วันมาฆะบูชามาละชั่วที่ทำได้ยากยิ่งกว่าการทำความดีในจิตของตน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 11 กุมภาพันธ์ 2017.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    ?temp_hash=1e40f7a85ca1ecd9907af3f15876113c.jpg

    ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์พระองค์นั้น

    พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว เรามักเรียกว่า "พระพุทธพจน์" หรือ "พระพุทธวจนะ" นั้น เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในพระพุทธศาสนา

    ดังพระดำรัสที่ทรงตรัสไว้ในวันมาฆบูชาว่า

    ๑.สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง
    ๒.กุสลสฺสูปสมฺปทา การบำเพ็ญแต่ความดี
    ๓.สจิตฺตปริโยทปนํ การชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วปราศจากกิเลสทั้งหลาย
    เอตํ พุทธานสาสนํฯ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่อุบัติขึ้นมาในโลกนี้

    วันมาฆบูชา ได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาฏิโมกข์" ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน ๔ ประการ

    ๑. เป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่เราเรียกว่า "วันอุโบสถ" พระจันทร์เต็มดวง ดวงจันทร์เสวย มาฆฤกษ์
    ๒. พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้มีการนัดหมายทางวาจา กล่าวคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ใช้ให้ใครไปเรียกมา แต่ต่างองค์ต่างรู้ด้วยญาณทัศนะของท่าน แล้วก็ต่างองค์ก็ต่างมาจากแต่ละทิศ
    ๓. พระภิกษุทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นพระอรหันต์ ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ทรงอภิญญา มีฤทธิ์ มีตาทิพย์ หูทิพย์ ระลึกชาติได้ รู้ใจผู้อื่น
    ๔. พระภิกษุทั้งหมด ล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือ ได้รับการอุปสมบทจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เมื่อพระภิกษุทั้งหมดมาประชุมพร้อมกันแล้ว พระบรมศาสดาทรงประทานโอวาท ที่เรียกว่า "โอวาทปาติโมกข์" อันเป็นอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการ ในการเผยแผ่คำสอนของพระองค์

    ดังนั้น จึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" เป็นวันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ และพระพุทธองค์ได้ทรงแสดง "โอวาทปาฏิโมกข์" หรือก็คือ "หัวใจพระพุทธศาสนา" แสดงว่าโอวาทที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้นั้น ย่อมน้อมนำไปปฏิบัติเพื่อให้จิตหลุดพ้น "จิตสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา พระบาลีว่า วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ, ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา."


    การละชั่ว เป็นรากฐานสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยยังกุศลให้ถึงพร้อม และเข้าถึงการชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วปราศจากกิเลสทั้งหลายได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยปราศจากการกดถ่วงจากความเศร้าหมองของจิต เพราะยังไม่ได้เพียรพยายามละความชั่ว ความเศร้าหมองที่ดองอยู่ให้ออกจากจิตของตน

    ยังมีบุคคลบางจำพวกที่ชอบกระทำอกุศลธรรมกรรมชั่วอยู่เป็นเนืองนิจ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อมีโอกาสก็มีการทำทาน บำเพ็ญบุญไปด้วยในตัวเช่นกัน เพียงเพื่อให้เกิดความรู้สีกที่ดีขึ้น หรือเพียงเพื่อลบล้างกับอกุศลธรรมกรรมชั่วที่ได้เคยทำไว้เท่านั้น โดยความเป็นจริงแล้วไม่สามารถลบล้างกันได้เลย

    ส่วนเรื่องการละชั่ว ทำทานบำเพ็ญความดี ล้วนเป็นคำสั่งสอนขั้นพื้นฐานของทุกๆ ศาสนาที่มีอยู่โดยทั่วไปในขณะนี้เช่นกัน แต่เป็นการละชั่ว ทำทานบำเพ็ญความดีที่เกิดจากสุตะ จินตะ ซึ่งล้วนเป็นสัญญาอารมณ์ ที่เกิดจากการได้ฟัง นำไปคิด จนความรู้สึกนึกคิดตกผลึก เป็นเพียงสัญญา เผลอเมื่อไหร่ ลืมตัวได้เมื่อนั้น ไม่ใช่การละชั่ว ทำทานบำเพ็ญความดี ที่เกิดขึ้น ณ กายในกาย อันเป็นอัชฌัตตาธรรมา ที่เป็นงานภายในกายที่มีจิตครองอยู่

    แต่ในทางพระพุทธศาสนานั้น กลับมีข้อแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะคำสั่งสอนในโอวาทปาฏิโมกข์ ข้อที่ ๓ ที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำสั่งสอนการชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย เป็นการละชั่ว ทำทานบำเพ็ญความดีที่เกิดขึ้น ณ ภายในจิตของตน ด้วยการบำเพ็ญเพียรเพ่ง "ภาวนามยปัญญา" ให้เกิดขึ้น

    การบำเพ็ญเพียรเพ่งภาวนานั้น เป็นความเพียรพยายามเพื่อละชั่ว ที่เกิดขึ้น ณ ภายในจิตของตน คือ ขณะภาวนาอยู่นั้น จิตผู้รู้เกาะติดอยู่กับองค์ภาวนา ไม่ซัดส่ายหวั่นไหวออกไปหาอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด เมื่อสัญญาอารมณ์ผุดขึ้นมา ก็สลัดปล่อยวางออกไป เป็นความเพียรเพ่ง เพื่อละอกุศลธรรมกรรมชั่วที่ยังไม่เกิด-ไม่ให้เกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้ว-ให้หมดไป และเป็นการยังกุศลที่ยังไม่เกิด-ให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว-ให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

    เมื่อละชั่วได้ในขณะนั้น ต้องเพียรยังกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว จากการละชั่วได้ให้เจริญยิ่งๆ ขึ้น คือไม่ปล่อยให้อกุศลธรรมกรรมชั่วที่ละได้แล้ว หวลกลับมาได้อีก ด้วยความเพียรพยายามนั้น เรียกว่า "สัมมาวายามะ" ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์แห่งสมาธิในอริยมรรค ๘ [ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จิตสงบตั้งมั่นมีสติเป็นสมาธิ] เป็นการละชั่ว บำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อมแบบยั่งยืน ไม่ปล่อยให้อกุศลธรรมกรรมชั่วหวลกลับมาได้อีก

    พระพุทธองค์ได้เน้นย้ำให้ค้นหา "อมตธรรม" หรือ "พระนิพพาน" ได้ในเรือนกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ที่มีจิตครองอยู่นี้ เป็นอัชฌัตตาธรรมา เปรียบเหมือนเครื่องทองที่สกปรกโสมมไปด้วยมนทินเครื่องเศร้าหมอง ฉันใด จิตที่ครองอยู่ในกายนี้ ย่อมสกปรกโสมมไปด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทานเครื่องเศร้าหมองไปด้วย ฉันนั้น

    ต่อเมื่อเพียรพยายามชำระชะล้างเครื่องทอง เอาความสกปรกโสมม มนทินเครื่องเศร้าหมองออกไปหมด เครื่องทองก็กลับสุกปลั่งบริสุทธิ์ผ่องแผ้วได้ฉันใด จิตก็ฉันนั้น จิตบริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าได้ด้วย "เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทางที่ไปอันเอก (มีทางเดียว) เพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ทั้งหลาย" ทางนี้คือ มหาสติปัฏฐาน ๔

    คำว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย" พระพุทธองค์มิได้ทรงยกเว้นให้กับภิกษุรูปใดรูปหนึ่งโดยเฉพาะ พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนในมหาสติปัฏฐาน ๔ ด้วยเรื่อง กาย เวทนา จิต ธรรม ให้บริบรูณ์ด้วยธรรม บรรพะแรกคือ การพิจารณากายในกายเป็นภายใน ด้วยการภาวนามยปัญญา โดยใช้อานาปานสติบรรพะเป็นองค์ภาวนา เพื่อให้จิตมีกำลังในการพิจารณา เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม เพื่อความบริบรูณ์แห่งมหาสติปัฏฐาน ๔

    มีพระบาลีรับรองไว้ดังนี้
    อานาปานสติ ภิกฺขเว ภาวิตา พหุลีกตา
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติอันบุคคลเจริญ ทำให้มากแล้ว
    มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา
    ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่

    อานาปานสติ ภิกฺขเว ภาวิตา พหุลีกตา
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติอันบุคคลเจริญ ทำให้มากแล้ว
    จตฺตาโร สติปฏฺฐาเน ปริปูเรติ
    ย่อมทำสติปัฏฐานทั้งสี่ ให้บริบูรณ์

    จตฺตาโร สติปฏฺฐานา ภาวิตา พหุลีกตา
    สติปัฏฐานทั้งสี่ อันบุคคลเจริญให้มากแล้ว
    สตฺต โพชฺฌงฺเค ปริปูเรนฺติ
    ย่อมทำโพชฌงค์ทั้งเจ็ดให้บริบูรณ์

    สตฺต โพชฺฌงฺคา ภาวิตา พหุลีกตา
    โพชฌงค์ทั้งเจ็ด อันบุคคลเจริญทำให้มากแล้ว
    วิชฺชาวิมุตฺตึ ปริปูเรนฺติ
    ย่อมทำวิชชาและวิมุตติ (จิตหลุดพ้น) ให้บริบูรณ์

    ฉะนั้นเมื่อบุคคลที่จิตสงบมีสติตั้งมั่นไม่หวั่นไหวเป็นสมาธิ จิตย่อมมีกำลังมากพอที่จะสลัด ปล่อยวาง ละชั่ว ทำกุศลให้ถึงพร้อม จิตของตนย่อมไม่ซัดส่าย วุ่นว่าย หวั่นไหว ไปกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่เป็นปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ย่อมไม่ถูกอกุศลธรรมกรรมชั่วเข้าครอบงำได้เลย ดังนี้

    เจริญในธรรมทุกๆ ท่าน
    ธรรมภูต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • maka.jpg
      maka.jpg
      ขนาดไฟล์:
      189.8 KB
      เปิดดู:
      473
  2. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    การไม่ทำบาปทั้งปวง.....มันไม่ได้แปลออกมาว่า เป็นการละชั่ว...สักกะติ๊ดเดียวเลย...แปลมาได้อย่างไรว่า ให้ละความชั่ว.....

    ถ้าแปลว่าให้ละความชั่ว ก็แสดงว่าตนเองทำชั่วมาแล้ว มีความชั่วในกรรมมาแล้ว....ถึงพูดว่า..ให้ละความชั่วที่มีในตัว...แต่มันก็ให้สำนึกชดใช้ถึงจะละได้

    แต่การไม่ทำบาปทั้งปวง...คือการไม่ทำชั่วต่างหาก ไม่ทำความชั่วเพิ่ม...ต่างหากครับ.....

    ทีนี้การทำกุศลให้ถึงพร้อม ก็คือ..ให้จิตหรือสติ ระลึกนึกถึงแต่บุญกุศลที่เคยมี เคยทำ เคยรับรู้ เคยสัมผัส..มาแล้ว ให้ระลึกนึกถึงแต่สิ่งดีดี..มันก็จะทำให้จิตใจสงบ เอง อกุศล ก็ เข้าไม่ถึง โดยปริยายตาป้าลุง....ก็แค่นั้น...
     
  3. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ดูก่อน นิวร บาปนั้น คือ ความมั่วหมอง ความชั่ว การทำผิดจากคำสอน บาปก็แปลตามนี้แล
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ใครนิวรณ์...ผมวรนิ...

    ผมกล่าวว่า ไม่ได้บอกให้ละบาป....แต่ไม่ให้ทำบาป...มันต่างกันนะ..ตะเอง

    แปลว่า ไม่ให้ทำความชั่ว ไม่ไห้แปลว่า ให้ละความชั่ว....เข้าใจป๊ะ
     
  5. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ผมแค่ ขยายความ ของคำว่า....ไม่ทำชั่ว....ว่ามันต่างกัน กับ ที่แปลว่า ละชั่ว

    อย่าแปลง จาก ไม่ทำชั่ว เป็น ละชั่วสิ มันคนละ บริบทกัน
     
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ไม่ให้ป่วยเป็นโรค....กับให้รักษาโรคที่เจ็บป่วย...มันต่างกันไง
     
  7. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ถูกๆ ถูกของคุณ หลับให้สบายเถิด เป็นสุขเป็นสุขเถิด
     
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    เห็นชื่อกระทู้มั้ย...ให้มาละชั่ว มันยากยิ่งกว่าทำความดี..มันแปลง มันแปล ผิดไง ตั้งแต่ต้น
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    รับพรครับ
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    อย่างที่เคยได้พูดไว้นานมาแล้วว่า การตอบอะไรที่นี่ ต้องทำใจอย่างมากเพราะ คุณภาพของขาประจำหลายท่าน ต่ำจนน่าใจหาย จนด้วยเหตุผลก็หยาบคายบ้างละ ปวนโดยการใช้ภาษาวิบัติบ้างละ ตีกินแบบที่เรียกว่าด้านได้อายอด ทรยศตัวเองก็เอา เฝ้าจิกกัด โดยตอบอะไรก็ได้ให้งงไว้ แม้ตัวเองยังไม่เข้า 555เยอะ จาระไนไม่ไหว่
    การไม่ให้ทำบาปเป็นเพียงข้อห้ามที่เรียกว่า "ศีล" เมื่อเป็นแค่ข้อห้ามเผลอเมื่อไหร่เละเมื่อนั้น ส่วนการละนั้นเป็นความละเอียดเข้าอีกชั้นหนึ่ง การละคือการ "วิรัติ" ฉะนั้นการจะทำจิต บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองได้นั้น ต้องละชั่วให้ได้เท่านั้น
    เจริญในธรรม
    ธรรมภูต
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ส่วนตัวขอใช้คำว่า กุศล กับ อกุศล แทนดีและชั่วนะครับ
    มองอย่างนี้ว่า ไม่ว่าเราจะฝึกอย่างไร ก็ตาม
    ท้ายแล้วก็จะน้อมให้จิตไปทางกุศลก่อนในเบื้องต้น
    ตรงนี้เห็นด้วย เพราะถ้าจิตไม่ได้รับการฝึก
    มักจะออกไปทางอกุศลซะส่วนใหญ่ครับ

    แต่ควรเข้าใจว่า ไม่ว่าจะกุศลหรืออกุศลนั้น
    ท้ายสุดมันก็ยึดอะไรไม่ได้เลย
    เพราะไม่งั้นจิตมันไม่มีทางที่จะบริสุทธิ์
    หรือไม่มีทางที่จะคลายตัวได้เองของมันตามธรรมชาติ
    (คลายตัวในที่นี้คือ ไม่ส่งอะไรไปยึดทุกอย่างที่มีอยู่แล้วปกติ
    ในสภาพแวดล้อมปกติเข้ามาจนกลายเป็นตัวเองครับ)
    เพราะว่า ถ้าไปยึดกุศล จิตก็จะมีตัวไปกระทำให้เป็นกุศลได้อยู่
    และจิตจะขาดความเป็นกลางเพราะจะมีการแยกแยะ
    ว่านี้ไม่ใช่ ว่านั้นเป็นอกุศลครับ
    หรือถ้าไปยึดอกุศลก็เช่นเดียวกันจิตก็จะขาดความเป็นกลาง
    คือแยกแยะว่านี้ไม่ใช่ ได้เช่นเดียวกัน

    ดังนั้นจึงไม่ควร ไปเผลอไปสร้างตัวกระทำให้กับจิต
    ซึ่งตัวนี้ นักปฏิบัติหลายท่านอาจจะพลาดกันแบบไม่รู้ตัว
    นึกภาพออกไหม พอเราไปเผลอใช้จิต ใช้ตัวกระทำขึ้นมา
    มันก็จะกลายเป็นวิบากทางจิตขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
    ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล มันก็เลยยังต้องไปเสวยผลของ
    วิบากนั้นๆอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวิบากจากกุศลหรืออกุศลครับ

    ต่อให้เป็นกุศลก็ตาม อย่าไปจม อย่าไปแช่
    เพราะว่า เมื่อจิตจมหรือแช่ กับอะไรก็ตาม
    ไม่ว่ากุศลหรืออกุศลโดยไม่ปล่อยวาง
    มันจะทำให้ เกิดกิริยากับจิตที่เราเรียกว่า จิตพิการได้ครับ
    พิการคือ ค้างเติ่งแล้วเผลอไปยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่อย่างนั้น
    โดยไม่ยอมปล่อย
    เป็นเหตุให้จิตไม่ผ่องใสไม่คลายตัวเองซักทีครับ
    ดังนั้น ดึงควรพิจารณาตัดตัวไปกระทำตรงนี้ให้ดี
    ด้วยการรู้จัก ตัดตัววิญญานการไปรับรู้
    ที่มันออกจากจิตเรานั่นหละครับ

    ด้วยการทำอะไรก็ทำไป ทำแล้วก็แล้วไป
    และไม่ต้องไปหวังอะไรๆกับมัน
    ไอ้รู้จักแล้วๆไปอย่างนี้หละครับ
    เป็นเหตุให้จิตตัดตัววิญญานการรับรู้ได้
    ของมันเหตุ เป็นเหตุส่งผลให้จิต
    ผ่องใสและคลายในเองได้ โดยไม่มีอะไรเข้า
    ไปกระทำให้มันผ่องใส หรือให้มันคลายตัวเอง
    ในเวลาลืมตาปกติใช้ชีวิตประจำวัน
    ได้ของมันเองครับ
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    สมาธิ ใน อริยมรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วย สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

    "สัมมาวายามะ" ความเพียร
    เพียรละอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิด
    เพียรละอกุศลธรรมที่เกิดแล้วให้หมดไป
    เพียรสร้างกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
    เพียรสร้างกุศลธรรมที่เกิดแล้วให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป

    กุศลที่เกิดในอริยมรรคนั้น เป็นกุศลที่ปราศจากอามีส ไม่ต้องกลัวติดครับ
    เจริญในธรรม
    ธรรมภูต
     

แชร์หน้านี้

Loading...