให้ลูกผมลงไปนอนในโลงศพ แล้วสวดมนต์หลายบทเป็นการต่อชะตาต่ออายุ เมื่อผมมีเวลาว่างใครบอกว่าวัดไหนดีที่ไหนคนเขาไปทำมาแล้วดีหายเจ็บไข้ ดวงไม่ดีก็ดีในเดือน ๆ อย่างน้อยก็เดือนละสองครั้งแต่ถ้าเดือนไหนผมว่าง ก็เดือนละสี่ถึงห้าครั้งเป็นอย่างน้อย ผมทำอย่างนี้มาเป็นเวลาเกือบสองปี ด้วยความหวังว่า ทำบุญมาก ๆ ชะตากรรมของลูกชายผมจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี

    แต่พอเขาอายุได้เจ็ดขวบ วัดข้างบ้านผมจัดงานประจำปี มีการละเล่นมากมายหลายอย่าง เช่น หนัง-ลิเก-วงดนตรี ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน และของขายอีกมากลูกชายผมและเด็กข้างบ้านหลายคน ทั้งที่เล็กกว่าเขาบ้างก็มีอายุมากกว่าเป็นรุ่นพี่หลายคนพากันไปเที่ยวงาน วัดตามปกติ

    เวลาผานไปสักสองทุ่มเห้นจะได้ คนข้างบ้านก็วิ่งมาบอกว่า "พี่..ลูกพี่ถูกยิง!" ผมพูดตอบเขาไปว่า "เป็นไปได้ยังไง ลูกผมเพิ่งเจ็ดขวบจะไปมีเรื่องถึงขนาดถูกยิงมาบอกบ้านผิดหรือเปล่า" เขารีบเถียงว่า "ไม่ผิดหรอก พี่รีบไปดูลูกของพี่เถอะ เลือดท่วมตัวเลย" เมื่อเขายืนยันอย่างนั้น ผมก็รีบวิ่งไปที่งานวัด สิ่งที่ผมเห็นมีคนกลุ่มใหญ่มุงดูอะไรบางอย่าง ผมวิ่งแหวกฝูงคนเข้าไป ก็เห็นลูกชายของผมเลือดเต็มตัวไปหมดมีรถคันหนึ่งวิ่งมาจอดใกล้ ๆ และมีคนตะโกนว่า "เอาเด็กขึ้นรถเร็ว"

    ผมไม่รอให้เขาบอกเป็นครั้งที่สอง ผมรีบอุ้มลูกขึ้นรถและก็กอดลูกชายไปตลอดทาง พอถึงโรงพยาบาล ผมอุ้มลูกลงจากรถและก็วิ่งเข้า ปากก็ร้องตะโกนว่า “หมอช่วยลูกผมด้วย” ผมร้องซ้ำ ๆ อย่างนั้นตลอดทางจนถึงห้องไอซียู มีหมอและพยาบาลสามสี่คนวิ่งออกมารับ เขานำลูกผมเข้าห้องผ่าตัด พอผมจะไปดูลูกยอ่งใกล้ชิด จะเข้าเขตประตูห้องผ่าตัด พยายาลคนหนึ่งร้องบอกว่า “คุณคะเข้าไปไม่ได้ รออยู่ข้างนอกก่อน”

    เป็นอันว่าผมต้องรออยู่ข้างนอก ผมเดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมง ตัวเองเดินวนไปมากี่รอบ นานจนผมคิดว่าผมไม่เคยรออะไรนานขนาดนี้เลย ในที่สุดคุณหมอก็ออกมาบอกว่าหมอได้ผ่าเอากระสุนออกจากตัวเด็กแล้ว เขาถูกยิงถึงสามนัด ตอนนี้ยังไม่ได้สติหมอยังบอกอะไรคุณๆไม่ได้มากกว่านี้ คืนนั้นผมอยู่ที่รพ.ถึงเช้า ทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้าของผมมีแต่เลือดของลูกชายแดงเต็มอกเสื้อ พอเช้าเช้าเพื่อนของผมรู้ข่าวก็พากันมาเยี่ยมกันหลายคน มีเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเขาบอกว่าเด็กวัยรุ่นมีเรื่องกัน ชกต่อยกันจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

    ขณะกำลังชุลมุนกันอยู่ก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด วัยรุ่นต่างแตกกระจายวิ่งกันไปคนละทิศคนละทาง หันมาเห็นอีกทีลูกของผมก็นอนอยู่ที่พื้น ผมพูดกับเพื่อนว่า “พวกมันมีเรื่องกันต่อยกันและก็ยิงปืนใส่กันพวกมันไม่เป็นอะไร แต่ลูกกูไม่ได้มีเรื่องแต่กลับถูกลูกปืนกูไม่เข้าใจจริงๆ" ลูกของผมนอนอยู่ รพ.หลายวันคุณหมอก็บอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องอยู่ รพ.เดือนกับห้าวันจึงกลับบ้านได้

    เขากลับมาอยู่กันอีกครั้ง ผมและภรรยายิ่งให้ความรักและความห่วงใยเขามากกว่าเก่า ภรรยาของผมพูดกับผมว่า "ลุง หมอดูบอกว่าลูกเราเจ็ดฝนจะถูกอาวุธร้ายนี่พอเขาเจ็ดขวบลูกเราก็ถูกยิงแต่ ครั้งนี้ลูกเรารอดมาได้ ก้เพราะอาจเป็นบุญที่เราพาเขาทำมาตลอด แต่ครั้งหน้าลูกเราคงไม่รอดหรอกพี่ เพราะหมอดูเฒ่าแกบอกว่าฝนเก้าเทวดาก็ช่วยไม่ได้" ผมปลอบใจภรรยาว่า "แกอาจดูไม่ถูกก็ได้" เธอเถียงทันที "พี่ก็บอกย่างนี้ทุกทีแล้วเป็นไง ลุงหมอดูแกพูดอย่งไรไม่เคยผิดเลยสักครั้ง”

    ผมจนด้วยเหตุผลเลยเถียงเธอไม่ขึ้น เพราะสิ่งที่เธอพูดเป็นจริงทุกอย่าง ผมเริ่มคิดหนักว่าลูกจะไม่มีชีวิตอยู่กับเราไม่นานเท่าไร แต่ไม่กล้าบอกภรรยา ได้แต่พาลูกชายไปทำบุญให้ได้มากที่สุด เพราะผมเชื่อว่า บุญเท่านั้นที่จะติดตามเหมือนเงาตามตัวเขาไปได้ นอกจากบุญคงไม่มีอะไรช่วยเขาได้เลย ผมยังจำได้ก่อนหมอดูชราจะจากไป แกหันมาพูดว่า “บุญเป็นของพึ่งได้จริง”

    ลูกชายผมเกิด พ.ศ.2520 ตอนนี้ พ.ศ.2529 ลูกชายของผมก็จะมีอายุ 9 ขวบพอดี ปีนั้นลูกชาย อยากไปเที่ยวที่ไหน ผมและภรรยาไม่เคยขัดใจเขา ลูกอยากกินอะไร ภรรยาจะให้เขากินตลอด ในปีนั้นผมและภรรยาหยุดงานมากเป็นพิเศษ ใช้เวลาอยู่กับลูกชายเป็นส่วนใหญ่ วันหนึ่งมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง มาบอกว่า

    ที่ วัดสะแกเกิดปาฏิหาริย์ คนกรุงเทพฯ จะมาเป็นเจ้าภาพกฐินเพื่อซ่อมหลังคาโบสถ์อยู่ ๆ ภาพหลวงปู่ทวด หลวงพ่อดู่ ก็ปรากฏขึ้นตามองค์พระพุทธรูปที่ฉัตรหน้ากุฏิหลวงพ่อดู่ ก็มีเทวดาอยู่ตามชั้นของยอดฉัตรเต็มไปหมด ผมถามเพื่อนว่าขนาดมีเทวดาเชียวหรือ นึกว่าเทวดามีแต่ในหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ และผมก็พาลูกชายกับภรรยาไปวัดสะแก แต่ก็ไม่ได้มีความหวังอะไรมากนัก ไปทำบุญเหมือนกับวัดอื่น ๆ ที่เคยไปทำบุญมา

    ผมไปถึงวัดหลังเพล พระท่านฉันเพลแล้ววันนั้นมีคนไปทำบุญมากพอสมควร ผมและภรรยาทำบุญ ใส่ตู้กฐินคนละหนึ่งร้อยบาท ส่วนลูกชายผมเขาล้วงเงินในกระเป๋ากางเกงของเขาแต่เขามีเงินอยู่เพียงห้าบาท ผมเห็นเขาเอาเงินใส่ตู้กฐินและยกมือขึ้นไหว้ เห็นดังนั้นผมก็บอกเขาว่าเดี๋ยวพ่อให้ร้อยหนึ่ง แล้วไปใส่ตู้ใหม่นะลูก พอดีมีคนสองคนเดินผ่านมา คนหนึ่งพูดว่า "รีบไปกันเถอะหลวงพ่อดู่จะถึงเวลาจำวัตรแล้ว"

    พอผมได้ยินว่ารีบไปกันเถอหลวงพ่อดู่จะถึงเวลาจำวัตรแล้ว ผมหันมาบอกภรรยา "เรารีบไปหาหลวงพ่อก่อนเถอะ" เราทั้งสามคนก็ไปที่กุฏิหลวงพ่อดู่ มีคนอยู่ก่อนแล้วสิบกว่าคน ผมพาภรรยาและลูกเข้าไปใกล้ท่าน และกราบท่านสามครั้ง ท่านเห็นเราทั้งสาม ท่านก็ยิ้มอย่างเมตตา

    ผมพูดบอกท่านว่า “หลวงพ่อครับ ผมพาลูกชายมาให้หลวงพ่อเมตตาสะเดาะเคราะห์ให้เขาครับ" ผมทำท่าจะเล่าความเป็นมาของลูกชายผมให้ท่านฟัง ท่านก็ยกมือขึ้นห้าม แล้วท่านพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว แกไม่ต้องบอกหรอก” ผมนึกในใจยังไม่ได้เล่า ท่านจะรู้ได้อย่างไร ผมถามต่อ “หลวงพ่อครับผมต้องเตรียมอะไรบ้างครับ” ท่านตอบ “ไม่ต้องเตรียมอะไร” ผมร้อง “อ้าว แล้วจะทำอย่างไร"

    ผมก็พูดต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอให้ลูกชาย เอาเงินไปใส่ตู้กฐินทำบุญก่อนนะครับ” ท่านพูดว่า “ห้าบาทก็เกินพอแล้ว” ท่านเรียกลูกชายผมเข้าไปใกล้ๆ แล้วบอกเขาว่า "เดี๋ยวเวลาข้าให้พร แกก็พูดว่า พรใด ๆ ที่ได้นี้ขอให้ติดตามข้าตลอดไป แกเข้าใจไหม” เขาตอบท่านว่า “เข้าใจครับ” และหลวงพ่อก็เริ่มให้พร ลูกผมก็พูดตามที่ท่านสอน ไม่ถึงห้านาที ท่านลืมตาขึ้นแล้วบอกว่า "เสร็จเรียบร้อย"

    ผมถามท่านทันทีว่า “เสร็จแล้วหรือครับหลวงพ่อ” ท่านตอบ “ก็เสร็จนะสิ” ผมบอกท่านว่า "ไปมาหลายที่ ทุกวัดเขาทำกันตั้งนาน ให้นอนในโลงศพบ้าง อาบน้ำมนต์ก็มีสารพัดวิธี บางทีเป็นชั่วโมงก็เคย" ท่านตอบว่า “ข้าไม่ต้องตั้งท่ามาก” ท่านหันไปพูดกับลูกชายผมว่า “เอ็งมันดวงไม่เหมือนชาวบ้านเขา เอาพระเหนือพรหมของข้าไปติดตัวไว้” ผมบอกท่านอีกว่า “หลวงพ่อครับ หมอดูบอกว่ลูกชายผมจะอยู่ไม่เกินเก้าขวบ” ท่านก็ว่า “ข้าไม่ใช่หมอดู แต่ข้าบอกว่าไม่ตายก็ไม่ตายหรอกแก”

    ผมคิดในใจว่าจะเชื่อได้มากแค่ไหนก็ยังไม่รู้ มีลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งฟังอยู่ใกล้ๆ เขาพูดกับผมว่า "แต่ โบราณมาเชื่อกันว่า พระพรหมเป็นผู้ลิขิตชีวิตมนุษย์ให้ดีร้าย ยากจน หรือร่ำรวยและมีชีวิตอยู่ยืนยาวหรือสั้นก็ตามแต่ท่านจะลิขิต หลวงพ่อดู่ของพรวกเราสอนว่า “ใครจะใหญ่เกินกรรม” ท่าน ให้พวกเราทำแต่กรรมดี พี่ไม่ต้องกลัวลูกชายตายหรอก เพราะหลวงพ่อท่านให้พระเหนือพรหมเขาไปแล้ว และอีกอย่างหนึ่งพี่กับลูกทำบุญกฐินปีนี้กับหลวงพ่อ ท่านบอกว่ากฐินปีนี้เป็นบุญใหญ่ แม้แต่เทวาเทพ พรหม ยังมาร่วมอนุโมทนาด้วยเลย"

    ใคร ๆ เขาก็เห็นกันทั้งวัด ผมก็เห็นเหมือนกัน ผมเกิดมาไม่เคยเห็นหลวงปู่ทวด วันนี้มาวัดสะแกก็ได้เห็นเป็นบุญตา เราสามคนลาหลวงพ่อดู่กลับ ท่านก็พูดว่า “บุญเป็นของพึ่งได้จริง” ผมนึกในใจเคยได้ยินคำพูดนี้ที่ไหน นึกไม่ออก

    เขาบอกว่าเวลาใดผ่านไปนานหลายปี ทุกวันนี้เขายังคิดถึงหลวงพ่อดู่อยู่ตลอด เพราะท่านมีพระคุณกับครอบครัวของเขามากเหลือเกิน หลวงพ่อดู่ท่านละสังขารไปนานแล้ว แต่ท่านจะอยู่ในใจของเขาตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่

    ผู้เขียนพบกับเขาที่วัดสะแก เมื่อปี พ.ศ.2540 เขาบอกว่า ลูกชายทำบุญเพียงห้าบาทกับกฐินครั้งนั้น หรือเป็นเพราะหลวงพ่อดู่ท่านให้พร หรือเพราะพระหรหมของหลวงพ่อ ที่ลูกชายผมห้อยคอจนถึงทุกวันนี้จึงทำให้เขารอดชีวิตมาถึงปี พ.ศ.2540

    พุทธคุณและปาฏิหาริย์ของพระเหนือพรหม ของหลวงปู่ดู่ ศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อดู่คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าพระเหนือพรหมของหลวยงพ่อ ใครมีไว้บูชา เรื่องร้ายจะกลับกลายเป็นดี คนดวงตกก็รอดได้ ผู้ใดได้ไข้ได้เจ็บก็หายผี และปีศาจร้ายมิอาจกล้ำกราย คุณไสยมนต์ดำการกระทำย่ำยีมิอาจครอบงำ ผู้ใดเป็นศัตรูคิดร้าย จะพินาศด้วยวิบากกรรมของตนเอง บูชาติดตัวไว้ เทพ พรหม เทวดาและมนุษย์รักใคร่เมตตาปราณี ถ้าถึงเวลาหมดอายุจิตสงบพบทางสว่างมีสุขคติเป็นที่ไปผู้ที่มีพระเหนือพรหม ของหลวงพ่อองค์เดียวก็เกินพอ

    ที่มา ข้อมูล: นะโภคทรัพย์ เล่ม7


    พระเหนือพรหม และ มหาบารมีหลวงปู่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.5.jpg
      4.5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.2 KB
      เปิดดู:
      1,547
  6. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    หลักการปฏิบัติธรรมเบื้องต้นแนวหลวงปู่ดู่..

    [​IMG]

    การปฏิบัติภาวนา.

    คำภาวนา
    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    มี ความหมายว่า "ข้าพเจ้าขอรับเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึก" ซึ่งจะขอขยายความเทียบตามหลักของ วิสุทธิมรรคคัมภีร์ ที่รจนาโดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ดังนี้

    ๑. ฐานของจิต
    การกำหนด ฐานของจิต ให้กำหนดไว้ที่หน้าผาก หรือระหว่างคิ้วทั้งสอง ตามหลักของวัดประดู่ทรงธรรม และของสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน วัดพลับ ถือว่าเป็นฐานที่ ๗ ซึ่งตามหลักท่านวางไว้ถึง ๙ ฐาน โดยฐานต่างๆ เหล่านี้ เป็นเสมือนทางผ่านของลมหายใจที่ไปกระทบ เหมือนกับหลักของอานาปานสติ ฐานทั้ง ๙ ฐานที่กำหนดไว้มีดังนี้

    ฐานที่ ๑ อยู่ต่ำกว่าสะดือ ๑ นิ้ว
    ฐานที่ ๒ อยู่เหนือสะดือ ๑ นิ้ว
    ฐานที่ ๓ อยู่ที่ทรวงอก หรือที่ตั้งของหทัยวัตถุ
    ฐานที่ ๔ อยู่ที่คอหอย หรือตรงกลางลูกกระเดือก
    ฐานที่ ๕ อยู่ที่ท้ายทอย เรียกว่า โคตรภูญาณ (ทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นที่ตั้งของสมองส่วน CEREBELLUM)
    ฐานที่ ๖ อยู่ตรงกลางกระหม่อม
    ฐานที่ ๗ อยู่กึ่งกลางหน้าผาก เรียกว่า อุณาโลม หรือทิพยสูญระหว่างคิ้ว
    ฐานที่ ๘ อยู่ระหว่างตาทั้ง ๒ ข้าง
    ฐานที่ ๙ อยู่ปลายจมูก

    หลวง ปู่ท่านบอกว่า การที่ให้ตั้งจิตไว้ตรงตำแหน่งกลางหน้าผากที่เดียวในเบื้องต้นนั้น ก็เพื่อจะได้ไม่ไปพะวงกับลมหายใจ ซึ่งอาจทำให้จิตใจวอกแวกในขณะที่ปฏิบัติ สำหรับผู้เริ่มภาวนาบางราย แต่ฐานสำคัญที่ท่านเน้นก็คือ ฐานที่ ๖ (ตรงกลางกระหม่อม) ท่านว่าฐานจริงๆ อยู่ตรงนี้ แต่จะต้องให้มีความชำนาญในทางสมาธิเสียก่อน จึงค่อยเอาจิตไปตั้งที่ฐานนี้ เพราะจะมีกำลังมาก สำหรับฐานที่หน้าผากนั้น ถ้าท่านเคยดูภาพยนต์อินเดียที่มีพระศิวะ เขาจะเรียกว่าตรีเนตร หรือตาที่ ๓ คือ ถ้าภาวนาให้ถูกจุด จะทำให้จิตสงบได้ง่าย และมีทิพยจักขุญาณเกิดขึ้น วิธีการภาวนาคือ ให้ใจเสมือนกับเราคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ในที่นี้ให้นึกถึงจุดเดียวคือ คำภาวนา เหมือนกับเราคิดเลขในใจทำนองนั้น ทำใจเฉยๆ ไม่ต้องคาดคั้น คิดเดา หรืออยากเห็นนั่นเห็นนี่ เพราะเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นนิวรณ์ทั้งสิ้น หน้าที่หรืองานของเราในที่นี้คือภาวนา

    ๒. คำภาวนา
    คำภาวนาที่ให้ ภาวนาคือ ให้เรามีจิตระลึกถึงภาษาพระ หมายถึง พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติกรรมฐาน ทำใจให้มีการเคารพเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อันจะเป็นกรรมฐาน ที่ทำให้ผู้ที่มีศรัทธาจริต หรือมีความเชื่อ เข้าถึงธรรมะได้โดยง่าย

    ๓. เครื่องชี้ว่าจิตสงบ
    เมื่อปฏิบัติจน จิตเริ่มสงบแล้ว จะเกิดความสว่างขึ้นที่จิต พร้อมกันนั้น จะมีสิ่งที่เป็นตัวชี้บอกว่า จิตของเราเป็นอย่างไรบ้าง อันได้แก่ปิติต่างๆ เช่น อาการขนลุก ตัวเบา น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง รู้สึกเหมือนกายขยายใหญ่ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะเป็นตัวชี้ถึงจิตว่า เริ่มจะสงบแล้ว ให้ผู้ปฏิบัติวางใจเฉยๆ อย่าไปยินดีหรือยินร้าย บางท่านที่มีนิสัยวาสนาบารมีทางรู้ทางเห็นภายใน ก็อาจจะเกิดองค์พระปรากฎขึ้นจากแสงสว่างเหล่านั้น

    ในเรื่องการเห็น แสงสว่างนี้ บางสำนักท่านว่าอย่าไปสนใจ เอามืดดีกว่า เพราะเดี๋ยวจะหลง แต่ตามความเห็นของผู้เขียน นึกถึงคำบาลีที่ว่า "นัตถิ ปัญญา สมาอาภา" แสงสว่างเทียบด้วยปัญญาไม่มี ดังนั้น ผู้ที่เห็นแสงสว่างปรากฎขึ้น ก็เป็นนิมิตอันหนึ่ง ซึ่งแสดงให้รู้ประจักษ์อยู่ที่ตัวเราต่างหากว่า จะใช้แสงสว่างนี้ไปในทางที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะหลวงปู่ท่านบอกว่า การปฏิบัติต้องทำให้รู้ เห็น เป็น และได้ สำหรับในขั้นต้นนี้ "รู้" หมายถึงให้มีสติรู้อยู่กับคำภาวนา เมื่อ "เห็น" ก็ให้รู้ว่า "เห็น" อะไร รู้จักกลั่นกรองด้วยสติปัญญา และเมื่อมีความชำนาญแล้วก็จะเป็น "เป็น" นั้นคือเห็นองค์พระได้ทุกครั้ง และสามารถที่จะทำได้ เมื่อต้องการทำให้เกิดขึ้น นี่แหละ คือหลักแห่ง "อภิญญา"

    หลักในการ นั่งสมาธิ ให้ขาขวาทับขาซ้ายมือขวากำพระวางบนมือซ้าย ให้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองจรดกัน วางบนตักพอสบายๆปรับกายให้ตรง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน สูดลมหายใจยาวๆ ลึกๆ สัก ๓ ครั้ง
    ครั้งที่ ๑ ให้ภาวนาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ครั้งที่ ๒ภาวนาว่า ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    และครั้งที่ ๓ ภาวนาว่า สังฆัง สรณังคัจฉามิ

    จาก นั้น จึงผ่อนลมหายใจให้เป็นไปตามธรรมชาติยังไม่ต้องนึกคิดสิ่งใด ทำใจให้ว่างๆ วางอารมณ์ทั้งที่เป็นอดีตและอนาคตเมื่อลมหายใจเริ่มละเอียด และจิตใจเริ่มโปร่งเบาขึ้นบ้างแล้วจึงค่อนเริ่มบริกรรมภาวนา โดยกำหนดจิตไว้ที่หน้าผาก (เอาสติมาแตะรู้เบาๆ)แล้วตั้งใจภาวนาคาถาไตรสรณคมน์ ดังนี้

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณังคัจฉามิ

    เมื่อบริกรรมภาวนาจบแล้วก็ให้วกกลับมาเริ่มต้นใหม่เช่นนี้เรื่อยไป

    มี สิ่งที่ควรทราบเพิ่มเติมก็คือ ขณะที่บริกรรมภาวนาอยู่นั้นให้มีสติระลึกอยู่กับคำภาวนา โดยไม่ต้องสนใจกับลมหายใจคงปล่อยให้ลมหายใจเข้าออกเป็นไปตามธรรมชาติ ปราศจากการควบคุมบังคับภาวนาด้วยใจที่สบายๆ และให้ยินดีกับองค์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เกิดขึ้นในจิตเมื่อจิตมีความสงบสว่าง ก็น้อมแผ่เมตตาออกไป โดยว่า

    พุทธัง อนันตัง
    ธัมมัง จักรวาลัง
    สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ

    แล้วตั้งใจภาวนาต่อไป

    เมื่อจิตถอนขึ้นจากความสงบให้ยกเอากายหรือเรื่องหนึ่งเรื่องใดขึ้นพิจารณา โดยน้อมไปสู่พระไตรลักษณ์ คือ

    อนิจจัง (ความไม่เที่ยง)
    ทุกขัง (ความทนได้ยาก)
    และอนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตนอันเที่ยงแท้)

    เมื่อ รู้สึกว่าจิตเริ่มซัดส่ายหรือขาดกำลังในการพิจารณา ก็ให้วกกลับมาภาวนาคาถาไตรสรณคมน์อีกเพื่อดึงจิตให้เข้าสู่ความสงบอีกครั้ง ทำสลับเช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าจะเลิก

    ก่อนจะเลิกให้อาราธนาพระเข้าตัวโดยว่า
    สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพสังฆา
    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะยังพะลัง
    อะระหันตานัญ จะเตเชนะ
    รักขัง พันธามิ สัพพะโส

    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ

    แล้วจึงแผ่เมตตาอีกครั้งโดยว่าเช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วในตอนต้น

    อนึ่ง การภาวนานั้นท่านให้ทำได้ทุกอิริยาบท คือ ยืน เดิน นั่ง นอน การปฏิบัติจึงจะก้าวหน้าและชื่อว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาท....

    ที่มา
    http://www.watthummuangna.com/home/community/index.php/topic,101.0.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _21_138.jpg
      _21_138.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.6 KB
      เปิดดู:
      1,455
  7. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ปกิณกะบทสวดมนต์ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    [​IMG]

    ๑. หลวงปู่กล่าวรับรองว่าบทสวดมนต์แต่ละบท ๆ ในเจ็ดตำนานก็ดี ๑๒ ตำนานก็ดี ท่านว่าท่านเคยได้พิจารณาโดยตลอดแล้ว พบว่าดีทั้งนั้น ใช้ได้ทั้งนั้น ดีทุก ๆ บทเลยทีเดียว

    ๒. บทไตรสรณาคมน์นั้น (พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ) ท่านว่า “สวดครั้งหนึ่ง (ด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธาและเป็นสมาธิ) มีอานิสงส์ไปถึง ๕ กัลป์เชียว”

    ๓. สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าตนประสบเคราะห์นั้นท่านแนะให้สวดอิติปิโสฯ (บทสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ) เท่าอายุบวกหนึ่ง

    ๔. บางครั้ง ผู้ที่เขามาคอยรับส่วนบุญ เขามีเวลาน้อย (อาจขออนุญาตผู้คุมมาได้เดี๋ยวเดียว) หรืออยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีเวลาน้อย หรือจะด้วยเหตุใด ๆ ก็ดี หลวงปู่จึงได้มีบทแผ่เมตตาชนิดสั้นแต่มีประสิทธิผลมากคือ “พุทธัง อนันตังฯ”) แทนบทกรวดน้ำ ซึ่งค่อนข้างยาวและกินเวลามากและเหมาะกับการแผ่เมตตาประจำวันหลังสวดมนต์ทำวัตรมากกว่า

    ๕. บทบูชาพระ (นะโมพุทธายะฯ) หลวงปู่บอกว่า “สวดแล้วรับรองว่าไม่มีจน” ท่านเอามาจากวัดประดู่ทรงธรรม สมัยที่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่นั่น และเพื่อให้ลูกศิษย์ไม่มองข้ามความสำคัญ เพราะเหตุที่ได้มาจากหลวงปู่ง่าย ๆ ท่านจึงพุดแบบอมยิ้มไปด้วยว่า “คาถาดี ๆ นี่ อาจารย์สมัยก่อนเขาหวงกันนะ เขาไม่เอามาบอกง่าย ๆ หรอกแก”

    ๖. จุดสำคัญในเวลาสวดมนต์หรืออธิษฐานคาถาใด ๆ ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิ ให้จิตสว่าง ให้จิตมีภาวะตื่น จึงจะมีผลมาก และถือเป็นสร้างความชำนาญในการทำกรรมฐานไปด้วยทุกครั้ง (สำหรับบทสวดมนต์ (ไม่ใช่คาถา) นั้น ถ้ามีโอกาสก็ควรศึกษาคำแปลเพื่อให้เกิดความเข้าใจข้อธรรมและซาบซึ้งในคุณพระรัตนตรัยยิ่ง ๆ ขึ้นไป)

    ๗. สุดท้าย หลวงปู่บอกว่า “สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน” สวดมนต์นานเท่าไรไม่ว่า แต่ภาวนาให้มากกว่าจึงจะถือว่าได้จัดสรรเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    (บทความโดย คุณ สิทธิ์)



    ที่มา ปกิณกะบทสวดมนต์ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _16_214.jpg
      _16_214.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.7 KB
      เปิดดู:
      1,907
  8. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    หลวงปู่ดู่เล่าถึงการสร้างพระ..

    [​IMG]

    ...หลวงปู่เคยเล่าให้ศิษย์ฟังอยู่เสมอว่า การสร้างพระพุทธรูปนั้น จะมีอานิสงส์มาก แม้จะองค์เล็กเท่าต้นหญ้าคา ก็จะมีอานิสงส์ถึง 5 กัป หลวงปู่ยกตัวอย่างเช่น คนที่สร้างหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อไร่ขิง ตอนนี้เขาเหล่านั้นยังเป็นเทพบุตรเทพธิดา และพรหมในชั้นต่าง ๆ เสวยความสุขอย่างไม่มีจบสิ้น เพราะผลบุญที่ได้นี้มันต่อเนื่อง เมื่อมีคนไปกราบไปไหว้หลวงพ่อที่หนึ่ง สายบุญเหล่านั้นก็จะไหลไปยังเทพบุตรเทพธิดาอย่างต่อเนื่องเหมือนสายน้ำตก แกก็ลองนึกดูเถิดว่าวัน ๆ หนึ่งมีคนไปกราบหลวงพ่อเหล่านั้นมากเพียงไร ลูกศิษย์หลวงปู่เป็นส่วนมากจึงชอบสร้างพระเพราะหลวงปู่ไม่ได้กำหนดให้ผู้ใด ผู้หนึ่ง ผูกขาดในการสร้างของท่าน คณะใดกลุ่มใดมีศรัทธาจะสร้างเพื่อเป็นกุศลต่อตนเองและส่วนรวม หลวงปู่ก็จะอนุญาตอยู่เสมอและหลวงปู่จะอนุโมทนาต่อเขาเหล่านั้นเป็นอย่างดี

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์นั่งรวมกันอยู่ 10 กว่าคน มีคนหนึ่งพูดว่า พระขาวท่านนั่งตากแดดตากฝนมานานแล้ว พวกเขาควรสร้างศาลาครอบพระขาวไว้เพื่อเป็นมหากุศล บ้างก็ว่าจะทอดพระป่าสร้างสิ่งต่าง ๆ มาทำบุญ แต่ในคนเหล่านั้นมีคุณช้าง ราชดำเนิน ได้กราบหลวงปู่ และได้บอกหลวงปู่ดู่ว่า กระผมจะสร้างพระชุดหนึ่ง เพื่อนำเงินมาสร้างศาลาครอบพระขาว หลวงปู่จึงอนุโมทนาบุญด้วย และบอกว่ามีแผ่นชนวนอยู่ตรงนี้ที่ต้นเสาข้าง ๆ หลวงปู่ จำนวน 4,800 แผ่นซึ่งหลวงปู่ปลุกเสกไว้นานหลายปีแล้ว ซึ่งเป็นของป้าสอิ้ง ที่จะนำไปสร้างพระแตกแต่ยังไม่นำไปสร้างซะที หลวงปู่บอกว่า ตาช้างเอาไปก่อน แล้วค่อยหาแผ่นใหม่มาใช้ให้ยายสอิ้ง ซึ่งยายสอิ้งอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ยายสอิ้งจึงอนุโมทนากํบคุณช้างด้วยเลย

    การสร้างพระกริ่งนี้ เป็นพระกริ่งรุ่นแรกของหลวงปู่ ๆ เมตตาเป็นพิเศษ ให้ฤกษ์เทพระกริ่งด้วยตนเองโดยให้ฤกษ์ว่า เริ่มเทได้ด้วยวันเพ็ญเดือน 12 เวลาย่ำรุ่งตอนพระออกบิณฑบาตร การสร้างพระกริ่งในครั้งนั้น คุณช้าง ราชดำเนิน ได้ให้ช่างที่มีฝีมือดี แกะพระกริ่งเป็นหน้าเชียงแสน ลำตัวอ้วนและแข็งแรงดูแล้วเข้มขลังเป็นอย่างมากสร้างพระชัยอีก 1 องค์ หล่อแบบโบราณโดยการเทในวัดรวกสุทธาราม เมื่อหล่อเสร็จสิ้นแล้ว จึงนำไปให้หลวงปู่อุดใต้ฐานพระด้วยผงกัมมฐานมหาจักรพรรดิ์ และเกศาของหลวงปู่ ปิดกั้นด้วยแผ่นทองแดง หลงงปู่จารย์ที่แผ่นทองแดงใต้พระกริ่ง แล้วหลวงปู่เมตตาตั้งชื่อกริ่งนั้นว่า พระกริ่งไตรสรณคมณ์ พระชัยไตรสรณคมน์ พระไพรีพินาศไตรสรณคมณ์

    ส่วนมากลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดและปฏิบัติได้ดีแล้ว ผู้ที่เข้าถึงไตรสรณคมณ์ จะชอบพระกริ่งชุดนี้เป็นอย่างมากเพราะเมื่อนำไปใช้แล้ว สามารถปฏิบัติได้เป็นอย่างดี บ้างก็ว่าพระกริ่งและพระชัยที่หลวงปู่สร้างนี้ อธิษฐานใช้ทำให้เปิดได้ไปทั้ง 3 โลก จะใช้อะไรก็อธิษฐานได้ตามใจชอบ แต่ต้องอยู่ในทำนองคลองธรรม มีคนไปถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ พระของหลวงปู่นั้นมีเสื่อมไหม?" หลวงปู่ตอบให้ฟังว่า "หลวงพ่อสิม วัดถ้ำผาปล่อง ท่านอธิษฐานพระของท่านให้เสื่อมเมื่อสิ้นพุทธศาสนา แต่พระข้า ขออธิษฐานว่า ถ้าละลายกลายเป็นน้ำเมื่อใด เมื่อนั้นหละแก ก็จะหมดพุทธานุภาพ" แม้หลวงปู่จะไม่สรรเสริญให้ลูกศิษย์ติดวัตถุมงคลให้ยึดการปฏิบัตให้ออกจากการพ้นทุกข์แต่หลวงปู่ก็บอกว่า พวกแกติดวัตถุมงคลดีกว่าไปติดวัตถุอัปมงคล

    ที่มา ข้อมูลจาก หนังสือนะโภคทรัพย์


    หลวงปู่ดู่เล่าถึงการสร้างพระ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _9_178.jpg
      _9_178.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80 KB
      เปิดดู:
      1,477
  9. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พระผงบรมมหาจักรพรรดิ..

    [​IMG]


    การสร้างพระเครื่องประเภทเนื้อปูนผสมผงมหาจักรพรรดิ์สูตรหลวงปู่

    ในการสร้างพระเครื่องประเภทเนื้อปูนผสมผงมหาจักรพรรดิ์ของหลวงปู่ดู่นั้น จักสังเกตุเห็นได้ว่า

    หลวงปู่ดู่ท่านจะสร้างพระเครื่องไว้เพื่อเป็นพุทธานุสติแก่บรรดาศิษย์เพื่อให้ระลึกเสมอว่า

    พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ทรงประเสริฐสุดหาที่เปรียบมิได้ ดังที่จะกล่าวในพระชุด"พระพุทธเจ้าเหนือพรหม"นี้

    ลป.ดู่ท่านได้หยิบยกพระพุทธตำนานตอนหนึ่งซึ่งเป็นพระตำนานที่อยู่ในบทสวดพระคาถาพาหุงบทหนึ่งว่า


    "ทุคคาหะทิฏฐิ ภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง

    พหรมมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง

    ญาณาคะเทนะวิธินา ชิตะวา มุนินโท

    ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ"


    ...พระคาถาบทพาหุงบทนี้ ตามพุทธตำนานได้กล่าวถึงตอนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ปราบทิฐิ

    ของท้าวผกาพรหมที่คิดว่าตนเองมีอิทธิฤทธิ์มาก และมีความอมตะไม่ตาย จึงคิดท้าพระพุทธเจ้า

    ให้มาลองอิทธิฤทธิ์กัน โดยการท้าลองครั้งนี้คือให้อีกฝ่ายซ่อนและอีกฝ่ายหา หากผู้ใดซ่อนและผู้หา

    หาไม่พบถือว่าชนะและฝ่ายแพ้จะต้องมาเป็นสาวกของฝ่ายชนะ...

    เริ่มจากฝ่ายท้าวผกาพรหมเป็นผู้ซ่อนก่อน ท้าวผกาพรหมแปลงกายเป็นธุลีเม็ดทรายหนึ่งเม็ด

    โดยซ่อนตนเองปะปนอยู่ในทะเลทราย ด้วยพระบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ได้ใช้ฌาณตรวจหาไม่นานก็ค้นพบท้าวผกาและชี้ถูกว่าท้าวผกาพรหมเป็นเม็ดทรายเม็ดไหนอย่างถูกต้อง

    ครั้งนี้ท้าวผกาพรหมจึงเป็นฝ่ายแพ้ พอถึงคราวพระพุทธเจ้าเป็นผู้ซ่อนบ้าง พระพุทธองค์ทรงย่อพระวรกาย

    ให้เล็กลงแล้วเสด็จขึ้นไปประทับซ่อนอยู่ในมวยผม บนเศียรของท้าวผกาพรหม

    ฝ่ายหาคือท้าวผกาพรหม ก็เริ่มตามหาพระพุทธเจ้าหายังไงก็หาไม่เจอ หาทั่วทั้ง๓ภพ

    (ภพโลก ภพสวรรค์ ภพนรก)ก็หาไม่เจอ หาไปสุดขอบแดนจักรวาลก็หาไม่เจอ ท้าวผกาพหรมจึงยอมแพ้

    เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าท้าว ผกาพรหมลดทิฏฐิลงมากแล้ว พระพุทธองค์

    จึงคลายฤทธานุภาพกลับสู่สภาพเดิม และทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดท้าวผกาพรหม

    จนบรรลุเป็นพระโสดาบัน แต่ขณะนี้เป็นพระอนาคามีแล้ว จักเข้าถึงพระนิพพานในยุคพระศรีอริยเมตไตรย

    จากนั้นมาจึงมีพระนามเรียกขานกันว่า "พระพรหม"...การนำบทสวดมหาจักพรรดิมาใช้ในการสร้างพระ

    หลวงปู่ดู่ท่านเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังถึงการปลุกเสก หรืออธิษฐานจิตในวัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกว่า

    "นอกจากการใช้พลังจิตในการปลุกเสกแล้ว ที่ท่านใช้อยู่เสมอคือ บทสวดมนต์ตามเจ็ดตำนาน"

    ซึ่งท่านบอกว่า ดีกว่าคาถาอาคมมากมาย เพราะเป็นเรื่องราวของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งนั้น

    ไม่จัดเป็นเดรัจฉานวิชชา โดยบทที่ท่านสวดทำทุกครั้งคือ บทพระพุทธเจ้าทรมานพญาชมพูบดี

    หรือที่เรียกกันว่า "บทชมพูปติสูตร"ซึ่งแสดงถึงอำนาจหรือบารมีของพระพุทธเจ้าผู้เป็นครู

    ของมนุษย์และเทวดาทั้งปวง แสดงถึงธรรมที่ชนะอธรรม


    พุทธคุณที่หลวงปู่ดู่หลวงตาม้าท่านนำมาใช้ในการสร้างพระ

    ลป.ดู่ ท่านเรียกพระคาถาบทนี้ว่า "คาถามหาจักรพรรดิ" โดยทั้งนี้ในการปลุกเสกหลวงปู่

    ท่านอารธนากำลังของบารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ท่านอันเป็นที่สุด โดยน้อมนำอารธนา

    บารมีรวมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตั้งแต่องค์ปฐมจนถึงองค์ปัจจุบัน

    บรมมหาจักรพรรดิ์ทุกๆพระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม

    และพระอริยสงฆ์ทั้งหลายโดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต
    บารมีรวมพระเจ้าจักรพรรดิ

    ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต บารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านอันเป็นที่สุด


    บทสวดพระมหาจักรพรรดิ


    นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ

    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา

    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ

    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา

    อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง

    อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย

    อะหังวันทามิ สัพพะโส

    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ


    ความย่อที่มาคาถาว่า

    พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ

    เพื่อทรงแก้ทิฏฐิมานะ ของพญามหาชมพูบดี

    ในสมัยพุทธกาล มีพระมหากษัตริย์ผู้เรืองอำนาจพระองค์หนึ่ง ซึ่งปกครองเมืองปัญจาลราษฐ

    พระนามว่า "พญาชมพูบดี" กล่าวกันว่า พร้อม ๆ กับการประสูติของพญาชมพูบดี ขุมทองในที่ต่างๆ

    ก็ผุดขึ้นมากมายอันแสดงถึงบุญญาธิการของพระองค์ ประชาชนในเมืองนี้จึงมีฐานะความเป็นอยู่ที่มั่งคั่งสมบูรณ์

    พญาชมพูบดีทรงมีอาวุธวิเศษ 2 อย่าง คือ ฉลองพระบาทแก้ว ซึ่งเมื่อสวมเข้าไปแล้วก็จะพาพระองค์เหาะไปในที่ต่างๆ ได้


    ทั้งยังใช้อธิษฐานแปลงเป็นนาคราชเข้าประหัตประหารศัตรูได้อีกด้วย อาวุธวิเศษอย่างที่สองคือ วิษศร

    ซึ่งเป็นศรวิเศษใช้ต่างราชทูต หากกษัตริย์เมืองใดไม่มาอ่อนน้อมขึ้นต่อพระองค์ วิษศรนี้ก็จะไป

    ร้อยพระกรรณพาตัวเข้าเฝ้าพระองค์จนได้ ทำให้กษัตริย์ทั้งหลายพากันยำเกรงในพระเดชานุภาพแห่งพญาชมพูบดี


    ด้วยอาวุธคู่พระวรกาย พญาชมพูบดีได้ขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง


    กระทั้งถึงกรุงราชคฤห์ของพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นอุบาสกแห่งสมเด็จพระสัมมาสมพุทธเจ้า


    พญาชมพูบดีส่งอาวุธวิเศษของพระองค์ ไปทำอันตรายต่อพระเจ้าพิมพิสาร แต่ไม่อาจทำอันตราย


    แก่พระเจ้าพิมพิสารได้ ด้วยอาศัยพระพุทธานุภาพ ทำให้พญาชมพูบดีแค้นพระทัยมาก

    แม้ส่งอาวุธวิเศษอย่างใดไปก็พ่ายแพ้แก่พระพุทธานุภาพแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่า พญาชมพูบดีประสบความพ่ายแพ้ และมีทิฏฐิมานะเบาบางลง

    ประกอบด้วยกับทรงเล็งเห็นวาสนาปัญญาของพญาชมพูบดีว่าสามารถสำเร็จมรรคผลได้ จึงมีพุทธฎีกาตรัสใช้

    ให้พระอินทร์แปลงเป็นราชทูตพาพญาชมพูบดีมาเข้าเฝ้า ส่วนพระองค์ทรงเนรมิตองค์


    เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงมงกุฎ พร้อมเครื่องราชาภรณ์ แต่ล้วนงดงาม ส่วนพระสารีบุตร

    และพระโมคคัลลานเถระเจ้า พร้อมด้วยเหล่าภิกษุสงฆ์สาวก ก็เนรมิตกายเป็นเสนาอำมาตย์ใหญ่น้อย


    ล้วนแล้วแต่น่าเกรงขาม ทั้งเนรมิตเวฬุวัน (ป่าไผ่) ให้เป็นพระนครใหญ่ประกอบด้วยกำแพงถึง 7 ชั้น


    และมีพุทธฎีกาตรัสสั่งให้เทวดา พรหม ทั้งหลาย ร่วมเนรมิตเป็นตลาดน้ำ ตลาดบก

    เมื่อพระอินทร์ซึ่งเนรมิตกายเป็นราชทูต ไปถึงเมืองปัญจาลราษฐ เห็นพญาชมพูบดี


    และเหล่าเสนาอำมาตย์ยังถือดี จึงแสดงฤทธานุภาพเป็นที่ประจักษ์ พญาชมพูบดีไม่อาจแข็งขืนจำยอม


    ต้องยกพลเดินทัพเพื่อเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสมพุทธเจ้า เมื่อพญาชมพูบดี


    เดินทางเข้าเขตพระนครก็ตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่อลังการแห่งพระนครที่พระพุทธองค์ทรงเนรมิต

    แม้แต่เหล่าแม่ค้าริมทางก็ยังงดงามกว่าพระอัครมเหสีของพญาชมพู จนชวนให้รู้สึกขวยเขิน


    ก้าวเดินไม่ตรงทาง และเมื่อผ่านทางยังกำแพงพระนครแต่ละชั้น ทอดพระเนตรเห็นเหล่า


    เสนาอำมาตย์ที่รักษาพระนคร พระทัยก็ประหวั่นพรั่นกลัวพระเสโทไหลโทรมทั่วพระสกลกาย

    ถึงกำแพงชั้นในซึ่งเป็นแก้ว ก็ทำท่าจูงกระเบนเหน็บรั้งด้วยเข้าพระทัยผิดคิดว่ามีเสียงนางใน


    ร้องเย้ยเยาะว่ากษัตริย์บ้านนอกกระทำเชยๆ พญาชมพูบดีก็รู้สึกได้รับความอัปยศอย่างยิ่ง

    เมื่อพญาชมพูบดีมาถึงต่อหน้าพระพักตร์แห่งพระบรมศาสดา ซึ่งเนรมิตกายเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ


    ก็ยังไม่หมดทิฏฐิมานะ พระพุทธองค์ทรงเชื้อเชิญให้แสดงฤทธิ์เดชอำนาจและของวิเศษ


    ทุกสิ่งทุกอย่างออกมา เมื่อพญาชมพูบดีทรงแสดงแล้ว ก็ต้องได้รับความอัปยศยิ่งขึ้นไปอีก


    ด้วยไม่อาจทำอันตรายพระพุทธองค์ได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า


    พญาชมพูบดีคลายทิฏฐิมานะลงมากแล้ว จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพญาชมพูบดี

    และเหล่าเสนาอำมาตย์ที่ติดตามมาด้วยจำนวนมากมายให้เห็นสิ่งที่เป็นสาระและมิใช่สาระ


    ให้เห็นโทษแห่งการเวียนเกิด เวียนตาย ในวัฏสงสาร ทั้งให้เห็นคุณแห่งพระนิพพาน


    พญาชมพูบดีและเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างรู้สึกปีติ โสมนัส จึงปลดมงกุฎและเครื่องประดับของตน


    วางแทบพระบาทแห่งองค์พระสัมพัญญูบรมศาสนา เพื่อสักการะด้วยความรู้สึกเทิดทูน

    จากนั้นจึงทูลขออุปสมบทต่อพระพุทธองค์ จากนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสมพุทธเจ้าบรมครู


    พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก เทวดา พรหม ก็คล้ายฤทธานุภาพกลับสู่สภาพเดิม

    (เป็นป่าไผ่และสภาพทั้งหลายตามความเป็นจริง) สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานอุปสมบท


    แก่พญาชมพูบดี พร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ และทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้คลายความลุ่มหลง


    ในเบญจขันธ์มีรูป เป็นต้นว่า อุปมาดั่งพยับแดด หาสาระตัวตนที่เที่ยงแท้อันใดมิได้


    และแสดงเทศนาต่างๆ เป็นอเนกปริยาย พญาชมพูบดีและเหล่าเสนาอำมาตย์ก็ดื่มด่ำ


    ในพระอมตธรรมสลัดเสียซึ่ง ตัณหา อุปาทาน จิตของท่านก็เข้าอรหันตผล


    สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลในพระบวรพุทธศาสนา


    --------------------------------------------


    บรรดาลูกหลานวงษ์วานว่านเครือต่างทราบกันดีใครมีไว้ใช่ป้องกันอันตรายอย่างเดียวที่ไหน


    หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านรับรองกับลูกศิษย์ท่าน พระหลวงปู่ดู่ ป้องกันนิวเคลียร์ได้


    หลวงตาม้า ท่านเมตตาบอกว่าพระหลวงปู่ ป้องกันโรคระบาดและป้องกันไข้หวัดนกได้ให้ใส่ไว้


    ปล. โปรดอย่าลืม

    คาถาบูชาพระ(คาถาจักรพรรดิ)


    (จากหนังสือ กายสิทธิ์ ของวัดพุทธพรหมปัญโญ)


    ส่วนผสมในมวลสารของเนื้อพระ

    ในส่วนผสมมวลสารของเนื้อพระพุทธเจ้าเหนือพรหมที่ลป.ดู่ท่านนำมาจัดสร้างท่านจะนำผงพุทธคุณ


    (ผงมหาจักรพรรดิ์)ผสมกับปูนขาวใส่เกศาผสมลงโดยใช้น้ำเป็นตัวประสานผสมจนได้ที่แล้ว


    จึงนำเนื้อมวลสารเทลงในแบบพิมพ์ เวลาแห้งเนื้อพระด้านหลังจะเป็นคราบลอยเหมือนหัวกระทิ


    ลักษณะของเนื้อพระจะไม่แน่นตัวนัก เนื้อจะฟูๆ พระพิมพ์นี้ สามารถแบ่งโซนหลักของเนื้อพระ


    ได้ ๒ วรรณะคือ สีขาวนวล และออกสี เหลืองเนื่องจาก ลป.ดู่ท่านนำไปแช่ในน้ำชาท่ท่านเสก

    หรือที่ลป.ดู่ท่านมักจะเรียกว่าน้ำมนต์นั้นเอง ส่วนการทำผงจักรพรรดินั้นหลวงปู่จะทำภายในกุฎิท่าน


    โดยมีกรรมวิธีการสร้าง ซึ่งเป็นวิชาขั้นสูง

    ส่วนพระผงจักรพรรดิยุคปัจจุบันที่ทำและสร้างโดยหลวงตาม้านิยมนำเถาพระธาตุปลวงปู่หรือเกศาหลวงปู่ดู่


    หรือหลวงตาม้ามาเป็นมวลสารด้วยในรุ่นพิเศษบางรุ่นแต่โดยปกติมวลสารหลักก็คือผงจักรพรรดินั้นเอง


    ตัวอย่างพระผงจักรพรรดิพิมพ์ต่างๆ สูตรหลวงปู่ดู่ที่ท่านหลวงตาม้าสร้าง วิชาในการสร้างพระผงจักรพรรดินั้น

    หลวงปู่ดู่ได้สอนท่านหลวงตาม้าและในปัจจุบันนี้ท่านหลวงตาเป็นผู้ทรงวิชาสร้างพระผงจักรพรรดิไว้


    ความรู้เกี่ยวกับพระผงจักรพรรดิ พระผงจักรพรรดิสูตรหลวงปู่ดู่หลวงตาม้า มีพุทธคุณอย่างไร?

    พระผงจักรพรรดิประโยชน์มากโดยเป็นพระที่ใช้ในการทำกรรมฐานและบูชาติดตัว

    เพื่อคุ้มครองเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและเป็นพลังงานบุญแก่ภพภูมิโดยรอบ หลวงปู่ดู่กล่าวไว้ว่า

    พระรุ่นนี้ที่มีผงจักรพรรดิของท่านป้องกันนิวเคลียร์ได้

    พระรุ่นนี้เหมาะสมเป็นอย่างมากในการเจริญกรรมฐาน


    หลวงปู่ดู่สมัยที่ท่านยังทรงธาตุขันธ์อยู่ ท่านสร้างพระผงออกมาเพื่อให้ลูกศิษย์ได้ใช้

    ในการเจริญพระกรรมฐานให้ก้าวหน้าได้โดยไวโดยเป็นการใช้พลังจากองค์พระ..

    ในเนื้อพระผงจักรพรรดิของหลวงตาม้าทุกรุ่นบรรจุมวลสาร ผงจักพรรดิหลวงปู่ดู่ ที่ท่านหลวงตา

    ได้รับมาจากหลวงปู่ดู่โดยตรง และช่วงไหนสวดมนต์นั่งสมาธิแผ่บุญแผ่เมตตาสม่ำเสมอบุญ

    จะเกิดผลดีต่อตัวเรามากยิ่งขึ้นครับ ทั้งพระธาตุบนองค์พระจะขึ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย

    (พระผงจักรพรรดิหลวงปู่ดู่ขึ้นพระธาตุทุกองค์).....

    หลวงตาเคยเมตตากล่าวให้ฟังว่าพระที่ท่านทำขึ้นมาชุดนี้เป็นพระกำลังของพระโพธิสัตว์

    จึงมีพุทธคุณและกำลังบารมี 10 เข้มข้นนำไปใช้ประโยชน์ในด้านกุศลได้ร้อยแปดพันเก้า

    หากนำไปบูชาก็จะเป็นการทำให้ภพภูมิเทวดาผีสางสัมภเวสีที่ผ่านไป

    ผ่านมารับกระแสตรงนี้เข้าไปปรับให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วยนอก

    (โดยการกำพระขอกำลังพระ/หลวงปู่สวดจักรพรรดิแล้วน้อมบุญไป)

    นอกนั้นยังมีพุทธคุณเข้มสำหรับการเจริญภาวนากรรมฐาน

    โดยการเอามากำก่อนนั่งสมาธิแล้วกำหนดจิตเข้าไปที่องค์พระ

    จะทำให้ภาวนาได้ง่ายขึ้นเพราะมีพลังงานจากองค์พระมาเสริมที่

    ดวงจิตด้วยจากนั้นจึงไปทำสมาธิในแบบที่ท่านถนัดโดยเป็นวิธีการ

    ที่นิยมกันในหมู่ลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่เรื่อยมาจนถึงหลวงตาม้าในปัจจุบัน

    และหากนำพระไปแช่น้ำก็สามารถทำเป็นน้ำมนต์รักษาโรคหรือเป็นศิริมงคลแก่ตน

    ก่อนออกไปดำเนินชีวิตก็ยังได้ อฐิษฐานเอาโดยใช้คาถาจักรพรรดิ

    ยังไงก็ให้ตั้งอยู่ในความดีไว้ด้วย โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งและศีล5เป็นฐาน

    จะช่วยให้เราทรงในความดี และพุทธคุณช่วยเราได้เต็มที่

    ...............................................

    ที่มา พระผงบรมมหาจักรพรรดิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5.4.jpg
      5.4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.4 KB
      เปิดดู:
      1,535
  10. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พระคาถามหาจักรพรรดิ การสัพเพ และการแผ่บุญ

    [​IMG]

    ภาวนาบทมหาจักรพรรดิ

    นะโมพุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนญาณ

    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะสุธรรมา

    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ

    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีธานัง วะรังคันธัง

    สีวลี จะมหาเถรัง

    อะหังวันทามิ ทูระโต

    อะหังวันทามิ ธาตุโย

    อะหังวันทามิ สัพพะโส

    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ


    ถ้าจะให้ได้ผลเต็มที่ต้องภาวนาไตรสรณคมณ์และบทมหาจักรพรรดิ ตามกำลังวันทุกวัน เหรียญและพระผงดวงนี้ จึงจะเกิด พุทธานุภาพโดยไม่มีประมาณ ที่เรียกว่า ดวงเหนือดวง พลังเหนือพลัง (อาทิตย์ 6, จันทร์ 15, อังคาร 8, พุธ 17, พฤหัสบดี 19, ศุกร์ 21, เสาร์ 10, )

    บทสวดมหาจักรพรรดินี้ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นผู้เรียบเรียงขึ้น เป็นการสวดบูชาพระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพาน ตลอดจนถึงพระธรรมเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยะสงฆ์ และพระสงฆ์สาวกทั้งมวล เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหม พระอริยเจ้าทั้งหลาย การสวดครั้งหนึ่งๆ เป็นการอัญเชิญกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน รวมถึงกำลังแห่งพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอนาคต อาราธนาเข้าที่กาย ใจ จิต วิญญาณของผู้สวด

    อานิสงค์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ

    บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพานตลอดจนถึงพระธรรมเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งมวล ไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย การสวดครั้งหนึ่งเป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาร่วมดึงกำลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้า มารวมอาราธนาเข้าที่กายและใจ และรวมกำลังของพระโพธิญานโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และอนาคต

    การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงค์แผ่ไปทั่วจักวาลสามแดนโลกธาตุ สามารถแผ่บญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดาประจำตัวเรา ญาติมิตรเพื่อนฝูงครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร และหากนำบทสวดนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัว รวมถึงการอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อัญเชิญเข้าตัว เพื่อป้องกันภัย และสร้างมหาโชคมหาลาภ

    อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั้งมหาบุญมหาลาภ เนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลี รวมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน หากนำไปสวดบริกรรมก่อนหรือระหว่างนั่งภาวนากรรมฐาน...จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุมและคุมการปฎิบัติของเรา คลุมกายและจิตเราเป็นวิมานทิพย์ (ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่นก็ได้) หากสวดบทนี้สามารถอฐิษฐานเรื่องราวใดๆมีติดข้องใจไห้ได้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้ จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ ท่านก่อให้เกิด จักรพรรดิ กำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวด พระคาถาครอบจักรวาล


    ปล.สำหรับนักปฎิบัติเบื้องต้นใช้คู่กับพระผงจักรพรรดิจะทำให้ก้าวหน้าเร็ว


    พระคาถามหาจักรพรรดิก่อให้เกิดพุทธนิมิตครอบสถิตผู้ทรงคาถา

    พระคาถามหาจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่แต่งขึ้นมานั้น นอกจากท่านจะได้ทำการอธิษฐานบารมีให้ผู้สวดได้รับพลังจากพระรัตนตรัย อย่างมหาศาลแล้ว ยังก่อให้เกิด "พุทธนิมิต" เป็นวิมานแก้วพระพุทธเจ้า มาครอบสถิตผู้สวดด้วย โดยมีลักษณะเป็นมณฑปแก้วจัตุรมุข ปรากฎฉัพพรรณรังสีหกประการสว่างไสว พร้อมด้วยโพธิสัตตราวุธ ทั้ง 4 ประการ ประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ ได้แก่ พระมหามงกุฎ ตรีศูล จักรแก้ว และ พระขรรค์เพชร ทั้งหมดล้วนเป็นของคู่บุญบารมี ของพระศรีอารย์โพธิสัตว์ โดยมี "พระมหามงกุฎ" เป็นศิราภรณ์ที่ปี่ยมไปด้วยบุญญฤทธิ์ (หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันต์ระดับจตุปฎิสัมภิทาญานได้เคยนำมาถวายหลวงปู่ดู่เป็นพุทธบูชาอีกองค์หนึ่งด้วย)

    ผู้ปฏิบัติจึงมีพร้อมทั้งบุญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์ เป็นพลังงานที่บริบูรณ์ สนับสนุน ให้การอธิษฐานจิต สัมฤทธิ์ผล ส่วนอาวุธที่เหลือทั้ง 3 ล้วนเป็นเทพศาสตราวุธชั้นสูง มีไว้เพื่อประดับบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ และเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง หากสวดเป็นประจำสามารถอธิษฐานให้เกิดเป็นองค์พระพุทธนิมิต ปางมหาจักรพรรดิได้ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ มีความศักสิทธิ์อย่างมาก ประดับด้วยครื่องทรงแห่งพระมหาจักรพรรดิ อย่างวิจิตรอลังการเปล่งรัศมีหลากสีด้วยแสงแห่งรัตนอัญมณี เรียกว่า "พระมหาวิษิตาภรณ์" มาครอบสถิตผู้ภาวนา บารมีของ หลวงปู่ดู่ที่ท่านน้อมนำอธิษฐานจิตจึงมีความศักสิทธิ์ป็นอย่างมาก เพราะท่านใช้บารมีทั้งหมดของท่านอัญเชิญกระแสบารมีแห่งพระรัตนตรัย และตั้งองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิบรรจุลงไปในวัตถุมงคลที่บารมีท่านมาประจุอีกด้วย

    (เมื่อสวดครบตามกำลังวันแล้ว เท่ากับเราได้เก็บกักพลังงานอันมหาศาลยิ่ง เป็นพลังของหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด พระมหาจักรพรรดิทุกพระองค์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต หรือจะเรียกว่าเราสวดภายใต้การสนับสนุนส่งเสริมของทุกๆพระองค์นั่นเอง ถ่ายเทพลังบุญบารมีรวมเข้าสู่ภาชนะของผู้สวดภาวนา ให้บังเกิดสว่างไสวนับล้านๆๆๆ แรงเทียน เป็นที่สังเกตของสรรพสัตว์ในมิติต่างๆอย่างกว้างไกล ระหว่างที่สวด

    หลวงตาม้าท่านอธิบายต่อไปว่า เมื่อเราน้อมจากหลวงปู่ มาที่ธาตุเรานั้น เสมือนเป็นการเก็บพลังงานไว้ในภาชนะ(ภาชนะของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและบารมีเก่าก่อนที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ) หลังจากที่เราน้อมนำพลังงานของหลวงปู่มาที่เราแล้ว จากนั้นให้เราก็ส่งต่อพลังงานออกไปยังเป้าหมาย โดยการอธิษฐานจิต แล้วสวดสัพเพฯ ส่งพลังงานออกไป พลังงานของหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด พระมหาจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ไปสู่สรรพสัตว์ทั่วทั้ง 3 โลก และทุกตำแหน่งแห่งที่ในทุกๆมิติ หรือไปถึงบุคคลที่เราระบุ ส่งพลังงานไปช่วยเหลือ หรือครอบวิมานให้หรือกิจการงานต่างๆ ผู้เกี่ยวข้องทุกคน

    พลังงานที่ส่งผ่านภาชนะเป็นพลังงานของครูบาอาจารย์ทุกๆ พระองค์ มีกำลังส่งกว้างไกล และทรงพลังยิ่งนัก มีคลื่นความถี่สูงกว่าการเดินทางของแสงอาทิตย์ อย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ เช่นพอนึกเท่านั้นก็ไปทั่วแสนโกฏิจักรวาลนั่นเอง เพียงแต่ให้เราหมั่นทำทุกๆวัน หลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด และพระมหาจักรพรรดิ ทุกๆพระองค์ที่หลวงปู่ดู่ได้อัญเชิญเอาไว้ล่วงหน้า ก็จะช่วยส่งเสริมการสวดภาวนาของเราเต็มที่


    หลวงปู่จึงเตือนให้เราหมั่นทำ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หากเราไม่ดำริ หลวงปู่ก็จะวางอุเบกขา หากเราทำตามคำแนะนำของท่านๆก็ยินดีช่วยเราเต็มที่ เช่นเดียวกับที่หลวงปู่เคยพูดให้ลูกศิษย์ได้ฟังว่า ข้าจะคอยช่วย ศรัทธาข้าจริง นับถือข้าจริง แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก ข้าอยู่ใกล้ ๆ แกจำไว้ พลังงาน บุญกุศล คลื่นแสง สี เสียง ที่หลวงปู่ได้สร้างไว้ยาวนาน 80 อสงไขย กับแสนมหากัป นับตั้งแต่หลวงปู่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ยังอยู่ครบถ้วนพร้อมบริบูรณ์ สำหรับให้ลูกหลานได้น้อมนำพลังงานมาที่ภาชนะของตนเองในการสวดภาวนาและสัพเพฯ)

    * รายละเอียดเพิ่มเติม อ่านได้ที่หนังสือ มณีนพรัตน์จักรพรรดิเปิดโลก เรียบเรียงโดย โด่งวัดถ้ำ


    ที่มา พระคาถามหาจักรพรรดิ และการสัพเพฯ แผ่บุญ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _14_553.jpg
      _14_553.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.6 KB
      เปิดดู:
      1,785
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2012
  11. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    เหรียญ "ดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน"


    [​IMG]



    [FONT=&quot]ที่มาของเหรียญ[/FONT]

    [FONT=&quot]“วันนี้เป็นวันดี วันเสาร์ห้า ขึ้นห้าค่ำ เดือนห้า ข้าเสกเต็มที่ [/FONT]
    [FONT=&quot]ข้าอัญเชิญบุญบารมีขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งแสนโกฏิจักรวาลมารวมเป็น พลังเหนือพลัง[/FONT]
    [FONT=&quot]และอันเชิญดวงขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งแสนโกฏิจักรวาลมารวมเป็นดวงเดียวกัน[/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นดวงเหนือดวง พระผงดวงนี้ รวมทั้งเหรียญดวงนี้จะมีพุทธานุภาพมากผู้ใดนำไปบูชา [/FONT]
    [FONT=&quot]ถึงเขาผู้นั้นจะดวงตก แต่พุทธานุภาพ โดยไม่มีประมาณของดวงเหนือดวง พลังเหนือพลัง [/FONT]
    [FONT=&quot]ก็จะคุ้มครองให้รอดปลอดภัย จากสิ่งอัปมงคล ผี ปีศาจ คุณไสยมนต์ดำ ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น-[/FONT]
    [FONT=&quot]ให้หนักเป็นเบา ทุเลาเป็นหาย แม้ผู้ใดถูกผี ปีศาจเข้าสิง ให้นำพระมาทำน้ำมนต์ ดื่มกัน -[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็จะหายจากคุณไสย ภูติผี ปีศาจ และสิ่งอัปมงคลทั้งปวง แม้แต่คนที่ดวงดีนำไปบูชา [/FONT]
    [FONT=&quot]ก็จะเกิดโชคดี เป็นมงคล มีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ต่อคนทั้งหลาย รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งหมดทั้งมวล”[/FONT]

    [FONT=&quot]ประโยคดังกล่าวข้างต้นเป็นประโยคที่[/FONT][FONT=&quot]พระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ [/FONT][FONT=&quot]ได้ กล่าวไว้เมื่อคราวอธิษฐานจิตปลุกเสก[/FONT]
    [FONT=&quot]เหรียญยันต์ดวง นับเป็นอมตวาจาที่ท่านได้บอกกล่าวไว้ให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาได้ทราบถึงความหมาย อันลึกล้ำ[/FONT][FONT=&quot]สุดพรรณนาว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]ดวงที่สถิตย์หลังเหรียญดวงอันเป็นดวงชะตากำเนิดของหลวงปู่ว่ามีคุณวิเศษมากมายเพียงไร[/FONT]

    [FONT=&quot]หลวงตาม้าท่านเองก็เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์และได้รับรู้ถึงการจัดสร้างเหรียญดวงของหลวงปู่ดู่[/FONT]
    [FONT=&quot]มาโดยตลอด ครั้งนี้นับได้ว่าเป็นการจัดสร้างอย่างทุ่มเทและตั้งใจอย่างยิ่งของหลวงตาที่ต้องการ[/FONT]
    [FONT=&quot]จะจัดสร้างเหรียญรูปเหมือนหลวงปู่ดู่ขึ้นเพื่อบูชาพระคุณของหลวงปู่ดู่ [/FONT]

    [FONT=&quot]หลวงตาท่านได้ดำริเรื่องนี้มากว่า [/FONT][FONT=&quot]5 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับแต่หลวงตาท่านมีดำริเกิดขึ้น[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านได้ใช้ความเพียรพยายามรวบรวมชนวนมวลสารของพระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ [/FONT]
    [FONT=&quot]และมวลสารอันศักดิ์สิทธิ์จากทั่วประเทศทุกจังหวัด โดยตั้งใจจะให้เป็นเหรียญที่รวมพลังของ[/FONT]
    [FONT=&quot]แผ่นดินเข้าไว้ให้เป็นหนึ่งเดียวด้วยเจตนาเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและเจริญศรัทธาแก่ผู้ที่มีความเคารพ[/FONT]
    [FONT=&quot]เลื่อมใสแห่งพระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ให้ขจรขจายกว้างขวางออกไปในทิศานุทิศ [/FONT]
    [FONT=&quot]จนกระทั่งวันนี้เจตนารมณ์กว่า 5 ปีของหลวงตาได้สัมฤทธิผลบังเกิดขึ้นเป็น [/FONT][FONT=&quot]“เหรียญดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน”[/FONT]

    [FONT=&quot]นอกเหนือไปจากมูลเหตุที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น หลวงตาท่านยังมีปณิธานแห่งความตั้งใจ[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่จะจัดตั้ง “กองทุนพุทธพรหมปัญโญ” เพื่อน้อมถวายบูชาแด่พระเดชพระคุณหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ[/FONT]
    [FONT=&quot]ท่านจึงได้นำ “เหรียญดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน” ที่ท่านใช้เวลากว่า 5 ปีในการจัดสร้าง [/FONT]
    [FONT=&quot]มอบให้แก่ผู้ร่วมทำบุญในการจัดตั้งกองทุนพุทธพรหมปัญโญ เหมือนเราได้ร่วมทำบุญกับหลวงปู่ดู่โดยตรง [/FONT]
    [FONT=&quot]หากจะว่าไปแล้วพลังแห่งความตั้งใจมั่นของหลวงตากว่า 5 ปีที่ผ่านมาที่ท่านตั้งใจบูชา[/FONT]
    [FONT=&quot]พระคุณของหลวงปู่ดู่นั้นจะมีพลังงานมหาศาลไม่มีประมาณสักเพียงไรก็สุดจะคาดคะแนได้ [/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ความตั้งใจของครูบาอาจารย์ผู้ทรงศีลอันวิสุทธิ์ย่อมกระเทือนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งแสน-[/FONT]
    [FONT=&quot]โกฏิจักรวาลร่วมอนุโมทนากับท่านอย่างแน่นอน จึงมั่นใจได้เลยว่า[/FONT][FONT=&quot]“เหรียญดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน” [/FONT]

    [FONT=&quot]ที่หลวงตาม้าท่านจัดสร้างในครั้งนี้จะทรงมหิทธานุภาพด้วยอำนาจแห่งพระพุทธบารมี [/FONT]
    [FONT=&quot]พระธรรมบารมี พระสังฆบารมี ตลอดจนกำลังแห่งพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์เจ้า [/FONT]
    [FONT=&quot]พระมหาโพธิสัตว์เจ้า ทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล และกำลังโพธิญาณของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด[/FONT]
    [FONT=&quot]และหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ไว้มากมายเพียงไร นับได้ว่า “เหรียญดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน” [/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นวัตถุมงคลที่กำเนิดเกิดจากดำริและความเพียรอันวิสุทธิ์ของหลวงตาม้าโดยแท้[/FONT]

    [FONT=&quot](คุณหมู ผู้ออกแบบเหรียญดวงโพธิญาณ เวปวัดถ้ำฯ)[/FONT]

    [FONT=&quot]...............................................................................[/FONT]

    [FONT=&quot]ประสบการณ์เหรียญดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน เหรียญที่สมบูรณ์ที่สุดในวัดถ้ำเมืองนะ<!-- google_ad_section_end -->[/FONT]

    [FONT=&quot][FONT=&quot]หลายๆคนอาจจะงงว่าเหรียญยังไม่ได้ออกมา ให้บูชา แต่เหตุใดจึงมีประสบการณ์เสียแล้ว ประสบการณ์นี้ผมเจอมากับตัวครับ เป็นสิ่งดีๆจึงอยากจะนำมาบอกเล่าให้กับพี่น้องญาติธรรมทุกท่านได้ฟังกัน ครับ.....[/FONT][/FONT]

    [FONT=&quot][FONT=&quot]ณ วัดพุทธพรหมปัญโญนี้ จะมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ซึ่งหลวงตาม้าท่านเรียกถ้ำนี้ว่า"ถ้ำใหญ่" เป็นสถานที่ๆหลวงตาท่านสวดมนต์กำลังพระมหาจักรพรรดิตอนสองทุ่มครึ่งของทุก วัน ภายในถ้ำใหญ่หลวงตาม้าท่านสร้างพระพุทธรูปสำคัญๆจากทั่วประเทศไทยรวมอยู่ใน ที่แห่งนี้ เป็นที่เย็นตาเย็นใจแก่ผู้พบเห็น บรรยากาศตอนกลางคืนอากาศเย็นสบาย มีแสงเทียนส่องประกายมอบแสงสว่างให้ผู้ที่อยู่ภายในถ้ำ ผู้ใดที่ได้เข้ามานั่งหรือสวดมนต์ภาวนาในที่แห่งนี้ล้วนแล้วแต่ได้รับความ สบายกายสบายใจ [/FONT]

    [FONT=&quot]วันหนึ่ง เวลาประมาณหกโมงเย็นช่วงหน้าร้อนของปีนี้(52) แม้จะเป็นฤดูร้อนแต่อากาศภายในวัดกลับสดชื่นเย็นสบาย เรียกได้ว่าอากาศเย็นตลอดทั้งปีเลยทีเดียว ในวันนั้นตัวผมเอง พี่ชาย(ท่านมหาโช) และพี่สาว(พี่ส้ม แม่ฟ้าหลวง)นั่งรับคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมจากหลวงตาม้า ณ ถ้ำใหญ่แห่งวัดพุทธพรหมปัญโญ [/FONT]

    [FONT=&quot]หลวงตาท่านเมตตายื่นเหรียญๆหนึ่งมาให้ผมดู พร้อมบอกว่า ขอพรจากท่านสิ ผม ก็รับมาซึ่งเหรียญนี้เป็นเหรียญทองคำแท้ ด้านหน้าของเหรียญเป็นรูปลักษณ์หลวงปู่ดู่ ด้านหลังเป็นยันต์ดวง ผมรับมาพร้อมกับอุปทานในใจว่า อ้อ! เหรียญดวงนี้นี่เองที่หลวงตาท่านพูดถึงอยู่บ่อยๆ [/FONT]

    [FONT=&quot]เมื่อรับมาแล้วแทนที่จะปฏิบัติ ตามที่หลวงตาท่านสั่งคือให้ขอพรจากท่าน แต่ผมกลับขอชมบารมีในองค์พระท่านก่อนที่จะขอพร ด้วยความที่ติดเป็นนิสัยดังนั้นไม่ว่าจะเจอพระเครื่ององค์ใดก็มักตรวจเช็คขอ ชมบารมีในองค์พระท่าน วิธีที่ผมใช้เช็คพุทธคุณขอชมบารมีพระนี้ ศิษย์หลวงปู่ดู่หลวงตาม้าทำกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องเหนือวิสัยมนุษย์แต่อย่างใด เพราะว่าพุทธคุณหรือบารมีพระนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถสัมผัสและรับรู้ได้ [/FONT]

    [FONT=&quot]เมื่อผมขอชมบารมีในองค์พระเหรียญดวงโพธิญาณองค์นี้ ผมพูดได้เพียงว่าเหมือนพระองค์หนึ่งที่หลวงปู่ดู่ท่านเคยเสกเอาไว้ พออ่านมาถึงตรงนี้หลายๆคนอาจจะเริ่มงง ผมต้องขอเล่าเรื่องๆหนึ่งให้ทุกคนได้ฟังก่อน ตั้งใจอ่านดีๆนะครับ ข้อมูลที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ หาอ่านที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว....[/FONT]

    [FONT=&quot]ในสมัยที่หลวงปู่ดู่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยอธิษฐานจิตพระไว้หนึ่งองค์ พระองค์นี้จะมีเพียงองค์เดียวหรือไม่นั้น ผมเองก็ไม่ทราบ(แต่มั่นใจว่ามีเพียงองค์เดียว และตั้งแต่เกิดมาก็เคยพบเพียงองค์เดียว) หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวถึงพระองค์นี้ไว้ได้ใจความว่าถ้า ใครเอามือไปแตะพระองค์นี้ จะขออะไรก็ขอได้ ได้หมดทุกอย่าง อย่าเอาไปบอกใครนะ เดี๋ยวคนเขาแห่ไปในที่ตรงนั้น ต่อแถวแตะกันยาวเหยียด มันจะยุ่ง นั่นแหละครับ ที่ผมสัมผัสได้ก็คือ เหรียญดวงโพธิญาณกำลังแผ่นดิน เหมือนพระองค์นั้นจริงๆ!!!![/FONT]

    [FONT=&quot]พระองค์นั้นที่หลวงปู่ดู่ท่านอธิษฐานไว้ ตอนนี้อยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ผมเองก็ไม่สามารถบอกได้ เป็นสถานที่ที่ยากต่อการเข้าถึง แต่หากมีผู้ใดที่รู้และนำไปกระจายข่าวต่อ จะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คน ทั้งผู้ที่ต้องลำบากเดินทางดั้นด้นเข้าไปค้นหาและผู้ที่มีพระองค์นั้นเอาไว้ บูชาจะต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน [/FONT]

    [FONT=&quot]ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล เหรียญดวงโพธิญาณ กำลังแผ่นดินที่หลวงตาม้าท่านได้จัดสร้างขึ้นนี้ เหมือนกับพระองค์นั้นจริงๆ ใครที่สามารถเช็คพุทธคุณขอชมบารมีพระได้ก็ขอเชิญนะครับ จะได้ทราบว่าที่ผมพูดนั้นจริงเท็จเพียงใด หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวไว้ได้ใจความว่าพระของท่านไม่ได้ทำมาเพื่อหลอกคนอื่น ท่านทำจริง ใช้ได้จริง ใครที่ปฏิบัติจนได้ตาในแล้วก็มาดูได้ บารมีกำลังพระรัตนไตรพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นหาประมาณมิได้ สมดังคำที่หลวงตาม้าท่านเคยกล่าวไว้ว่า พลังเหนือพลังจริงๆ[/FONT]

    [FONT=&quot]หลังจากที่ผมได้ขอชมพุทธบารมีจากเหรียญดวงโพธิญาณนี้แล้ว ผมได้ประจักษ์แก่ใจตนเอง จึงอธิษฐานขอพรจากองค์พระท่านแล้วท่องบทสัพเพน้อมนำบารมีพระเข้าตัว ผมไม่ขอเล่าต่อว่าหลังจากที่ขอพรจากองค์พระท่านและสัพเพเข้าตัวแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผมนั้นเป็นอย่างไร ผมไม่สามารถที่จะเล่าได้เนื่องเพราะเวปแห่งนี้เป็นสื่อสาธารณะ ผู้ใดที่อ่านแล้วอาจจะมีความคิดปรามาสครูบาอาจารย์ได้ ผมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น อยาก จะให้ทุกท่านได้ลองนำไปกำปฏิบัติหรือกำแล้วอธิษฐานก็ได้ แล้วจะรู้ว่าเหตุไฉนทำไมผมไม่กล้าเล่าต่อ เหตุไฉนเหรียญนี้จึงชื่อว่าสมบูรณ์ที่สุดของวัดถ้ำเมืองนะ เรื่องนี้เป็นปัจจัตตังคือรู้ได้เฉพาะตน ขอท่านลองมาดูด้วยตนเองเถิด ..[/FONT]

    (ข้อมูลจากเวปวัดถ้ำฯ เดิม)



    [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.6.jpg
      3.6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      184.8 KB
      เปิดดู:
      6,100
    • 0.13.jpg
      0.13.jpg
      ขนาดไฟล์:
      144.4 KB
      เปิดดู:
      155
  12. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    พี่คนชะอวดหรือครับ อยู่แถวไหนครับ ผมเรียนโรงเรียนชะอวดม.1-ม.6ครับ บ้านผมเมื่อก่อนอำเภอชะอวด แต่ตอนนี้เป็นจุฬาภรณ์ครับ...เรื่องหลวงปู่พี่พูดถูกครับเรื่องนี้ปัจจัตตังครับ...ผมก็เชื่ออย่างพี่ครับว่าหลวงปู่อยู่กับเราตลอดเวลาครับ ผมเชื่อครับ
     
  13. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ผมจบ ม.3 โรงเรียนชะอวดหลายปีมาแล้ว ประมาณปี 2525(ตอนนั้นมีแค่ ม.1-ม.3) แล้วย้ายไปเรียนที่โรงเรียนจังหวัดพัทลุง.. ปัจจุบัน
    ได้มาทำงานที่อิสาน เกือบยี่สิบปีแล้ว..แหล่งบริเวณภาคอิสานตอนบนมีพระปฏิบัติสายหลวงปู่มั่น หลายๆท่าน เป็นเนื้อนาบุญที่ประเสริฐ ..

    ดีแล้วนะที่น้องเอก หันมาปฏิบัติธรรม และมีหลวงปู่เป็นครูอาจารย์ ประเสริฐสุดแล้ว ท่านเมตตามากจริงๆ และดูแลเราทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม ต้องประสบด้วยตัวเองจึงจะทราบได้ ประสบการณ์ที่น้องเอกและเพื่อนๆสมาชิกเขียนมีประโยชน์มาก เข้าไปอ่านแล้วมีปิติในเมตตาธรรมของหลวงปู่ ..และขออนุโมทนาในผลการปฏิบัติด้วย ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป จนถึงที่สุดแห่งธรรม...สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 ตุลาคม 2012
  14. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พิธีปลุกเสกเหรียญเปิดโลก
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ


    [​IMG]

    จากหนังสือกายสิทธิ์ 2

    คณะของ คุณ วรวิทย์ ด่านชัยวิจิตร มีศรัทธาสร้างรูปของหลวงปู่ แต่ท่านให้สร้างเป็นรูปของหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืดแทน โดยให้ออกแบบตามรูปถ่ายที่หลวงปู่ลอยในอากาศ ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้เขียนได้สรุปมาจากคุณชนะ ศรีชฎา ขณะท่านทำงานเป็นผู้จัดการเขต ธนาคารกรุงไทย จังหวัดภูเก็ต โดยท่านได้เล่าประวัติความเป็นมาของรูปนี้ว่า ได้มาจากพระอาจารย์ชัย ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งอาจารย์ได้มีโอกาสไปร่วมในพิธีที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในการบวงสรวงและอธิษฐานจิตของคณาจารย์หลายองค์ โดยมีเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธานที่วัดพระบรมธาตุ เมืองนครฯ เพื่อต้องการรูปของหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ ไว้เคารพสักการะ และนำไปเป็นแบบในการสร้างหุ่นขี้ผึ้ง เมื่อทำพิธีบวงสรวงเรียบร้อยแล้ว จึงใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายขึ้นไปบนท้องฟ้า

    และได้เกิดปรากฎการณ์พิเศษเหนือธรรมชาติ เพราะมีรูปพระองค์แก่ๆ เกิดขึ้น หลังจากได้นำฟิล์มมาล้าง พระอาจารย์จำเนียร แห่งวัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่ ได้เข้าสมาธิถาม ได้รับคำตอบว่า ท่านคือ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด นั่นเอง

    [​IMG]

    จึงได้มีการสร้างและออกแบบโดยให้เพิ่มเติมลูกแก้วไว้บนมือ และให้หลวงปู่นั่งบนดอกบัว เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ทั้งของวัดช้างไห้และวัดพะโคะ เนื่องจากลูกแก้วคู่บารมีหลวงปู่ยังคงต้องเก็บรักษาไว้ที่วัดพะโคะ จังหวัดสงขลา ส่วนการนั่งบนดอกบัวนั้น มีแรงบันดาลใจจากคุณอนันต์ คหบดี จังหวัดปัตตานี ที่เห็นหลวงปู่นั่งบนดอกบัว ในคราวที่ท่านจัดสร้างเพื่อถวายอาจารย์ทิม แห่งวัดช้างไห้ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗ ซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่าหลวงปู่ทวดวัดช้างไห้ และวัดพะโคะ คือองค์เดียวกัน สำหรับการนั่งบนดอกบัวนั้น เป็นนิมิตที่ท่านแสดงถึงความปรารถนาพุทธภูมิ และบารมีเต็มเรียบร้อย มิใช่การบังอาจที่แสดงถึงการไม่เคารพพระพุทธเจ้า เพราะมีการวิจารณ์ว่า พระสงฆ์ไม่ควรนั่งบนดอกบัว แต่ในเรื่องนามธรรม ความลึกลับแล้ว เป็นการแสดงถึงบารมีของการปรารถนา ที่ท่านเมตตาแสดงไว้ให้แก่ผู้ที่เคารพศรัทธา สำหรับจำนวนของวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ประกอบด้วย

    ๑.เหรียญทองคำ ๒๔๐ เหรียญ
    ๒.เหรียญเงิน ๑,๐๓๖ เหรียญ
    ๓.เหรียญทองแดง ๑๐,๕๐๐ เหรียญ
    ๔.พระผง ๕,๐๐๐ องค์
    (ในจำนวนนี้มีพระผงที่ฝังพระธาตุเอาไว้ด้วย จำนวน ๓๖๐ องค์)
    ๕.ตะกั่วผสมพลวง ๑,๐๐๐ เหรียญ
    ๖.โปสเตอร์รูปหลวงปู่ดู่ ๑๐,๐๐๐ แผ่น
    ๗.ลูกแก้วสารพัดนึก ๕,๐๐๐ ลูก

    สำหรับเหรียญทองคำ เงิน และทองแดง ได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกพร้อมกับเหรียญ หลวงพ่อหวล ภูริทัตโต วัดพุทไธศวรรย์ ในวาระอายุครบ ๕ รอบ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๒....

    ในพิธีพุทธาภิเษกนี้ นอกจากหลวงพ่อหวล เจ้าอาวาส ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราชแล้ว ยังได้กราบอาราธนาพระผู้ทรงวิทยาคุณองค์อื่นๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ หลวงพ่อทิม วัดพระขาว, หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา และ อาจารย์แม้น วัดหน้าต่างนอก นอกจากนี้ก็ยังมีศิษย์ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ, พระอาจารย์สุทิน วัดสะแก ศิษย์ของหลวงปู่ดู่ และหลวงพ่อมหาวีระ วัดท่าซุง ฯลฯ

    หลวงพ่อหวล ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของผู้เขียน (อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์) ได้ให้ผู้เขียนกราบนิมนต์หลวงปู่ดู่ ซึ่งท่านรับจะร่วมอธิษฐานจิตตั้งแต่ ๑๘.๐๐ นาฬิกาของวันพิธี หลวงพ่อหวลได้เล่าให้ฟังว่า ขณะที่กำลังจุดเทียนที่ขันน้ำสาครและราวเทียนอยู่นั้น ท่านเห็นพระองค์หนึ่งมายืนข้างๆ ซึ่งท่านไม่รู้จัก ในแวบหนึ่งท่านฉุกคิดถึงหลวงปู่ดู่ เมื่อผู้เขียนนำภาพหลวงปู่ดู่ไปถวาย ท่านจึงบอกว่า "ฉันไม่ได้เพี้ยนแน่ เพราะคือองค์นี้เองที่เห็น" เมื่อผู้เขียนนำเรื่องราวไปเล่าให้หลวงปู่ดู่ฟัง ท่านตอบว่า

    "เดี๋ยวจะหาว่าฉันโกหก ใครตาดีก็ดูกันเอาเอง"

    [​IMG]

    ในวันพิธีเสกวัตถุมงคล หลวงปู่ทวด ฝนตกลงมาอย่างหนัก ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจ เพราะเมื่อไปถึงวัด ผู้คนวันนั้นมีมากเกินกว่าที่คิดไว้ ของที่นำมาปลุกเสก ทั้งจากผู้สร้างและผู้นำมาเข้าร่วมพิธี สูงจนท่วมตัวหลวงปู่ ทุกคนที่มาในพิธีอาจจะคิดไม่ถึงก็ได้ว่า นี่เป็นวาระสุดท้ายที่หลวงปู่จะโปรดพวกลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งหลวงปู่ได้เป็นผู้กำหนดวันพิธีไว้ล่วงหน้าคือ วันอังคารที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๒

    ก่อนจะเริ่มพิธีเมื่อกล่าวนำบูชาพระรัตนตรัย และขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยแล้ว ผู้เขียนได้กล่าวอาราธนาหลวงปู่ว่า

    "ขออาราธนาพระเดชพระคุณหลวงปู่ได้โปรดเมตตาอธิษฐานจิต ปลุกเสกรูปเหมือนหลวงปู่ทวด และวัตถุมงคลในพิธีที่คณะลูกศิษย์ได้ร่วมใจกันสร้างขึ้น เพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นเครื่องระลึกถึงพระไตรสรณคมน์และการนำไปปฏิบัติธรรมของเหล่าคณะศิษย์ของวัดสะแก ซึ่งมีหลวงปู่ทวดเป็นประธาน สืบต่อไป"

    หลังจากนั้น หลวงปู่ก็ได้ให้ผู้เขียนกล่าว ชุมนุมเทวดา เพื่อให้มาโมทนาและร่วมในพิธี ต่อไปนี้เป็นคำพูดของหลวงปู่ ที่กล่าวไว้เสมือนกับเป็นอมตะวาจา ที่ทิ้งไว้ให้ระลึกถึง เพื่อให้ลุกศิษย์เกิดศรัทธาปสาทะ มีกำลังใจที่จะสร้างคุณงามความดี จนในที่สุดกลายเป็น อจลศรัทธา สามารถพึ่งตนเองได้ วาจาของหลวงปู่มีดังนี้


    "ตั้งใจกันทุกคน ภาวนาไตรสรณคมน์ นิมนต์ท่านด้วยทั้ง ๔ องค์"
    (ในวันนั้นมีพระสงฆ์อยู่ด้วย ๔ รูป)

    หลวงปู่ "เชิญพระมาทั้งหมดแสนโกฏจักรวาฬ เทวดาด้วย ขอให้ท่านมาช่วยกัน หลวงพ่อทวดมาหรือยัง"

    ผู้เขียน "มาแล้วครับ"

    หลวงปู่ "หลวงพ่อเกษม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ที่แปลพระไตรปิฎกฉบับลังกา หลวงพ่อบุดดามาแล้วใช่ไหม"

    ผู้เขียน "ครับ"

    หลวงปู่ "ตั้งจิตยกของทั้งหมดตามหลวงพ่อทวด ไปพุทธาภิเษกที่วิมานแก้วพระพุทธเจ้า ขอให้พระพุทธเจ้ารับ ท่านรับแล้วหรือยัง"

    ผู้เขียน "ครับ รับแล้ว"


    หลวงปู่ยกมือขวา ลูบพระทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้าท่าน ๒-๓ ครั้งอย่างช้าๆ

    หลวงปู่

    "ตั้งจิตไว้ไปวิมานพระธรรม วิมานพระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ขอให้ท่านช่วยเสร็จแล้วใช่ไหม ตอนนี้สว่างไปหมด พรหมโลก เทวโลก มนุษโลก

    ดูพุทธนิมิตของหลวงพ่อทวดเต็มท้องฟ้าไปหมด ตั้งจิตนำของทั้งหมดไปนมัสการพระพุทธเจ้าที่ดอยสุเทพ ที่ดอยสุเทพมีพระธาตุพระพุทธเจ้าอยู่ ขอพระพุทธเจ้าให้ท่านประสิทธิ ดูซิของทั้งหมดสว่างหมดหรือยัง"

    ผู้เขียน "สว่างหมดแล้ว"

    หลวงปู่


    "ยกของทั้งหมดมาที่วัดสะแก อย่าเพิ่งลง ทำทักษิณาวัตรรอบภูเขาบุญกว้าง ๑ เส้น สูง ๑ เส้นก่อน ๓ รอบ ตอนนี้หลวงพ่อทวดอยู่ที่ไหน ลอยอยู่ในอากาศเห็นหรือยัง อัญเชิญพุทธนิมิตหลวงพ่อทวดมาปฏิสนธิสถิตในของทั้งหมด

    ดูซิของทั้งหมดสว่างไสวไปหมด แสงแตกกระจายออกไปเหมือนไฟพะเนียงแตก ขอหลวงพ่อทวดคุ้มครองรักษา ฝากเทวดาช่วยปกป้องรักษาของทั้งหมดนี้ตลอดไป ปิดอันตรายทุกอย่าง ของสว่างใช้ได้แล้วหรือยัง ตั้งใจให้ดี อุทิศกุศลไปให้โดยรอบสุดขอบจักรวาฬ อนันตจักรวาฬ ฉันจะให้พรแทน"

    หลวงปู่ให้พรและกรวดน้ำแทนคณะศิษย์ทั้งหลาย เนื่องจากในวันนั้นเสียงหลวงปู่เบามาก จึงได้ยินกันไม่ค่อยทั่วถึง หลังจาดพิธีเสร็จแล้วในวันต่อมา ได้กราบเรียถามหลวงปู่ ท่านบอกว่า


    "เกือบจะปลุกเสกไม่ได้ เนื่องจากมีคนจัดยาให้ท่านฉันผิด จึงทำให้ท้องเสีย ถ่ายท้องหลายครั้ง แต่เมื่อถึงพิธีกลับทำได้"

    นับว่าหลวงปู่มีขันติธรรมอย่างยิ่ง และเป็นความเมตตาอนุเคราะห์แก่คณะศิษย์อย่างมาก

    วัตถุมงคลต่างๆ ที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ คณะของคุณวรวิทย์ได้แจกจ่ายให้กับศิษย์ที่ปฏิบัติธรรมโดยไม่ต้องเสียเงินใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นเหรียญชนิดเงินและทอง ซึ่งคิดเท่ากับต้นทุนตามที่มีผู้สั่งจอง เนื่องจากมีผู้ได้รับแจกมาก จึงทำให้บางคนที่ไม่รู้จักคุณค่านำไปแลกเปลี่ยนจำหน่ายในสนามพระ

    ปัจจุบันวัตถุมงคลดังกล่าว ยังมีเหลืออยู่บ้างในจำนวนไม่มากนัก ซึ่งต้องแล้วแต่กาลเวลา เพราะต้องดูโอกาสที่ควรจะเปิด ท่านที่อยากได้ก็จงอธิษฐาน ปฏิบัติธรรมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา นึกถึงหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ถ้าวาสนาของท่านดี คงมีโอกาสได้รับวัตถุมงคลรุ่นนี้ ที่เรียกกันว่า "รุ่นเปิดสามโลก" หรือที่เซียนพระเรียกว่า "รุ่นดัง" นั่นเอง

    มีเพื่อนของลูกศิษย์ผู้เขียนเคยนำหนังสือ พระผู้จุดประทีปในดวงใจ ซึ่งพิมพ์ครั้งพระราชทานเพลิงศพของพ่อผู้เขียน ไปถวายเพื่อนของเขาซึ่งบวชเป็นพระภิกษุ เมื่อเขาเห็นหนังสือ เขาได้บอกว่า


    "เพิ่งจะรู้ว่าหลวงพ่อดู่ที่หลวงพ่อเกษมกล่าวถึงคือองค์นี้เอง"

    [​IMG]

    จึงได้เกิดการซักถามกันขึ้น พระจึงเล่าให้ฟังว่า เคยไปนมัสการ หลวงพ่อเกษม กับโยมมารดาของท่าน ตั้งแต่ยังไม่ได้บวช มารดาได้พาไปนมัสการหลวงพ่อเกษม เพื่อจะขอบารมีให้ลูกชายบวช หลวงพ่อเกษมท่านนั่งหลับตานิ่งอยู่ ได้เอ่ยถามมารดาของท่านว่า

    "รู้จักหลวงพ่อดู่ วัดสะแกไหม"

    ซึ่งมารดาเรียนตอบท่านว่า ไม่เคยรู้จัก หลวงพ่อเกษมท่านจึงพูดต่ออีกว่า

    "เคยได้ยิน เหรียญเปิดโลกไหม"

    เธอก็ตอบอีกว่า "ไม่เคยได้ยิน"

    หลวงพ่อเกษมจึงพูดขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า...

    "ให้ไปหามาบูชา เหรียญนี้ดี กันนิวเคลียร์ได้"

    พระองค์นี้ก็ได้แต่สงสัยว่า หลวงพ่อดู่อยู่ที่ไหน และจะหาเหรียญได้ที่ใด เป็นเวลาเกือบปี จึงเกิดความกระจ่างจากหนังสือที่ได้รับ แสดงว่าหลวงพ่อเกษมท่านใช้ อนาคตังสญาณ คือ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องอนาคต ที่ท่านและมารดาของท่าน จะต้องมาเกี่ยวข้องกับหลวงปู่อย่างแน่นอน<!-- google_ad_section_end --> ..

    ......................................................................................

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ประสบก...ู่-พรหมปัญโญ-วัดสะแก-จ-อยุธยา.208663/page-109
     
  15. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พื้นฐานการปฏิบัติที่คนสมัยนี้ละเลย

    [​IMG]

    โดย พี่สิทธิ์

    Web Luangpudu.com


    ในสมัยก่อนหลวงปู่จะให้ลูกศิษย์พากันหมั่นบริกรรมภาวนาไตรสรณคมณ์คือ

    "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉรามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"

    หลวงปู่เคยสอนว่า

    "ถ้าแกหลับไปกับคำบริกรรมภาวนา
    แล้วตื่นมาพร้อมกับคำบริกรรม จึงจะใช้ได้"

    ซึ่งช่วงนั้น หลายคนที่พยายามฝึกฝนให้ได้อย่างนั้น และบางคนก็ทำสำเร็จ คือพอตื่นนอนขึ้นมา ความรู้สึกตัวเหมือนกับว่าในใจยังท่องบริกรรมภาวนาอยู่อย่างต่อเนื่อง

    สมัยนั้น ลูกศิษย์ที่รู้ (จำ) มาก ก็ตั้งข้อสงสัยว่าหลวงปู่เน้นสมถะมากเกินไปกระมัง หลวงปู่น่าจะเน้นด้านวิปัสสนาจึงจะถูกแต่แล้วประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรมนานปีเข้า จึงทำให้เห็นความฉลาดหลักแหลมของผู้เป็นครูบาอาจารย์ ใคร ๆ ก็บอกว่าจะฝึกสติ แต่อุบายของการฝึกสติกลับไม่ค่อยนึกถึง ซึ่งแท้จริงแล้ว การหมั่นบริกรรมภาวนานี้แหละคืออุบายการฝึกสติที่ดีมาก ๆ ฝึกให้เรารู้เนื้อรู้ตัวตลอด ไม่ให้จิตเพ่นพ่านออกไปอย่างขาดสติ

    บางคนก็บอกว่าต้องดูจิต หลวงปู่ก็สอนให้ดูจิต แต่ท่านก็รู้ว่าจิตเป็นของยากที่จะดู อุปมาจิตก็เหมือนลิงที่อยู่ในป่ากว้าง เราจะจับมันได้อย่างไร วิ่งไล่มันในป่าก็มีหวังหมดอายุขัยก่อนที่จะจับมันได้ ด้วยเหตุที่จิตเป็นของที่ดูยากรู้ยาก พระพุทธเจ้าจึงให้อุบายตะล่อมให้จิตมาอยู่ในขอบเขตที่แคบเข้า นั่นก็คือ กรรมฐาน ซึ่งพระองค์ก็ให้อุบายกรรมฐานมาตั้ง ๔๐ อย่าง ตามแต่อุปนิสัยของผู้ฝึก

    ดังนั้น ในการที่จะดูจิตจึงต้องอาศัยกรรมฐานเพื่อให้จับตัวจิตหรือจิตได้ง่ายเข้า ถนัดเข้า ถ้าจิตเป็นของดูได้ง่าย ๆ พระพุทธเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องสอนกรรมฐาน ดังนั้น ไม่ว่าสายหลวงปู่มั่น สายหลวงพ่อวัดปากน้ำ สายหลวงพ่อปาน ฯลฯ ก็ล้วนให้เพียรฝึกกรรมฐานก่อนทั้งนั้น เป็นแต่ใช้คำบริกรรมต่างกัน เช่น พุทโธบ้าง สัมมาอะระหังบ้าง นะมะพะทะบ้าง แต่สุดท้ายก็ไปสู่จุดเดียวกันคือความสงบตั้งมั่นของจิตเหมือนกัน ทีนี้ จะดูจิตดูอารมณ์ก็ดูไปให้มันถนัด

    จับปลาช่อน มองดูเฉย ๆ ก็จับมันไม่ได้ จับมันแรงไปมันก็ลื่นปื๊ดหลุดมือไป จับเบาไปมันก็หลุดหนีไปอีก จึงต้องจับพอดี ๆ วางใจพอดี ๆ บังคับเหมือนกัน แต่บังคับพอดี ๆ ปลาช่อนหรือจิตมันจึงจะอยู่มือ หลังจากนั้นจะนำมาดัดมาฝึกก็ค่อยเริ่มจากจุดนี้

    การบริกรรมภาวนาให้ได้ตลอดทั้งวัน อย่างที่หลวงปู่บอกไว้ว่าให้ทำทั้งหลับตา ลืมตา เดิน ยืน นั่ง นอน ขึ้นรถ ลงเรือ หุงข้าว ทำแกง ฯลฯ แต่ละคืน ๆ ให้บริกรรมไปจนหลับ ตื่นมาก็สังเกตว่ารู้สึกตัวปุ๊บก็บริกรรมต่อเนื่องไปอีก แต่แน่นอนในยามที่ต้องมุ่งเน้นกิจกรรมเฉพาะหน้าเช่นหน้าที่การงาน การบริกรรมก็อาจต้องผ่อนลงมา แต่พอว่างจากกิจกรรมก็ทำให้หนักขึ้น ชัดขึ้นดังเดิมอีก อย่างนี้จึงจะเรียกว่าทำด้วยอิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ ความพอใจใครปฏิบัติ วิริยะ ความเพียรไม่ท้อถอยยอมแพ้ จิตตะ จดจ่อต่อเนื่องทุก ๆ อิริยาบท ไม่ขาดวรรคขาดตอน และวิมังสัง ใช้ปัญญาสอดส่องการวางใจหนักเบาตามควรแก่กาละเทศะ หรือสถานการณ์

    ทีนี้ก็จะได้ตระหนักถึงอุบายสร้างพื้นฐานการปฏิบัติธรรมที่สำคัญยิ่งที่หลวงปู่ท่านเมตตาให้ไว้ ซึ่งหากปฏิบัติได้ก็จะเป็นเหมือนฐานเจดีย์ที่พร้อมต่อการก่อสร้างหรือต่อยอดต่อไปได้อย่างมั่นคง มิให้ยอดเจดีย์ถล่มครืนลงมาได้โดยง่าย เพราะสติคือธรรมที่มีอุปการะมาก<!-- google_ad_section_end --> ..
    ..........................................................................
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ประสบก...ู่-พรหมปัญโญ-วัดสะแก-จ-อยุธยา.208663/page-112

    (หมายเหตุ..ได้นำข้อมูลมาจากที่ต่างๆ(ตามแหล่งที่มา) เพื่อร่วมด้วยช่วยกันเผยแผ่ธรรมะของหลวงปู่ ขออนุโมทนากับทุกๆท่าน)
     
  16. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    หลวงปู่ดู่กับพระเครื่องที่ท่านอธิษฐานจิต..

    [​IMG]

    เมื่อลำดับภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีต ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับปฏิปทาของ”หลวงปู่ดู่” กับพระเครื่องที่ท่านอธิษฐานจิต สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือ

    ท่านกำลังสร้างสิ่งที่จะเป็น "เครื่องมือ" ในการสร้างความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติสมาธิภาวนา

    แม้ท่านจะกล่าวว่า

    "ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล" ก็ตาม
    แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ไม่ให้ไปลุ่มหลงหรือยึดติดเสียจนละเลยเป้าหมายสำคัญของแต่ละชีวิต นั่นก็คือการพัฒนาให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

    วันหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งของข้าพเจ้า* ไปเช่าวัตถุมงคลที่ท่านอธิษฐานจิตให้กับทางวัดสะแก จำนวนมากกว่า 20 ชิ้น แล้วเอามาให้ท่านอธิษฐานจิตซ้ำอีก ครั้งนั้น ข้าพเจ้าและเพื่อนต้องสะดุ้งด้วยถ้อยคำที่พูดค่อนข้างดังของท่านว่า

    "แกจะเอาไปขายหรือ พระของข้าน่ะ ทำ (ปฏิบัติ) ให้จริง องค์เดียวก็พอแล้ว"

    ในทางตรงกันข้าม เพื่อนของข้าพเจ้าอีกคนหนึ่ง เป็นคนที่ไม่สะสมวัตถุมงคลเอาเสียเลย มีก็แต่พระที่หลวงปู่มอบให้กับมือเท่านั้น
    จนวันหนึ่งทาง วัดกำลังนำวัตถุมงคลรุ่นหนึ่งในหลาย ๆ รุ่นที่หลวงปู่เมตตาอธิษฐานจิตให้ ออกมาให้เช่าบูชา แต่ด้วยความที่เพื่อนคนนี้มิได้ใส่ใจในเรื่องวัตถุมงคล จึงไม่ได้ขวนขวายไปเช่าที่หลังวัด หลวงปู่จึงเอ่ยกับเขาว่า

    "ถ้าข้าเป็นแก ข้าจะไปบูชาเอาไว้สักองค์สององค์นะ"

    ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลามีคนมาถามหาเพื่อจะขอบูชาพระเครื่องจากท่าน ท่านก็จะบอกว่าไม่มี ฉันไม่ได้ทำ พระเป็นของวัด ไปเช่าที่หลังวัดโน่น

    ท่านเคยบอกให้ข้าพเจ้าฟังว่าท่านมีหน้าที่เสกพระเท่านั้น เสกแล้วก็แล้วกัน เรื่อง (จำหน่าย) พระ เป็นเรื่องของทางวัด ถือเป็นของสงฆ์ทั้งหมด

    หลวงปู่เคยพูดติดตลกว่า “พระที่ท่านอธิษฐานจิต แม้จะไม่เป็นที่หนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นรองใคร”

    ท่านเคยเตือนให้ระวังรักษาพระของท่านว่า

    "...ใครเขาจะทำ (อธิษฐาน) ให้เหมือนอย่างที่ข้าทำ พระที่ข้าทำ แกจงรักษาให้ดี..."

    แต่มีเหตุการณ์ที่สำคัญมากที่เกิดกับเพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่ง ซึ่งมีฐานะไม่สู้ดีนัก เขาได้แต่ชื่นชมพระเครื่องที่บรรดาเพื่อน ๆ ไปหาเช่ากันมา แต่ตัวเองก็ไม่มีสตางค์จะไปเช่า

    ค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่เขานั่งอยู่ในห้องพระเพียงลำพัง นึกน้อยใจในวาสนาบารมีของตัวเอง แล้วบ่นต่อหน้ารูปหลวงปู่ที่บูชาอยู่เบื้องหน้าว่า ลูกอยากได้พระเครื่องของหลวงปู่เหลือเกิน

    ทำยังไงลูกจึงจะมีวาสนามีพระเครื่องรุ่นที่เขานิยมกันบ้าง เพราะลูกไม่มีเงิน หลังจากรำพึงรำพันแล้วเขาก็นั่งสมาธิ

    และแล้วสิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นกับเขา เมื่ออยู่ ๆ ปีติก็เกิดขึ้นท่วมท้นกายใจของเขา เขาเห็นแสงสว่างโพล่งไปหมด แล้วก็เห็นนิมิตองค์พระ พร้อมกับเสียงพูดว่า...

    "ข้าให้พระกับแก เป็นพระเก่าพระแท้"

    เพื่อนผู้นี้ร้องไห้ออกมามาก เขาเข้าใจในทันทีว่า พระเก่าพระแท้ที่หลวงปู่ตั้งใจให้เขาก็คือ "การปฏิบัติธรรม" นั่นเอง... เพราะ
    "พระสติ - พระปัญญา"

    อันเป็นผลจากการปฏิบัติธรรมเท่านั้นถึงจะเป็นที่พึ่งที่เที่ยงแท้กว่าพระภายนอก ดังนั้น จึงไม่เป็นปัญหาอีกแล้ว

    เพราะแม้จะไม่มีพระเครื่องของท่าน แต่เขาก็ภูมิใจที่หลวงปู่มอบพระที่มีค่าสูงสุดแก่เขาแล้ว...

    ทั้งยังเป็นพระที่ใคร ๆ จะมาแย่งชิงเอาไปจากเขามิได้เลย และจะอยู่กับเขาตลอดไป ตราบเท่าที่เขาไม่ละทิ้งการปฏิบัติ

    หมายเหตุ..*ลูกศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่ดู่

    ที่มา หลวงปู่ดู่กับพระเครื่องที่ท่านอธิษฐานจิต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 44_resize.jpg
      44_resize.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.9 KB
      เปิดดู:
      1,487
  17. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พระผงยันต์ดวงแก้อาถรรพ์ผีน้ำมันพราย

    [​IMG]

    ผมชื่อไกรทำงานอยู่ที่ถนนสาทรมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งสนิทกันมาก วันเสาร์เพื่อนผมบอกว่าจะชวนผมไปเที่ยวบ้านย่าที่อยู่คลองจินดาแถว ๆ สามพราน ผมตกลงทันที เย็นวันเสาร์เราเดินทางไปถึงบ้านของย่าเพื่อนประมาณหนึ่งทุ่มมืดมากแล้ว พอถึงบ้าน พอย่าเห็นเพื่อนผมมา แกดีใจทักใหญ่ ทักทายอย่างรักใคร่เอ็นดู แกพูดว่า "นานแล้วแกไม่ได้มาหาย่าเลย" "ผมงานยุ่งครับย่า เดี๋ยวนี้ย่าเป็นอย่างไรบ้าง" ย่าตอบว่า "ยังเหมือนเดิม" ผมเห็นเพื่อนคุยกับย่าของเขาก็ไม่ได้คิดอะไร เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่คำทักทายของคนทั้งสองนั้นกลับมีเงื่อนงำ...

    เราทั้งหมดกินข้าวและนั่งคุยกัน ย่าของเพื่อนท่านดีมากคุยสนุกทำให้เราสองคนหัวเราะหลายครั้ง พอประมาณสามทุ่มกว่าย่าก็เดินไปกางมุ้งให้เราสองคนนอน ผมและเพื่อนนอนคุยกันจนหลับ ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ มาตื่นอีกทีเพราะตกใจเสียงของย่าเพื่อนเพราะแกร้องอย่างโหยหวน

    ผมรีบปลุกเพื่อนให้ตื่นแล้วเราสองคนก็ไปดูย่า พอย่าเห็นเราทั้งสองแกทำตาขวางแล้วชี้มาที่เพื่อนผม แกพูดว่า "ปู่ของแกทรมานกู กูเจ็บ กูหนาว กูหิวเหลือเกิน" แล้วแกก็นอนชักดิ้นชักงอไปมา ผมเห็นเหตุแบบนี้ผมตกใจมากเพราะในชีวิตเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น เคยเห็นแต่ในหนัง

    เพื่อนผมร้องบอกว่า "ไม่ต้องตกใจช่วยกันจับย่ามัดไว้ก่อน" และเพื่อนก็ไปเอาผ้าผืนยาว มาช่วยกันมัดแกไว้กับต้นเสาเรือน พอมัดเสร็จก็หันมาพูดบอกผมว่า "เอ็งไม่ต้องตกใจเป็นอย่างนี้บ่อย เดี๋ยวใกล้ ๆ เช้ามืดก็จะหายเอง กูลืมไปว่าวันนี้เป็นวันพระ 15 ค่ำ"

    ผมเลยถามมันว่า "เป็นอย่างนี้ทุกวันพระ 15 ค่ำ เลยหรือ" มันบอกว่า "เออก่อนนี้พอผีเข้าก็เอาเชือกมามัดย่าไว้กับต้นเสาเรือนแต่แกดิ้นเชือกบาดเป็นแผลใหญ่ รักษาเป็นเดือนถึงจะหาย ตอนหลังเลยต้องเอาผ้านุ่ม ๆ มาผูกแทนเชือก" ผมเลยถามมันว่า "ผีอะไรเข้าย่าวะถึงได้ดุจัง" มันบอกว่า

    "ผีเคยบอกว่าเป็นผีน้ำมันพรายตายท้องกลม และเล่าต่อว่าลุงเคยบอกว่าในสมัยที่ปู่ยังหนุ่ม ๆ อยู่ ย่าเป็นคนสวยมากมีผู้ชายทั้งในหมู่บ้านและหมู่บ้านอื่นมาจีบย่าหลายคน ปู่เป็นผู้หนึ่งในผู้ชายเหล่านั้น ปู่ก็ไม่หล่อแต่ก็ได้ย่ามาเพราะว่าแกมีอาจารย์ดีมีวิชาแก่กล้าให้น้ำมันพรายปู่มา แล้วปู่ก็เอาไปดีดใส่ย่า ย่าเลยตามปู่มาตอนหลังถึงได้แต่งงานกันแล้วถึงได้มีพ่อกูและมีกูนี่แหละ พอแต่งงานได้ไม่นานอาจารย์ของปู่ก็ได้ตายลงไป เลยไม่มีใครถอนมนต์น้ำมันพรายให้กับย่า พออยู่มาหลายสิบปีมนต์น้ำมันพรายก็เข้ากระดูก ผีตายท้องกลมในน้ำมันพรายเลยอาละวาดใหญ่ มันบอกว่ามันเจ็บมันปวด มันหนาว มันหิว ทรมานเหลือเกิน แบบที่เอ็งได้ยินนั่นแหละ"

    ผมถามว่าแล้วทำไมไม่พาย่าไปรักษา มันบอกว่า "ปู่กูพาไปมาหมดแล้ว อาจารย์หรือหลวงพ่อหลวงปู่ที่ไหนใครเขาว่าเก่ง ว่าดีปู่พาย่าไปหามาหมดปู่บอกว่าพอไปไล่ผีมันก็ออกหนีไป แต่พอกลับบ้านผีมันก็กลับมาเข้าอีก เป็นอย่างนี้ทุกที นี่ปู่ก็ตายไปหลายปีแล้ว ญาติพี่น้องเลยไม่รู้ว่าจะทำยังไง"

    พอมันเล่าจบ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าน้าของผมซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ หลวงปู่ดู่ เคยให้ "พระผงดวง" มาไว้แขวนคอ น้าบอกว่าตอนผมยังเล็ก ๆ พ่อกับแม่เคยนำดวงของผมไปให้หลวงพ่อทางสุพรรณดู ท่านบอกว่าจะต้องตายตอนวัยเบญจเพศ อายุ 25 ปี พ่อแม่ผมมีผมคนเดียว น้าผมบอกไว้ว่า หลวงปู่ดู่ ท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าจำเป็นให้อธิษฐานให้ท่านช่วย ผมจึงบอกกับเพื่อนว่า ผมเคยอธิษฐานขอหลวงปู่ให้รอดอยู่ไปจนแก่และผมจะทำบุญมากๆ นี่ก็อายุ 28 ปี ยังไม่ตายเลย ท่านศักดิ์สิทธิ์มากผมจะอธิษฐานอีกครั้งให้ท่านช่วยย่า เพื่อนผมรีบบอกว่า "เออดี"

    และพวกเราทั้งสองก็เข้าไปใกล้ ๆย่า ผมหยิบพระผงดวงจากในคอเสื้อขึ้นมาอธิษฐานว่า "ขอบุญบารมีของหลวงปู่ดู่จงช่วยให้ผีน้ำมันพรายพ้นจากความทรมาน ได้ไปเกิดทีเถิดครับสาธุ" แล้วผมก็เอาพระผงดวงคล้องคอย่าทันที พอพระลงถึงคอผีน้ำมันก็ร้องว่า "โอ๊ยเย็น ๆ ทนไม่ไหวแล้ว" และย่าก็ล้มลงสักพักไม่ถึง 5 นาทีแกก็ฟื้นขึ้นมาอย่างปกติ

    วันรุ่งขึ้นเราทั้งสองก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ และหลายเดือนต่อมาเพื่อนกลับไปเยี่ยมย่าพอมันกลับมาผมจึงถามว่า "ย่าเป็นอย่างไรบ้าง" มันบอกว่า

    "ผีน้ำมันพรายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย"

    ที่มา: นโภคทรัพย์ โดย กฤษ บางพรหม ศิษย์หลวงปู่ดู่<!-- google_ad_section_end -->
    ...................................................................................

    คัดลอกมาจาก http://palungjit.org/threads/ประสบก...่ดู่-พรหมปัญโญ-วัดสะแก-จ-อยุธยา.208663/page-7
     
  18. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    หลวงปู่ดู่กับพระเนื้อผงพุทธคุณชุดเสด็จนิวัติพระนคร ปี 2504

    *ขออนุญาติ พี่ทองดี นำภาพมาลงด้วยนะครับ


    [​IMG]

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จพระชดำเนินเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศต่าง ๆ ในแถบยุโรป ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2503 ถึงวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2504 เมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับสู่ประเทศไทยทรงมีกระแสพระราชดำรัสแก่ประชาชนชาวไทย โดยถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์ และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

    ทางวัดสะแก พระนครศรีอยุธยา เมื่อทราบหมายกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินกลับสู่ประเทศไทยของล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ ท่านอาจารย์สมทบ โอฬาริโก ได้ดำริกับหลวงปู่ดู่และบรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดว่าน่าจะสร้างพระเพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จนิวัตน์สู่พระนครของทั้งสองพระองค์ในครั้งนี้ เมื่อตกลงกันแล้วจึงได้คัดเลือก แบบพิมพ์ที่มีอยู่เดิมได้จำนวนหนึ่ง เพื่อนำมาใช้เป็นแบบพิมพ์พระในครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 5 แบบพิมพ์ คือ

    1. พระสมเด็จฐานสามชั้น พิมพ์ใหญ่
    2. พระสมเด็จสามชั้น ฐานบัว พิมพ์ใหญ่
    3. พระสมเด็จสามชั้น ฐานบัว พิมพ์เล็ก
    4. พระนางพญา
    5. พระพิมพ์สมาธิ ซุ้มเรือนแก้ว

    ลักษณะขององค์พระโดยทั่วไปจะมีความแตกต่างจากพระเนื้อผลพุทธคุณรุ่นอื่น ๆ กล่าวคือ องค์พระโดยเฉพาะด้านหน้าจะแตกรานทั่วองค์ ทั้งนี้อาจเกิดจากส่วนผสมซึ่งเป็นปูนซีเมนต์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมโรงสีข้าวซึ่งลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้นำมาถวายให้ท่านทดลองทำพระ ส่วนด้านหลังเรียบเพราะใช้กระจกกดด้านหลังองค์พระ แต่ก็มีบ้างบางองค์ที่ไม่แตกราน พระทั้งหมดที่ทำขึ้นในวาระนี้ หลวงปู่อธิษฐานจิตและใช้ดินสอจารรอบองค์พระทุกองค์

    พระรุ่นนี้มีเรื่องที่ต้องบันทึกไว้ก้คือตอนเช้าวันรุ่งขึ้นหลวงปู่ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนนี้ขณะที่อธิษฐานจิตอยู่นั้นได้ยินวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจากกุฏิด้านหลัง ท่านเกิดหัวเราก๊ากขึ้นมา เมื่อได้ยินกระแสพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถว่า "ฉันพูดไม่เป็น" หลวงปู่ท่านคงมีอารมณ์ขันว่า แล้วใครพูดล่ะ และท่านได้พูดว่า รุ่นนี้ดีเมตตาดี และท่านยังปรารภว่า

    พระดี ๆ ก็มีมากทั้งเมืองไทย แต่นึกไม่ถึงตอนที่พระเจ้าอยู่หัว (ร.8) โดนลอบปลงพระชนม์ถึงได้ช่วยเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ท่านได้ช่วยชาติ ศาสนา มาตลอด ในฐานะที่หลวงปู่ก็เป็นพระอยู่ด้วย ดังนั้นต่อมาหลวงปู่ทำอะไรจะต้องอธิษฐานขอบารมีทั้งหลายที่มีอยู่ให้ช่วยคุ้มครองเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินให้ปลอดภัยทุกวันไม่มีขาด

    จะเห็นได้ว่าหลวงปู่ท่านได้เน้นถึงการปฏิบัติโดยตรงเพื่อความหลุดพ้น แล้วท่านยังไม่ลืมเพื่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ตลอดเวลา<!-- google_ad_section_end -->

    .......................................................................................

    คัดลอกมาจาก http://palungjit.org/threads/ประสบก...่ดู่-พรหมปัญโญ-วัดสะแก-จ-อยุธยา.208663/page-8
     
  19. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พระผงบรมมหาจักรพรรดิ..

    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle>

    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" height=20 vAlign=bottom align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR class=hrcolor SIZE=1 width="100%">[​IMG]


    บทความสำคัญที่เกี่ยวข้องสำหรับศึกษาเพิ่มเติม

    การปฏิบัติธรรมตามสูตรหลวงปู่ดู่และหลวงตาม้า
    เข้าสู่ระบบ

    อานิสงส์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ
    อานิสงส์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ




    การสร้างพระเครื่องประเภทเนื้อปูนผสมผงมหาจักรพรรดิ์สูตรหลวงปู่

    ในการสร้างพระเครื่องประเภทเนื้อปูนผสมผงมหาจักรพรรดิ์ของหลวงปู่ดู่นั้น จักสังเกตุ

    เห็นได้ว่าหลวงปู่ดู่ท่านจะสร้างพระเครื่องไว้

    เพื่อเป็นพุทธานุสติแก่บรรดาศิษย์เพื่อให้ระลึกเสมอ

    ว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ทรงประเสริฐสุดหาที่เปรียบมิได้ ดังที่จะกล่าวในพระชุด

    "พระพุทธเจ้าเหนือพรหม"นี้ ลป.ดู่ท่านได้หยิบยกพระพุทธตำนานตอนหนึ่ง

    ซึ่งเป็นพระตำนานที่อยู่ในบทสวดพระคาถาพาหุงบทหนึ่งว่า


    "ทุคคาหะทิฏฐิ ภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง

    พหรมมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง

    ญาณาคะเทนะวิธินา ชิตะวา มุนินโท

    ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ"


    ...พระคาถาบทพาหุงบทนี้ ตามพุทธตำนานได้กล่าวถึงตอนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ปราบทิฐิของท้าวผกาพรหมที่คิดว่าตนเอง

    มีอิทธิฤทธิ์มากและมีความอมตะไม่ตาย จึงคิดท้าพระพุทธเจ้าให้มาลองอิทธิฤทธิ์กัน โดยการท้าลองครั้งนี้คือให้อีกฝ่ายซ่อนและอีกฝ่ายหา

    หากผู้ใดซ่อนและผู้หา หาไม่พบถือว่าชนะและฝ่ายแพ้จะต้องมาเป็นสาวกของฝ่ายชนะ...เริ่มจากฝ่ายท้าวผกาพรหมเป็นผู้ซ่อนก่อน ท้าวผกาพรหมแปลงกายเป็นธุลีเม็ดทรายหนึ่งเม็ดโดยซ่อนตนเองปะปนอยู่ในทะเลทราย ด้วยพระบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ใช้ฌาณ

    ตรวจหาไม่นานก็ค้นพบท้าวผกาและชี้ถูกว่าท้าวผกาพรหมเป็นเม็ดทรายเม็ดไหนอย่างถูกต้องครั้งนี้ท้าวผกาพรหมจึงเป็นฝ่ายแพ้ พอถึงคราวพระพุทธเจ้าเป็นผู้ซ่อนบ้าง พระพุทธองค์ทรงย่อพระวรกายให้เล็กลงแล้วเสด็จขึ้นไป

    ประทับซ่อนอยู่ในมวยผมบนเศียรของท้าวผกาพรหม

    ฝ่ายหาคือท้าวผกาพรหม ก็เริ่มตามหาพระพุทธเจ้าหายังไงก็หาไม่เจอ หาทั่วทั้ง๓ภพ(ภพโลก ภพสวรรค์ ภพนรก)ก็หาไม่เจอ

    หาไปสุดขอบแดนจักรวาลก็หาไม่เจอ ท้าวผกาพหรมจึงยอมแพ้ เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าท้าว

    ผกาพรหมลดทิฏฐิลงมากแล้ว พระพุทธองค์จึงคลายฤทธานุภาพกลับสู่สภาพเดิม และทรงแสดง

    พระธรรมเทศนาโปรดท้าวผกาพรหม จนบรรลุเป็นพระโสดาบัน แต่ขณะนี้เป็นพระอนาคามีแล้ว จักเข้าถึงพระนิพพาน

    ในยุคพระศรีอริยเมตไตรย จากนั้นมาจึงมีพระนามเรียกขานกันว่า "พระพรหม"...การนำบทสวดมหาจักพรรดิมาใช้ในการสร้างพระ


    หลวงปู่ดู่ท่านเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังถึงการปลุกเสก หรืออธิษฐานจิตในวัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกว่า

    "นอกจากการใช้พลังจิตในการปลุกเสกแล้ว ที่ท่านใช้อยู่เสมอคือ บทสวดมนต์ตามเจ็ดตำนาน"

    ซึ่งท่านบอกว่า ดีกว่าคาถาอาคมมากมาย เพราะเป็นเรื่องราวของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งนั้น

    ไม่จัดเป็นเดรัจฉานวิชชา โดยบทที่ท่านสวดทำทุกครั้งคือ บทพระพุทธเจ้าทรมานพญาชมพูบดี

    หรือที่เรียกกันว่า "บทชมพูปติสูตร"ซึ่งแสดงถึงอำนาจหรือบารมีของพระพุทธเจ้าผู้เป็นครูของมนุษย์และ

    เทวดาทั้งปวง แสดงถึงธรรมที่ชนะอธรรม


    พุทธคุณที่หลวงปู่ดู่หลวงตาม้า

    ท่านนำมาใช้ในการสร้างพระ


    ลป.ดู่ ท่านเรียกพระคาถาบทนี้ว่า "คาถามหาจักรพรรดิ" โดยทั้งนี้ในการปลุกเสกหลวงปู่


    ท่านอารธนากำลังของบารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ท่านอันเป็นที่สุด โดยน้อมนำอารธนา

    บารมีรวมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตั้งแต่องค์ปฐมจนถึงองค์ปัจจุบัน

    บรมมหาจักรพรรดิ์ทุกๆพระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์

    พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหลายโดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต

    บารมีรวมพระเจ้าจักรพรรดิตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต บารมีรวมหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านอันเป็นที่สุด


    บทสวดพระมหาจักรพรรดิ


    นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ

    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา

    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ

    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา

    อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง

    อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย

    อะหังวันทามิ สัพพะโส

    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ


    ความย่อที่มาคาถาว่า

    พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ

    เพื่อทรงแก้ทิฏฐิมานะ ของพญามหาชมพูบดี


    ในสมัยพุทธกาล มีพระมหากษัตริย์ผู้เรืองอำนาจพระองค์หนึ่ง ซึ่งปกครองเมืองปัญจาลราษฐ พระนามว่า "พญาชมพูบดี"

    กล่าวกันว่า พร้อม ๆ กับการประสูติของพญาชมพูบดี ขุมทองในที่ต่างๆ ก็ผุดขึ้นมากมายอันแสดงถึงบุญญาธิการของพระองค์ ประชาชนในเมืองนี้จึงมีฐานะความเป็นอยู่ที่มั่งคั่งสมบูรณ์ พญาชมพูบดี ทรงมีอาวุธวิเศษ 2 อย่าง คือ


    ฉลองพระบาทแก้ว ซึ่งเมื่อสวมเข้าไปแล้วก็จะพาพระองค์เหาะไปในที่ต่างๆ ได้ ทั้งยังใช้อธิษฐานแปลงเป็นนาคราชเข้าประหัต

    ประหารศัตรูได้อีกด้วย อาวุธวิเศษอย่างที่สอง คือ วิษศร ซึ่งเป็นศรวิเศษใช้ต่างราชทูต หากกษัตริย์เมืองใดไม่มา

    อ่อนน้อมขึ้นต่อพระองค์ วิษศรนี้ก็จะไปร้อยพระกรรณพาตัวเข้าเฝ้าพระองค์จนได้ ทำให้กษัตริย์ทั้งหลายพากันยำเกรงในพระเดชานุภาพ

    แห่งพญาชมพูบดี

    ด้วยอาวุธคู่พระวรกาย พญาชมพูบดีได้ขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง กระทั้งถึงกรุงราชคฤห์ของพระเจ้าพิมพิสาร

    ผู้เป็นอุบาสกแห่งสมเด็จพระสัมมาสมพุทธเจ้า พญาชมพูบดีส่งอาวุธวิเศษของพระองค์ ไปทำอันตรายต่อพระเจ้าพิมพิสาร แต่ไม่อาจ

    ทำอันตรายแก่พระเจ้าพิมพิสารได้ ด้วยอาศัยพระพุทธานุภาพ ทำให้พญาชมพูบดีแค้นพระทัยมาก แม้ส่งอาวุธวิเศษอย่างใดไป

    ก็พ่ายแพ้แก่พระพุทธานุภาพแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่า พญาชมพูบดีประสบความพ่ายแพ้ และมีทิฏฐิมานะเบาบางลง ประกอบด้วยกับทรงเล็งเห็นวาสนาปัญญาของพญาชมพูบดีว่าสามารถสำเร็จมรรคผลได้ จึงมีพุทธฎีกาตรัสใช้ให้พระอินทร์แปลงเป็นราชทูตพาพญาชมพูบดีมาเข้าเฝ้า

    ส่วนพระองค์ทรงเนรมิตองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงมงกุฎ พร้อมเครื่องราชาภรณ์ แต่ล้วนงดงาม ส่วนพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานเถระเจ้า พร้อมด้วยเหล่าภิกษุสงฆ์สาวก ก็เนรมิตกายเป็นเสนาอำมาตย์ใหญ่น้อย ล้วนแล้วแต่น่าเกรงขาม ทั้งเนรมิตเวฬุวัน (ป่าไผ่)

    ให้เป็นพระนครใหญ่ประกอบด้วยกำแพงถึง 7 ชั้น และมีพุทธฎีกาตรัสสั่งให้เทวดา พรหม ทั้งหลาย ร่วมเนรมิตเป็นตลาดน้ำ ตลาดบก

    เมื่อพระอินทร์ซึ่งเนรมิตกายเป็นราชทูต ไปถึงเมืองปัญจาลราษฐ เห็นพญาชมพูบดีและเหล่าเสนาอำมาตย์ยังถือดี จึงแสดงฤทธานุภาพ

    เป็นที่ประจักษ์ พญาชมพูบดีไม่อาจแข็งขืนจำยอม ต้องยกพลเดินทัพเพื่อเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสมพุทธเจ้า

    เมื่อพญาชมพูบดี เดินทางเข้าเขตพระนครก็ตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่อลังการแห่งพระนครที่พระพุทธองค์ทรงเนรมิต แม้แต่เหล่าแม่ค้าริมทาง

    ก็ยังงดงามกว่าพระอัครมเหสีของพญาชมพู จนชวนให้รู้สึกขวยเขินก้าวเดินไม่ตรงทาง และเมื่อผ่านทางยังกำแพงพระนครแต่ละชั้น

    ทอดพระเนตรเห็นเหล่าเสนาอำมาตย์ที่รักษาพระนคร พระทัยก็ประหวั่นพรั่นกลัวพระเสโทไหลโทรมทั่วพระสกลกายถึงกำแพงชั้นในซึ่งเป็นแก้ว ก็ทำท่าจูงกระเบนเหน็บรั้งด้วยเข้าพระทัยผิดคิดว่ามีเสียงนางในร้องเย้ยเยาะว่ากษัตริย์บ้านนอก กระทำเชยๆ พญาชมพูบดีก็รู้สึก

    ได้รับความอัปยศอย่างยิ่ง


    เมื่อพญาชมพูบดีมาถึงต่อหน้าพระพักตร์แห่งพระบรมศาสดา ซึ่งเนรมิตกายเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ยังไม่หมดทิฏฐิมานะ พระพุทธองค์ทรงเชื้อเชิญให้แสดงฤทธิ์เดชอำนาจและของวิเศษทุกสิ่งทุกอย่างออกมา เมื่อพญาชมพูบดีทรงแสดงแล้ว ก็ต้องได้รับความอัปยศ

    ยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยไม่อาจทำอันตรายพระพุทธองค์ได้เลยแม้แต่น้อย


    เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าพญาชมพูบดีคลายทิฏฐิมานะลงมากแล้ว จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพญาชมพูบดี

    และเหล่าเสนาอำมาตย์ที่ติดตามมาด้วยจำนวนมากมายให้เห็นสิ่งที่เป็นสาระและมิใช่สาระ ให้เห็นโทษแห่งการเวียนเกิด เวียนตาย ในวัฏสงสาร ทั้งให้เห็นคุณแห่งพระนิพพาน พญาชมพูบดีและเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างรู้สึกปีติ โสมนัส จึงปลดมงกุฎและ

    เครื่องประดับของตนวางแทบพระบาทแห่งองค์พระสัมพัญญูบรมศาสนา เพื่อสักการะด้วยความรู้สึกเทิดทูน

    จากนั้นจึงทูลขออุปสมบทต่อพระพุทธองค์


    จากนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสมพุทธเจ้าบรมครู พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก เทวดา พรหม ก็คล้ายฤทธานุภาพกลับสู่สภาพเดิม

    (เป็นป่าไผ่และสภาพทั้งหลายตามความเป็นจริง) สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานอุปสมบถแก่พญาชมพูบดี

    พร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ และทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้คลายความลุ่มหลงในเบญจขันธ์มีรูป เป็นต้นว่า อุปมาดั่งพยับแดด

    หาสาระตัวตนที่เที่ยงแท้อันใดมิได้ และแสดงเทศนาต่างๆ เป็นอเนกปริยาย พญาชมพูบดีและเหล่าเสนาอำมาตย์

    ก็ดื่มดำในพระอมตธรรมสลัดเสียซึ่ง ตัณหา อุปาทาน จิตของท่านก็เข้าอรหันตผล สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลใ

    นพระบวรพุทธศาสนา


    --------------------------------------------


    บรรดาลูกหลานวงษ์วานว่านเครือต่างทราบกันดีใครมีไว้ใช่ป้อง

    กันอันตรายอย่างเดียวที่ไหนหลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านรับรองกับลูกศิษย์

    ท่านพระหลวงปู่ดู่ ป้องกันนิวเคลียร์ได้หลวงตาม้า ท่านเมตตาบอกว่า

    พระหลวงปู่ ป้องกันโรคระบาดและป้องกันไข้หวัดนกได้ให้ใส่ไว้


    ปล. โปรดอย่าลืม

    คาถาบูชาพระ(คาถาจักรพรรดิ)


    (จากหนังสือ กายสิทธิ์ ของวัดพุทธพรหมปัญโญ)


    ส่วนผสมในมวลสารของเนื้อพระ


    ในส่วนผสมมวลสารของเนื้อพระพุทธเจ้าเหนือพรหมที่ลป.ดู่ท่านนำมาจัดสร้าง

    ท่านจะนำผงพุทธคุณ(ผงมหาจักรพรรดิ์)ผสมกับปูนขาวใส่เกศาผสมลงโดยใช้น้ำเป็นตัวประสานผสมจนได้ที่แล้วจึงนำเนื้อมวลสาร

    เทลงในแบบพิมพ์ เวลาแห้งเนื้อพระด้านหลังจะเป็นคราบลอยเหมือนหัวกระทิ ลักษณะของเนื้อพระจะไม่แน่นตัวนัก เนื้อจะฟูๆ พระพิมพ์นี้

    สามารถแบ่งโซนหลักของเนื้อพระได้๒วรรณะคือ สีขาวนวล และออกสี เหลืองเนื่องจาก ลป.ดู่ท่านนำไปแช่ในน้ำชาท่ท่านเสก หรือที่ลป.ดู่ท่านมักจะเรียกว่าน้ำมนต์นั้นเอง ส่วนการทำผงจักรพรรดินั้นหลวงปู่จะทำภายในกุฎิท่านโดยมีกรรมวิธีการสร้างซึ่งเป็นวิชาขั้นสูง

    ส่วนพระผงจักรพรรดิยุคปัจจุบันที่ทำและสร้างโดยหลวงตาม้านิยมนำเถาพระธาตุปลวงปู่หรือเกศาหลวงปู่ดู่หรือหลวงตาม้ามาเป็นมวลสาร

    ด้วยในรุ่นพิเศษบางรุ่นแต่โดยปกติมวลสารหลักก็คือผงจักรพรรดินั้นเอง


    ตัวอย่างพระผงจักรพรรดิพิมพ์ต่างๆ

    สูตรหลวงปู่ดู่ที่ท่านหลวงตาม้าสร้าง


    วิชาในการสร้างพระผงจักรพรรดินั้นหลวงปู่ดู่

    ได้สอนท่านหลวงตาม้าและ

    ในปัจจุบันนี้ท่านหลวงตาเป็นผู้ทรงวิชา

    สร้างพระผงจักรพรรดิไว้


    ความรู้เกี่ยวกับพระผงจักรพรรดิ

    พระผงจักรพรรดิสูตรหลวงปู่ดู่หลวงตาม้า

    มีพุทธคุณอย่างไร?


    พระผงจักรพรรดิประโยชน์มากโดยเป็นพระที่ใช้ใน

    การทำกรรมฐานและบูชาติดตัวเพื่อคุ้มครอง

    เป็นศิริมงคลแก่ตนเองและเป็นพลังงานบุญ

    แก่ภพภูมิโดยรอบ


    หลวงปู่ดู่กล่าวไว้ว่าพระรุ่นนี้ที่มีผงจักรพรรดิ

    ของท่านป้องกันนิวเคลียร์ได้


    พระรุ่นนี้เหมาะสมเป็นอย่างมากในการเจริญกรรมฐาน

    หลวงปู่ดู่สมัยที่ท่านยังทรงธาตุขันธ์

    อยู่ท่านสร้างพระผงออกมาเพื่อให้

    ลูกศิษย์ได้ใช้ในการเจริญพระกรรมฐานให้

    ก้าวหน้าได้โดยไวโดยเป็นการใช้พลังจากองค์พระ


    ในเนื้อพระผงจักรพรรดิของหลวงตาม้าทุกรุ่น

    บรรจุมวลสาร ผงจักพรรดิหลวงปู่ดู่ที่ท่านหลวงตาท่าน

    ได้รับมาจากหลวงปู่ดู่โดยตรง และช่วงไหนสวดมนต์นั่งสมาธิแผ่บุญ

    แผ่เมตตาสม่ำเสมอบุญจะเกิดที่ตัวเราดีมากยิ่งขึ้นครับทั้งพระธาตุบน

    องค์พระจะขึ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย (พระผงจักรพรรดิหลวงปู่ดู่ขึ้นพระธาตุทุกองค์)

    หลวงตาเคยเมตตากล่าวให้ฟังว่าพระที่ท่านทำขึ้นมาชุด

    นี้เป็นพระกำลังของพระโพธิสัตว์จึงมีพุทธคุณและ

    กำลังบารมี 10 เข้มข้นนำไปใช้ประโยชน์ในด้านกุศลได้ร้อยแปดพันเก้า


    หากนำไปบูชาก็จะเป็นการทำให้ภพภูมิเทวดาผีสางสัมภเวสีที่ผ่านไป

    ผ่านมารับกระแสตรงนี้เข้าไปปรับให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วยนอก

    (โดยการกำพระขอกำลังพระ/หลวงปู่สวดจักรพรรดิแล้วน้อมบุญไป)


    นอกนั้นยังมีพุทธคุณเข้มสำหรับการเจริญภาวนากรรมฐาน

    โดยการเอามากำก่อนนั่งสมาธิแล้วกำหนดจิตเข้าไปที่องค์พระ

    จะทำให้ภาวนาได้ง่ายขึ้นเพราะมีพลังงานจากองค์พระมาเสริมที่

    ดวงจิตด้วยจากนั้นจึงไปทำสมาธิในแบบที่ท่านถนัดโดยเป็น

    วิธีการที่นิยมกันในหมู่ลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่เรื่อยมาจนถึงหลวงตาม้า

    ในปัจจุบันและหากนำพระไปแช่น้ำก็สามารถทำเป็นน้ำมนต์รักษา

    โรคหรือเป็นศิริมงคลแก่ตนก่อนออกไปดำเนินชีวิตก็ยังได้

    หากนำพระไปแช่น้ำก็สามารถทำเป็นน้ำมนต์

    รักษาโรคหรือเป็นศิริมงคล

    แก่ตนก่อนออกไปดำเนินชีวิตก็ยังได้

    อฐิษฐานเอาโดยใช้คาถาจักรพรรดิ

    ยังไงก็ให้ตั้งอยู่ในความดีไว้ด้วย

    โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งและศีล5เป็นฐาน

    จะช่วยให้เราทรงในความดี

    และพุทธคุณช่วยเราได้เต็มที่

    ......................................................
    คัดลอกมาจาก พระผงบรมมหาจักรพรรดิ
     
  20. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ฝึกจิต เร่งสมาธิ เร่งนิมิต

    [​IMG]

    ฝึกจิต เร่งสมาธิ เร่งนิมิต

    เป็นวิชาบทแรกที่กล่าวเนื่องจากเป็นบาทฐานของบทต่าง ๆที่ตามมา หากได้บทต้นแล้ว บทต่อ ๆไปจะเข้าใจได้ง่ายเอง ทั้งยังเป็นการเช็คการเดินวิชาของเรา เมื่อเราทำวิชาต่าง ๆด้วย


    เริ่ม
    ๑. ตั้งจิตอันสบาย ในที่อันสบาย แต่จิตอันสบายนั้นสำคัญที่สุด
    ๒. กำพระและกำหนดนึกรู้เห็นพระที่เราชอบเบาๆ (หลวงปู่ดู่) หรือ ตามจริตชอบ (พระทรงเครื่องจักรพรรดิ)
    ๓. วางลมหายใจสบาย ๆ ในกายที่เบาสบาย
    ๔. ภาวนาคาถาอย่างสบาย ๆ คลอไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องคิดอะไร ทำไปสบาย ๆเท่านั้น
    ๕. ไม่ช้าไม่นานนิมิตสบาย ๆจะเกิดแก่ท่านเอง สาธุ.....

    ใช้งาน

    ๑. ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ยามหลับ ยามตื่น ยามรู้ตัว ยามมิรู้ตัว ให้ภาวนาและตั้งองค์พระตลอด เผลอก็ช่างมัน เป็นเรื่องปกติ ตั้งต้นใหม่ ทุกครั้งเมื่อมีสติ อย่าบังคับ อย่าเกร็ง ให้ทำ สบาย ๆ .......


    ๒. ยามจะหลับให้ภาวนาจนหลับ ยามตื่นให้รีบภาวนาจนมีสติดีแล้ว นึกถึงพระที่เราชอบ พร้อมทั้งอธิษฐานว่า

    ข้าพเจ้า ......(นามของท่าน)...ผู้เป็นข้ารับใช้แห่งพระพุทธองค์ ขอนอบน้อมและน้อมนำบารมีแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยบุคคลทุกชั้นภูมิ และพระมหาจักรพรรดิ ตั่งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรมปัญโญเป็นที่สุด ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะ พระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปิติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 ขอพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปิติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 จงมาบังเกิดปรากฏ ในกายทวาร ในวจีทวาร ในมโนทวาร ของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะเมฆจิต สามารถกำหนดจิต รู้ภาวะการณ์ต่างๆทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบัน ได้ทุกขณะจิตที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้วขอให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนแจ่มใสและพยากรณ์ได้ตามความเป็นจริงทุกๆประการ เหตุที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้นโดยมิต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด (ให้กำหนดอฐิษฐานให้ได้ทุกวัน จะกันเฝือได้ดีมาก)

    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส

    (ในระหว่างนี้ให้วางจิตเบา ๆ โน้มนำพระบารมีเข้าตัว หรือผู้ที่ได้แล้ว จะเห็นเองว่าจะมีพระบารมีเข้าตัวเป็นแสงสว่างวาบไปหมด)

    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ

    ๓. ต่อไปก็อาศัยภาวนาเบา ๆ สบาย ๆ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ยามหลับ ยามตื่น ยามรู้ตัว ยามมิรู้ตัว เฉกเช่นเดิมตลอดทั้งวัน เมื่อจะใช้งานหรือจะดูอะไรก็ ภาวนา คาถาอาราธนาพระเข้าตัว จากนั้นก็นึกถึงหลวงปู่ดู่ ขอบารมีท่านดูเอา

    ๔. เมื่อชินดี ได้นานพอ คล่องพอแล้ว คำอธิษฐาน " ....สามารถกำหนดจิต รู้ภาวะการณ์ต่างๆทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบัน ได้ทุกขณะจิตที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้วขอให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนแจ่มใสและพยากรณ์ได้ตามความเป็นจริงทุกๆประการ เหตุที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้นโดยมิต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด..... " จะให้ผล ถือว่าได้วิชาแล้ว ต่อไปการใช้วิชาอื่น ๆ ก็จะตรวจสอบได้เอง ไม่ต้องงม ๆมืด ๆอีก ความคล่องตัวก็จะมีมากขึ้น เรื่องราวทางโลกทิพย์ก็จะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ

    ๕. ข้อเตือนใจ

    + เมื่อห่างครูบาอาจารย์ท่านจะเฝือ
    + เมื่อเกิดอหังกา ท่านจะรู้เห็นผิด
    + ขอจงอยู่อย่างพอเพียง อยู่อย่างนอบน้อม แม้มิร่ำรวยเงินทอง มิร่ำรวยชื่อเสียง เราก็มีความสุขได้ เราก็เป็นคนดีได้ เราก็สร้างประโยชน์ให้สังคมได้ การอยู่อย่างดิ้นรนอยากได้อยากมีไม่รู้พอ จะทำจิตใจให้ขุ่นมัวเศร้าหมอง ความเป็นทิพย์ทางจิต ความใสกระจ่างทางจิตจะเกิดขึ้นได้ยากนั่นเอง ขอโมทนาในความดี ....สาธุ......


    สร้างประโยชน์

    วิชานี้อาศัยบารมีพระท่าน พระท่านไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าให้ท่านเป็นคนดี รู้จักคิดถึงตัวเองและคนอื่นบ้าง สร้างประโยชน์ให้สาธารณะชน ซึ่ง การสร้างประโยชน์นั้นคือวิชาลำดับขั้นต่อไปนั่นเอง

    ..................................................................................

    คัดลอกมาจาก ฝึกจิต เร่งสมาธิ เร่งนิมิต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • _16_214.jpg
      _16_214.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.7 KB
      เปิดดู:
      1,347

แชร์หน้านี้

Loading...