เรื่องเด่น ระลึก 7 ชาติ จนรู้สาเหตุที่เธอทั้งสวยและรวยมาก แต่กลับถูกสามีทิ้งแบบไร้เยื่อใย!

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย picko, 6 มิถุนายน 2018.

  1. picko

    picko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2014
    โพสต์:
    635
    กระทู้เรื่องเด่น:
    97
    ค่าพลัง:
    +2,126
    show.jpg

    ในชีวิตคนเรา เรื่องราวบางเรื่องในชีวิต ก็อยู่เหนือการคาดเดา ถ้าหากไม่ได้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว จะไม่มีวันเข้าใจได้เลยว่า มันเป็นเพราะเหตุอะไรกันแน่

    เรื่องนี้เป็นเรื่องราวในอดีตกาลนานมาแล้ว เกิดขึ้นในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ณ นครปาฏลีบุตร ซึ่งได้รับสมญาว่า
    “เมืองแห่งดอกไม้”

    ยามเช้าเวลาที่พระเดินบิณฑบาต ได้ปรากฏพระภิกษุณีผู้หมดกิเลสสิ้นอาสวะเป็นพระอรหันต์ ๒ รูป กำลังเดินสำรวมตามกันโคจรบิณฑบาตรับอาหารจากผู้มีจิตศรัทธา รูปหนึ่งนามว่า “โพธิ” ส่วนอีกรูปหนึ่งนามว่า “อิสิทาสี”


    หลังจากฉันภัตตาหารและล้างบาตรเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ที่ปลอดผู้คน ทั้งสองท่านก็นั่งลงสนทนากันด้วยโวหารแห่งธรรมตามประสาพระอรหันต์ ต่อไปนี้คือบทสนทนาของท่านทั้งสองนั้น

    พระภิกษุณีโพธิ กล่าวเริ่มขึ้นเป็นเชิงตั้งคำถามว่า

    “นี่แม่เจ้าอิสิทาสี ดูหน้าตาแม่เจ้าแล้วก็ยังอ่อนเยาว์ ยังสาวอยู่ แม่เจ้ามองเห็นโทษอะไรหรือ จึงออกบวชในศาสนาของพระบรมศาสดาเล่า?”

    ขอแทรกนิดหน่อยว่า ในสมัยนั้น พระภิกษุณีสนทนากัน ท่านใช้สรรพนามสำหรับเรียกกันและกันว่า “แม่เจ้า” ถ้าเป็นสมัยนี้คงเรียกว่า “คุณแม่” เช่น “คุณแม่ชี” หรือ อาจเรียกว่า “ท่าน,เธอ” ก็ได้
    พระภิกษุณีอิสิทาสี เมื่อถูกถามเช่นนั้น ด้วยความฉลาดในการแสดงธรรม แทนที่ท่านจะตอบตรงๆ ตามคำถาม ท่านก็กล่าวว่า


    “แม่เจ้าโพธิ ขอท่านโปรดฟังเรื่องของข้าพเจ้าเถิด”

    จากนั้นท่านก็เล่าให้พระภิกษุณีโพธิฟังเป็นนิยายชีวิตจริง ๆ ดังนี้

    ตัวท่านอิสิทาสีเองนั้นถือกำเนิดในเมืองอุชเชนี ราชธานีแห่งแคว้นอวันตี บิดาของท่านเป็นเศรษฐีจัดได้ว่ามีหน้ามีตาในสังคม เนื่องจากท่านเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัว จึงเป็นที่รักที่โปรดปรานของบิดายิ่งนัก

    กาลต่อมา ได้มีเศรษฐีที่มีฐานะเท่าเทียมกันส่งคนมาสู่ขอท่านอิสิทาสีไปเป็นสะใภ้บิดาของท่านก็ตกลงยกให้


    ชีวิตการเป็นสะใภ้ของท่านนั้น นับว่าหายากยิ่งสำหรับหญิงในปัจจุบันจะสามารถทำได้เสมอเหมือน นั่นคือ การกราบเท้าพ่อแม่สามีและสามีเช้าเย็นทุกวัน มีความเกรงอกเกรงใจต่อญาติและคนสนิทของฝ่ายสามียิ่งนัก ต้องหุงหาทำกับข้าวเลี้ยงดู อุปัฏฐากอย่างกะทาสก็มิปาน

    เมื่อจะเข้าไปนอนร่วมห้องกับสามีต้องล้างมือล้างเท้า เดินประนมมือเข้าไปหาสามี ต้องแต่งตัวให้สามี ทาเครื่องประทินผิวให้ กระทำดุจสาวใช้เลยทีเดียว

    ท่านหุงหาทำกับข้าว ล้างจานเอง ขยันไม่เกียจคร้าน ทำทุกอย่างเองเพื่อสามี บำรุงเลี้ยงสามีประหนึ่งมารดาเลี้ยงดูบุตรคนเดียวของตนเองกระนั้นแหละ มีความจงรักภักดี อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เคยล่วงละเมิดศีลเลยแม้แต่ข้อเดียว


    อยู่ต่อมาไม่นาน ประมาณสองเดือนเห็นจะได้ อยู่ ๆ สามีก็เกิดอาการเกลียดชัง รังเกียจไม่อยากอยู่ด้วย ไปบอกกับมารดาของตนเองว่า ไม่อยากอยู่ด้วยกับ อิสิทาสีแล้ว พ่อแม่ฝ่ายสามีจึงเรียกไปสอบถามว่า ทำอะไรผิดหรือเปล่า สามีถึงเกลียดนัก เมื่อตอบว่าไม่ได้ทำอะไรผิด

    พ่อแม่ฝ่ายสามีก็เสียใจ เป็นทุกข์ ด้วยความที่รักบุตรชายของตน จึงบอกให้ท่านอิสิทาสีกลับไปหาสกุลเดิมของตน แล้วพ่อแม่ของสามีคนนั้นก็ไปหาหญิงคนใหม่มาให้แต่งงานด้วย

    อยู่บ้านไม่นานนัก พ่อก็จับแต่งงานกับหนุ่มเศรษฐีคนใหม่อีก แต่คนนี้รวยน้อยกว่าคนก่อน อยู่ด้วยกันได้แค่เดือนเดียว เขาก็ขอเลิกกับอิสิทาสีอีกด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ “เกลียดอิสิทาสี” อย่างไม่มีเหตุผลว่าทำไมจึงเกลียด รู้แต่ว่าเกลียด ไม่อยากอยู่ด้วย ทั้ง ๆ ที่นางปรนนิบัติดูแลไม่แตกต่างอะไรจากสามีคนก่อนเลย

    หลังจากเลิกร้างกับสามีคนที่สอง ผู้เป็นบิดาคงอยากทดสอบอะไรบางอย่าง วันหนึ่งก็เลยเรียกเอาชายขอทานที่เดินผ่านหน้าบ้านมาให้แต่งงานกับท่านอิสิทาสี ชายขอทานเหมือนหนูตกถังข้าวสาร แต่อยู่ต่อมาแค่ครึ่งเดือน ก็เกิดอาการเดียวกัน คือ เกลียดอิสิทาสี ไม่อยากอยู่ร่วมด้วย ทั้งๆที่ท่านอิสิทาสีก็ปรนนิบัติสามีคนที่สามนี้ไม่แตกต่างอะไรจากคนที่หนึ่งและที่สอง เขาไปขอกะลาและเสื้อผ้าเก่า ๆ ของเขาคืน ท่านเศรษฐีบิดาของท่านอิสิทาสีก็อนุญาตให้ไปได้

    ท่านอิสิทาสี เป็นทุกข์มาก เนื่องจากผิดหวังในรักมาสามครั้งสามครา แต่งงานสามครั้งก็ผิดหวังสามครา เป็นภรรยาที่แสนดี แต่สามีกลับทอดทิ้งไปได้ ชีวิตนี้มันช่างมีแต่ความโหดร้ายอะไรเช่นนี้

    ทุกข์เพราะความผิดหวังในรัก เป็นทุกข์ที่มนุษย์ชายหญิงคุ้นเคยและพบเห็นบ่อยที่สุด แต่ความหวังที่จะสมหวังในรัก ก็ทำให้ชายหญิงอดไม่ได้ที่จะรักกัน


    ท่านอิสิทาสีคิดมากจนอยากปลิดชีวิตตัวเองทีเดียว แต่เช้าวันหนึ่งเมื่อมองเห็นพระภิกษุณีรูปหนึ่งชื่อ ชินะทัตตา เดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้าน จึงคิดอยากบวชเป็นพระภิกษุณี ได้นิมนต์ท่านขึ้นบ้านและถวายภัตตาหาร เมื่อท่านฉันเสร็จแล้วก็แจ้งความประสงค์อยากจะบวชเป็นภิกษุณี พร้อมกับขออนุญาตบิดา ท่านบิดาห้ามไม่ให้บวช โดยบอกว่า


    “ลูกจะทำบุญมากเท่าไรก็ได้ พ่อไม่ว่า อย่าไปบวชเลยนะ”
    ท่านร้องไห้ ประนมมือ และให้เหตุผลว่า

    “พ่อจ๋า ลูกทำบาปมากแล้ว ลูกอยากไปชำระบาปนั้นเสียให้หมด ขอพ่อจงอนุญาตเถิดนะ”

    บิดาของท่านจงยินยอมอนุญาตพร้อมกับอวยพรให้ท่านโชคดีได้บรรลุโพธิญานและเข้าถึงพระนิพพานตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์

    ท่านกราบลาบิดามารดาไปบวชเป็นพระภิกษุณี หลังจากบวชแล้วก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ใช้เวลาเพียงเจ็ดวันท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ได้วิชชาสาม ความรู้วิเศษ ๓ ประการ คือ


    ๑) ระลึกชาติย้อนหลังได้

    ๒) รู้ที่เกิดของสัตว์ทั้งหลาย และ

    ๓) รู้วิธีการทำให้อาสวะกิเลสสิ้นสลายไปจากดวงจิตของตน
    ในความสามารถข้อที่หนึ่งนั้น ท่านสามารถระลึกชาติย้อนหลังได้ ๗ ชาติ พอท่านระลึกได้ก็เลยได้ทราบว่า ทำไมในชาตินี้ เมื่อแต่งงานกับชายใด ก็ถูกชายนั้นทอดทิ้งสามครั้งสามครา ชาติเจ็ดชาติที่ท่านได้รู้นั้น ท่านเล่าให้พระแม่เจ้าโพธิฟังดังต่อไปนี้

    เมื่อท่านเล่าให้พระโพธิเถรีฟังถึงตอนที่ท่านระลึกชาติได้ ท่านก็เล่าต่อไปว่า (แต่นี้ไปเป็นคำพูดของท่านอิสิทาสีเถรี เล่าถึงอดีตชาติของตนเอง)


    ในนครชื่อเอรกัจฉะ ข้าพเจ้าเป็นช่างทอง(ท่านเกิดเป็นชายหนุ่ม) มีทรัพย์มาก มัวเมาในวัยหนุ่มทำชู้กับภริยาผู้อื่น. (ชาติที่ ๑)

    ข้าพเจ้านั้นจุติจากโลกนั้นแล้วต้องหมกไหม้อยู่ ในนรกเป็นเวลานาน ครั้นออกจากนรกนั้นแล้ว ก็เข้าท้องนางวานร. (ชาติที่ ๒)

    ข้าพเจ้าคลอดได้ ๗ วัน วานร(ลิง)ใหญ่จ่าฝูงก็กัดอวัยวะสืบพันธุ์เครื่องหมายเพศผู้เสีย นี่เป็นผลกรรมของข้าพเจ้าที่เป็นชู้ภริยาผู้อื่น.
    ข้าพเจ้าจุติจากกำเนิดวานรนั้น ตายแล้วก็ไปเข้าท้องแม่แพะตาบอดและเป็นง่อย ในป่าแคว้นสินธพ. ข้าพเจ้าอายุได้ ๑๒ ปี พาเด็กขี่หลังไปกระแทกอวัยวะเพศ ป่วยเป็นโรคหนอนฟอน(ชอนไช) นี่เป็นผลกรรมที่ทำชู้ภริยาผู้อื่น. (ชาติที่ ๓)


    ข้าพเจ้าจุติจากกำเนิดแพะแล้ว ก็เกิดในกำเนิดแม่โคของพ่อค้าโค เป็นลูกโคขนแดงดั่งน้ำครั่ง อายุ ๑๒ เดือนก็ถูกตอน. ข้าพเจ้าถูกใช้ให้ลากไถและลากเกวียน ป่วยเป็นโรคตาบอด นี้เป็นผลกรรมที่เป็นชู้ภริยาผู้อื่น. (ชาติที่ ๔)

    ข้าพเจ้าจุติจากกำเนิดแล้ว ก็ไปเกิดในเรือนทาสี(คนรับใช้) ณ ท้องถนน ไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชาย (เป็นกะเทย) นี่เป็นผลกรรมที่ทำชู้กับภริยาผู้อื่น. (ชาติที่ ๕)

    ข้าพเจ้าอายุได้ ๓๐ ปีก็ตาย ไปเกิดเป็นเด็กหญิงในตระกูลช่างทำเกวียน ที่เข็ญใจ มีโภคะน้อย เป็นที่รุมทวงหนี้ของเจ้าหนี้. เมื่อหนี้พอกพูนทับถมกันมากขึ้น แต่นั้นนายกองเกวียน ก็ริบสมบัติฉุดเอาข้าพเจ้าซึ่งกำลังรำพันอยู่ ออกจากเรือนของสกุล. (ชาติที่ ๖)

    บุตรของนายกองเกวียน ชื่อคิริทาสเห็นข้าพเจ้าเป็นสาววัยรุ่นอายุ ๑๖ ปี ก็มีจิตปฏิพัทธ์ขอไปเป็นภริยา แต่นายคิริทาสนั้นมีภริยาอยู่ก่อนคนหนึ่ง เป็นคนมีศีล มีคุณ มียศ จงรักภักดีต่อสามี ข้าพเจ้าก็ทำให้สามีเกลียดนาง ข้อที่สามีทั้งหลายเลิกร้างข้าพเจ้าซึ่งปรนนิบัติดุจทาสีไป ก็เป็นผลกรรมของกรรมนั้น (ชาติที่ ๗)
    ที่สุดแม้ของกรรมนั้น ข้าพเจ้าก็กระทำเสร็จแล้ว

    (ในคำพูดสุดท้ายนี้ ท่านหมายถึงว่า กรรมทั้งหลายที่ท่านได้รับสิ้นสุดแล้ว เพราะขณะนี้ท่านกลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว อยู่เหนือบุญเหนือบาปทั้งหลายในโลก ท่านไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลของวิบากกรรมอีกแล้ว…ภารกิจการชำระบาปเสร็จสิ้นแล้ว)

    ทุกท่านคงพอรู้แล้วว่า ทำไมชายถึงเกิดหญิง ? ทำไมหญิงถึงถูกสามีทอดทิ้ง ? ทำไมจึงมนุษย์เพศที่สาม (กะเทย) ? ทั้งหลายทั้งสิ้นล้วนมาจากการผิดศีลข้อที่สาม คือ การนอกใจคู่รักในชาติปัจจุบัน และการไปล่วงเกินคู่รักของคนอื่นเขานั่นเอง

    กล่าวโดยสรุปแล้ว เรื่องราวชีวิตอันรันทดในปฐมกาลของพระอิสิทาสีเถรี แต่ว่า หวานชื่นด้วยอมฤตธรรมในปัจฉิมกาล ถือว่า กรณีศึกษา เป็นกรณีตัวอย่าง ไม่ว่าจะเกิดพบเหตุการณ์อันน่าขมขื่นปานใดในชีวิต ขอเพียงแปรทุกข์ให้เป็นพลัง แปรปัญหาให้เป็นอุปกรณ์สร้างปัญญาได้ สิ่งดีๆ ที่มีรูปอีกอย่างหนึ่งก็จะมาหาชีวิตเอง ขอเพียงใจไม่ท้อแค่นั้นแหละ พวกราไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนมีโอกาสได้สัมผัสความสุขอันเกิดแต่ความเข้าใจชีวิตอย่างแน่นอน


    ขอให้ทุกท่านได้รับความสุขใจและได้ข้อคิดในการอ่านตำนานของพระเถรีรูปดังกล่าว
     
  2. mrmos

    mrmos Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +1,095

แชร์หน้านี้

Loading...