วิธีปฏิบัติ ป้องกัน การแทรกแซงวิญญาณ ในจิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 22 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    เกร็ดธรรม

    หลวงปู่ พุธ ฐานิโย

    วัดป่าสาละวัน
    อ.เมือง จ.นครราชสีมา


    ในการศึกษาและการเรียนรู้พระพุทธศาสนาเนี๊ยะ
    เราจะต้องพยายามศึกษาเรียนรู้กันโดยเหตุผล
    สิ่งที่แทรกแทรงเข้ามาในวิธีการปฏิบัติพระศาสนาเนี๊ยะ
    มันมีมากมายเหลือเกิน

    ดังนั้น
    นอกจากที่เราจะมาฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนาแล้ว
    เราก็ควรจะได้ศึกษา
    ควรจะได้เรียนรู้คัมภีร์ศาสนาในทางปริยัติธรรมด้วย

    คนในสมัยปัจจุบันนี้เปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาอื่น
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักภาวนาทั้งหลายนั่นแหล่ะ

    นักภาวนาเปลี่ยนศานาพุทธให้เป็นศาสนาอื่นได้อย่างไร
    อันนี้ก็เคยพูดบ่อยๆ
    ดูเหมือนวันเริ่มเปิดนั้นก็เคยพูดมาแล้ว
    แต่จะขอย้ำอีกทีหนึ่งเพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง
    นักภาวนาเมื่อทำจิตให้สงบสว่างลงเป็นอุปจาระสมาธิแล้ว
    ย่อมเกิดมีนิมิตภาพต่างๆปรากฎขึ้นมา

    ถ้าช่วงใดจิตส่งกระแสออกไปข้างนอก
    ในเมื่อจิตของเราไปมองเห็นภาพนิมิตนั้น
    ถ้าเราไปสำคัญว่าเป็นผู้วิเศษที่จะมา
    ช่วยญาณ
    ช่วยสมาธิ
    ช่วยปัญญาของเราให้ปราญเปรื่อง
    เราน้อมจิต เอา ภาพนิมิตนั้น เข้ามาในตน
    จะกลายเป็นการทรง วิญญาณ

    ทีนี้ถ้าหากว่า
    เป็นเทวดาเข้ามาทรงก็กลายเป็นศาสนาเทวดา
    พระเจ้าเข้ามาทรงก็กลายเป็นศาสนาพระเจ้า
    พระอินทร์มาทรงก็กลายเป็นศาสนาพระอินทร์
    พระอิศวร นารายณ์มาเข้าทรงก็เป็นศาสนาพระอิศวรนารายณ์

    ทีนี้เมื่อปรากฎการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นมา
    ทางป้องกันสำหรับผู้ภาวนานั้นควรจะทำอย่างไร

    ควรจะทำจิตทำใจของเราเองว่า
    เราได้ปฏิณญาณตนถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็น สรณะ ที่พึ่ง
    ที่ระลึกแล้ว
    และ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นั้น
    เป็นคุณธรรม เป็นสิ่งที่ไม่มีตัว มีตน
    แต่ภาพนิมิตที่เรามองเห็นจะเป็น พระพุทธเจ้า เป็น พระสงฆ์
    อันนั้นเป็นแต่เพียงมโนภาพ ไม่ใช่ของจริง
    แต่ของจริงที่แน่ๆ ก็คือ
    พระพุทธเจ้า พระธรรม อันเป็นคุณธรรมที่มีอยู่ในจิตของเราในขณะนี้

    จิตของเรา รู้ ตื่น เบิกบาน มีความรู้สึก สำนึก ผิด ชอบ ชั่ว ดี
    ในจิต ของเรามีคุณธรรมที่ทำคนให้เป็นพระพุทธเจ้าสมบูรณ์แล้ว
    สิ่งอื่น จะเข้ามาแทรกแทรงไม่ได้

    แล้วก็กำหนดจิต มีสติ สัมปชัญญะ ดูภาพนิมิตนั้นเฉยอยู่
    ขอได้โปรดอย่าได้น้อมเอาเข้ามาในตัวเองเป็นอันขาด

    เมื่อเรามี สติ สัมปชัญญะ กำหนดหมายรู้อยู่
    นึกว่าเป็นแต่เพียงมโนภาพ เป็นแต่เพียงอารมณ์จิต
    เป็นแต่เพียงเป็นที่ระลึกของจิต เป็นที่ตั้งของสติ
    เมื่อเราเพ่งมองดูอยู่ สมาธิของเรามีพลังแก่กล้าขึ้น
    สามารถที่จะทำลายร่างภาพนิมิต ที่เรามองเห็นนั้น
    กลายเป็น โครงกระดูกเนื้อหนัง ผุพังไปหมด

    แล้วในที่สุดโครงกระดูก
    ก็จะทรุดฮวบลงแล้วแหลก ละเอียด สลายตัวไปไม่มีอะไรเหลือ
    ในจิตของเราก็จะยังเหลือแต่ สภาวะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    อันเป็นคุณธรรมที่ทำคนให้เป็นพระพุทธเจ้าปรากฎขึ้นแล้ว

    จิตของเราจะเป็นอัตตาทีปะ มีตนเป็นเกราะ

    อันตะสรณา มีตนเป็นที่ระลึก

    อัตตาหิอัตโนนาโถ มีตนเป็นที่พึ่งของตน


    สิ่งที่เรามองเห็นนั้น ก็จะหายสาปสูนย์ไป
    ไม่สามารถที่จะเข้ามาแทรกสิงภายในจิตของเราได้

    นี่คือวิธีการปฏิบัติ เพื่อป้องกันสิ่งเหล่านั้น ไม่ให้แทรกแทรงเข้ามา

    ยกตัวอย่างมีบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเค้าริเป็นคนทรง วิญญาณ
    ในเมื่อเค้าทำการทรงวิญญาณ จนชำนิชำนาญแล้ว เค้าเกิดเบื่อ
    เค้าไม่อยากจะเล่นทรงวิญญาณ ภายหลัง เค้าก็มาพยายามแก้จิตของเค้าเอง
    โดยเมื่อเค้าทำวิธีการทรงวิญญาณแล้ว ก่อนที่วิญญาณจะเข้ามาประทับทรง
    จิตก็สงบลงเป็น สมาธิ มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง
    เช่นเดียวกันกับที่เราภาวนาโดยทั่วๆไป

    เพราะเค้าประกอบพิธีกรรมการทรงวิญญาณ เมื่อจิตเค้าเป็นเช่นนั้น
    ภาพนิมิตของวิญญาณก็มาปรากฎ
    พอภาพนิมิตวิญญาณมาปรากฎ เค้าก็น้อมจิตเอาภาพนิมิตนั้นเข้าไปในตัว
    แล้วก็เป็นการประทับทรง
    เบื่องต้น จิตของเค้ามี ปีติ มีความสุข
    มีความสบายเบา กายก็เบา กายก็เบา กายก็สงบ จิตก็สงบ
    เมื่อวิญญาณเข้ามาประทับทรงแล้ว
    ความเบากาย เบาจิต เปลี่ยนเป็นความหนักกายหนักจิต
    กายเปรียบเหมือนถูกบีบ
    จิตก็เปรียบเหมือนถูกบีบ
    เพราะมีอำนาจอื่นเข้ามาบีบ มาควบคุม
    หลังจากนั้นเค้าก็ไม่เป็นตัวของตัว
    ตกอยู่ในอำนาจของวิญญาณที่เข้ามาประทับทรง

    หลังจากนั้นจะทำอะไรแสดงกิริยาอาการคำพูดอะไรออกมา
    เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของวิญญาณไปหมด
    ทีนี้ในเมื่อเค้ามาเห็นว่า
    การทรงวิญญาณไม่ทำให้เค้าเป็นที่สบายไม่ให้มีความสุข
    มีแต่ความอึดอัด รำคาญ

    ภายหลังเค้าก็ตั้งใจว่า ต่อไปนี้จะไม่ทรงวิญญาณ
    แล้วเค้าก็มาภาวนาตามแบบฉบับ ในวิธีทรงวิญญาณที่เค้าเรียนมา
    พอทำจิตให้สงบลงไป มีสมาธิลงไป
    มีปีติ มีความสุข มีความสว่าง
    ภาพวิญญาณ ก็ปรากฎขึ้นมา
    วิญญาณที่เคยเข้ามาประทับทรงนั้นเอง
    ในตอนนี้จิตของเค้าก็นึกต่อต้าน

    วันนี้ไม่ให้วิญญาณเข้ามาทรงแน่
    เพราะในจิตของเรามี แต่
    พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ประทับอยู่แล้ว
    จิตของเรา รู้ ตื่น เบิกบาน ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ
    เสร็จแล้ว เค้าก็กำหนดจิตเพ่งดู ภาพ วิญญาณที่มองเห็นอยู่นั้น
    เจ้าวิญญาณนี้ ก็เดินถอยหน้าถอยหลัง
    จะเข้ามาบ้างไม่เข้ามาบ้าง
    ในที่สุดร่างของวิญญาณ
    เนื้อหนังถูกพลังจิตของเค้าทำลายไปหมด
    ยังเหลือแต่โครงกระดูก

    ในที่สุดโครงกระดูกก็ถูกพลังจิตของเค้าทำลายให้แหลกละเอียดไป
    จนไม่มีอะไรเหลือ

    หลังจากนั้น ภาพนิมิตที่เป็นการทรงวิญญาณ
    ไม่เคยมาปรากฎกับเค้าอีก เค้าภาวนาทีไร
    จิตสงบลง แล้ว ก็มี ปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง
    ถูกต้องตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

    อันนี้เป็นประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิภาวนา
    ทั้งในส่วนที่ตัวเองเคยประสบมาและได้ข้อมูลจากผู้ภาวนาทั้งหลาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...