ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 หน้า 149 ของข้าพเจ้า

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย montrik, 1 กันยายน 2018.

  1. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    มีพระคาถาดีๆมาฝากครับ

    คาถาหัวใจพุทธคุณ ๙ คือ “อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ” ยังสามารถสวดได้ในยามคับขัน หรือจะสวดเป็นประจำ บริกรรมจนเกิดสมาธิได้ หรือหากจะใช้ให้เกิดผล มีอุปเท่ห์ว่า ให้สวดเดินหน้า “อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ” และสวดถอยหลัง “ภะ พุ สะ ปุ โล สุ วิ สัง อะ” สวดไปเรื่อยๆโดยไม่จำกัดจำนวนรอบ ยิ่งสวดมากเท่าไหร่ยิ่งดี จะเกิดมงคลแก่ตนเองในทุกๆด้าน ครอบจักรวาล ทั้งแคล้วคลาด ป้องกันภัย เป็นเสน่ห์ เมตตามหานิยม กันฟืนไฟ กันโจรผู้ร้าย และอีกสารพัด ซึ่งจะพบคาถานี้ในยันต์เก้ายอด หรือนวหนรคุณนั่นเอง

    สำหรับ ๙ อักขระนั้น ถือว่าเป็นหัวใจอิติปิโสทั้งบท โดยมีความหมายดังต่อไปนี้

    อะ คือ อะระหัง หมายถึง เป็นผู้ดับเพลิงทุกข์ เพลิงกิเลสโดยสิ้นเชิง

    สัง คือ สัมมาสัมพุทโธ หมายถึง เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยตัวพระองค์เอง

    วิ คือ วิชาจะระณะสัมปันโน หมายถึง เป็นผู้พร้อมด้วยวิชาและจรณะ

    สุ คือ สุคะโต หมายถึงเป็นผู้ดำเนินไปได้ด้วยดี

    โล คือ โลกะวิทู หมายถึง เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง

    ปุ คือ อนุตตโร ปุริสะทัมมะสารถี หมายถึง เป็นผู้ฝึกบุรุษผู้ควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

    สะ คือ สัตถาเทวะมนุษานัง หมายถึง เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    พุ คือ พุทโธ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

    ภะ คือ ภะคะวา ติ หมายถึง เป็นผู้จำเริญ จำแนกธรรม สั่งสอนสัตว์

    ขอขอบคุณพระคุณ ครูบาอาจารย์ที่ได้สอน ต่อๆ กันมา
    FB_IMG_1548717780356.jpg FB_IMG_1548717777136.jpg
     
  2. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    #ปฏิทินปักขคณนาปี2562(แบบดูง่าย)
    #ขอแชร์เป็นธรรมทาน**เชิญดาวน์โหลดรูปภาพ

    ผู้จัดทำเจตนาถวายให้แด่พระภิกษุ ที่ต้องการทราบวันลงอุโบสถ และพระภิกษุที่ทรงจำพระปาฏิโมกข์ เพื่อใช้ในการดูวิธีเปลี่ยนบุปพกิจ
    *ผู้จัดทำได้ถอดแบบจาก โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย ที่แม่กองธรรมสนามหลวง ได้สั่งพิมพ์แจกทุกๆปี
    **อนึ่งการทำมิได้เจตนาดัดแปลงต้นฉบับ แต่ถอดมาเพื่อง่ายต่อการดู เฉพาะในส่วนของวันลงอุโบสถ หากผิดพลาดประการใด ทางโรงพิมพ์มหามกุฏฯ หรือ คณะแม่กองธรรมฯ มิได้เกี่ยวข้องทั้งสิ้น ผู้จัดทำขอน้อมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว

    "หากบุญใดๆพึงบังเกิดในการทำปฏิทินปักขคณนาถวายคณะสงฆ์ในครั้งนี้ ขออุทิศบุญนั้นให้แก่ ชาติ ศาสน กษัตริย์ และกลุ่มในเครือ สายธารธรรม ด้วยเทอญ...."

    อนึ่ง : อุบาสก อุบาสิกา ท่านใดประสงค์ที่จะเอาบุญในครั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดได้ที่ลิงค์ ดาวน์โหลดไฟล์PDF ได้ที่ https://drive.google.com/open?id=1kTbGblAECBLOu9RdloO39Jk_a5KQrJEV เพื่อนำไปปริ้นท์ เป็นกระดาษขนาด A4 หรือ A3 ไปถวายวัดหรือครูบาอาจารย์ได้ตามประสงค์ #ผู้จัดทำขออนุโมทนา

    ขอขอบคุณ
    ที่มา เฟสบุ้ค ธรรมทาน
    FB_IMG_1548796989657.jpg
     
  3. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    บันทึกราชวงศ์จักรี

    ข้อมูลดีๆ เก็บไว้อ่าน

    รัชกาลที่ ๑.. เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๒
    รัชกาลที่ ๒.. เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๓ และ ๔
    รัชกาลที่ ๓.. เป็นพี่ รัชกาลที่ ๔
    รัชกาลที่ ๔.. เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๕
    รัชกาลที่ ๕.. เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๖ และ ๗
    รัชกาลที่ ๕.. เป็นปู่ รัชกาลที่ ๘ และ ๙
    รัชกาลที่ ๖.. เป็นพี่ รัชกาลที่ ๗
    รัชกาลที่ ๖.. เป็นลุง รัชกาลที่ ๘ และ ๙
    รัชกาลที่ ๗.. เป็นอา รัชกาลที่ ๘ และ ๙
    แต่พ่อ ของรัชกาลที่ ๘ และ ๙ ไม่ได้ ขึ้นครองราชย์ เนื่องจาก เสียชีวิต ไปก่อนหน้านั้น
    รัชกาลที่ ๘.. เลยขึ้น เถลิงถวัลย์ ราชสมบัติ
    รัชกาลที่ ๘.. เป็น พี่รัชกาลที่ ๙
    รัชกาลที่ ๙.. เถลิงถวัลย์ ราชสมบัติ ต่อ จน ๗o ปี แห่งการครองราชย์ พระชนมายุ ๘๙ พรรษา
    รัชกาลที่ ๙.. เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๑o

    ระยะการครองราชย์ ในแต่ละรัชกาล...!!
    ร.1 27 ปี
    ร.2 15 ปี
    ร.3 27 ปี
    ร.4 17 ปี
    ร.5 42 ปี 22 วัน
    ร.6 15 ปี
    ร.7 9 ปี
    ร.8 12 ปี 99 วัน
    ร.9 70 ปี 127 วัน

    #เก็บโพสนี้ไว้ในความทรงจำ
    #ฉันเกิดในรัชกาลที่๙
    FB_IMG_1548800713335.jpg
     
  4. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    +++ ปรับธาตุด้วยสมาธิ +++

    ถาม : เมื่อเราเดินสมาธิ ข้างในธาตุสี่แปรปรวน อยากได้วิธีเดินลมปราณครับ ?

    ตอบ : เขาเรียกว่า ขันธมาร พอเราเริ่มทำสมาธิ #มารรู้ว่าเราจะพ้นมือแล้ว #ก็ก่อกวน เราก็ไปรู้สึกว่าธาตุแปรปรวนก็เท่านั้นเอง #แค่เราทำสมาธิให้ทรงตัวก็จบแล้ว เพราะว่าเป็นการปรับธาตุอยู่ในตัว เราจะเห็นว่าถ้าสมาธิทรงตัวแล้ว ไม่เพียงแต่ รัก โลภ โกรธ หลง ดับสนิทเท่านั้น #แม้กระทั่งอาการเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ #ก็โดนอำนาจของสมาธิกดดับไปด้วย นั่นคือลักษณะของการปรับธาตุโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

    ถ้าหากว่าเราออกจากสมาธิมาจะรู้สึกว่าเบาสบาย อยากจะเหาะ อยากจะบินได้ #นั่นคือลักษณะของการปรับธาตุเป็นปกติ ฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่ามารหลอกให้เรากลัว จะได้ไม่ต้องทำ พอเราเลิกทำ...ก็สบาย #เป็นทาสมารต่อไป

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๒
    FB_IMG_1548817739383.jpg
     
  5. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    พิธีนี้ผมได้นำแหวนทองคำไปร่วมหล่อด้วย และทั้งยืน และนั่งอยู่ตรงวิหารแก้ว 100 เมตร คนเยอะมากๆครับ เป็นปิติอย่างยิ่ง


    ประวัติและการสร้างสมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


    “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่หนึ่ง ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขี” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้วอาจจะมีชื่อซ้ำกันได้ โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกันถึง 5พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น พระพุทธสิกขีที่ 1 พระองค์จึงเป็นต้นพระวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระพุทธองค์ว่า ทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู” อย่างแท้จริง

    สมัยที่สมเด็จพระพุทธองค์ ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้น คนมีอายุขัยประมาณ 8หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ 4หมื่นปี หลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก 2หมื่นปี จึงได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ อีกประมาณ 2หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพาน หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40อสงไขยกัปในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง ทรงใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมี จึงใช้ถึง 40อสงไขยกัปเศษ

    การพบสมเด็จองค์ปฐม ครั้งแรกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมื่อประมาณ พ.ศ.2511 คือท่านกำลังสอนพระกรรมฐาน และเมื่อเสร็จจากการแนะนำ ก็ได้ทำสมาธิ สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพานยืน สองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้าแล้วก็พนมมือ จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็นอุปาทาน เพราะว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศรีษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆ ที่หลังคาตํ่าๆ หากพระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคาก็จะสูงขึ้น แต่เวลานี้เห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปาทานคือกิเลสคงกินใจมาก เมื่อนึกเพียงนี้ ก็เห็นภาพหลวงปู่ปานปรากฏขึ้นข้างข้าง ๆ หลวงปู่ปานท่านบอกว่า ” คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา ” อีกประมาณสัก 5นาที ปรากฏว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก้มศรีษะ แสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินไปถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านก็ตรัสว่า ” ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า… ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน ” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วท่านก็บอกว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น ”

    ก็เป็นความจริง เมื่อใดก็ตาม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ สอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางทีคิดว่าวันนี้จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูดไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่งไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสาารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้นเอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดีใกล้เคียงกันก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตามๆ กัน

    อันนี้ก็เช่นเดียวกัน อาตมาเวลาเทศน์หรือสอนกรรมฐานก็ไม่เคยได้พูดตามที่คิดไว้สักที อาจเป็นเพราะท่านดลใจ ถ้าจะถามว่าเป็นที่ชอบใจของคนทุกคนไหม ก็ขอตอบว่าไม่แน่นัก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านอาจจะจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่คนบางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ก็จึงมาคิดว่า ในเมื่อท่านมีพระคุณอย่างนี้ และก็เห็นเป็นปกติ จึงคิดจะหล่อรูปของท่าน

    ต่อมาเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เจริญพระกรรมฐานแล้ว จึงได้อาราธนา ขอพบท่านในสมัยที่รูปร่างเป็นมนุษย์ ท่านก็ปรากฏพระองค์ให้เห็น ทรวดทรงสวยมาก หน้าของท่านอิ่มเหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากไม่บุ๋ม ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าที่เขาปั้นกัน แก้มตอบปากบุ๋มลงไป แล้วสมเด็จองค์ปฐม ก็แสดงรูปร่างสมัยเป็นมนุษย์ และก็เปลี่ยนมาเป็น ปางนิพพาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของพระองค์ จะให้ปั้นแบบไหน แบบปางพระนิพพานหรือแบบมนุษย์

    พระพุทธองค์บอกว่า ให้ปั้นแบบนี้ก็แล้วกัน ทรงแสดงภาพให้ดู เป็นเหมือนกับ พระพุทธรูปและมีเรือนแก้ว แบบพระพุทธชินราช รูปที่ทรงให้ปั้นไม่เหมือนกับรูปจริงของพระองค์ตอนเป็นมนุษย์ และก็ไม่เหมือนรูปที่นิพพาน แต่ว่าเป็นรูปที่ท่านต้องการ ท่านมาแสดงแบบนั้นอยู่ถึง 3วันติดๆ กัน วันละประมาณ 1ชั่วโมง ก็ดูจนละเอียด แต่ก็คิดในใจว่า ช่างเขาปั้น แต่เขาไม่เห็นภาพ เขาจะปั้นได้ไม่เหมือน จึงขอบารมีของท่านบอกว่า เวลาช่างปั้น ขอให้โปรดดลใจให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ ท่านก็ยอมรับ ในที่สุดเมื่อเขาปั้นเสร็จ เขาก็เอามาให้ดูเหมือนกับรูปที่ท่านแสดงจริง ๆ นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์

    เมื่อพระเดชพระคุณหลวง พ่อตัดสินใจปั้นรูปของสมเด็จองค์ปฐม ก็นึกถึงพระบรมสารีริกธาตุ เพราะพระพุทธรูปทุกองค์ในสถานที่สำคัญ ก็ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่เป็นพระบรมสารีริกธาตุขององค์ปัจจุบัน จึงคิดว่าจะหาได้จากไหน จึงตัดสินใจว่า ถ้าทำไม่ได้ก็จะเอาขององค์ปัจจุบันบรรจุแทน เพราะถือว่าเป็นคนละขั้นตอน ต่อมา ขณะที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังจะนอน จิตเริ่มเคลิ้ม ก็ได้ยินเสียงว่า “พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐมเอามาให้แล้วนะ วางไว้ที่ตลับบนเตียงข้างๆ หัวนอน” ได้ยินเสียงชัดเจนแจ่มใสมาก เหมือนเสียงขององค์ปัจจุบัน จึงลุกขึ้นไปเปิดไฟ ปรากฎว่าที่ตรงนั้นไม่เคยวางตลับ มีแต่วางหนังสือสำหรับดูก่อนหลับ ก็มีตลับพลาสติคแบบปัจจุบันอยู่ลูกหนึ่ง ไปเปิดดูเห็นพระบรมสารีริกธาตุองค์โตสององค์ ก็ดีใจว่าขององค์ปฐมแน่ จึงเก็บไว้ในที่สักการะบูชา เอาไว้บรรจุพระองค์ท่าน

    การสร้างมณฑปของสมเด็จองค์ปฐม ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญมาก ซึ่งสมเด็จองค์ปฐมได้ชี้สถานที่ให้ เป็นบริเวณที่มีพระบรมสารีริกธาตุสำคัญมาก และเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้คนเดินผ่านไปมา จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ให้ช่างทำการก่อสร้างมณฑปของสมเด็จองค์ปฐม ณ สถานที่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

    มาพูดถึงวัสดุที่จะใช้สร้างสมเด็จองค์ปฐม สร้างหน้าตักสี่ศอก เป็นพระหล่อด้วยโลหะ แล้วก็ผสมทองคำ เฉพาะเพชรที่ประดับเรือนแก้วหรือว่าผ้าทิพย์ มีราคาประมาณเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นบาทเเศษ แต่ไม่ใช่เพชรจริงๆ ราคาเพชรเม็ดหนึ่งประมาณ 12-13บาทเท่านั้น ก็รวมความว่า ความสำคัญเนื่องในการสร้างองค์ปฐม คือว่าคนไม่เคยคิด หรือว่าอาจจะคิดบ้างก็ไม่ทราบ ว่า พระพุทธเจ้าจริง ๆ ที่มีความลำบากมากคือ “องค์ต้น” เพราะไม่เคยมีพระพุทธเจ้าเป็นครูมาก่อน ต้องลำบากบุกมาทั้ง ๆ ที่ไม่มีแบบ เป็นเหตุดลใจให้ตั้งใจคิดจะเป็นพระพุทะเจ้า ต้องใช้เวลาถึง 40อสงไขยกัปเศษ จึงจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนั้น การหล่อรูปองค์ปฐมนี้จึงมีอานิสงส์มาก การหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐม จึงได้ทำการเททองหล่อ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นองค์ประธานจับสายสิญจน์ ในการหล่อพระพุทธรูป โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อทำการเททองลงในเบ้าที่ช่างเตรียมไว้ โดยใช้ทองคำที่ญาติโยมร่วมกันถวาย ประมาณ 78 กิโลกรัม

    วันที่ 16 พฤษภาคม 2535 เป็นวันวิสาขบูชา พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้อัญเชิญพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ขึ้นประดิษฐานบนแท่นภายในมณฑป ซึ่งเดิมพระเดชพระคุณหลวงพ่อจะทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม แต่เนื่องจากการตกแต่งพระวิหารก็ดี ยังไม่เรียบร้อย จึงต้องเลื่อนไป

    วันที่ 13 มีนาคม 2536 เป็นวันเริ่มงานทำบุญประจำปีของวัดท่าซุง และในวันที่ 14 มีนาคม 2536 ได้นิมนต์พระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา มาเป็นประธาน และได้ทำการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐมไว้ในพระเกตุมาลาของพระพุทธรูป ท่านพระครูปลัดอนันต์ พุทธญาโณ เจ้าอาวาสวุดท่าซุง ได้อาราธนาพระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ นำพระเกตุมาลามาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วอัญเชิญไปสวมที่พระเศียรของพระพุทธรูป แต่เนื่องจากการนำขึ้นไปลำบากและสูง พระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์จึงมีบัญชาให้ท่านเจ้าอาวาสนำขึ้นไปแทน เมื่อเสร็จพิธี พระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวว่า “พระองค์นี้มีลาภมากนะ”

    ส่วนอานิสงส์ของการสร้าง สมเด็จองค์ปฐม ลุง 2ลุง นายบัญชีกับลุงพุฒิ (หมายถึงท่านพระยายม) ท่านบอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอกนี่…บัญชีเล่มนี้ (คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา) “บัญชี สีทอง” เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย ท่านบอกถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้โดยเฉพาะ ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ ต้องเป็นคนมีบุญมาก เพราะว่าการสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด และการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตาม อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไป ที่เขามีน้อย ๆ บาทสองบาท สิบสตางค์ยี่สิบสตางค์ พวกนี้เอาไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด ก็ถามว่าบัญชีสีทองหมายถึงอะไร ท่านบอกมันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนาหมด

    การหล่อสมเด็จองค์ปฐมด้วยทองคำนี่ อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่งที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้าบัญชีสีทองไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น

    (คัดมาจากหนังสือประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี)

    ***************************************************************

    คำสอนสมเด็จองค์ปฐมบรมครู (สมเด็จพระพุทธสิขีทศพล ที่ 1)

    หลวงพ่อได้เมตตา สรุปใจความสั้นๆ ตามที่ท่านเทศน์ไว้ดังนี้…..

    “ท่านทั้งหลาย การหลบหลีก ไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เป็นของไม่ยาก
    1. ขอทุกท่าน จงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
    2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้(ด้วยความจริงใจ)
    3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
    4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหมในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพานแล้ว ตั้งใจไปพระนิพพานโดยเฉพาะ เท่านี้ทุกท่านจะหนีอบายภูมิพ้น และไปพระนิพพานได้ในที่สุด”

    หมายเหตุ : เทศน์ที่ ”เทวสภา” วันที่ 8 สิงหาคม 2535 เวลา 8.00 น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟัง เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2535 เวลา 21.00 น.

    FB_IMG_1548833886306.jpg 1_สมเด็จองค์ปฐม_01.jpg 1_สมเด็จองค์ปฐม_02.jpg
     
  6. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ###ประวัติการสร้างพระสมเด็จ ##

    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี )

    การสร้างพระสมเด็จแบ่งออกเป็น 3 ยุค ดังนี้

    ยุคต้น สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 ตั้งแต่ พ.ศ. 2368 –2390 (ครองราชย์ พ.ศ. 2367 - 2394)
    ยุคกลาง สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ตั้งแต่ พ.ศ. 2399 –2411 (ครองราชย์ พ.ศ. 2394 - 2411)

    ยุคปลาย สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่ พ.ศ. 2412 –2414 (ครองราชย์ พ.ศ. 2411 - 2453)
    มีรายละเอียดการสร้างพระพิมพ์ หรือพระสมเด็จ ดังนี้
    ยุคต้น ในรัชกาชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3 )
    1. ปี พ.ศ. 2348 สร้างที่ระลึกงานฉลองสมณศักดิ์ เป็น “พระครูโต”
    2. ปี พ.ศ. 2378 สร้างเป็นที่ระลึกในการเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นที่ “พระปริยัติธรรม”
    3. ปี พ.ศ. 2379 สร้างเป็นที่ระลึกให้แก่ผู้บริจาคเงินสร้างพระพุทธไสยาสน์
    4. ปี พ.ศ. 2381 สร้างเป็นที่ระลึกให้งานทำบุญครบ 51 ปี ขณะดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์ พระปริยัติธรรม
    5. ปี พ.ศ. 2386 สร้างเป็นที่ระลึกในงานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นที่ “พระราชปัญญาภรณ์”
    6. ปี พ.ศ. 2387 สร้างเป็นที่ระลึกให้แก่ผู้บริจาคเงินบำรุงวัดระฆัง
    7. ปี พ.ศ. 2390 สร้างเป็นที่ระลึกในงานทำบุญครบรอบ 60 ปี เป็นที่ “พระเทพกวีศรีวิสุทธินายก”
    ซึ่งการสร้างแต่ละครั้งมีจำนวนไม่มาก เป็นพิมพ์ใหญ่ และหลายพิมพ์ทรง เป็นพระเนื้อขาวแก่ปูน พิมพ์ใหญ่ไม่มีเส้นกรอบกระจก หรือเส้นบังคับพิมพ์
    ยุคกลาง ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)
    1. ปี พ.ศ. 2399 สร้างให้โยมพระบิดามารดา เพื่อแทนคุณ ขณะดำรงสมณศักดิ์ เป็นที่ “พระธรรมกิติโสภณ” เป็นพิมพ์ปรกโพธิ์
    2. ปี พ.ศ. 2399 สร้างเป็นที่ระลึกในงานสร้างพระบูชา นามว่า “พระหาพุธพิม”
    3. ปี พ.ศ. 2407 สร้างเป็นที่ระลึกในงานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)พรหมรังษี” เป็นพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่
    4. ปี พ.ศ. 2409 สร้างในขณะดำรงสมณศักดิ์ เป็นที่ “พระสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี” เริ่มสร้างที่จำนวน 84,000 องค์ตามเจตนารมณ์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา โดยแม่พิมพ์ของช่างทองหลวง “หลวงวิจารณ์เจียรนัย”
    5. ปี พ.ศ. 2411 สร้างในขณะดำรงสมณศักดิ์ เป็นที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต เป็นพิมพ์ใหญ่อกวี
    ยุคปลาย ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
    1. ปี พ.ศ. 2412 สร้างพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ แม่พิมพ์หลวงวิจารณ์เจียรนัย
    2. ปี พ.ศ. 2414 สร้างพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ (ลงรักปิดทอง) สร้างถวายแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    __________________

    FB_IMG_1548859600171.jpg FB_IMG_1548859597290.jpg FB_IMG_1548859594506.jpg
     
  7. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    บันทึกไว้ตรงนี้ก่อนครับ

    มวลสารลูกอมเทียนชัย 38 ประการ ปี2562
    อธิษฐานจิตโดย
    หลวงพ่อหวล
    หลวงตาม้า
    อาจารย์ศุภกฤษณ์ชัยวงศ์

    ประกอบด้วยสุดยอดมวลสาร ในสายหลวงปู่ดู่ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ และ จากทั่วประเทศ

    1.เกสาหลวงปู่ดู่
    2.เกสาหลวงตาม้า
    3.เกสาอาจารย์ศุภรัตน์
    4.เกสาครูบาบุญชุ่ม
    5.เกสาหลวงปู่แย้ม สามง่าม
    6.เกสาหลวงพ่อหวล
    7.เกสาหลวงพ่อเกษม
    8.เกสาครูบาเทือง
    9.เกสาหลวงปู่บุดดา
    10.เกสาหลวงปู่ใหญ่ โคราช
    11.เกสาครูบาวงศ์
    12.เกสาครูบาพรหมจักร
    13.เกสาหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    14.อัฐิหลวงปู่ดู่
    15.อัฐิหลวงพ่อเทียม
    16.ข้าวสาร ข้าวเปลือก ครูบาบุญชุ่ม
    17.ข้าวก้นบาตร หลวงปู่ หลวงตา อาจารย์
    18.ผงมหาจักรพรรดิ
    19.เทียนชัยหลวงปู่ดู่
    20.เทียนชัยครูบาบุญชุ่ม
    21.เทียนบูชาพระ หลวงพ่อเกษม
    22.กะลาตาเดียว หลวงปู่ดู่อธิษฐาน
    23.ดอกไม้บูชาพระ หลวงปู่ดู่
    24.ดอกไม้ พวงมาลัย บูชาครูบาบุญชุ่มงานสืบชะตา
    25.หวายตัดลูกนิมิต หลวงปู่ดู่
    26.ทรายพระศรีอาริยะ หลวงปู่ดู่
    27.ดินที่เกิด ที่ตาย หลวงปู่ทวด (ช้างไห้ พะโคะ) ปี 32
    28.ตะไคร้แม่บุญเรือน
    29.ทรายเสกแม่บุญเรือน
    30.ทับทิมแม่บุญเรือน
    31.ผงจันทร์ ผงสูตย์ หลวงปู่ดู่
    32.จีวร หลวงปู่ หลวงตา อาจารย์
    33.ผงดอกไม้บูชาพระหลวงตามหาบัว
    34.สีผึ้งรวม หลายคณาจารย์
    35.”เทียนชัยพิธีดาว 3 ดวง
    36.ผงอัฐิหลวงพ่อกลั่น ผงหลวงปู่ปี 2493
    37.ผงท้าวเวสสุวัณ หลวงปู่ดู่
    38.ผงสัมฤทธิ์ ลพบุรี
    ครบมงคล 38 ประการ ใส่เกินถือเป็นกำไร
    FB_IMG_1549002558936.jpg FB_IMG_1549002556960.jpg FB_IMG_1549002555042.jpg FB_IMG_1549002552799.jpg FB_IMG_1549002550144.jpg FB_IMG_1549002548075.jpg FB_IMG_1549002546015.jpg FB_IMG_1549002543489.jpg FB_IMG_1549002541383.jpg FB_IMG_1549002539420.jpg FB_IMG_1549002537562.jpg FB_IMG_1549002535437.jpg FB_IMG_1549002533278.jpg FB_IMG_1549002530969.jpg FB_IMG_1549002526952.jpg FB_IMG_1549002524395.jpg FB_IMG_1549002522304.jpg FB_IMG_1549002520473.jpg FB_IMG_1549002518560.jpg FB_IMG_1549002516567.jpg FB_IMG_1549002514632.jpg FB_IMG_1549002512563.jpg FB_IMG_1549002510621.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2019
  8. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ใกล้ตรุษจีนทีไร ทำให้หวนรำลึกถึงโคตรเหง้าเหล่ากอของตนเองอยู่เสมอว่า บรรพบุรุษของผมเองของฝ่ายทางมารดา มีเชื้อสายจีน จาก รุ่นของเตี่ยของยาย
    ผมก็เลยขุดคุ้ยประวัติไว้เผื่อว่าวันหนึ่งลูกหลานจะได้เข้ามาอ่านตรงนี้

    ก่อนอื่นต้องทราบว่า ชาวจีนอพยพมาเมืองสยาม หรือเมืองไทยเมื่อไรบ้าง แลำทำไม

    กรุงสยาม ดินแดนแห่งความหวัง ของชาวจีนโพ้นทะเล ในยุคที่เมืองจีนมีวามวุ่นวาย

    คนจีนอพยพมาประเทศไทยครั้งแรกเมื่อใด

    ประวัติศาสตร์ของการที่ชาวจีนอพยพมาประเทศไทย ต้องย้อนกลับไปหลายร้อยปี

    IMG_2648.jpg

    สมัยสุโขทัย
    ชาวจีนเริ่มเดินเรือสำเภามาค้าขายในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย แต่หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือ เมื่อชาวจีนมาสอนการทำเครื่องถ้วยชาม โดยเฉพาะเครื่องสังคโลก

    สมัยกรุงศรีอยุธยา
    ชาวจีนได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่มาก โดยส่วนมากจะมาจากตอนใต้ของประเทศจีน เพื่อมาตั้งรกรากและทำการค้า

    สมัยกรุงธนบุรี
    เมื่อครั้นเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2310พ.ศ. 2312 จักรวรรดิจีนได้ถูกรุกรานพม่าที่กำลังขยายแสนยานุภาพ จักรพรรดิจีนในสมัยนั้นได้ส่งกองกำลังไปปราบปรามพม่าถึง 4 ครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ฝ่ายจีนก็ได้เบนความสนใจมาที่กองทัพพม่าในอาณาจักรอยุธยา ซึ่งกำลังถูกพม่ายึดครอง ขุนพลไทยนาม “สิน” ซึ่งมีบิดาเป็นคนจีน และมารดานาม นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวสยาม ได้ใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ทำให้สามารถกอบกู้เอกราชให้สยามได้สำเร็จ ขุนพลท่านนั้นต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แห่งกรุงธนบุรี หรือที่ชาวจีนขนามนามว่า แต้อ๊วง ด้วยความที่ว่าบิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นคนจีน

    เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ชาวจีนแต้จิ๋วได้เข้ามาทำการค้า และอพยพมายังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชากรชาวจีนโพ้นทะเลในไทย เพิ่มขึ้นจาก 230,000 คนใน พ.ศ. 2368 เป็น 792,000 คนใน พ.ศ. 2453 และใน พ.ศ. 2475 ประชากรไทยถึง 12.2% เป็นชาวจีนโพ้นทะเล]



    IMG_2650.jpg

    สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
    การอพยพของชาวจีนยุคแรก ส่วนมากเป็นผู้ชาย เมื่อเข้ามาตั้งรกรากแล้วก็จะแต่งงานกับผู้หญิงไทย และกลายเป็นค่านิยมในสมัยนั้น ลูกหลานจากการแต่งงานข้ามเชื้อชาตินี้เรียกว่า “ลูกจีน” แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ กระแสการอพยพเริ่มเปลี่ยนไป ผู้หญิงจีนอพยพเข้ามาในสยามมากขึ้น จึงทำให้การแต่งงานข้ามเชื้อชาติลดลง

    การคอรัปชั่น ในรัฐบาลราชวงศ์ชิง และการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศจีน ประกอบกับการเก็บภาษีที่เอาเปรียบ ทำให้ชายชาวจีนจำนวนมากมุ่งสู่สยามเพื่อหางานและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวในประเทศจีน ขณะนั้นชาวจีนจำนวนมากต้องจำยอมขายที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพาะปลูกของทางการ

    ในรัชสมัยปลายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ประเทศไทยต้องระวังผลกระทบจากการที่ฝรั่งเศสได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และอังกฤษได้มลายูเป็นอาณานิคม ในขณะเดียวกัน ชาวจีนจากมณฑลยูนนานก็เริ่มไหลเข้าสู่ประเทศไทย กลุ่มชาวไทยชาตินิยมจากทุกระดับจึงได้เกิดความคิดต่อต้านชาวจีนขึ้น หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ ชาวจีนกุมเศรษฐกิจการค้าส่วนใหญ่ไว้ และยังได้รับอำนาจผูกขาดการค้าและรวมถึงการเป็นนายอากรเก็บภาษีซึ่งเริ่มในสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วย ในขณะนั้นอิทธิพลทางการค้าของชาติตะวันตกก็สูงขึ้น ทำให้พ่อค้าขาวจีนหันไปขายฝิ่นและเป็นนายอากรมากขึ้น นอกจากนี้ เจ้าของโรงสีและพ่อค้าข้าวคนกลางชาวจีนยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสยามในปีซึ่งกินเวลาเกือบ 10 ปี หลังปี พ.ศ. 2448 ด้วย

    IMG_2647.jpg
    Chinaman carrying supplies, San Francisco c1870
    การให้สินบนขุนนาง กลุ่มอันธพาลอั้งยี่ และการเก็บภาษีอย่างกดขี่ ทั้งหมดนี้จุดประกายให้คนไทยเกลียดชังคนจีนมากขึ้น ในขณะเดียวกันอัตราการอพยพเข้าประเทศไทยก็มากขึ้น ในพ.ศ. 2453 เกือบร้อยละ 10 ของประชากรไทยเป็นชาวจีน ซึ่งผู้อพยพใหม่เหล่านี้มากันทั้งครอบครัวและปฏิเสธที่จะอยู่ในชุมชนและสังคมเดียวกับคนไทย ซึ่งต่างกับผู้อพยพยุคแรกที่มักแต่งงานกับคนไทย ดร.ซุน ยัตเซ็น ผู้นำการปฏิวัติประเทศจีน ได้เผยแพร่ความคิดให้ชาวจีนในประเทศไทยมีความคิดชาตินิยมจีนให้มากขึ้นเพื่อต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ชุมชนชาวจีนจะสนับสนุนการตั้งโรงเรียนเพื่อลูกหลานจีนโดยเฉพาะโดยไม่เรียนรวมกับเด็กไทย ในปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 5) ทรงให้ชาวต่างชาติในประเทศไทยจดทะเบียนเป็นคนต่างด้าว เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวจีนจำนวนมากต้องเลือกว่าจะเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์หรือจะยอมเป็นคนต่างด้าว

    IMG_2642.jpg

    ชาวไทยเชื้อสายจีนจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารซึ่งเริ่มในประมาณพ.ศ. 2475 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการประกาศอาชีพสงวนของคนไทยเท่านั้น เช่น การปลูกข้าว ยาสูบ อีกทั้งประกาศอัตราภาษีและกฎการควบคุมธุรกิจของชาวจีนใหม่ด้วย ซึ่งในช่วงนี้รัฐบาลได้มีนโยบายรัฐนิยม ทำให้ชาวไทยเชื้อสายจีนได้รับผลกระทบอย่างมากในเรื่องของการดูถูกและเหยียดเชื้อชาติ เช่น การไม่ส่งเสริมให้พูดภาษาจีน อันเป็นภาษาต่างด้าว ในที่สาธารณะ ทำให้ก่อนและหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่นาน มีการทะเลาะวิวาทแบบยกพวกเข้าตีกันหลายต่อหลายครั้งระหว่างคนไทยกับคนไทยเชื้อสายจีน หรือคนจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านเยาวราช ซึ่งเรียกกันว่า “เลี๊ยะพ่ะ” ซึ่งความขัดแย้งอันนี้ได้ลุกลามบานปลายจนจะกลายเป็นปัญหาเชื้อชาติ แต่ได้ยุติลงเมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ได้เสด็จประพาสเยี่ยมเยียนราษฎรที่เยาวราช ในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ก่อนเสด็จสวรรคตไม่นาน [7] [8]

    และหลังจากที่จอมพล ป. หวนสู่อำนาจอีกครั้งในปี พ.ศ. 2490-พ.ศ. 2491 ทางรัฐบาลจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนได้จับตาดูทีท่าของจอมพล ป. แต่ในรัฐบาลชุดหลังนี้ ได้มีการสานสัมพันธ์กับทางการจีนอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีการส่งผู้แทนของรัฐบาลดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลจีนอย่างลับ ๆ

    IMG_2653.jpg



    ในขณะที่มีการปลุกระดมชาตินิยมจีนและไทยขึ้นพร้อมกัน ในปี พ.ศ. 2513 ลูกหลานจีนที่เกิดในไทยมากกว่าร้อยละ 90 ถือสัญชาติไทยโดยสมบูรณ์ และเมื่อมีการเจริญความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการแล้วในปี พ.ศ. 2518 ชาวจีนที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย ก็มีสิทธิที่จะเลือกที่จะถือสัญชาติไทยได้ แต่หลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ไม่นาน รัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ก็มีนโยบายในแบบอนุรักษนิยมและขวาตกขอบ ซึ่งเป็นผลมาจากความหวาดกลัวในการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ชาวไทยเชื้อสายจีนได้รับการเหยียดหยามอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี พ.ศ. 2522 นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกกฎหมายให้ชาวไทยเชื้อสายจีนที่เกิดในประเทศไทย จะมีสิทธิเลือกตั้งได้ก็ต่อเมื่อได้ไปลงทะเบียนก่อนและต้องมีการศึกษาขั้นต่ำมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.ศ.3) ซึ่งต่อมากฎหมายฉบับนี้ก็ได้รับการยกเลิกในที่สุด

    IMG_2646.jpg

    ชาวไทยเชื้อสายจีน คือ ชาวจีนที่เกิดในประเทศไทยและเป็นเชื้อสายของผู้อพยพชาวจีน หรือชาวจีนโพ้นทะเล คนไทยเชื้อสายจีน มีประมาณ 9.4 ล้านคนในประเทศไทย หรือร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีอีกจำนวนมากไม่สามารถนับได้ เพราะที่กลมกลืนกับคนไทยไปแล้วโดยการแต่งงานข้ามเชื้อชาติประมาณ 9,400,000
    ชาวไทยที่สืบเชื้อสายจีนโดยตรง (คิดเป็นร้อยละ 14 ของประชากรไทย)มากถึง 26,000,000
    ชาวไทยที่มีเชื้อสายจีนบางส่วน (ประมาณร้อยละ 40 ของประชากรไทย) (2012)
    ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างสำคัญ
    ไทย ประเทศไทย
    การใช้ภาษา ดั้งเดิม: ภาษาหมิ่น (แต้จิ๋ว, ไหหลำ, ฮกเกี้ยน, ฮกจิว), ภาษาแคะ, ภาษากวางตุ้ง และ ภาษาจีน (ฮ่อ)
    ศาสนา ส่วนมากนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท;ส่วนน้อยนับถือ ศาสนาพุทธนิกายมหายาน , ลัทธิเต๋า และลัทธิขงจื๊อศาสนาอิสลาม (ชาวหุย) และศาสนาคริสต์.’ชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนมากบรรพบุรษจะมาจากจังหวัดแต้จิ๋ว ในมณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน พูดภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นภาษากลุ่มหมินหนาน รองลงมาคือมาจาก แคะ ฮกเกี้ยน และไหหลำ

    IMG_2645.jpg

    แต้จิ๋ว
    แต้จิ๋ว (潮州 ; Teochew ; ภาษาจีนกลาง: Cháozhōu) เป็นกลุ่มชาวจีนที่มากที่สุด กล่าวกันว่า” ที่ไหนมีศาลเจ้า(老爺宮)เหล่าเอี้ยเก็ง) ที่นั่นจะพบคนจีน เพื่อพบปะกันและเป็นที่พึ่งทางใจเมื่อยามห่างไกลแผ่นดินเกิด ชาวจีนจะตั้งถิ่นฐานอยู่ตามพื้นที่รอบ ๆ แม่น้ำเจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลองและตามภาคกลาง ได้มาที่แผ่นดินสยาม (เซี่ยมล้อ 暹羅) ตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาแล้ว โดยมาจาก มณฑลฝูเจี้ยน (福建省) และ มณฑลกวางตุ้ง (廣東省) ส่วนมากจะทำการค้าทางด้าน การเงิน ร้านขายข้าว และ ยา มีบางส่วนที่ทำงานให้กับภาครัฐ ในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (鄭皇, แต้อ้วงพระองค์แซ่แต้) พ่อค้าจีนแต้จิ๋วจำนวนมากได้รับสิทธิพิเศษ ชาวจีนกลุ่มนี้จึงเรียกว่า จีนหลวง (Royal Chinese) สาเหตุเนื่องจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีเชื้อสายแต้จิ๋วเช่นกัน ในช่วงกรุงรัตนโกสินทร์การอพยพของชาวแต้จิ๋วจึงมีมากขึ้น และในประเทศ ไทยเองก็มีคนแต้จิ๋วเป็นจำนวนมาก และปัจจุบันจะมีมากในทุกภาคของประเทศไทยแต่ที่มีชาวแต้จิ๋วมากที่สุดคือกรุงเทพฯภาคกลางตอนล่างเช่นนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ตอนบน เช่น ชัยนาท สิงห์บุรี นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัยภาคตะวันออกเช่นฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทรบุรี(เมืองเก่าของพระเจ้าตากสินมหา ราช) ตราด สระแก้ว ปราจีนบุรี(ชาวแต้ จิ๋วมาเริ่มตั้งต้นถิ่นฐานที่นี่มากที่สุดเพราะเป็นพื้นที่ไม่มีคนอยู่อาศันเป็นป่าแต่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรน้ำเพื่อเพาะปลูกและที่ปลูกมากที่สุดคือ”ต้นไผ่”เพาะไผ่ขายเพื่อทำเรือแพออกไปค้าขายได้ แล้วกระจายไปในจังหวัดใกล้เคียงในเวลาต่อมา ในรัชสมัยกรุงศรี อยุธยาถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เชาวแต้จิ๋วข้ามาอาศัยแผ่นดินสยามมากที่สุด)

    IMG_2643.jpg

    ภาคเหนือตอนบน เช่นเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แพร่ น่าน (ส่วนพะเยาจะมีจีนแคระหรือชาวฮากกาจำนวนมาก)

    ส่วนในภาคอิสานส่วนใหญ่จะเป็นชาวแต้จิ๋วในทุกจังหวัดเช่น นครราชสีมา (โคราช) ชัยภูมิ ขอนแก่น เลย อุดรธานี กาฬสินธ์ มหาสารคาม อุบลราชธานี ยโสธร ศีรษะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ส่วนพื้นที่ริมโขงเช่นหนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร จะปะปนไปด้วยชาวแต้จิ๋ว แคะ และเวียดนาม (ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า)

    ส่วนทางภาคใต้จะกระจายในฝั่งอ่าวไทยในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชซึ่งพระองค์ยกทัพทางเรือไปปราบกบฎที่ภาคใต้ เช่น เมืองนครศรีธรรมราช (ต้นกำเนิดราชสกุล ณ นคร) พัทลุง (ต้นกำเนิดราชสกุล ณ พัทลุง) ทุกจังหวัดเข่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ในฝั่งอันดามันนั้นส่วนใหญ่จะเป็นจีนฮกเกี้ยนหรือฝูเจี้ยน (福建) ซึ่งดั้งเดิมเดินทางมาจากมาเลเซียแล้วมาขึ้นที่ชายฝั่งทะเล เช่น ภูเก็ต พังงา สตูล ตรัง ระนอง และจีนแคะ (客人) เป็นต้น

    แคะ
    แคะ (客家; Hakka; ภาษาจีนกลาง: kèjiā) เป็นกลุ่มชาวจีนอพยพที่มาจากมณฑลกวางตุ้ง เป็นส่วนมาก จะอพยพมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 และตั้งถิ่นฐานทีแถบจังหวัดสงขลา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนมากจะชำนาญทางด้านหนังสัตว์ เหมือง และเกษตรกรรม นอกจากนี้ ชาวจีนแคะยังเป็นเจ้าของธนาคารอีกหลายแห่ง อาทิ ธนาคารกสิกรไทย

    แคะ (客家; Hakka; ภาษาจีนกลาง: kèjiā) เป็นกลุ่มชาวจีนอพยพที่มาจากมณฑลกวางตุ้ง เป็นส่วนมาก จะอพยพมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 และตั้งถิ่นฐานทีแถบจังหวัดสงขลา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนมากจะชำนาญทางด้านหนังสัตว์ เหมือง และเกษตรกรรม นอกจากนี้ ชาวจีนแคะยังเป็นเจ้าของธนาคารอีกหลายแห่ง อาทิ ธนาคารกสิกรไทย

    IMG_2649.jpg

    ไหหลำ (海南 ; ภาษาจีนกลาง: Hǎinán) เป็นชาวจีนที่อพยพมาจากเกาะไหหลำของจีน ชาวไหหลำจะมีเป็นจำนวนมากที่เกาะสมุย เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดังปรากฏได้เห็นจากศาลเจ้าจีนหลายแห่งบนเกาะสมุย และ เกาะพะงัน มีหลักฐานการอพยพตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ซึ่งชาวจีนสามารถกลมกลืนกับชาวไทยได้ดี โดยส่วนมากมาจากตำบลบุ่นเชียว ชาวจีนกลุ่มนี้จะชำนาญทางด้านร้านอาหาร และโรงงาน

    ฮกเกี้ยน
    ฮกเกี้ยนหรือฝูเจี้ยน (福建; Hokkien; ภาษาจีนกลาง: Fújiàn) คาดกันว่าชาวจีนฮกเกี้ยนอพยพมาประเทศไทยเป็นชนเผ่าจีนกลุ่มแรก ๆ จีนฮกเกี้ยนเข้ามาในสมัยกรุงศรีอยุธยาก่อนจีนกลุ่มอื่นและเป็นชนเผ่าจีนอาสาช่วย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกอบกู้เอกราชด้วย แม้แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ท่านถือกำเนิดในชุมชนจีนฮกเกี้ยนบริเวณวัดสุวรรณดาราราม ฝั่งตะวันออกของคลองนายก่าย กรุงศรีอยุธยา มารดาของท่านชื่อดาวเรืองหรือหยก เป็นธิดาที่เกิดในสกุลคหบดีจีนที่ร่ำรวยที่สุดในชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยน ฮกเกี้ยนจะเชี่ยวชาญทางด้านการค้าขายทางเรือหรือรับราชการ และชาวจีนกลุ่มนี้จะมีจำนวนมากในพื้นที่ภาคใต้ เป็นประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดภูเก็ต มีจำนวนมากในชุมพรและจังหวัดทั่ว ๆ ไป

    กวางไส
    กวางไสหรือกวางสี (จีน: 廣西 ; ภาษากวางตุ้ง: gwong2-sai1) เป็นกลุ่มชาวจีนที่อพยพมาจากมณฑลกวางสี ส่วนใหญ่มาจากอำเภอหยง (容縣) และแถบอำเภอใกล้เคียง ช่วงแรกอพยพมาอยู่แถบประเทศมาเลเซียก่อนแล้วค่อยๆเดินเท้าอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย อาศัยอยู่มากในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา และตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา พูดภาษาจีนกวางตุ้ง (ภาษาจีน:粵語) สำเนียง Gōulòu (ภาษาจีน:勾漏方言) เป็นภาษาหลัก ชาวจีนกวางไสเป็นเกษตรกร ทำสวนยางพารากันเป็นส่วนมาก ไม่สันทัดเรื่องการค้าขาย จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนักแต่ยังมีของที่พอเป็นที่รู้จัก ก็คือ ไก่กวางไสหรือไก่เบตง เป็นไก่พันธุ์เนื้อพื้นเมืองที่นำพันธุ์มาจากประเทศจีน มีลักษณะพิเศษกว่าไก่ชนิดอื่น ๆ ,เคาหยก (扣肉) หมูสามชั้นต้มสุก ทอดส่วนที่เป็นหนังและนำไปหมักด้วยเต้าหู้ยี้ เหล้าจีน น้ำขิง กระเทียมเล็กน้อย

    ฮ่อ
    ฮ่อ เป็นคำที่คนไทยใช้เรียกชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยผ่านทางประเทศพม่าและประเทศลาว ชาวจีนฮ่อส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ทางภาคเหนือทั้งในเมืองและบนดอย หนึ่งในกลุ่มชนที่สำคัญคือชาวจีนหุย (回族 ; ภาษาจีนกลาง: Huízú) ซึ่งเป็นชาวจีนที่มีลักษณะเหมือนชาวจีนฮั่นทุกอย่างเพียงแต่นับถือศาสนาอิสลาม ชาวฮ่อในประเทศไทย 1 ใน 3 นับถือศาสนาอิสลาม นอกนั้นนับถือบรรพบุรุษ

    เปอรานากัน
    เปอรานากัน (มลายู: Peranakan) หรือ บาบ๋า-ย่าหยา (Baba-Nyonya; จีน: 峇峇娘惹; ฮกเกี้ยน: Bā-bā Niû-liá) เป็นกลุ่มชาวจีนที่มีเชื้อสายมลายูแต่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม เนื่องจากในอดีตชาวจีนโดยเฉพาะกลุ่มฮกเกี้ยนเดินทางเข้ามาค้าขายในบริเวณดินแดนคาบสมุทรมลายู และตัดสินใจตั้งถิ่นฐานในเมืองมะละกา ประเทศมาเลเซีย ซึ่งสมรสกับชาวมลายูท้องถิ่น[3] และภรรยาชาวมลายูจะเป็นผู้ดูแลกิจการการค้าที่นี่

    IMG_2644.jpg

    สำหรับสายเลือดใหม่ของชายชาวจีนกับหญิงมลายู หากเป็นชายจะได้รับการเรียกขานว่า บาบ๋าหรือบ้าบ๋า (Baba) ส่วนผู้หญิงจะเรียกว่า ย่าหยาหรือโญญา (Nyonya) และเมื่อคนกลุ่มนี้มีจำนวนมากขึ้น ก็ได้สร้างวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมของบรรพบุรุษมาผสมผสานกันเป็นวัฒนธรรมใหม่ เมื่อพวกเขาอพยพไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ก็ได้นำวัฒนธรรมของตนกระจายไปด้วย วัฒนธรรมใหม่นี้จึงถูกเรียกรวม ๆ ว่า จีนช่องแคบ (อังกฤษ: Straits Chinese; จีน: 土生華人) โดยในประเทศไทยคนกลุ่มนี้จะอยู่ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีบรรพบุรุษอพยพมาจากปีนังและมะละกา คนกลุ่มนี้มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับกลุ่มเปอรานากันในประเทศมาเลเซีย ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศสิงคโปร์

    ขอบคุณที่มา wikipedia
     
  9. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ต้นตระกูลขอลคุณยายของผม ท่านก็อพยพมาจากแต้จิ๋วเช่นกัน
    ชื่อ แซ่ของท่าน มีน้าของผมสืบเสาะค้นคว้าไว้โดยละเอียด แต่ก็ไม่ได้ขอสำเนาเอาไว้ ทราบเพียงว่า
    เมื่อมาถึงเมืองไทย ท่านก็ติดตามกลุ่ม ก้ก ของตัวเอง ล่องตามแม่น้ำขึ้นมาเรื่อยๆ มาได้สาวชาวสุพรรณบุรีเป็นภรรยา และได้กำเนิดลูกชายสองคน ท่านมีหัวการค้า ปลูกมัน เอามาแลกข้าวเปลือกกับชาวนา สมัยนั้น คนไทยนิยมแต่ทำนา ไม่ปลูกอย่างอื่น จึงไม่ค่อยมีใครแข่งขัน และ ปลูกแล้วได้ผลผลิตดี ไม่ค่อยมีโรคภัยรบกวน และปลูกทิ้งได้ ไม่ต้องดูแล ธุรกิจขยายใหญ่โตขึ้น ย้ายรกราก ขึ้นมาที่แม่น้ำเจ้าพระยา มาจนถึง ลุ่มน้ำสะแกกรัง อุทัยธานี ได้ที่ดินริมน้ำ ตั้งรกราก มีลูกเพิ่มขึ้นมาอีก คุณยายผมเป็นลูกคนสุดท้อง
    ท่านเห็นว่า ธุรกิจโรงสี สีข้าวมีโอกาสมาก จึงตั้งโรงสีขึ้นที่นี่ พอลูกๆเริ่มเติบโต ก็ไปสร้างโรงสีเพิ่ม ที่ต่างอำเภอ อีก 2 แห่ง เมื่อคุณยายผม แต่งงานกับคุณตา ก็แยกออกมาตั้งโรงสีขึ้นที่ ตำบลหนองไผ่ อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี
    คุณแม่ผมเป็นลูกสาวคนโต มีน้องๆเกิดตามมาอีกที่โรงสีแห่งนี้อีก 10 คน
    คุณตาผม บ้านเกิดก็ไม่ได้ไกลจากโรงสีมากนัก อยู่อำเภอเดียวกัน ท่านเติบโต และบวชเรียนที่นี่ ในช่วงที่ท่านอุปสมบท ท่านสามารถท่องปาฎิโมกข์ได้ นับว่าเป็นบุญใหญ่อย่างยิ่ง
    และคุณตากับคุณปู่ผม ก็เป็นเพื่อนสนิทกัน บวช เรียนมาด้วยกัน ท่านเคยพูกเล่นกันว่า ถ้าเองมีลูกชาย เรามาลูกสาว ได้มาแต่งงาน เป็นดองกันก็คงจะดี ก็เหมือนเป็นบุพเพ ระหว่างสองครอบครัวทั้งสอง ก็ได้มามีสัมพันธ์แนบแน่นกันจริงๆ
    คุณปู่ผมเป็นกำนัน เคยเป็นทหารเสนารักษ์ มีความรู้ทางการรักษาทหารที่เจ็บป่วยและบาดเจ็บ ได้นำความรู้นี้มาช่วยรักษาคน จนเป็นที่ยกย่อง นับถือจากชาวบ้านเรื่อยม เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม คุณปา คุณพ่อผม ก็เป็นลูกโทนคนเดียว ได้ส่งเสริมให้ได้การศึกษาจนจบปริญญาตรีที่ มศว ประสานมิตร กทม
    บ้าน หรือโรงสีของคุณตา อยู่ริมถนน ถ่าคนจากหมู่บ้านคุณปู่ ที่อยู่ด้านใน จะไปตัวจังหวัด จะต้องผ่านบ้านคุณตาเสมอ คุณพ่อผม ก็เคยได้มีโอกาสได้เห็นคุณแม่ผมก่อนในบางโอกาส
    วัยเด็กของผม ก็ได้มาที่โรงสีของคุณตาอยู่บ่อยๆ ทุกปีช่วงตรุษจีน ก็เหมือนกับประเพณีรวมญาติพอๆกับช่วงสงกรานต์ ได้กินขนมเทียน ขนมเข่ง หมูเห็ดเป็ดไก่ เครื่องเซ่นไหว มากมาย เป็นที่สนุสนาน และอิ่มกันตามๆกัน
    เมื่อเวลาผ่านไป ธุรกิจโรงสีก็ถึงจุดอิ่มตัว น้าๆ ก็มีครอบครัวแยกย้ายกันออกไป สุดท้ายโรงสีก็ถึงเวลาปิดตัว ถึงกาลอวสาน เหลือไว้เป็นเพียงความทรงจำ
    IMG_2267.JPG IMG_2268.JPG IMG_2269.JPG IMG_2270.JPG IMG_2271.JPG IMG_2272.JPG IMG_2273.JPG IMG_2274.JPG IMG_2275.JPG IMG_2276.JPG IMG_2277.JPG IMG_2278.JPG IMG_2279.JPG IMG_2280.JPG IMG_2281.JPG IMG_2282.JPG IMG_2283.JPG IMG_2284.JPG IMG_2285.JPG IMG_2286.JPG IMG_2287.JPG IMG_2288.JPG IMG_2289.JPG IMG_2290.JPG
     
  10. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    นานาเครื่องราง

    วัตถุมหาเวทย์วิทยาคม เขี้ยว-เขา-งา-กะลา-แกะ เปิดความลี้ลับของอาถรรพ์วัตถุ ที่บรรจุพระเวทย์วิทยาคม ทรงพลานุภาพ เข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ดีใน ดีนอก ยิ่งใหญ่ ยืนยง
    1e.jpg 2b.jpg 8n.jpg 9r.jpg bd.jpg bm.jpg cc.jpg d6.jpg i2.jpg in.jpg jo.jpg km.jpg pw.jpg r3.jpg uv.jpg vf.jpg vj.jpg yz.jpg
     
  11. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ภาพเก่า เล่าเรื่อง
    เมื่อครั้ง อุปสมท ปี 2530 ประมาณ สี่เดือนตลอดช่วงเข้าพรรษา
    FB_IMG_1549091203955.jpg
    ปลงผม
    FB_IMG_1549091195968.jpg FB_IMG_1549091192538.jpg FB_IMG_1549091187946.jpg FB_IMG_1549091180738.jpg FB_IMG_1549091184154.jpg
    ถ่ายภาพหน้าพระอุโบสถ
    ทายสิว่าชายชุดขาวด้านซ้ายมือผมคือใคร
    (เฉลย___หลวงตาม้า ในปัจจุบัน)
    FB_IMG_1549091170003.jpg
    เทศนาที่บ้าน
    FB_IMG_1549091177372.jpg FB_IMG_1549091174345.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2019
  12. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    บันทึกไว้ ตรงนี้ สำหรับบางท่านที่ยังไม่ได้อ่าน

    #ความทรงจำถึงท่านครูบาเจ้าบุญชุ่ม #สามเณรสมาบัติ8 ... ปี 2518 ปีแรกที่หลวงปู่ชุ่มมาวัดท่าซุง .. ท่านก็มากับสามเณรน้อยอายุ 8 ปีรูปหนึ่ง .. พ่อผมบอกว่า หลวงปู่ชุ่มเป็นพระอรหันต์ทรงปฏิสัมภิทาญาณ

    ... #เวลาหลวงปู่ท่านมองเรานี่ มองเหมือนมองผ่านอากาศ... เราก็คิด.. โธ่เอ๋ย... จะให้ความสำคัญเราสักนิดเหมือนยิ้มกับลูกหมาก็ไม่ได้ นี่เป็นจริยาอาการปกติของท่าน

    ... #ผู้เขียนนึกไปโน่น นึกถึงอากาสานัญจา วิญญาณัญจา อากิญจัญญา เนวสัญญานาสัญญา แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ล่ะ อรูปฌานทั้ง 4 นั่นแหละ ใจท่านคงทรงอารมณ์นั้นๆแหละจนชิน

    ... #เวลาไม่มีธุระจะพูดจะคุยกับผู้คนก็อย่างนั้นแหละ มองอะไรเป็นอากาศ ไม่มีเหลือเลย จะว่าจำได้ รู้จักมักคุ้นก็ไม่ใช่.. โอย.. ผู้เขียนเกรงหลวงปู่องค์นี้มาก จะว่าไม่รู้จัก ไม่สนใจก็ไม่ได้ เพราะเวลาท่านจะเอาธุระกับเรา ตายังงี้มีประกายหมายมั่น เสียงติดดุๆเอาด้วยสิ

    ... #ที่พูดถึงสามเณรที่มาด้วยนั้น ก็เพราะว่าหลวงปู่เป็นยังไง เณรก็แทบจะอาการเดียวกัน นั่งมองอะไรยังงี้ดูทะลุผ่านเลยเรา เข้าไปประเคนถวายข้าวน้ำนี่ เอามือรับ แต่ตานี่เหมือนเหม่อ ไม่สนใจเรานัก คุณตั้ว ศิษย์คนหนึ่งของหลวงพ่อ ซึ่งเป็นคนรับหน้าที่รับใช้พระที่กุฏิ 6 พูดถึงสามเณรว่า

    "เณรนี่ ท่าจะไม่ค่อยเต็ม ดูเหม่อๆยังไงบอกไม่ถูก"
    แต่แล้ววันรุ่งขึ้น ก็ต้องรีบไปกราบขอขมาท่านเณร #เพราะพ่อเรียกตัวเข้าไปบอกว่า... "แกอยากลงนรกหรือ เณรนั่นทรงสมาบัติแปดได้เป็นปกติ อย่าปากหมาหาเรื่อง"

    ... แล้วคืนนั้นแหละยืนยันกันชัด #ขอเล่าเรื่องสามเณรให้จบขาดไปก่อน" คืนนั้น พ่อก็จัดพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในพระอุโบสถ พระเถระที่มีโอกาสได้เข้าไปนั่งล้อมวัตถุมงคลมี 11 องค์ คือ พ่อ หลวงปู่พระสุปฏิปันโณอีก 10 แถมสามเณรหนึ่งองค์ เอาแล้วซี ตอนพระอาจารย์ทั้งหลายพรมน้ำมนต์ที่วัตถุมงคล หลวงปู่ชุ่มให้สามเณรพรมแทน"

    ... #ขอเล่าต่อถึงตอนงานเสร็จสิ้น หลวงปู่ชุ่มพาสามเณรไปลาพ่อกลับลำพูน จำได้ติดตาตรึงใจว่า พ่อกับหลวงปู่ชุ่มนั่งเก้าอี้เหล็กสีแดงบนพื้นลูกรัง จุดนั้นปัจจุบันนี้ คือ ศาลารายข้างพระอุโบสถ ด้านหลังรูปหล่อหลวงพ่อใหญ่ ส่วนสามเณรนั่งกราบกับพื้น พ่อมองเณรด้วยสายตาที่นุ่มนวลชื่นชมนักหนา

    "#รักษาตัวให้ดีลูกเอ๊ย ต่อไปเณรจะเป็นผู้รับคุณธรรมทั้งหมดของหลวงปู่ไว้ได้ หลวงปู่เป็นยังไง ลูกก็จะเป็นอย่างนั้น

    ... #พูดจบก็ส่งเหรียญหลวงปู่ปาน ข้างหลังมียันต์เกราะเพชรให้เณรเหรียญหนึ่ง ผู้เขียนก็ยื่นมือเข้าไปบ้าง แล้วก็หยุดถอยกลับออกมา 3 วา เพราะสายตาพ่อที่มองมาที่เราไม่นุ่มแล้ว โอย เขียวกล้า แปลว่า อย่าเสือกได้ไหม!..

    .. ถึงเวลานี้ #สามเณรองค์นั้นอยู่ที่ไหนหนอ ปี 2518 อายุครบ 8 ปี ... 2543 นี้อายุก็ได้ 33 ได้ยินแล้วกรุณาตอบด้วย คิดถึงเหลือเกิน จะพาลูกหลานไปกราบ

    ----------------------------------------------------------------------

    ... #เรื่องเล่าถึงท่านครูบาเจ้าบุญชุ่ม #ญานสังวโร ในสมัยที่ท่านยังเป็นเณร

    ที่มา : หนังสือ บนเส้นทางพระโยคาวจร วัดเขาวง หน้า ๑๐๗
    http://issuu.com/watkhaowong/docs/bstpykvj

    FB_IMG_1549206065853.jpg FB_IMG_1549206068081.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    หลายเรื่องที่วิทยาศาสตร์อธิบายได้ไม่หมด
    พุทธศาสตร์ เหนือศาสตร์ทั้งปวง

    ###การเกิดพระธรรมธาตุนั้น###
    ในพระของหลวงปู่ดู่จะอัศจรรย์ ก็คือ จะมีลักษณะของผลึกที่มีความแวววาว มีลักษณะคล้ายเพชร ข้าพเจ้าได้เคยนำไปให้นักธรณีวิทยาใช้กล้องส่อง เมื่อส่องออกมาแล้ว เขาได้อธิบายในแง่ของทางวิทยาศาสตร์ว่า เป็นผลึกของแคลเซี่ยมซัลเฟต หรือผลึกของหินปูน

    หินปูนก็น่าจะมาจากผง หรือดินสอพองที่หลวงปู่นำมาเขียนเป็นอักขระคาถา แล้วก็ลบมาเป็นผงต่างๆ อันเกิดเป็นผลึกขึ้นมาได้

    #แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาอธิบายไม่ได้ก็คือว่า ลักษณะของการเกิดผลึกเหล่านี้ จะต้องอาศัยความร้อนอย่างมากซึ่งเขาได้ถามผู้เขียนว่า ได้นำไปอบหรือไปเผาด้วยความร้อนสูงหรือไม่
    ผู้เขียนก็ตอบว่า ใช้อุณหภูมิธรรมดา ดังนั้น จึงมีข้อสงสัยว่า แล้วความร้อนหรือเดลต้าฮีทนี้มาจากที่ไหน ซึ่งผู้เขียนบอกว่า ควรจะมาจากพลังจิตของหลวงปู่ได้ไหม เพราะพลังจิตนี้แสดงออกมาในรูปของดิน น้ำ ลม ไฟเอง

    สำหรับผู้ที่ได้อภิญญาแล้ว พลังเหล่านี้ก็มาเปลี่ยนธาตุปูน ที่มีอยู่ในองค์พระให้เป็นผลึกขึ้นมา เขาก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วก็แปลว่าหมดสงสัย ว่าความร้อนนี้เกิดมาจากไหน
    ส่วนในเรื่องเกศาหลวงปู่นั้น เมื่อนำมาส่องดูจะมี ลักษณะที่ใสตลอด ไม่มีความขุ่นมัวแม้แต่นิดเดียว

    สิ่งเหล่านี้แสดงถึงคุณธรรม ความบริสุทธิ์ หรือพลังของความบริสุทธิ์ สามารถเปลี่ยนธาตุ เปลี่ยนขันธ์ ให้กลายเป็นส่วนที่ใสขึ้นมาได้
    คัดลอกบทความบางตอนจาก
    board.palungjit.org/f4/การเกิดพระธรรมธาตุ-หลวงปู่ดู่-พรหมปัญโญ
    FB_IMG_1549240859517.jpg
    เครดิต คุณ Tom Amulet
     
  14. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เก็บไว้ศึกษาทบทวนครับ

    เข้าใจพระพุทธศาสนาภายใน 10 นาที

    1. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ?
    อริยสัจ 4 คือ
    ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
    สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
    นิโรธ คือความดับทุกข์
    มรรค คือข้อปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์

    2. พระพุทธเจ้าทรงสอน
    เรื่องอะไร ?
    ทุกข์กับการดับทุกข์

    3. ภาพรวมของพระพุทธศาสนา .... มีดังนี้
    3.1 ให้มองโลกตามความ
    เป็นจริง (จริงขั้นสมมุติ=สมมุติสัจจ์,
    จริงแท้=ปรมัตถสัจจ์) อาทิ
    ตัวเรามีอยู่ แต่หาใช่ตัวตน
    ที่แท้จริงไม่

    3.2 ให้ถือทางสายกลาง
    ทางตึง (ทรมานกายให้ลำบาก) ก็ดี, ทางหย่อน (ฟุ้งเฟ้อหลงใหล มัวเมา) ก็ดี, มิใช่แนวทางของพระพุทธศาสนา
    แนวทางของพระพุทธศาสนา คือ มรรคมีองค์ 8 ทางสายกลางพอดี ๆ

    3.3 ให้พึ่งตนเอง
    มิใช่พึ่งเทวดา โชคชะตาราศี หรือ ดวงดาว ฤกษ์ยาม

    3.4 ไสยศาสตร์ การบนบานศาลกล่าว อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การดูฤกษ์ยาม การเจิม ฯลฯ มิใช่พุทธศาสนา

    3.5 สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย (อิทัปปัจจยตา) มิใช่เกิดขึ้นเองลอย ๆ หรือพรหมลิขิต การจะดับทุกข์ได้ต้องดับที่เหตุ

    3.6 โอวาทที่เป็นหลักเป็นประธาน (โอวาทปาฏิโมกข์) คือ ให้ละชั่ว ทำกุศลให้ถึงพร้อม และทำจิตให้บริสุทธิ์

    3.7 สิ่งทั้งหลายอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา
    แม้พระนิพพาน ก็เป็นอนัตตาเช่นกัน หาใช่อัตตาตัวตนไม่

    3.8 ให้เชื่อในหลักธรรม คือ ทำดี-ได้ดี, ทำชั่ว-ได้ชั่ว
    ให้ทำตนอยู่เหนือดี เหนือชั่วนั่นแหละ จึงจะพบนิพพาน (คือเหนือกรรม)

    3.9 จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือนิพพาน (ได้แก่สภาวะจิตที่สงบเย็น ปราศจากทุกข์)

    3.10 สรุปธรรมทั้งปวง รวมลงในเรื่องเดียว คือ “ความไม่ประมาท”

    4. การศึกษาธรรมะ 2 สมัย
    4.1 สมัยปัจจุบัน คือ รู้จัก กับ รู้จำ .... อาศัยการฟัง อ่านค้นคว้า จึงมีความรู้อยู่ในสมองและในสมุด พูดธรรมะได้คล่องแต่ปฏิบัติไม่ค่อยได้ จึงได้ผลน้อย
    4.2 สมัยพุทธกาล คือ รู้แจ้ง ... โดยเมื่อฟังและจำแล้ว ก็จะลงมือปฏิบัติ ทำจริงในขณะนั้นทันที ทำให้เกิดผลเป็นความรู้แจ้งเรื่องชีวิต ดับทุกข์ในขณะนั้นทันที

    5. วิธีศึกษาพระพุทธศาสนา
    เมื่อแรกพุทธปรินิพานนั้น สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งให้ถือเอาเป็นศาสดาแทนพระองค์ มีเพียง 2 คือ ธรรมและวินัย
    หลังจากนั้นมา 300 ปี จึงเกิดมีพระไตรปิฎกขึ้น (สุตตันตปิฎก วินัยปิฎก และอภิธรรมปิฎก) ..... บัดนี้ล่วงกาลมาถึง 2500 กว่าปี คำสอนเดิม ขั้นปรมัตถ์ค่อย ๆ หายไป หมดไป เกิดมีคำสอนใหม่ ๆ เป็นพุทธศาสนาเนื้องอกจับใส่พระโอษฐ์ ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก
    ดังนั้นในการศึกษาพระพุทธศาสนาพึงอาศัยหลักดังนี้
    – ด้านปริยัติ (ความรู้เนื้อหา)
    ให้อ่าน ฟัง คิด วิจัย ให้เข้าใจคือให้ปฏิบัติได้จริง .... หากสงสัย ให้อาศัยหลักกาลามสูตรเข้าพิจารณาตัดสิน มิใช่เชื่อไปเสียหมด
    – ด้านปฏิบัติ
    การปฏิบัติทุกอย่างของพระพุทธศาสนาไม่ว่าการทำทาน รักษาศีล ภาวนา พระพุทธองค์ทรงสอนให้ ทำเพื่อ “ละกิเลส” มิใช่เพื่อเอา หวังได้นั่นได้นี่ อันทำให้ยิ่งเพิ่ม โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งหาใช่พุทธศาสนาไม่
    ทุกวันนี้ไหว้เพื่อเอา เพื่อขอ ทำบุญเพื่อเอาสวรรค์ นิพพาน หวังผลทั้งชาตินี้ชาติหน้า ซึ่งจะกลายเป็นพอกกิเลสยาวนาน
    – ด้านปฏิเวธ (ผล)
    ทำเพื่อละ จะพบนิพพาน (จิตบริสุทธิ์ มีความสะอาด สว่าง สงบ) แต่ถ้าทำเพื่อเอา จะพบกิเลสในตนพอกพูนยิ่งขึ้น ๆ ยาวนาน และยิ่งมีทุกข์มาก .... ดังนั้น จงมุ่งปฏิบัติเพื่อห่างไกลทุกข์โดยส่วนเดียว ให้ได้เห็นผลด้วยตนเอง (สันทิฏฐิโก)

    6. จะศึกษาพุทธศาสนาได้
    ที่ไหน ?
    ให้ศึกษาในร่างกายของเราเองนี้ ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มิใช่จะต้องศึกษากับพระ และในวัดวาอารามเท่านั้น
    จึงควรศึกษาตนเอง อย่ามัวแต่ศึกษานอกตัว หรือมัวติดอยู่แค่พิธีกรรม หรือได้แต่ทำตาม ๆ เขาไป จะเสียทีที่ได้มีโอกาสเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้ลิ้มรสแค่เปลือกกระพี้ มิได้ชิมรสอันเป็นเนื้อใน อันได้แก่ธรรมรสของความเย็นอกเย็นใจ (นิพพาน)

    7. เหตุแห่งทุกข์และ
    การดับทุกข์
    เหตุเกิดจากอุปทาน คือ การเข้าไปยึดถือว่า นี่คือ
    ตัวตนของเรา นี่ของๆ เรา
    การดับ โดยละอุปทานเสีย
    (โดยพยายามปฏิบัติให้ “เห็นอนัตตา”) จะโดยบังคับจิตเป็นสมาธิ (เจโตวิมุตติ) หรือโดยพิจารณาธรรมด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุตติ) ก็ได้

    8. พุทธพจน์ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
    คำว่า “เห็นธรรม” คือ เห็นปฏิจจสมุปบาท คือ วงจรที่ทุกข์เกิด และดับ โดยเริ่มต้นจากอวิชชา จนเกิดทุกข์

    9.จุดหมายสูงสุดของ
    พระพุทธศาสนา คือ นิพพาน
    (สภาวะจิตที่สงบเย็น)
    ปราศจากกิเลส เครื่องร้อยรัดทั้งปวง (ชาวบ้านพูดว่า เย็นอก เย็นใจ) หาพบได้ที่ใจตัวเอง

    10. สรุป ... ทุกข์เกิดขึ้นที่จิต พึงรักษาจิตให้เป็นประภัสสรไว้เสมอ ระวังการกระทบ (ผัสสะ) ทางตา หู ฯลฯ ให้ดี มีสติรู้ทันว่า…เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยิน อย่าให้เวทนา ตัณหา เกิดได้ แล้วท่านจะพบความสงบเย็นตลอดเวลา
    ความทุกข์เกิดขึ้นที่จิต เพราะเห็นผิดเมื่อผัสสะ ... ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่เมื่อผัสสะ ... ความทุกข์เกิดไม่ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องผัสสะ

    ..... (จากธรรมสมโภช 80 ปี พุทธทาสภิกขุ) .....

    ธรรมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรม...
    FB_IMG_1549327471042.jpg
     
  15. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ขอ้ก็บไว้เป็นคลังข้อมูล ไว้อ้างอิงนะครับ

    ภาพถ่ายหายาก
    พระเกจิคณาจารย์ ทั่วฟ้าเมืองไทย

    ที่สุดแห่งการเคารพศรัทธา จากมหาขนคนไทย
    การได้เห็นภาพถ่ายของท่านเหล่านั้น
    ถือเป็นศิริมงคลอย่างยิ่ง

    เครดิตข้อมูลดีๆจาก : เพจ ภาพถ่ายพระเกจืคณาจารย์

    ขอกราบขอบพระคุณมา ณ.ที่นี้ด้วย
    ครับผม

    กราบขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ ที่ได้กรุณาสละเวลาติดตาม Amulet.co.th

    ดร.อนันต์ ชาญดำรงค์กุล
    ผู้ก่อตั้ง Amulet.co.th

    ___________________________

    เมนูหลัก
    ___________________________

    1. พระเครื่องประจำวันเกิด

    คลิก ==> https://www.facebook.com/media/set/?set=a.227842254693714.1073741828.227835168027756&type=3
    ___________________________

    2. พระเครื่องประจำราศีเกิด

    คลิก ==> https://www.facebook.com/media/set/?set=a.227846284693311.1073741836.227835168027756&type=3
    ___________________________

    3. องค์ความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง

    คลิก ==> https://www.facebook.com/media/set/?set=a.227854908025782.1073741849.227835168027756&type=3
    ___________________________

    4. องค์ความรู้สำหรับนักสะสมพระเครื่อง

    คลิก ==> https://www.facebook.com/media/set/?set=a.227858024692137.1073741858.227835168027756&type=3
    ___________________________

    5. พระเครื่องประเภทต่างๆ

    คลิก ==> https://www.facebook.com/media/set/?set=a.227861851358421.1073741868.227835168027756&type=3
    ___________________________

    6. ประวัติพระเกจิอาจารย์

    คลิก ==> https://www.facebook.com/media/set/?set=a.227869384691001.1073741879.227835168027756&type=3
    ___________________________

    7. วัตถุมงคลให้เช่า

    คลิก ==> https://www.facebook.com/media/set/?set=a.227871494690790.1073741884.227835168027756&type=3
    ___________________________

    8. ข้อมูล บริษัท สยาม เอมูเล็ต อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด

    คลิก ==> https://www.facebook.com/media/set/?set=a.227875748023698.1073741889.227835168027756&type=3
    ___________________________
    FB_IMG_1549330862724.jpg FB_IMG_1549330859997.jpg FB_IMG_1549330857356.jpg FB_IMG_1549330854908.jpg FB_IMG_1549330852150.jpg FB_IMG_1549330849173.jpg FB_IMG_1549330846055.jpg FB_IMG_1549330843420.jpg FB_IMG_1549330840740.jpg FB_IMG_1549330837748.jpg FB_IMG_1549330834420.jpg FB_IMG_1549330831793.jpg FB_IMG_1549330828994.jpg FB_IMG_1549330826073.jpg FB_IMG_1549330822460.jpg FB_IMG_1549330819809.jpg FB_IMG_1549330816759.jpg FB_IMG_1549330813656.jpg FB_IMG_1549330811135.jpg FB_IMG_1549330808453.jpg FB_IMG_1549330805281.jpg FB_IMG_1549330789057.jpg FB_IMG_1549330785907.jpg FB_IMG_1549330782607.jpg FB_IMG_1549330778401.jpg FB_IMG_1549330775772.jpg FB_IMG_1549330772305.jpg FB_IMG_1549330769677.jpg FB_IMG_1549330766904.jpg FB_IMG_1549330763321.jpg FB_IMG_1549330760634.jpg FB_IMG_1549330757255.jpg FB_IMG_1549330749492.jpg FB_IMG_1549330745689.jpg FB_IMG_1549330741946.jpg FB_IMG_1549330739151.jpg FB_IMG_1549330736210.jpg FB_IMG_1549330733172.jpg
     
  16. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ท่าน อ. ศุภกฤษณชัยวงค์ แสงจันทร์ (อ.ศุภรัตน์)
    เล่าเรื่อง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 เวลา 20.29 น.

    เรื่อง บุญบันดาล

    วิทยาศาสตร์มีสี่มิติ คือ กล่องสี่เหลี่ยมไม่มีพื้นและหลังคา
    ส่วนพุทธศาสนามีหลังคาและพื้นจึงเป็นหกมิติ โดย
    1. คำภาวนาและลมหายใจใช้ควบคู่กันไปเป็นสมาธิขั้นต้น
    2. เมื่อทำต่อไปด้วยสมาธิสติที่แนบแน่นจนคำภาวนาหายไปโดยอัตโนมัติ เหลือไว้แต่ลมหายใจกลายเป็นสมาธิขั้นกลาง
    3. จิตกับกายเริ่มแยกจากกันจนชัดเจนสังเกตุได้จากความเบาของกายความเป็นอิสระของจิตเกิดขึ้น จนสุดท้ายลมหายใจละเอียดจนเสมือนไร้ลมหายใจ เหลือเพียงสติและความรู้แนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี่คือสมาธิขั้นสูง

    ใครทำได้เรียกว่าเข้าถึงสมถะ ศึกษาให้เข้าใจ เข้าถึงเพื่อเกิดขั้นของการพัฒนาจิตวิญญาณต่อไปจนบรรลุ พระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับสมถะขั้นสูงสุดเท่านี้
    สำหรับพวกอยากได้เจโตวิมุติ ที่เรียกกันเป็นวิชาการว่า ฌาณสี่

    ส่วนการปฏิบัติของตนเอง ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนกันหรือไม่ คือกำหนดคำภาวนาไตรสรณคมน์ ให้เห็นในใจไปเรื่อยๆโดยการกำหนดจิตไว้ที่หน้าผากจุดเดียวเป็นฐานลมหายใจ อ่านตัวหนังสือเรื่อยไปด้วยสติ จนกระทั่งเหลือหนังสือตัวเดียว คือ พุทธ ทำต่อไปจนเหลือตัว พ. ซึ่งกลายเป็นแก้วและมีประกาย สุดท้ายเกิดการแตกกระจายหายไป ไม่มีอะไร เป็นแต่โลกสีนำ้เงินกว้างใหญ่ไม่มีขอบเขต จิตมีแต่ความรู้ตัวว่าเราเป็นอนูๆหนึ่ง ในจักรวาลที่กว้างใหญ่เทียบคล้ายฝุ่นละอองเท่านั้น ก่อนการแตกกระจายของตัว พ. คล้ายการระเบิดของพลุ สิ่งที่ได้คือความสงบ สุข แบบไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากนี้ถ้าอยากเข้าไปอยู่ตรงจุดนี้ก็ไปถึงได้เลยเพียงชั่วเสี้ยววินาที ตรงจุดนี้ไม่รู้เรียกว่าอะไร
    กำหนดได้จิตเพียงธุลีในจักรวาลหรือเบ่งบานจิตจนหาขอบเขตไม่ได้ ที่เล่าให้ฟังนี้ไม่ได้คุย แต่บอกไว้กันสูญหายไปกับกาลเวลา
    FB_IMG_1549338865680.jpg
     
  17. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ตอนที่.๑
    หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม วัดอัมพวันจังหวัดสิงห์บุรี ศิษย์องค์สุดท้ายของท่านหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์
    เรื่อง..เมื่ออาตมาอยู่เรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม โดย พระราชสุทธิญาณมงคล
    เมื่อประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๑ หลังจากเสร็จสิ้นการรับกฐินแล้ว อาตมามีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะลาสิกขากลับไปใช้ชีวิตเป็นเพศฆราวาส ตั้งใจที่จะไปลาพระอุปัชฌาย์ขอให้ท่านสึกให้ แต่เมื่อถึงเวลาเข้าจริง ๆ แล้ว อาตมาก็เข้าไปกราบหลวงพ่อช่อ ไปถึงก็บอกความประสงค์กับท่านตรง ๆ เลยว่า “หลวงพ่อครับ กระผมมาขอลาสึก ขาดจากสภาพการเป็นพระภิกษุ” แต่ในวันนั้นพอดีท่านมีกิจนิมนต์ต้องรีบไปฉันเพล ท่านจึงถามอาตมาว่า “สึกแน่หรือพระจรัญ ไม่เปลี่ยนใจอยู่ต่อนะ” อาตมาก็เรียนท่านว่าต้องการสึกแน่นอน
    จากนั้นอาตมาก็กราบลาท่านมาที่กุฏิ เมื่อเข้าไปข้างในกุฏิ อาตมาก็เกิดง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาเฉย ๆ มันคล้าย ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น ลืม ๆ หลง ๆ ไปหมด นอนอยู่ตรงนั้นเอง พลันหูก็ได้ยินเสียงประหลาดแว่วมาที่หูเหมือนมาพูดที่ริมหูว่า “สึกไปหาอะไรกันเล่า นะโมยังไม่ได้เลย นะโมได้แล้วสึกก็ไม่น่าเสียดาย” อาตมาก็นึกค้านขึ้นมาในใจว่า “นะโมสวดได้จนคล่องตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ๆ แล้ว สวดมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนแล้ว” ก็คิดไปอย่างนี้ แต่ก็ยังตอบไม่ถูกว่า นะโมคืออะไร อาตมาก็จิตใจพะว้าพะวัง เกิดใจคอไม่ค่อยดีแล้ว เสียงประหลาดนี้เป็นเสียงอะไรกัน เจ้าของเสียงคือใครอยู่ที่ไหน (ในภายหลังหลวงพ่อบอกกับศิษยานุศิษย์ของท่านว่า มาทราบทีหลังว่า เสียงนั้น คือเสียงของหลวงพ่อดำ พระอาจารย์ในป่าผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ต่าง ๆ ให้กับท่านในเวลาต่อมา) สักพักเสียงประหลาดนั้นก็ดังขึ้นมาอีกว่า “นี่ คุณสึกก็ไม่เป็นไร ง่ายนิดเดียวไม่ยากอะไรนักหนา แต่ขอถามว่าพุทธคุณได้หรือยัง ธรรมคุณได้หรือยัง สังฆคุณได้หรือยัง” ในตอนนั้นอาตมาจำได้ว่า นึกโมโหในใจว่า เอ๊ะ! เสียงบ้า ๆ บอ ๆ นี้อยู่ที่ไหน พุทธคุณเราก็ท่องได้หมดแล้ว อิติปิโสเราก็คล่องปาก แต่ก็อาจจะไม่คล่องใจก็เป็นได้ แต่เมื่อเสียงประหลาดนี้ดังเตือนมา ทำให้อาตมานึกถึงคำโบราณที่ว่า ถ้าจิตใจไม่ดีแล้วอย่าสึก ถ้าสึกออกไปแล้วจะเป็นคนสุก ๆ ดิบ ๆ เอาดีไม่ได้แล้วจะเป็นคนบ้าบอคอแตกไป อาตมาจึงเลื่อนการสึกออกไป
    จากนั้นอาตมาตั้งใจจะท่องเที่ยวป่าไปเรื่อย ๆ สักพักก่อนแล้วค่อยกลับมาสึกภายหลัง เมื่อเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว อาตมาก็เดินทางมาลพบุรี ซื้อตั๋วรถไฟจะไปพิษณุโลก มุ่งหวังไว้อย่างนั้น แต่พอรถไฟแล่นมาถึงบ้านหมี่ก็เกิดเครื่องเสียกะทันหัน จอดซ่อมอยู่นานก็ไม่เสร็จ อาตมาก็ได้ยินคนในตู้นั้นเขาคุยกันว่า “แหม! รถไฟมาเสีย เสียเวลาจังเลย จะไปนมัสการหลวงพ่อเดิมสักหน่อยไม่น่ามีอุปสรรคเลย” เมื่ออาตมาได้ยินคำว่าหลวงพ่อเดิม ก็เกิดความสนใจขึ้นมาทันที เคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน จึงถามเขาไปว่า “หลวงพ่อเดิมท่านอยู่ที่ไหนหรือโยม” เขาก็ตอบมาว่า “หลวงพ่อเดิมท่านอยู่วัดหนองโพ ต้องลงรถที่สถานีหนองโพ แล้วเดินเท้าไปที่วัด ถ้าท่านต้องการไปนมัสการก็ลงรถที่นั่นพร้อมกับพวกเราก็ได้” อาตมาตอบตกลง เหมือนกับปาฏิหาริย์ พออาตมารับปากโยม รถไฟก็ติดเครื่องเปิดหวูดออกเดินทางต่อไปได้ใจจริงแล้วที่อาตมาตั้งใจไปหาหลวงพ่อเดิมนั้น เพราะตั้งใจจะไปให้ท่านสึก และก็จะขอคาถาให้ผู้หญิงรักซักบทหนึ่ง นิสัยไม่ดีตลอดเวลาที่เดินทางมา อาตมาก็คิดแต่เรื่องสึก จนกระทั่งมาถึงประตูวัดหนองโพ ญาติโยมก็นิมนต์ให้เดินไปข้างหน้า ให้ไปนมัสการหลวงพ่อเดิมก่อน
    เมื่ออาตมาไปถึงกุฏิของท่าน ภาพที่ได้เห็นคือ หลวงพ่อเดิมซึ่งท่านอายุมากแล้ว ท่านนั่งตัวตรง เป็นสง่า รูปร่างท่านดูสูงใหญ่แบบคนโบราณ ผิวขาวมีรัศมีผ่องใส ผิวหนังเหี่ยวย่นไปทั้งตัว นัยน์ตาของท่านดูเปล่งแวววาวแจ่มใสไม่เหมือนตาคนแก่ทั่ว ๆ ไป ดูมีพลังมีอำนาจ มีความดึงดูด เมื่อมองประสานกันแล้ว ทำให้รู้สึกยำเกรงเป็นที่สุด แล้วที่ข้างฝามีกระบี่กระบอง ซึ่งท่านใช้หัดเด็กวัด ในภายหลังท่านได้บอกกับอาตมาว่า สมัยกรุงศรีอยุธยาคนจะไปเป็นทหารต้องเข้าวัด วัดเป็นมหาวิทยาลัยก่อน เรียนเพลงกระบี่กระบอง เรียนอักษรศาสตร์ เรียนภาษาขอม เรียนภาษาบาลี เสร็จแล้วก็สึกลาจากสิกขาไป ก็ไปสมัครเป็นทหาร เก่งเพลงกระบี่ เก่งเพลงกระบอง ถึงจะเป็นทหาร แต่เป็นทหารจะต้องไปสอบลองหน้าพระที่นั่งก่อน ลองเพลงกระบี่กระบองให้ดู ไม่งั้นไม่รับเป็นทหาร เดี๋ยวนี้ไล่เลย ไล่เป็นทหารหมด จำใบดำใบแดงไปตามเรื่อง มันคนละยุคคนละสมัย
    อาตมาก้มลงกราบเบื้องหน้าท่านด้วยความเลื่อมใส นี่หรือหลวงพ่อเดิมแห่งวัดหนองโพที่ผู้คนนับถือ ชราภาพปานนี้แล้วยังส่อความเข้มขลังและพลังอำนาจในตัว เป็นเพราะอะไรกันหนอ หรือเป็นเพราะท่านมีศีลและภาวนา ตลอดจนท่านมีบารมีอันสูงคอยเป็นตบะเดชะอยู่ ในตอนที่อาตมาได้พบกับท่านนั้น หลวงพ่อเดิมท่านไปไหนมาไหนไม่ถนัดแล้ว ต้องเอาเกวียนเล็ก ๆ มาให้ท่านนั่ง แล้วก็ลากไปตามทาง ท่านชราภาพจริง ๆ แต่ไม่ยอมหยุดกิจนิมนต์และการรับแขก ศิษย์ก็ไม่กล้าขัดใจท่าน เพราะท่านสั่งไว้ว่า ท่านจะสงเคราะห์ญาติโยมจนวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน
    คำพูดประโยคแรกที่ท่านถามอาตมาด้วยน้ำเสียงอันแจ่มใสกังวานของท่านว่า “คุณมาจากอารามไหนกัน” อาตมาก็ตอบท่านพร้อมทั้งแจ้งความจำนงที่คิดจะมาขอให้ท่านสึกให้ ท่านก็ตอบอาตมาว่า ขอให้อาตมาอยู่ที่วัดกับท่านไปก่อน ส่วนเรื่องการสึกนั้นค่อยคุยกันภายหลัง
    อาตมาเมื่อได้อยู่กับท่านก็มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับท่าน ได้ไปนวดเฟ้นให้หลวงพ่อเดิมคลายเมื่อยในตอนกลางคืน พอรุ่งเช้า อาตมาก็ได้พบเรื่องประหลาดของหลวงพ่อเดิม คือ หลวงพ่อเดิมท่านจะฉันข้าวต้มในตอนเช้า ท่านฉันอาหารแข็งไม่ได้แล้วในตอนนั้น พอฉันเสร็จเขาก็พยุงท่านมานั่งเข้าที่ พอสาย ๆ หน่อยผู้คนก็ทยอยกันมาจากทุกสารทิศ มานมัสการท่าน ท่านก็จะเป่าหัวให้อย่างแรงทุกคน เป่าจนน่ากลัวจะเป็นลม เพราะหมดแรง แต่หลวงพ่อก็เป่าอย่างนั้นแหละ “เพี้ยง ดี เพี้ยง ดี”บางคนก็ไปเช่าแหวนลงถมบ้าง มีดหมอบ้าง เหรียญบ้าง รูปหล่อบ้าง แล้วแต่จะต้องการ เมื่อมาถึงหลวงพ่อก็จะเป่ากำกับให้เขา เขาก็เอากลับไปบ้านกัน บางคนก็เอานางกวักงาช้างไปค้าขายว่ากันวุ่นไปหมด แต่ผู้คนก็มาไม่ได้ขาดสาย วันทั้งวันเห็นแต่มีคนมาหาหลวงพ่อ ลูกศิษย์ของท่านก็ได้แต่มองตาละห้อย เพราะห่วงในสังขารขันธ์ของท่าน
    พอตกกลางคืน อาตมาก็อดใจไม่ได้ พอนวดให้ท่านก็ถามท่านตรง ๆ เลยว่า “หลวงพ่อครับ อ้ายเพี้ยงดี เพี้ยงดีของหลวงพ่อมันดีจริงหรือครับ” ท่านก็ตอบอาตมาว่า “ดีอย่างไรฉันบอกเธอเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ต้องอยู่กับฉันต่อไปจึงจะรู้ดี”พออาตมาพูดถึงเรื่องการสึก หลวงพ่อเดิมมักจะกระแอมดัง ๆ คล้ายจะดุ อาตมาก็เลยไม่ได้สึกต้องอยู่ต่อไป อาตมาสังเกตเห็นด้านนอกของกุฏิหลวงพ่อเดิม จะมีปี่พาทย์ และมีดาบ มีกระบี่กระบองสำหรับต่อสู้และรำ อาตมาเป็นคนไม่ชอบเก็บความสงสัย ก็เลยถามท่านตรง ๆ ในคืนต่อมาว่า “ดาบเอย กระบี่เอย หลวงพ่อมีไว้ทำไมกัน หลวงพ่อใช้ของพวกนี้ได้หรือหลวงพ่อ” หลวงพ่อเดิมท่านหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ช้าไว้ ช้าไว้ เธอเป็นผู้เยาว์บวชแค่พรรษาเดียวก็เร่งร้อนจะสึก ฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง ฟังแล้วก็คิดตามไปนะ”
    “วัดในสมัยโบราณครั้งกระโน้น เป็นแหล่งรวมสรรพวิชา เรียกวันว่า สำนักทิศาปาโมกข์เชียวนะจะบอกให้ บางแห่งก็เรียกตักสิลา ดังนั้นผู้ที่เข้ามาในวันนั้น จึงไม่ได้เข้ามาทำบุญอย่างเดียว แต่เข้ามาศึกษาหาความรู้กับพระในวัดด้วย”อาตมาก็ถามท่านต่อไปว่า “บวชพรรษาเดียว กับ หลายพรรษามันแตกต่างกันอย่างไร” หลวงพ่อเดิมท่านก็หัวเราะ แล้วอธิบายว่า “บวชสามพรรษาน่ะ เขาว่าได้ปริญญาตรี เจ็ดพรรษาปริญญาโท สิบพรรษาปริญญาเอก บวชพรรษาเดียวสองพรรษายังเป็นทิดไม่ได้ รู้ไหมล่ะ ทิด มาจากคำว่า บัณฑิต”
    แล้วท่านก็ชี้ไปที่ชุดสำหรับแต่งบวชนาคของวัดหนองโพ เห็นเป็นเสื้อครุยแบบปริญญา แล้วก็มีมงกุฎแบบตะลอมพอก พร้อมอยู่สำหรับให้พ่อนาคใส่ดูสวยงาม แล้วท่านก็อธิบายต่อว่า “คนเราเป็นฆราวาส เป็นหนุ่มมันสุก ๆ ดิบ ๆ แล้วมาบวชเป็นพ่อนาคก็ต้องเป็นเทวดา คือสวนชุดตะลอมพอกอย่างนั้น เรียกว่าเป็นเทวดา ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแล้ว เพราะจะเป็นสงฆ์เป็นบัณฑิต พอเข้าไปอยู่หน้าอุปัชฌาย์ก็เป็นพรหมแล้ว ทีนี้พอบวชเสร็จแล้วสึก บางคนแทนที่จะเป็นบัณฑิตหรือเป็นทิด ก็กลับกลายเป็นเดรัจฉานไปเสียทันตาเห็น”อาตมาก็ถามท่านว่า “เป็นเดรัจฉานได้อย่างไรครับ”ท่านตอบว่า “เป็นซีทำไม่จะไม่เป็น ก็พอสึกตอนเช้า ก็กินเหล้าเมาเย็นหยำเปอย่างนี้ เรียกว่าบวชไม่ได้ประโยชน์ ซ้ำแล้วกลายเป็นเดรัจฉานไป”นี่คือแนวความคิดของหลวงพ่อเดิม ท่านเกลียดคนกินเหล้า เกลียดพวกบวชแล้วสึกออกไปเป็นคนชั่ว เป็นขี้เหล้า คนที่รักหลวงพ่อก็จะไม่กินเหล้ากินยาให้หลวงพ่อท่านไม่สบายใจ
    และอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านได้เล่าให้อาตมาฟังว่า “เธอฟังไว้นะ สมเด็จพระบรมศาสดาของเรา เมื่อเท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแห่งกรุงกบิลพัศดุ์นั้น ทรงเล่าเรียนเชี่ยวชาญในวิชาการทุกด้าน ไตรเวทก็ทรงเชี่ยวชาญ การใช้ศรชัยไปจนถึงตำราพิชัยสงครามต่าง ๆ เรียนการปกครองคนหมู่มาก แต่แล้วก็ทรงได้พระสติว่า วิชาหนึ่งที่ไม่ได้เรียนก็คือ วิชาการพ้นจากกองทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิด จึงทรงออกแสวงหาความหลุดพ้นเป็นพระบรมศาสดาในที่สุด” อาตมาฟังแล้วก็เกิดสติขึ้นมาว่า หลวงพ่อเดิมองค์นี้ ท่านมิได้เก่งแต่เพียงวิชาอาคม เพี้ยงดี เพี้ยงดี แต่อย่างเดียว แต่ท่านยังมีธรรมที่ลึกซึ้งและกินใจ สำหรับสั่งสอนผู้คนแม้แต่ตัวของอาตมาเองที่ต้องการจะสึก ยังไม่อาจสึกได้เหมือนที่ต้องการ หลวงพ่อก็เล่าเรื่องในสมัยบารณต่อไปอีกว่า “วัดในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นสอบอะไรบ้าง ก็สอนวิชาราชบุรุษ กฎหมายนิติศาสตร์ต่าง ๆ เศรษฐศาสตร ศิลปหัตถกรรม เรียนเวชศาสตร์ เรียนดนตรีดีดสีตีเป่าต่าง ๆ พระสมัยนั้นสอนได้ทั้งนั้น ทั้งยังมีตำราพิชัยสงคราม ฤกษ์ผานาทีต่าง ๆ วิชาราชบุรุษนั้นก็คือ วิชารัฐศาสตร์ การปกครองตนเองและผู้อื่น เข้าวัดต้องปกครองตัวได้ ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ มีระเบียบวินัย สามารถเอาไปใช้ในชีวิตฆราวาสได้”
    ส่วนในเรื่องกระบี่กระบองของท่านนั้น ท่านได้เล่าว่า “กระบี่กระบองคือหัวใจของการรบ และต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย เป็นลูกผู้ชายต้องเป็นทหาร วัดหนองโพมีดีทางกระบี่กระบอง ส่วนวัดอื่น ๆ ในสมัยนั้นก็เก่งไปแต่ละด้าน อักขระบ้าง การสร้างเครื่องรางของขลังบ้าง ดนตรีบ้าง ก็แล้วแต่ใครอยากเรียนอะไรก็ไปเรียนกัน ดังนั้นวัดจึงเป็นตักสิลาโดยแท้ สมัยก่อนโรงเรียนแบบปัจจุบันไม่มี พ่อแม่ก็ต้องคอยดูว่าวัดไหนเก่งทางไหนก็พาลูกไปเรียน เรียนจบแล้ว ถ้ายังไม่พอก็ไปเรียนต่อที่วัดอื่น นี่แหละวัดในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นสำนักเรียนด้วยเหตุนี้”
    สมภารองค์แรกของวัดหนองโพนั้น ท่านเป็นขุนศึกคู่พระทัยคนหนึ่งในจำนวนห้าคนของพระยาตาก ซึ่งท่านเดินทางจากเมืองตากเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา พร้อมกับพระยาตากเพื่อเข้ามารับตำแหน่งเจ้าพระยาวชิรปราการ ไปครองเมืองกำแพงเพชร แต่เมื่อพม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ทุกก้าน พระยาตากท่านก็ต้องร่วมต่อสู้กับพม่าข้าศึกต่อไป
    ในภายหลังเมื่อมีชัยชนะ พระยาตากได้รับการสถาปนาเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ท่านอาจารย์องค์แรกแห่งวัดหนองโพ ท่านก็ถวายบังคมลาออกจากการรับราชการ เพราะเห็นว่าได้ฆ่าข้าศึกมามากแล้ว ฆ่าคนมาก็มากแล้ว จะขอบวชในพระบวรพุทธศาสนาต่อไป พระยาตากท่านก็อนุญาต ท่านจึงเดินทางมานครสวรรค์แล้วอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แล้วได้มาฟื้นฟูวัดหนองโพ วัดหนองโพจึงมีการสอนวิชากระบี่กระบอง และวิชาดาบ ในการเรียนวิชานั้นก็ไม่ใช่เรียนกับแบบธรรมดา ๆ คนที่จะเข้ามาเป็นนักรบชั้นแนวหน้าชั้นขุนศึกนั้นต้องศึกษาอักขระ ภาษาต่าง ๆ ไปจนถึงตำราพิชัยสงคราม และต้องบวชเรียนวิปัสสนากรรมฐานเพื่อฝึกรากฐานของจิตใจเสียก่อน แล้วจึงเรียนเพลงอาวุธกัน
    อาตมายังได้เห็นเขาโกนจุกกันข้างวัดหนองโพ หลวงพ่อเดิมท่านเห็นอาตมาเป็นพระบวชใหม่ก็ถามว่า “สวดได้ไหมล่ะ จะได้ไปสวดมนต์ด้วยกัน” อาตมาก็ตอบว่าได้ขอรับกระผมสวดได้ ท่านก็ให้ไปด้วย พอพระสวดเสร็จ เขาก็ให้ปี่พาทย์วงของวัด บรรเลงเพลงแบบการต่อสู้ แล้วก็มีเด็กวัดหนองโพแต่งตัวทะมัดทะแมง มารำกระบี่กระบองตีกันอย่างคล่องแคล่วว่องไว ค่าบูชาครูก็คราวละหกบาท ใส่พานพร้อมดอกไม้ธูปเทียน เงินค่ายกครูนั้นหลวงพ่อเดิมท่านก็แบ่งให้เด็ก ๆ ตามแต่ฐานะ สำหรับเอาไว้เรียนหนังสือกันต่อไป
    ลิเก ที่วัดหนองโพก็มีการสอน อาตมากล้าพูดได้ว่า วัดหนองโพมีลิเก หลวงพ่อเดิมท่านเอามาหัดให้มีอาชีพกัน ก็เมื่อมีวงปี่พาทย์มันก็ต้องมีลิเก ครูที่โรงเรียนก็จัดเด็กที่ยากจนมาหัดเล่นลิเกเลี้ยงตัวเองไปตามอัตภาพ และไม่แต่ลิเกนะ เพลงฉ่อย เพลงเกี่ยวข้าว หลวงพ่อเดิมท่านก็สอนให้เป็นจนหมด เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้ไม่ให้สูญหาย หลวงพ่อเป็นนักอนุรักษ์ของโบราณ โดยสายเลือดทีเดียว
    ทีนี้เมื่ออาตมาอยู่วัดหนองโพนานวันเข้า เรื่องจะสึกก็ยังคิดอยู่ พอเห็นว่าสมควรแก่เวลา เลยคลานเข้าไปหาหลวงพ่อแล้วก็กราบเรียนท่านเพื่อจะขอลาสึกอีกครั้ง ท่านก็จ้องมองดูอาตมาแล้วพูดขึ้นว่า “หยุดไว้ก่อนคุณ อย่าเพิ่งมาสึกตอนนี้ มันยังไม่ถึงเวลา”เมื่อได้ยินดังนี้ อาตมาก็ไม่กล้าพูดเรื่องสึกต่อไป แต่ก็คิดว่าไหน ๆ ก็จะสึกแล้ว ควรอยู่เรียน และขอคาถามหานิยมสีผึ้งก่อนดีกว่า จะได้จีบผู้หญิงได้ง่าย ๆ มีเมียสวย ๆ อาตมจึงกราบเรียนท่านว่าอยากได้คาถามหานิยมอย่างเด็ดขาดสักบท ที่สีปากด้วยสีผึ้งแล้วผู้หญิงเดินตามต้อย ๆ
    หลวงพ่อเดิมท่านก็หัวเราะ และสั่งให้อาตมาไปหากระดาษดินสอมาให้ท่าน แล้วท่านก็จดคาถาให้ เป็นคาถาสารพัดนึกจดกันไม่หวัดไม่ไหว จดเสร็จท่านก็บอกให้เอาไปท่อง ท่านให้คาถามามากมาย จนอาตมาไม่ต้องไปขอคาถาท่านเพิ่มอีก ก็มัวแต่ท่องคาถาจนลืมเรื่องสึกไปเลย นี่เป็นกุศโลบายของหลวงพ่อเดิมท่าน ท่านดัดหลังแก้ลำอาตมาเอาเสียจนเซ่อไปเลยทีเดียว
    ทีนี้เมื่อท่องหลักเข้า อาตมาก็เกิดความสงสัยว่า คาถานี้ใช้อย่างไร จนกระทั่งวันหนึ่งเห็นหลวงพ่อเดิมท่านกำลังเป่าหัวศิษย์ว่า “เพี้ยงดี เพี้ยงดี” ไม่เห็นท่านท่องคาถาสักบท อาตมาก็คิดว่า เอาละเป็นไงเป็นกัน ให้เราท่องคาถาเสียยืดยาว แต่พอถึงคราวท่านเองกลับไม่ท่อง ใช้ปากเป่าเพี้ยง ๆ เท่านั้นเอง ก็เลยต้องถามท่านว่า “หลวงพ่อให้คาถากระผมไปท่องมากมาย ผมก็ท่องกะว่าจะดีให้ได้ แต่พอเห็นหลวงพ่อเป่า เพี้ยงดี เพี้ยงดีให้กับคนอื่น ไม่เห็นหลวงพ่อท่องคาถาอะไรเลย แค่จับหัวแล้วก็เป่าเพี้ยงดี เพี้ยงดี อย่างนี้ผมไม่ท่องเสียเวลาเปล่าหรือครับ”
    หลวงพ่อเดิมท่านก็มีเมตตา สั่งสอนให้อาตมาหูตาสว่างกันตอนนั้นเอง ท่านบอกว่า “คาถาน่ะไม่ขลังหรอก เขาเอาไว้ท่อง เอาไว้เป็นองค์ภาวนาเพื่อให้จิตเป็นหนึ่งเดียว จิตเป็นสมาธิต่างหาก เหมือนเราจะเดินข้ามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวเปรียบเหมือนกำลังจิตที่ไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นอำนาจอันมหาศาล ต้องอาศัยการภาวนาคาถา เพื่อให้จิตเป็นหนึ่ง ใช้คาถานั่นแหละเป็นองค์ภาวนาต่างสะพานข้ามฟากไป แต่พอจิตข้ามฟากไปถึงจุดมุ่งหมายปลายทาง คือ เป็นหนึ่งเดียว เป็นพลังอันมหาศาลแล้ว ก็รื้อสะพานคือคาถาที่ภาวนาทิ้งไปได้เลย จิตที่เป็นหนึ่งเป็นพลังมหาศาลแล้ว เขาเรียกว่า จิตตานุภาพ ฉันจึงไม่ต้องท่องคาถา แต่ใช้เจริญจิตให้เป็นหนึ่ง แล้วเป่าลมปราณ อธิษฐานให้เขาสมหวังว่า เพี้ยงดี ๆ เข้าใจหรือยังล่ะ ไปท่องต่อไป ท่องให้จิตมันข้ามฟากให้ได้” จากนั้นท่านอธิบายต่อว่า “ตอนแรกก็ยกระดับจิตขั้นประถมก่อน แล้วภาวนาขึ้นถึงมัธยม แล้วก็เจริญให้เป็นเอกัคคตารมณ์เป็นการเจริญภาวนา เจริญจิตให้เป็นเอกัคคตา เมื่อจิตบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสทั้งหยาบและละเอียดแล้ว จะต้องการอะไรก็ได้ทุกประการ คิดเงินได้เงิน คิดทองได้ทอง แต่หลวงพ่อคิดแต่เมตตาให้เขา ขอให้เขาพ้นเคราะห์ ขอให้เขารวย ขอให้เขาดี ขอให้เขามีปัญญา แล้วก็เป่าเขาไป ดังนั้นคุณจงทองต่อไปเถอะ ทำจิตให้เป็นเอกัคคตาให้ได้แล้วก็จะรู้เองว่า เพี้ยงดีของหลวงพ่อเป็นอย่างไร” อาตมานวดหลวงพ่อทุกคืน ตลอดเวลาหกเดือนที่อยู่กับท่าน มันก็น่าแปลกที่ไม่มีพระสักองค์ที่มานวดท่าน มาขอของดีจากท่าน เหมือนใกล้เกลือกินด่างกันหมด ดูซิอาตมาจึงว่า แม้อาตมาจะอยู่กับหลวงพ่อไม่นาน แต่อาตมาได้ของดีจากท่านมามากพอสมควร คิดถึงเดี๋ยวนี้แล้วก็น่าเสียดายว่า เราหนอเราทำไม ไม่รู้จักหลวงพ่อก่อนหน้านี้นาน ๆ เสียดายเหลือเกิน ยิ่งคุยกับท่านยิ่งสนุกลืมเรื่องสึกไปเสียสนิท หลวงพ่อท่านก็ดูเหมือนรู้ว่าอาตมาซึ่งเปรียบเสมือนม้าที่พยศกำลังค่อย ๆ เชื่องลงแล้ว ในวันหนึ่งหลวงพ่อเดิมท่านก็เป็นฝ่ายพูดให้อาตมาได้สำนึกขึ้นว่า “นี่คุณมาอยู่กับฉันก็นานแล้ว เรียนกรรมฐานไหมล่ะจะสอนให้ อย่าไปสึกเลย คุณนะอยู่ในผ้าเหลืองแล้วจะเจริญก้าวหน้ากว่าเป็นฆราวาส”
    แต่อาตมานั้นเป็นผู้เกลียดพระมาเป็นทุนเดิม ก็เลยบอกกับหลวงพ่อว่า “ยังไงเสียผมก็ต้องสึกแน่ ๆ เพราะผมไม่เคยชอบครองเพศสมณะเลยจริง ๆ ผมไม่ค่อยจะอยากอยู่เป็นพระ ผมจะต้องสึก”
    หลวงพ่อท่านก็กล่าวเป็นสุภาษิตสอนใจ ที่อาตมาจำได้ทุกวันนี้ว่า “ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งรักก็ยิ่งห่างไกล จำไว้ให้ดีนะคุณ ยิ่งเกลียดเขาเรายิ่งต้องแผ่เมตตาให้ แล้วความเกลียดมันจะหายไป ความรักมันจะเกิดขึ้นตรงนี้”
    กล่าวจบแล้วหลวงพ่อเดิมก็เอามือชี้ไปที่หัวใจแล้วก็มองดูหน้าอาตมา อาตมานั่งนิ่งรู้สึกซาบซึ่งในคำของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง และก็มาเปรียบเทียบดูว่า อาตมาแต่ก่อนเกลียดจริงเชียวพวกผู้หญิงน่ะ ไม่อยากให้เข้าวัด แต่เอาซิ เดี๋ยวนี้คนที่มาช่วยทำงานทำการทำครัว ช่วยดูแลญาติโยม ส่วนมากเป็นผู้หญิง เขาถึงว่าเกลียดอย่างไหน ยิ่งใกล้อย่างนั้นอาตมาขอเล่าเรื่องแปลก ๆ ให้ฟังเรื่องหนึ่ง คนที่มาหาหลวงพ่อเดิมไม่ได้มารับแหวน รับมีด รับเหรียญ รับรูปหล่ออย่างเดียว แต่มาขอรอยเท้าหลวงพ่อ อาตมานี่แหละเป็นคนเอาครามมาทาเท้าหลวงพ่อ แล้วเอาหมอนรอง เอาผ้าขาวปูแล้วหลวงพ่อก็เหยียบรอยเท้าลงไป แล้วก็เป่าเพี้ยงดี เอาให้คนที่ต้องการเอาไป ดูเอาซิความดีของหลวงพ่อเดิมนะ แม้แต่รอยเท้าเขาก็เอาไปบูชากัน นี่แหละอำนาจแห่งทาน ศีล และภาวนาของท่าน อาตมายังจำภาพเก่า ๆ ได้ดีไม่มีวันลืม เพราะท่านก็เลยไม่สึกออกไปมีลูกมีเมีย ท่านช่างรู้เข้าไปจนถึงใจอาตมาลึกมาที่สุด
    เรื่องรอยเท้านี้ ท่านได้อธิบายให้อาตมาฟังว่า “รอยเท้าของฉันเหยียบไว้เป็นที่ระลึกว่า ฉันคือหลวงพ่อเดิมที่ในหลวงพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็น พระครูนิวาสธรรมขันธ์ หมายถึงว่าเป็นที่ตั้งแห่งความดี ฉันไม่เบียดเบียน ฉันสร้างความเจริญในถิ่นกันดาร ฉันทำดีเพื่อให้พระศาสนารุ่งเรือง เมื่อได้รอยเท้าของฉันไปแล้ว ก็จงระลึกว่า หลวงพ่อเดิมท่านทำดี เราควรทำความดีเจริญรอยตามรอยเท้าของท่านไปเป็นคนดี คิดดี ทำดี อยู่แต่ในศีลธรรมอันดีงาม นั้นแหละรอยเท้าของฉันจึงจะขลัง ไม่ใช่เอาไปโพกหัวแล้วยิงไม่ออก แต่ไม่เคยมีใครถามฉันสักราย เห็นแต่เอารอยเท้าไปติดตัวแล้วหายเงียบไป”
    เมื่ออาตมาได้ฟังคำของท่านแล้ว ในตอนนั้นอาตมาซึ้งในคำพูดของท่านมาก ตั้งแต่บวชมาจนคิดจะสึก ก็เพิ่งพบหลวงพ่อเดิมนี่แหละ ที่ท่านมีปรัชญาอันซาบซึ้งใจของอาตมา อาตมากล้าพูดได้เลยว่า หกเดือนที่อยู่วัดหนองโพ ทำให้อาตมากลายเป็นพระเต็มตัว ความคิดที่จะสึกหมดไปเพราะเห็นแล้วว่า พระที่ดีอย่างหลวงพ่อยังมี พระที่ไม่ดีเราเคยเห็นนั้นเทียบกับท่านไม่ได้ เหมือนเพชรกับแก้ว ที่ไม่อาจมาเคียงคู่กันได้เลย
    หลวงพ่อเดิมได้ให้แง่คิดเพิ่มเติมต่อไปว่า “คุณฟังฉันให้ดี ๆ นะ คนที่มาวัดนั้น ร้อยละแปดสิบเป็นพวกคนโง่ จ้องจะมาเอาแต่ของขลัง เพราะเขายังห่างธรรมะ ร้อยละยี่สิบเข้ามาหาธรรมะ มาสนทนาธรรมกับฉัน มีเพียงไม่กี่คนที่ถามฉันเหมือนที่คุณถามฉัน เมื่อมีคนถามฉันก็จะบอกเขาว่า เอารอยเท้าฉันไปนะ ฉันเป็นอุปัชฌาย์ของเธอ ฉันเป็นพระที่เธอนับถือ ฉันไม่เก่งอะไรหรอก แต่ฉันสร้างความดี เธอจงเอารอยเท้าฉันไปดูให้ติดตา แล้วทำความดีตามรอยเท้าของฉัน แล้วเธอจะประสบแต่ความสุขความเจริญ มีหลายรายเอารอยเท้าฉันไปแล้ว เอาไปประกอบกรรมชั่ว ไปปล้นไปจี้เขา ไปลักวัวลักควายเขา ต้องถูกยิงตามคาที่ ตายโหง ถึงมีรอยเท้าฉันอยู่กับตัวก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่เดินตามรอยเท้าฉันไปในทางที่ดี แต่กลับแหกคอกไปในทางชั่วแล้วจะมาหวังพึ่งอะไรได้เล่า”
    นี่คือปรัชญาชีวิตในรอยเท้าของหลวงพ่อเดิม ที่ท่านฝากเอาไว้กับบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายให้ได้คิดกันต่อมา อยู่กับหลวงพ่อเดิมเป็นเดือน ๆ เข้าก็เลยขอลาท่านกลับวัดพรหมบุรี และได้มีโอกาสกลับไปวัดหนองโพอีกในเวลาต่อมา คราวนี้ตั้งใจจะไปลาท่านขอสึกแน่ ๆ เมื่อเจอหน้าท่านคราวนี้ ท่านจ้องมองอาตมาอยู่นานเหมือนจะค้นลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจ ครู่ใหญ่ท่านก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนโล่งใจ พร้อมกับกล่าวกับอาตมาว่า “อย่าไปไหนไกลฉันเลย ฉันจะบอกเธอเป็นคนแรกว่า ไม่เกินสามเดือน ฉันจะมรณภาพจากเธอไปแล้ว จงอย่าห่างฉัน ช่วงนี้แหละสำคัญที่สุดเธอจำไว้”
    เมื่อได้ยินท่านว่าดังนี้ อาตมาก็ใจหายวาบ เพราะเห็นว่าหลวงพ่อชราภาพมากและท่านก็ไม่หลงไม่ลืม ดังนั้นการปลงอายุสังขารของท่านจึงเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นที่แน่นอนว่า ท่านกำลังจะลาจากโลกนี้ไปแล้วหรือ ช่วงนั้นเอง เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว และเจ้าคณะอำเภอท่าตะโก มาหาหลวงพ่อที่วัดบ่อยมาก อาตมาจำได้ว่าท่านผลัดเปลี่ยนกันมานมัสการหลวงพ่อเดิม แต่ท่านก็ไม่เคยปริปากเรื่องปลงอายุกับพระเหล่านั้น บอกกับอาตมาองค์เดียว นี่ท่านเมตตาอาตมาเป็นพิเศษทีเดียว
    อาตมาก็รบเร้าเรื่องคาถามหาเมตตาจากหลวงพ่อ ท่านก็สอบเป็นปรัชญาเรื่อยไป อาตมาก็อยากจะสึก แต่ก็ไม่กล้าจะรบเร้าท่านมาก ท่านคอยห้ามเอาไว้ ส่วนใหญ่จะว่าไม่ได้ฤกษ์สึก ในที่สุดอาตมาก็รุกเร้าเอาจนท่านอ่อนใจให้คาถามาบทหนึ่ง ซึ่งเป็นคาถาที่ศิษย์หลวงพ่อเดิมใช้กันทุกคน คาถามีดังนี้ นะ เมตตา โม กรุณา พุธ ปรานี ธา ยินดี ยะ เอ็นดู มะ คือตัวกู อะ คือคนทั้งหลาย อุ เมตตาแก่กูสวาหะ นะ โม พุทธายะ
    เมื่อได้คาถานี้มา อาตมาแสนดีใจว่าได้คาถาเมตตามหานิยม เอามาท่องจนขึ้นใจ เอาละวะคราวนี้ได้การละ สึกเมื่อใดจะได้เอาไปใช้ให้สมกับที่รอ แต่จนแล้วจนรอดหลวงพ่อเดิมก็ไม่สึกให้สักที ก็คอยว่าเมื่อใดหลวงพ่อจะเมตตาสึกให้ ก็ไม่มีแววสักที อาตมาท่องจนขึ้นใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าคาถานั้นแท้ที่จริงอยู่ในพระกรรมฐานนั่นเอง เพราะพระกรรมฐานสอนให้แผ่เมตตา ต้องมีเมตตาต้องมีปรานีกัน ต้องเห็นคนอื่นเขาเหมือนกับเราจึงจะมีเมตตา ถ้าไม่มีเมตตาปรานีแล้ว ท่องคาถาไปก็เปล่า ๆ ทั้งเพ พอมานั่งกรรมฐานจริงจัง ภายหลังหลวงพ่อเดิมมรณภาพไปแล้ว จึงกระจ่างมองเห็นภาพท่านสอนคาถาเมตตาให้ทุกอิริยาบถ อาตมาก็คิดที่จะสึกเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่ง ตัดสินใจเด็ดขาดว่าวันนี้ต้องสึกให้ได้ คิดไปว่าพอกราบลาหลวงพ่อแล้ว ก็จะเดินไปหาทายก ไปบอกให้ทายกทราบว่าจะสึก แล้วก็จะเอาเงินสองบาทไปจ้างเขารีดเสื้อผ้าให้หน่อย ตอนนั้นอาตมาจำได้ว่ามีกางเกงอย่างดี เสื้ออย่างดี นาฬิกายี่ห้อไวเลอร์เรือนหนึ่ง ไม่เดินเสียด้วย คงโก้พิลึกละ อ้ายตอนที่เป็นฆราวาสก่อนบวชนี่เฟี้ยวสมวัย ในตอนนั้นเตรียมรีดเสื้อไว้แล้ว ก็พอดีค่ำจึงเข้าไปถวายการนวดเพื่อจะได้บอกหลวงพ่อว่าผมจะสึกพรุ่งนี้ละขอรับ แต่ยังไม่ทันจะบอกหลวงพ่อก็บอกกับอาตมาถึงสิ่งที่หลวงพ่อเดิมท่านไม่เคยได้บอกใคร ทำเอาอาตมานิ่งอึ้งเป็นครู่ใหญ่ ท่านพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า
    “นี่แน่ะเธอ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันไม่เคยบอกใครเลย ฉันบอกคุณคนเดียว รู้แล้วนิ่งไว้ อย่าแพร่งพราย เขาจะเสียขวัญกัน อีก ๑๕ วัน ฉันจะมรณภาพแล้ว ขอให้เธอจำคำฉันไว้ให้ดี ๆ” จากนั้นท่านกล่าวต่อไปว่า “ฉันต้องการมอบวิชาการอย่างหนึ่งให้เธอไว้เป็นคนแรกและคนสุดท้าย ฉันเห็นว่าเธอนั้นเหมาะที่สุดแล้ว”
    อาตมาได้ยินก็ดีใจ เพราะคิดว่าจะเป็นคาถาเรียกพระเข้าตัวแน่ แต่ก็ผิดคาด หลวงพ่อเดิมท่านกล่าวว่า “วิชาที่หลวงพ่อจะมอบให้เธอคือ วิชาคชศาสตร์ การต่อช้างป่า การกำราบช้างตกน้ำมัน การดูแลช้าง วิชาคชศาสตร์ต้องคนมีวาสนาบารมีพอจึงจะเรียนได้ ฉันเห็นว่าเธอนี่แหละจะรับไว้ได้ ฉันจึงมอบให้ ฉันเรียนมาจากปู่ย่าตาทวดฉัน เมื่อสมัยปู่ย่า ตระกูลของฉันต่อช้างป่าถวายในหลวงกรุงศรีอยุธยา ปู่ทวดฉันเคยเล่าให้ฟังว่า เคยต่อช้างเผือกได้ ๒ เชือก ที่กำแพงเพชรแล้วนำไปถวายองค์พระราชากรุงศรีอยุธยา เป็นช้างคู่เมือง”
    อาตมาเมื่อได้ยินดังนั้นก็เลยตอบท่านไปตรง ๆ ว่า “ไม่เอาละครับหลวงพ่อ ผมไม่เคยอยากได้เลยครับ ผมอยากได้คาถาเมตตามหานิยมให้ผู้หญิงรัก หรือคาถาเรียกพระเข้าตัวก็ได้ครับ” เท่านั้นเองท่านลุกขึ้นจากท่านอน มาเป็นท่านั่งตัวตรง พร้อมทั้งยกมือของท่านชี้หน้าอาตมา และกล่าวด้วยเสียงอันมีอำนาจสะท้านเข้าไปถึงหัวอกว่า “นี่แน่ะเธอ ฉันจะบอกให้ เธอยังเป็นเด็กเป็นผู้อ่อนอาวุโส ผู้ใหญ่เขาให้อะไรก็รับไว้ซิ ไปปฏิเสธทำไมกัน อย่าหยิ่งจองหองไม่เข้าเรื่อง”
    อาตมาก็ว่า “ต่อไปทำไมครับช้างป่า มันอยู่ในป่าก็เรื่องของมัน มันตกน้ำมันก็ไม่เกี่ยวกับผมนี่ครับ แล้วเดี๋ยวนี้บ้านเมืองเจริญมากแล้วไม่ต้องใช้ช้างป่ากันแล้วละครับหลวงพ่อ” หลวงพ่อเดิมท่านจึงใช้คำคำมาพูดกับอาตมา ซึ่งทำให้อาตมาถึงกับนิ่งอึ้ง เพราะท่านมาไม้สูงจริง ๆ ท่านถามว่า “มีเสื้อตัวเดียวกับมีเสื้อสิบตัว อย่างไหนดีกว่ากันล่ะ ลองบอกมาซิ”“สิบตัวดีกว่าครับหลวงพ่อ”“ก็นั่นนะซิ ยังไม่ได้ใส่ก็รีดเก็บแขวนไว้ เวลาจะใช้ก็หยิบมาสวมง่าย ไม่ต้องไปรีดให้เปลืองเวลา พ่อแม่ปู่ย่าตายายให้ก็เก็บไว้ มันเป็นประโยชน์ในเวลาข้างหน้านะ”อาตมาก็นึกไม่อยากได้ไม่อยากจะเรียน อยากจะสึกท่าเดียว ก็เลยบอกท่านไปตรง ๆ ว่า “ผมไม่เรียนครับ ผมจะสึกอยู่วันนี้พรุ่งนี้แล้ว จะเรียนไปทำไมกัน ผมจะขอลาสึกครับหลวงพ่อ”
    ตอนนั้นหลวงพ่อเดิมท่านถอนหายใจใหญ่แล้วกล่าวกับอาตมาว่า“เธอฟังหลวงพ่อให้ดีนะ หลวงพ่อจะว่าให้ฟัง ผู้ใหญ่น่ะเขาเห็นการณ์ไกลกว่าเด็กมาก ไม่ใช่เขาพูดอะไรส่งเดชก็หาไม่ ที่หลวงพ่อมอบวิชาคชศาสตร์ให้นี้ ก็เพื่อตอบแทนที่เธอมาช่วยปฏิบัติฉันมาเป็นเวลานาน ฉันไม่เคยให้ใครเลย คนหนองโพหรือคนที่อื่นฉันไม่เคยสอนให้ใครมาก่อนเลย ต้องการให้เธอสืบวิชาไว้ไม่ให้ตายตามหลวงพ่อไป เข้าใจหรือยังล่ะ” เมื่อฟังท่านพูดอย่างนี้ อาตมาก็ได้แต่นิ่ง ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการยอมรับหลวงพ่อเดิม จากนั้นท่านก็ไล่ให้ไปจำวัดเพื่อจะเริ่มสอนในวันพรุ่งนี้ต่อไปเคยมีพระไปเจอช้างที่เขาใหญ่ แล้วก็ไปดูมันใกล้ ๆ ถือว่าเคยเป็นพระธุดงค์มาไม่เคยกลัวช้าง แต่ที่ไหนได้มันตกน้ำมันอยู่โทรมเลย มันเลยเหยียบเสียตายไป ก็เพราะไม่รู้ว่าช้างตกน้ำมันเป็นอย่างไร ช้างมีสัญชาตญาณอย่างไร ช้างมีหูทิพย์ตัวไหน จึงต้องเอาชีวิตไปให้ช้างเหยียบแล้วแทงด้วยงา
    ..................................
    FB_IMG_1549490013139.jpg FB_IMG_1549490010008.jpg
     
  18. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    FB_IMG_1549680151667.jpg
     
  19. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    FB_IMG_1549681200157.jpg
     
  20. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    หลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศลไขข้อข้องใจญาติโยมในงานธุดงควัตร เรื่องอานุภาพคาถาเงินล้าน และเทวดารักษาพระ

    ...หนูจะสวดคาถาเงินล้านตลอด...โอ้..แจ๋วๆ (หลวงพ่ออนันต์)..
    คาถาเงินล้านนี่นะ...บางคนสวดแล้วไม่รวย เท่าบางคนสวดแล้วรวย ...มันเป็นยังไงล่ะเราก็อยากจะเข้าใจว่าทำไมสวดแล้วมันรวยมันดีขึ้นล่ะ มันรู้สึกว่ามันดีขึ้นล่ะเห็นชัดเลยนี่มันมีอะไรผิดปรกติ มันก็สวดกันหลายคนนี่

    ไปสัมภาษณ์คนที่สวดแล้วมันได้ผล คือ #มันขึ้นมาในใจเอง มันก็อยู่ในนี้ มันท่องมันเพลินมันมีความสุขไปด้วย ท่องแล้วมันมีความสุขไปด้วย ทีนี้คาถาเริ่มจะขึ้นแล้วละทำอะไรก็จะคล่องตัว ไอ้ที่ไม่คล่องตัวก็สวดเหมือนกัน เป็นไง...วันนี้สวด ๙ จบเลย..เอาให้รวยเลยละวันนี้ สวดไป สวดไป พรุ่งนี้ไม่ไหวเว้ย ๙ จบ เมื่อวานกูแย่เลย เอา ๗ จบ... วันที่ ๓ เหลือ ๓ จบ พอวันที่ ๔ บอก สวดเหมือนเมื่อวานนี้แหละ เลย ซังกะตาย นี่มันไม่พอไง คือสวด..

    อันที่จริงฉันนี่เป็นตัวสงสัยที่สุดเลยแหละ หลวงพ่อจึงดุฉันเหมือนกันว่า ฉันคอยคิดตะแบงไง แล้วเราไม่รู้จริงก็ตะแบง ตะแบงคืออะไร ไม่รู้ไง? ก็ไม่ต้องทำมาหากินกันหรือไงถึงสวดมนต์สวดคาถากันอยู่เรื่อยอะไรยังงี้ คอยคิดตะแบบยังงี้ ..

    ท่านบอกว่า #คาถานี่มีเทพเทวดาคอยรักษาอยู่ เจ้าของคาถาที่เขายิงไม่เข้านี่อะไรต่ออะไรนี่ ท่านมีเทวดาคอยรักษาคาถานี้อยู่ #ถ้าทำด้วยความเคารพแล้วนี่ผลมันจะเกิด เพราะว่าพวกนี้มีอำนาจพิเศษอยู่ อย่างพระที่หลวงพ่อทำนี่ ท่านบอกมีเทวดารักษาอยู่ เอ๊...ไอ้เราก็... สมัยก่อนบวชฉันไม่เคยคล้องพระหรอกนะ ฉันบอกมันก็ตายทุกคนน่ะ ไม่เห็นใครเหลือซักที..จะคล้องทำไมอะไรยังเงี้ย..นะ ความบ้าๆ ของเรา

    นี้มาเจอหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านปลุกเสก ตอนนั่งกรรมฐานนี้หมามันจะหอน โอ..เลิกกรรมฐานก็หอน นั่งกรรมฐานก็หอน วันหนึ่งฉันก็หลวงพ่อ ที่จริงท่านใจดีทุกวันอะ แต่ใจเรามันไม่ค่อยดีไง วันนั้นหลวงพ่อใจดีรึไงพูดจารึไงก็เข้าไปถาม ... หลวงพ่อครับ อีตอนทำกรรมฐานเนี่ย หมามันหอนน แล้วก็หลังกรรมฐานมันก็หอน หลวงพ่อว่าปลุกเสกนี่เป็นไงครับหมามันถึงหอน เออ..หลวงพ่อก็ใจดีชมฉันเหมือนกัน บอกว่า โอ๊..แกได้ยินเหรอ..ได้ยินครับ... โอ๊หมามันยังดีกว่าแกหน่อย (หัวเราะ) หมามันยังเห็นมั่ง... แหมเราก็หน้าหงอยไปเลยใช่ มั๊ย..บอกหมามันยังเห็น แกไม่เห็นเลยเหรอ ...ไม่เห็นครับ..ได้ยินแต่เสียงหมาครับ

    ทีนี้ท่านก็บอกว่า เวลาพุทธาภิเษก หรือถ้าบอกว่าเป็นการอาราธนาบารมี เมื่อพระพุทธเจ้าท่านเปล่งฉัพพรรณรังสีเวลาทำวัตถุมงคลเนี่ย ตามที่ท่านคุยกันก่อนว่าของนี้จะเป็นอะไรยังไงยังงี้ พระพุทธเจ้าท่านจะคุย เมื่อทำเสร็จแล้วก็พระอรหันต์มาทำ ที่เราอาราธนา แล้วก็เมื่อทำเสร็จแล้วก็จะฝากเทวดาและพรหมให้รักษา

    ไอ้เราก็สงสัยอีก ... เอ..เทวดานี่ รักษาพระที่เรามีอยู่นี่ เอ๊ท่านไปกะเราทุกหนทุกแห่งเลยรึ จะมาเฝ้าเราเป็นยามเฝ้าตัวเราเลยรึเนี่ย ถึงจะมาช่วยเราเลยตลอดเลยยังเงี้ย โอ้โฮเทวดาก็มีภาระมากจังเลยมั๊ง ต้องไปเฝ้าตัวคน ....ท่านบอก ไม่ใช่เฝ้าอย่างงั้นหรอก .. เทวดาเค้ามีเขตของเค้า เขตนี้ใน ๗ วันเนี่ย จะมีใครเป็นอะไรบ้าง และมีเหตุอะไร เค้าจะรู้ก่อน เค้าจะไม่นั่งมาเฝ้าอะไรยังงี้หรอก กรรมที่เป็นใหญ่ และกรรมที่ยังริดรอนอยู่แล้วจะช่วยได้มั๊ยอะไรยังงี้ ทีนี้มันเก็บอยู่ในใจ เรานี่เริ่มเชื่อหลวงพ่อว่า โอ..คนนี่มันกรรมใหญ่ กรรมเล็ก กรรมนิดหน่อยอะไรอย่างงี้ ทีนี้ก็มีคุณพัชรินทร์นี่แกไม่ได้มาหรอก แกร่วงตึกมาไง แกไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงพ่อมาแต่ก่อนหรอกนะ แกเป็นคนที่อื่น ร่วงตึกมาหัวแกก็ฟาดพื้น แกก็จับผ้าพระตบๆ ที่นี่ ที่อกท่าน แกมีพระอยู่องค์นึง พระช่วยด้วย...ก็เห็นตะปะขาว ผมมวยขาว ออกมาจากพระเลยมาคลุมร่างแกเนี่ย มันก็ตรงกะหลวงพ่อที่ว่า..มีเทวดารักษา..นี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง

    อ้อ..เค้าบอกว่า #สวดคาถาเงินล้านจนหลับไปเลยนี่ดีมากเลย..เอาไว้คอยตามดูนะ ว่า ..ถ้ามันขึ้นมาเอง #เดินไปไหนมันก็สวดขึ้นมาเองยังงี้จะทำอะไรก็เจริญ ทำอะไรก็มีความรู้สึกว่าคล่องตัวนะ...
    FB_IMG_1549718383327.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...