ระลึกถึงหลวงพ่อสังวาล เขมโก

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย เปลือกไม้, 31 พฤษภาคม 2008.

  1. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    2 มิถุนายน วันคล้ายวันมรณภาพของหลวงพ่อสังวาล เขมโก
    ขอกราบนมัสการด้วยระลึกถึงพระคุณคำสั่งสอนของหลวงพ่อ
    แม้จะไม่เคยกราบท่านเมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม

    [​IMG]
     
  2. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    ประวัติหลวงพ่อสังวาล เขมโก
    พระป่ากรรมฐานแห่งเมืองสุพรรณ

    วัดทุ่งสามัคคีธรรม อ.สามชุก สุพรรณบุรี

    คัดลอกจาก
    http://luangpoosupa.invisionzone.com/inde.php?showtopic=259&st=0




    นามเดิมท่านคือสังวาลย์ นามสกุล จันทร์เรือง เกิดเมื่อ จันทร์ เดือน 4 ปีมะโรง (2459) ที่บ้านหนองผักนาก สามชุก สุพรรณบุรี บรรพบุรุษท่านมีอาชีพทำนา แต่โยมบิดาท่านเป็นผู้ที่ได้นำภาพยนตร์มาฉายในอำเภอสามชุกเป็นคนแรก

    อุปสมบทครั้งแรก เมื่ออายุครบบวช แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนไม่รู้หนังสือ บทสวดมนต์บางบท ท่านต้องจำจากที่แม่ชีสวดกัน ท่านจึงสวดมนต์ได้แค่อิติปิโส ฯ พาหุง ฯ แม้แต่นะโมก็ต้องต่อเอา ด้วยเหตุนี้ท่านจึงต้องลาสิกขาบท ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะลาเลย

    ชีวิตสมรส ท่านสมรสกับแม่บาง เมื่ออายุ 26 ปี ในปี 2448 แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ท่านยึดอาชีพทำนาแต่ด้วยเหตุที่ท่านมีสุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไรนัก บางครั้งขณะที่ทำงานเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ท่านก็ต้องผลัดกันไถนาโดยอาศัยห้างนาเป็นที่พัก รอจนไข้ลดจึงได้ออกมาทำนาเป็นปรกติ บางทีก็ทำนาไม่ได้ ต้องให้ภรรยาท่านเป็นคนทำ ท่านจึงรับหน้าที่ เป็นผู้ช่วยหุงหาอาหารให้ภรรยาเท่านั้นเอง ท่านได้ทนทุกข์ทรมานกับโรคภัยถึง 2 ปี โดยในระหว่างนั้นท่านได้รับคำแนะนำจากแม่ชีจินตนา ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ให้ทำกรรมฐานเผื่อว่าโรคจะหาย

    ความที่ท่านมีโรคภัยนี้เอง จึงได้เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านได้เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เห็นภัยที่เกิดจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ขึ้นมา ท่านเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งแม่บางไม่สบาย ท่านก็ได้ช่วยดูแลตามประสาสามี ธรรมดาของคนป่วยย่อมจะต้องมีความอิดโรยเป็นธรรมดาและช่วยตัวเองไม่ได้ ท่านจึงช่วยตักน้ำราดศีรษะให้แม่บาง พอน้ำราดลงบนเส้นผม ไอระเหยที่โดนเส้นผมนั้น ส่งกลิ่นชวนให้น่ารังเกียจ เนื่องจากไม่ได้ทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน ทำให้ท่านเกิดสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่งว่า ร่างกายของคนเรานี้เป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดี เป็นรังแห่งโรค เป็นที่เกิดแห่งทุกข์

    ครั้งหนึ่งท่านได้เดินผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ทั้งตัว แทนที่ท่านจะมองเห็นเป็นรูปร่างของตัวท่าน ท่านกลับเห็นเป็นอสุภนิมิต มีโครงกระดูกขึ้นแทน ด้วยตัวท่านเป็นผู้ฝึกทำกรรมฐานอยู่เสมอ จึงทำให้จิตใจที่ได้รับการฝึกฝนอยู่ย่อมเกิดปัญญาเกิดความรู้เห็นขึ้น มีญาณทัศนะปรากฏขึ้น ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ท่านเห็นภัยในสังขารยิ่งขึ้นและเกิดความเบื่อหน่ายที่จะครองเรือนอีกต่อไป การสละจาการครองเรือนจึงได้เกิดขึ้น

    ท่านได้บอกกับแม่บาง ให้รู้ถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ที่ท่านจะไปสู่ธรรมวินัยของพระบรมศาสดา เพื่อที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์ให้จงได้ ในการจะออกบวชในครั้งนี้ท่านก็ได้ให้พ่อห่วง ผู้เป็นบิดา ให้บอกกับลูกหนี้ทั้งหมดที่เป็นหนี้เป็นสินกับบิดาของท่าน ให้มาประชุมพร้อมกัน และท่านได้ขอร้องพ่อห่วงให้ยกเลิกสัญญาที่ลูกหนี้ทั้งหลายได้กระทำกับบิดาของท่าน ด้วยการฉีกเอกสารทิ้งทั้งหมด นับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นในการให้ทาน อันเป็นที่น่าปีติยินดีอย่างยิ่ง

    หลังจากนั้นท่านได้ทำมหาทานอีกครั้ง ด้วยการบอกภรรยาว่า จะขอออกบวชอีกครั้ง ให้แม่บางหาสามีใหม่ได้

    การบวชครั้งที่ 2 เมื่อท่านอายุได้ 35 ปี ณ วัดนางบวชอำเภอเดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี เมื่อเวลา 14.45 น. ของวันที่ 27 เมษายน 2494 โดยมี พระครูแขก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสมุห์ทองย้อย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการไสว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่าเขมโก

    เมื่อท่านอุปสมบทแล้ว ก็ได้เข้าไปปฏิบัติธรรม ณ ป่าช้าวัดบ้านทึง สามชุก ท่านได้อาศัยอยู่ในป่าช้าโดยมีหลวงพ่อมหาทอง โสภโณ ซึ่งเป็นเสมือนครูบาอาจารย์ เป็นผู้ปฏิบัติ ผู้อาวุโส อยู่ด้วย ท่านเป็นผู้มีความรู้ทางด้านปริยัติได้ดีท่านหนึ่ง และท่านได้เป็นผู้แปลข้อศีลที่ว่า การไม่ยินดีรับเงินและทองเพื่อเป็นของตน หรือให้ผู้อื่นเก็บไว้เพื่อตน นับแต่นั้นมาหลวงพ่อสังวาลย์ก็ไม่มีปัจจัยแม้แต่สตางค์แดงเดียว และที่พระอาจารย์มหาทองท่านได้สอนหลวงพ่ออีกคือ

    สมาธิ ภิกฺขเว ภาเวย สมาธิโต ยถาภูตํ ปชานาติ

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายพึงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิดเพราะจิตที่เป็นสมาธินั้น ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง

    เพียงประโยคนี้เท่านั้น ที่ท่านถือเป็นแนวทางปฏิบัติ มุ่งมั่นกระทำความเพียร อยู่ในป่าช้าตลอดเวลา 5 ปี

    ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัตินี้เองทำให้ท่านรู้เห็นตามความเป็นจริง โดยท่านได้ยึดหลักธุดงควัตรตลอดเวลา

    หลังจากที่ท่านพระอาจารย์มหาทองได้ละสังขารแล้วท่านจึงได้ออกจากป่าช้า แต่ท่านก็มิได้ละเลยหรือทอดธุระในภาคปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย โดยท่านจะนึกถึงคำของอาจารย์ที่ว่า นักปฏิบัติจะทิ้งการปฏิบัติไม่ได้ จนกว่าจะหมดลมท่านเองก็เป็นเช่นนั้น เมื่อท่านมาอยู่วัดทุ่งสามัคคีธรรม และไปสร้างวัดป่าน้ำตกเขมโก ที่ ด่านช้าง สุพรรณบุรี ท่านก็จะสั่งสอนและเจริญสมาธิภาวนาอยู่เสมอมิได้ขาดเลย

    ในระยะเริ่มแรกท่านมีอุปสรรคมากเพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ บางคนถึงกับเข้ามาทำร้ายและขัดขวางการเผยแพร่ธรรมทุกรูปแบบ แต่ในที่สุดท่านก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ และเผยแพร่ธรรมให้ทุกคนรู้จักประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างกว้างขวาง มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจในการปฏิบัติธรรม เข้าห้องกรรมฐานปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐาน 4 ที่หลวงพ่อแนะนำสั่งสอนได้เป็นอย่างดี หลวงพ่อจึงมีศิษยานุศิษย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทั้งในประเทศและต่างประเทศมากมาย

    เกล็ดประวัติหลวงพ่อสังวาล เขมโก
    เลิกจองเวร

    โดย..

    ฤทธิ์ รักไทย

    เมื่อท่านยังปฏิบัติธรรม บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าช้าวัดบ้านทึง แทบทุกวันตอนที่ท่านบิณฑบาตสุดสาย จะมีโยมผู้หญิงรุ่นโยมแม่ (เป็นคนจับปลาย่านนั้น) พายเรือให้ข้ามฟาก

    วันหนึ่ง...

    หลวงพ่อสังวาลย์...." โยมเลิกดีกว่าหากุ้ง หาปลา ลูกๆ ก็โตหมดแล้ว "

    โยม..." เลิกก็ดีเหมือนกัน อิฉันก็เบื่อเต็มที " แกรับและสารภาพ

    หลวงพ่อสังวาลย์...." อาตมาขอบิณฑบาต พวกแห พวกยอทั้งหมด "

    โยม..." ได้จ้ะ อิฉันจะขนไปให้ท่านเช็ดเท้า "

    ท่านเล่าว่าโยมผู้นี้หาปลามาตั้งแต่เด็ก ไม่มีอาชีพอื่น แกบุกไปทั่ว ไม่ว่า ท่าโบสถ์ โพธิ์พยา ปากไห่ ฯ โยมมารับศีล ๕ แล้วท่านก็บอกว่า

    หลวงพ่อสังวาลย์...." บ้านโยมมีไม้ไผ่เยอะ สานพัด สานกระบุงขายจะรวย "

    โยม..." ค่ะ อิฉันจะลองทำดู "

    คุณโยมตั้งตัวได้ในที่สุด เพราะพัด - กระบุง - ตะกร้า ที่ช่วยกันสาน ลูกๆ แม่ๆ ไม่พอส่งขาย...ท่านว่า..ก่อนจะพูดให้โยมเลิกนั้น มันมีสิ่งที่ปรากฏขึ้นในกรรมฐานท่านมาก่อน เมื่อนักล่าประจำลุ่มน้ำมาถือศีลได้ จึงเลื่องลือไปไกล

    มีพระอาวุโส ท่านหนึ่งมาหาแล้วกล่าวว่า...

    พระอาวุโส... " ท่านสังวาลย์เก่งจริง เอาคนหาปลารักษาศีลได้ "

    หลวงพ่อ..." โยมเขาขาดคนชี้นำเท่านั้น...เขาขาดครู "

    พระอาวุโส..." ท่านนี่มีความรู้เหลือหลาย "

    หลวงพ่อ..." รู้เขานั้นไม่ใช่ดีเสมอไป รู้เรานั่นแหละเป็นอุดมมงคล "
     
  3. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,793
    สาธุ น้อมกายน้อมใจก้มลงกราบ พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อสังวาลย์ด้วย กาย วาจา ใจ ที่นอบน้อมเคารพเหนือเศียรเกล้า สาธุ กราบ สาธุ กราบ สาธุ กราบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2008
  4. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,793
    สรีระท่าน ทุกวันนี้ประดิษฐสถานที่ศาลาไทยบนเรือบริษัทสุพรรณ วัดทุ่งสามัคคีธรรม อ. สามชุก จ. สุพรรณบุรี ให้เหล่าสายานุศิษย์ได้กราบไหว้น้อมระลึกถึง คุณงามความดีที่องค์ท่านได้ทำไว้เป็นแบบเป็นฉบับให้ลูกศิษย์ได้เดินตามรอยครูบาอาจารย์ ซึ่งองค์หลวงตาบัวได้กล่าวไว้ว่า"ผู้ที่เดินตามรอยครูบาอาจารย์ จะเป็นผู้พ้นจากภัยทั้งปวง ฯ"

    สาธุและขออนุโมทนาบุญกับคุณเปลือกไม้ที่น้อมระลึกถึงครูบาอาจารย์ด้วยใจที่เคารพต่อองค์ท่าน สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,212
    ค่าพลัง:
    +23,196

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s.jpg
      s.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48 KB
      เปิดดู:
      1,598
    • ss.jpg
      ss.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.1 KB
      เปิดดู:
      1,683
  6. thaiput

    thaiput เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    9,528
    ค่าพลัง:
    +27,656
    *-* ขอกราบระลึกถึง หลวงพ่อสังวาล เขมโก (พระผู้ดุจดังทองคำ) ขอกราบครูบาอาจารย์ ขอน้อมนำคำสั่งสอนมาปฏิบัติเป็นที่พึ่งที่ระลึก กราบ กราบ กราบ *-* thaiput007@hotmail.com
     
  7. cc5922

    cc5922 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    4,193
    ค่าพลัง:
    +16,972
    กราบนมัสการครับ
     
  8. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    คุณอดุลย์เคยบวชอยู่กับหลวงพ่อคงมีเครื่องมงคลของหลวงพ่อหลายชิ้นซิครับ และคงเข้าใจคำว่า รู้เฉย ของหลวงพ่อดีนะครับ ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  9. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,793

    ครับขอบคุณมากครับ คุณเปลือกไม้เรามีครูอาจารย์เดียวกันเป็นหลักใจ ในการดำรงชีวิต ในสถานะการณ์ปัจจุบันถ้าไม่รักษาธรรม ธรรมก็จะไม่รักษาเราครับ ยินดีที่รู้จัก ผมพอแบ่งวัตถุมงคลให้ได้บ้างนะครับหลังไมค์ครับ
     
  10. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    ขอขอบคุณและขออนุโมทนาล่วงหน้า นะครับ
     
  11. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    ธรรมะของหลวงปู่

    รู้เฉย....หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->อันนี้ก็ ขอบารมีธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนะโม เป็นผู้จะได้ตรัสรู้ธรรม ได้พระองค์เอง เราก็ขอถึงพระพุทธเจ้า ขอถึงพระธรรมเจ้า ขอถึงพระสงฆเจ้า เพื่อจะให้สำเร็จกิจการ ในการที่เราได้นอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระอรหันตสั มมาสัมพุทธะพระองค์นั้น อันนี้ก็ขอจงสำเร็จประโยชน์ในการข้อวัตรปกิบัติธรรมซ ึ่งปฏิปติบูชาธรรมเพื่อจะน้อมนำคำสั่งสอนเข้ามาไว้ที ่กายใจกับผู้ปฏิบัติด้วยกันทุกรูปทุกนามในปัจจุบันนี ้ ก็ขอจึงยังสำเร็จในใจของพวกเรา เพราะเมื่อเราพยายามนั่งแล้วก็เพื่อจะสำเร็จประโยชน์ การข้อวัตรปฏิบัติธรรม อันนี้เป็นคุณสมบัติอันสุงสุด ต่างคนก็ต่างเข้าสมาธิ ซึ่งจิตใจ ซึ่งวันนี้เป็นคนมากที่จะแนะนำกรรมฐานให้ เพื่อยังเราได้มีชีวิตกันต่อไป เพื่อจะยังเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใส่ไว้ในใจของเรา เพื่อยังจะได้ไกลจากกิเลสซึ่งความเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เนี่ยะ เป็นคุณสมบัติอันที่พวกเราจะได้ได้ได้ถึง แล้วเราก็จะได้เลื่อนจะได้ย่นชาติย่นภพเข้าไป เพราะในครั้งนี้ เป็นครั้งของราที่มีโชคลาภมาก ที่ได้มาพานพบพระศาสนา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา นั่งขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายตรง พระองค์ก็ทำการข้อวัตรปฏิบัติอย่างนี้ เราก็จะพึงเรียน เรียนธรรมกับพระพุทธเจ้า เพื่อจะให้เป็นไปตามซึ่งในคำสั่งสอนทำท่าทางเหมือนอย ่างกะพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ที่เราก็ตั้งใจว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์เนี้ย เป็นธรรมที่เยือกเย็น เป็นธรรมที่พวกเราจะหลุดพ้นจากกรรมเวรทั้งหลาย ก็จะได้หมดไปสิ้นไปกับหัวใจของเรา เช่นว่า บาปเช่นองคุลิมาล เป็นต้น ฆ่าคนเป็นพันนี่ ท่านก็ยังแก้ไขทางใจได้ ทำเป็นพระอริยเจ้าได้ ซึ่งไกลจากกิเลส แต่ทำบาปอะไรไม่เท่ากับการฆ่าคน แต่ท่านยัง พระองค์ยังสอน สอนให้เป็นพระอริยเจ้าได้ พวกเรานี้ไม่มีบาปจนขนาดนั้น เราจะต้องทำการตรัสรู้ธรรมของพระองค์ ขออย่าให้เราอย่าประมาทธรรมะก็แล้วกัน อย่าประมาท วันนี้เรายังไม่ต้องทำ พรุ่งนี้ยังไม่ทำนี่ เรายังหนุ่มยังสาวอยู่ ให้แก่เสียก่อนแล้วจึงจะทำ ผู้นั้นแหละเป็นผู้ประมาทอยู่แล้ว เพราะเราหมดลมเมื่อไร จะขาดใจเมื่อนั้น เพราะพระองค์นั้นแนะนำอยู่เสมอว่าไม่ให้ประมาท

    เพราะอันนี้ เราก็เหมือนกัน ที่มารวมประชุมพร้อมกันในที่นี้ ก็เพื่อจะทำการให้สำเร็จประโยชน์ในการเรื่องเป็นพระอ ริยเจ้า ที่เราขัดสมาธิไว้แล้วก็เพื่อบรรลุธรรมะทุกครั้งแหละ แต่เราก็พยายามตั้งใจ ที่พระองค์แนะนำภิกษุ ภิกษุ เธอจงทำจิตให้เป็นสมาธิ ย่อมรู้ความเป็นจริง พวกเราก็พยายามทำตามเถอะ ก็จะได้เป็นไปตามนั้นแหละ เพราะเรานี้ ที่เกิดมานี้กระดูกอยู่กับแผ่นดินนี้ เข็มจิ้มๆ ลงไปก็ไม่ผิด เพราะเราตายบ่อยเกิดบ่อย แล้วทีนี้เราพยายามมาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า เราก็จะได้ย่นชาติย่นภพได้
    ศีล ประดุจยังข้าวกล้า ปัญญาเหมือนแอกไถ เอาไว้ฆ่าซึ่งหญ้านั่นเอง แล้วก็เอาข้าวกล้าลง แล้วข้าวกล้านี้ก้จะต้องมีน้ำดีเลนดี ย่อมจะให้มรรคผลแก่เจ้าของชาวนาได้ ซึ่งเรียกว่า ปุญญักเขตตัง โลกกัสสะ เป็นเนื้อนาบุญของคนชาวโลก พวกเรานี้แหละเป็นคนชาวโลก แล้วก็จะต้องปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าเนี่ยะ ดีกว่าเนื้อนาที่ดี ดีกว่าเนื้อนาที่ดีเนี่ยะ เพราะทำใจให้เบิกบาน เหมือนอย่างดอกบัวนี่ แล้วใจของเราก็จะได้สำเร็จประโยชน์ในการข้อวัตรปฏิบั ติธรรม แม้จะปฏิบัติเนี่ยะ แค่งูแลบลิ้น ไก่ตีปีก ก็ยังได้มีพลาอานิสงส์มาก ที่ไปเห็นสังขารร่างกายว่า เป็นอนิจจังจริงๆ เพราะญาติโยมของเรา เชื่อกันแล้วว่าความแก่มี ความเจ็บนี้มี ความตายก็มี เราเชื่อกันอย่างไม่สงสัย ทีนี้ที่เรายังไม่รู้เนียะ ก็การข้อวัตรปฏิบัติ ธรรมนี้แหละที่ว่า จะให้เป็นพระอริยเจ้าในกันวันข้างหน้านี้ในปัจจุบันน ี้ ให้ดูปัจจุบันนี้ ความโกรธของเราไม่มี ความชังของเราก็ไม่มี ให้ถืออารมย์ชนิดนี้แหละไป ถ้ามันมีโกรธมาเมื่อไร จะรู้เชียวว่า นี่ไม่พอใจเข้าแล้ว เราก็ตั้งขันติความอดทนเข้า เดี๋ยวมันก็จะดับไป แล้วเราก็ตั้งอยู่ในอารมณ์นั้นอีก

    นี่ การที่แนะนำให้ญาติโยมฟังนี้ก็เพื่อจะต้องให้ญาติโยม ทำใจ เมื่อทำจิตใจของตัวเองแล้ว ไม่เคยรู้ก็จะรู้ขึ้น ไม่เคยเห็นก็จะเห็นขึ้น ที่กล่าวว่ากรรมฐาน ขอกรรมฐานกับพระพุทธเจ้าพระธรรมเจ้าพระสงฆเจ้า ให้มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ที่ต่อมาให้ถึงฌาน ๔ มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา นี่ เป็นปฐมฌาน ยังให้ปฐมฌานเกิด เพราะมีวิตกยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ กำหนดผม กำหนดผมที่บนศีรษะเรา มีสัณฐานอันดำ ทำความรู้เห็น ผม ผม กำหนดให้เห็น ไม่เห็นกำหนดรู้ กำหนดรู้ ผม กำหนดรู้ว่าอยู่รอบๆ ศีรษะของเรา ขนขึ้นรอบร่างกายของเราทั่วไป มองดูให้เห็น ให้เห็น ไม่เห็นกำหนดรู้
    อันนี้อาตมาจะพาเที่ยวกรรมฐาน ปัญจกรรมฐาน ๕ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหุ้มโดยรอบ ฟันอยู่ในปาก เหมือนกระดูก นี่ ควรกำหนดรู้ เห็น ขนขึ้นรอบๆ ร่างกายของเรา ควรกำหนดรู้เห็น ไม่เห็นกำหนดรู้ เล็บ ขึ้นปลายนิ้ว กำหนดรู้เห็น ที่เราเคยรู้ เราเคยเห็นอยู่ ฟันอยู่ในปาก กำหนดรู้เห็น เราเคยรู้ หนังหุ้มโดยรอบ กระดูกอยู่ภายในนี่ ฟันนั้นแหละ กระดูกนี่ ให้เห็น ไม่เห็นกำหนดรู้ ปัญจกรรมฐาน ๕ นี้ จะเห็นอย่างหนึ่งอย่างไร ก็ให้กำหนดไว้ให้ชำนาญ ให้ชำนิชำนาญในการรู้ในการเห็น เมื่อเห็นแล้วทำใจไว้สงบๆ เห็นก็ไม่ว่า ไม่เห็นก็ไม่ว่า ทำใจเฉยๆ รู้ เห็นก็ไม่ว่า ไม่เห็นก็ไม่ว่า ทำใจ เฉย...รู้ เฉย...รู้ ว่าเรานั่งสมาธิอยู่ อยู่กับองค์พระสมาธิ เมื่อจิตอยู่กับองค์พระสมาธิแล้ว ย่อมจะรู้ความเป็นจริง ทำใจ พุทโธ พุท... ลมเข้า โธ... ลมออก พุท... ลมเข้า โธ... ลมออก ให้กำหนดรู้ เห็น กายของเรา ให้กำหนดเห็น ลมเข้า กำหนดรู้...ลมออก กำหนดรู้ ให้รู้เห็นในลมเข้า ทำปีติในลมหายใจเข้า กำหนดรู้ ปีติในลมหายใจออกกำหนดรู้ พยายามทำอยู่อย่างนี้เป็นอารมณ์ เมื่อจิตนี้เลิกคิดนึกแล้ว ย่อมจะเห็นสภาวะอย่างแน่นอน พยายามทำ บริกรรมภาวนาเป็นเครื่องตรัสรู้ธรรม ไม่ให้จิตคิดนึกอย่างอื่น ทีนี้เมื่อจิตคิดนึก คิดก็รู้...เฉย เลิกคิดเราก็รู้...เฉย ทำความรู้...เฉยเป็นอารมณ์ แล้วจะมีสติสัมปชัญญะความรู้ตัวอยู่ทุกขณะๆ เพราะอานุภาพธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นผู้เจริญ ผู้ปฏิบัตินั้นหละเป็นผู้จะเจริญธรรมคำสั่งสอนของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อใครมั่นอยู่ในพระพุทธเจ้า ผู้นั้นแหละจะต้องตรัสรู้ธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ เราไม่ต้องเชื่อคนโน้น ไม่ต้องเชื่อคนนี้ ทำให้เห็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน นั่นแหละจึงเรียกว่าคนฉลาด คนเราไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว ปัจจัตตังรู้เฉพาะตน และพระท่านแนะนำหรือสั่งสอนท่านก็ได้กำลังทำกันอยู่จ ึงเรียกว่าปฏิปทาเข้าไปอาศัยพระนิพพานด้วยกัน ธรรมนี้ก็จะเป็นธรรมให้เราได้พ้นทุกข์ได้ เหมือนอย่างกับพระท่านสอนโยม โยมก็เลื่อมใสพระ พระก็เลื่อมใสโยม ทีนี้ปฏิบัตินี่ บางครั้งก็โยมบรรลุก่อนพระ พระก็ทำไปๆ ก็บรรลุธรรมะบ้างนี่ ต่างคนต่างบรรลุด้วยกัน ก็สาสะธรรมะกันได้ ก็พยายามทำเถอะ

    เราเดี๋ยวนี้นะ การตายเนี่ยะ ไม่เหมือนแต่ก่อน เรายังไม่ถึงวาระมันก็ถึงความตายได้ รถชนกันตาย เราไม่ได้หมุนพวงมาลัย คนอื่นหมุน เขาตายก็ตายมั่ง เขาลำบากก็ลำบากมั่งเพราะการตายการเจ็บไข้ เราอย่าได้ประมาทเลย พยายาม ทุกคนพยายามทำใจนิ่งใจเฉย นั่นแหละรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
    เพ่ง อย่าลืม มีสติสัมปชัญญะความรู้ตัว อยู่กับกายใจของตัวเองอยู่ทุกขณะ เมื่อนิวรณ์นี้ดับเมื่อไร ก็จะรู้ธรรมเห็นธรรมเมื่อนั้น ให้รู้ว่าเมื่อเรานั่งใหม่ๆ กายก็เบาใจก็เบา แล้วนั่งนานไปๆ ชักเมื่อยขึ้น ทำความรู้ทนไม่ไหว เราก็เปลี่ยนอิริยาบถ กายก็จะเบาจิตก็จะเบาไปอีก สบายกายสบายใจอีก เราก็หมั่นทำอยู่อย่างนี้แหละ ทีนี้เมื่อใจฟุ้งซ่าน ไม่อยากจะอยู่ในสมาธิได้ อย่างนี้ ขันติความอดทนอยู่ได้ ทางกายถ้าเมื่อย เราก็เปลี่ยนอิริยาบถ เราจะนั่งตั้ง ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงก็ได้ เราพยายามเปลี่ยนอิริยาบถไว้ถ้าใจฟุ้งซ่าน เราขันติความอดทน ไม่ลุก ถ้าอย่างนี้ เป็นอันดี ไม่ช้าก็จะรู้ ก็จะรู้ธรรมะของพระองค์ได้ จะรู้ว่าอันนี้เกิด อันนี้ดับ อันนี้ฟุ้งซ่านรำคาญใจ ไม่อยู่ในด้านสมาธิได้ ก็ใช้ขันติความอดทน ควรปลอบใจตนเองก็ปลอบใจ ควรยกย่องใจของตนเองก็ยกย่อง ถ้าบีบคั้นมันหนักเข้า มันก็จะพยศเรามากเข้า มันก็จะไม่ให้อยู่ในอารมณ์นั้นได้ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่งสมาธิทำความรู้อยู่ทุกขณะ จึงจะเรียกว่าเป็นผู้รู้ผู้ตื่น ทำให้เบิกบาน ทำปีติให้เกิดขึ้น กายก็จะเบาจิตก็จะเบา บางครั้งจิตใจเข้าภวังค์แล้ว สว่างขึ้นก็มี บางครั้งจิตเข้าภวังค์แล้ว สบายกายสบายใจ กายเบาจิตเบา ก็ถืออารมณ์นี้ไปเป็นอารมณ์ แล้วก็ให้จำอารมณ์ไว้ ทีนี้เมื่อจิตออกจาภวังค์แล้วจะกายหนัก กายหนักำไม่เบา เราก็พยายาม พยายามทำไปถ้ามีง่วงเหงาหาวนอนมากทนไม่ไหว ก็ลุกขึ้นเดินจงกรม เดินจงกรมพอหายแล้ว พอหายง่วงกลับมานั่งสมาธิใหม่ กายก็จะเบาจิตก็จะเบา ก็จะประคองใจขึ้นอีก อย่างนี้จึงจะสำเร็จง่ายพระองค์ได้แนะ ข้าพเจ้าถึงแล้วเป็นที่พึ่งกำจัดภัย จริง นี่ที่เราทำวัตรกันในบาลีว่า นี่แหละที่เราได้แนะนำกันในแบบนี้ ก็จะฉลาดได้ ก็กับผู้ปฏิบัตินั่นแหละสมาธิลืมตาเห็นใกล้ สมาธิหลับตาเห็นใกล้ เห็นใกล้ๆ ตัวเรา แล้วก็หมั่นหลับตา หมั่นลืมตา แล้วเราก็จะได้รู้เห็นชัด เช่นว่าเรามองดู แล้วเราก็หลับตาใหม่ อาจจะปรากฏตัวได้ ทีนี้เมื่อความรู้เห็นขึ้นแล้ว ศรัทธาก็จะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ ก็จะมีเพียรมีหมั่นขึ้นอย่างแน่นอนนี่ ธรรมอันนี้แหละที่สอนหรือแนะนำเมื่อไรก็สอนกันอย่างน ี้ เพราะยังไม่ได้ไม่ถึง เราก็สอนกันแบบนี้แหละ

    ทีนี้เมื่อได้แล้วเห็นแล้วก็เข้าใจขึ้น ก็เข้าใจขึ้นว่าอย่างนี้เราได้พบ อย่างนี้เราได้ทำเห็นขึ้นแล้ว อย่างนี้เราได้ทำให้สว่างขึ้นแล้วนี่ เราก็จะรู้ได้เห็นได้เฉพาะตน
    คนเราที่จะไม่มีศรัทธาก็เพราะตนไม่เคยนั่งไม่เคยปฏิบ ัติ ก็เมื่อยเหลือเกิน เมื่อยก็ทำไม่ให้มีศรัทธา นั่งก็ไม่เห็นจะเห็นอะไรเลย มีแต่เรื่องเมื่อยทั้งนั้น ก็การเรื่องเมื่อย กายอย่างนี้ก็ควรเห็นไว้ได้ก็ดี ก็ทุกข์นี่แหละ ถ้าเราเห็นทุกข์นี่ เราก็จะพ้นทุกข์ในการเบื่อหน่าย ทีนี้เมื่อทำแล้วมีสมาธิแล้วจะนั่งสักเท่าไรก็ได้ ปีติ กายก็เบาจิตก็เบา แล้วทีนี้ก็ความสบายกายสบายใจก็เกิดขึ้น ตั้งเกิดมาไม่เคยสบายอย่างนี้เลย นั่นแหละก็จะทำให้ญาติโยมมีศรัทธาได้ ที่ท่านได้บำเพ็ญปฏิบัติธรรมะ ๙ ปี ๑๐ ปี ๒๐ ปี ไม่มีเลิกมีละ ก็เพื่อท่านจะแสวงหาซึ่งความสุขนั้นแหละ และเพราะเห็นทุกข์แล้ว ท่านก็จะต้องทำให้มันพ้นทุกข์ นี่แหละ รู้ทุกข์ เห็นทุกข์ ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ นี่แหละ อะไรจะปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ในสติปัฏฐาน ๔ นี่แหละ ทุกอิริยาบถนั่งเราก็ลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถซะ เดินมากไป ทุกข์ก็เกิดในอิริยาบถเดินมาก เราก็นั่งซะ รูปที่มีทุกข์ ยืนๆ เดินๆ อยู่ก็ดับไป หนักเข้าเพียรไปหนักเข้าๆ ฌานสมาบัติก็จะเกิดขึ้นกับเรา เราก็จะรู้แจ้งขึ้นมาได้เรื่องการที่จะรู้แจ้งขึ้นได้ก็ ที่จะได้ผลเร็วก็จะต้องรักษาศีลให้ดี ศีล ๕นี่ให้สมบูรณ์ขึ้น ศีล ๘ ก็ให้ดีขึ้น ทุกข้อที่เราสมาทาน สมาธินี่ก็จะเกิดง่าย ปัญญานี่ก็จะรู้เร็ว คนที่ปฏิบัติมากนี้ไม่ค่อยจะรู้เลย เพราะศีลไม่ค่อยดี ศีลไม่ค่อยดี ถ้าศีลดีแล้ว รู้ง่าย เห็นง่าย ฉลาดง่าย ก็พยายามรักษาศีลเหมือนต้นไม้แหละ ต้นไม้ที่เล็กๆ เจ้าของจะต้องหมั่นรดน้ำพรวนดินอยู่ ต้นไม้พอโตแล้ว เจ้าของไม่ต้องรดหรอก เช่นว่ามะม่วงเนี่ยะพยายามรดน้ำไปจนใหญ่โตแล้วไม่ต้อ งรดหรอกแล้วก็จะต้องออกลูกออกผลเองให้เจ้าของได้บริโ ภคขบฉัน ฉันใดที่เรามาปฏิบัติกรรมฐาน ฐานแปลว่าที่ตั้ง ที่ตั้งของใจ ฝึกสมาธิ ใจสงบ หนักขึ้นรู้เห็นใจหลุดพ้น พระอริยมรรค พระอริยผลก็จะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ ก็จะรู้แจ้งว่า ธรรมเป็นอย่างนี้ ธรรมที่หลุดพ้นเป็นอย่างนี้ รู้จักวาระน้ำใจของตัวเองขึ้น สามารถเมื่อจิตนี้จะมีสมาธิดีแล้ว ย่อมจะระลึกชาติของตัวเองได้ ๑ ชาติ ๒ ชาติ ๓ ชาติ นี่ ปฐมมรรค ปฐมฌานนี้แหละ ซึ่งปฐมฌานเป็นองค์มรรคของพระโสดาบันนี้แหละ ก็ขอให้เราได้กระทำเถอะ ให้ทำให้เข้าคล่องออกคล่องว่องไว ทำให้เป็นวสี ๕ ต่อมาให้ถึงฌาน ๔ ที่เราว่านี่ ทำให้ได้ผู้ปฏิบัติต้องได้ เรื่องไม่ได้ไม่มีหรอก ที่เรานั่งคอยจะหลับเนี่ยะ เราคอยเกร็งไว้ไม่ให้หลับ สับเราก็รู้ว่าสับ นี่แหละ สับ...รู้ๆๆ นี่แหละ พึงจะรู้จะเห็นขึ้นมาได้ ใจสงบแล้วเราก็รู้ ใจเราตั้งอยู่มีสมาธิแล้ว ก็ให้รู้ ใจยังฟุ้งซ่าน ก็ให้รู้ ที่อาตมานำอยู่นี่แหละ ใจสงบก็รู้ กายสบายก็รู้ ใจก็สงบ กายก็สงบ กายก็เบาใจก็เบา อย่างนี้เราก็มนสิการไว้ให้มากๆ ขึ้น ทีนี้ แจ่ม ใจจิต แจ่มไม่มีง่วงไม่มีเหงา มีสบายกายสบายใจยิ่งหนักขึ้น ทีนี้ความบริสุทธิ์ของใจของผู้ปฏิบัติก็จะมีขึ้นเวรมณี เราพยายามขัดแก้ว แก้วอยู่ที่ใจ แก้วอยู่ที่ตา เมื่อเราเข้าไปขัดด้วยศีล สมาธิ ปัญญา หนักขึ้นก็จะสว่างไสวขึ้นมาควรยินดี ที่ยถานี่แหละเป็นองค์ตรัสรู้ทั้งนั้นแหละขอให้ผู้ปฏ ิบัติเอาจริงเถอะ ย่อมได้สมความปรารถนาอย่างแน่นอน แก้วตาก็จะดีขึ้น แก้วหูก็จะดีขึ้น จะฟังใกล้ก็ได้ จะฟังไกลก็ได้ หลักวิชชา ๓ ก็จะเกิดมีขึ้นกับเรา ก็จะระลึกชาติได้ เราทำ ทำให้ดีขึ้น ให้ปีติในพระพุทธเจ้าให้มากขึ้น ปีติพระพุทธเจ้าอยู่ไม่ขาดสาย จะนั่งอยู่ก็ปีติในพระพุทธเจ้า จะนั่งอยู่ก็ปีติในพระธรรมเจ้า นั่งก็ปีติในพระสงฆเจ้า ให้ปีติ ปีตินี้แหละทำเป็นเครื่องอิ่มได้ เป็นเครื่องให้เข้าถึงสุขได้ ปีติปฏิบัติไปตามนี้แหละ

    ที่อาตมาแนะนำนี้แหละ จะได้หมดทุกข์นะ ตายแล้วเกิดอีก ตายแล้วเกิดอีกไม่ไหว มันเกิดเสียก่อนตายนะ ทำเสียให้ดับ รู้เรื่องรูปนามเกิดดับแล้วจะเป็นผู้ฉลาด เหมือนอาตมาแนะนำนี้ เสียงก็ติดก้องอยู่ในแก้วหูของโยม ถ้าอาตมาหยุด เสียงนี่ก็ดับเลย ทีนี้เราไม่ยึดถือเรื่องเสียงล่ะ ได้ยินก็ไม่ว่า ไม่ได้ยินก็ไม่ว่า ทำใจให้รู้ ..เฉย รู้ ...เฉย เขาว่าดีก็ไม่ว่า ว่าไม่ดีก็ไม่ว่า เราต้องฝึกหัด สารถีต้องฝึกหัด ถ้าไม่หัดแล้วไม่ได้หรอก ต้องความศรัทธา ความเชื่อความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ทำเราก็จะย่นชาติย่นภพได้
    อย่าให้เสียทีเราเกิดมาเจอแล้วเจอพระธรรมคำสั่งสอน เจอพระสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็มี ที่ไม่ปฏิบัติก็มี เราก็ทำขึ้น แล้วเราก็จะได้รู้ขึ้นเอง ทำรู้ขึ้นเองนี้ฉลาดจิตที่จะได้มรรคผล อุปมาเหมือนคนที่ถ่ายรูปนี่ปรากฏก็เหนี่ยวรั้งของนั้ น รูปภาพก็ติด ฉันใด ว่านิวรณ์ดับ แล้วแห่งพระอริยเจ้าก็เกิดขึ้น ไม่รู้ตัวหรอก พยายามเถอะ ได้ไม่รู้ตัวหรอกอุปมาเหมือนคนป่า อยู่ที่ไม่สมบูรณ์แต่พระเจ้าแผ่นดินโปรดปราน ก็จะให้คนป่าเข้าเฝ้าให้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แล้วก็ท่านเลยถ่ายรูปไว้ ถ่ายรูปไว้ แต่ผู้นั้นเกิดในที่กันดาร ถ่ายในที่กันดาร แล้วสั่งคนนั้นเข้าเฝ้า ทีนี้เอารูปนี้ให้ดู ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นรูปตัวเองเลย กระจกไม่มีส่อง ทีนี้ก็พระเจ้าแผ่นดินส่งรูปให้ก็ไม่รู้จัก ไม่รู้จัก พระเจ้าแผ่นดินจะโปรดยังไงได้ ไม่รู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินรัก ไม่รู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินจะโปรด ไม่รู้จักว่าพระจะโปรด ความรู้ไม่มี ไม่เคยเห็นเลย แต่พระเจ้าแผ่นดินก็ไม่รู้จะทำอย่างไร พระเจ้าแผ่นก็นึกได้เลย ส่งกระจกเข้าไป พอส่งกระจกให้ดูแป๊บเดียวเท่านั้น รู้ว่ารูปถ่ายนี้เป็นรูปของเรา ก็บอกได้นี่รูป ของตนเองนะสิ เพราะถ้าเราไม่มีกระจกแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไร ใบหน้าของเราทีนี้พวกนักปฏิบัตินี่ หลับตาก็ด้วยแล้วจะเห็นอะไร ธรรมะนี้เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน พระตาบอดจูงพระตาดี พระตาบอดจูงพระตาดี ได้ยังไง เหมือนอย่างคนขับรถนี่แหละ เขาเอากระจกไปไว้ข้างหน้าโน่น ไม่ได้ไว้ข้างหลัง แล้วรถข้างหลังมันมาเห็นได้ปัญญาก็เหมือนกันที่เรานั่งกรรมฐาน ถ้ามีตาดีเข้าแล้ว ใครจะมาข้างหลัง เราก็จะเห็นได้เหมือนกัน เราก็จะรู้ได้ เพราะเรามีกระจกอยู่ข้างหน้า ใครจะยกมือยกไม้จะมาตีเราเราก็เห็นการข้อวัตรปฏิบัตินี่แหละอุปมาอุปมัยให้กับญาติโยมให ้ฉลาด โยมก็ทำไปก็แล้วกัน ทำไปแล้วก็จะรู้จักขึ้นเอง ให้เห็นที่ตัวของตัวนี่แหละ เห็นผม เห็นขน เห็นเล็บ เห็นฟัน เราเม้มปากไว้ดี เห็นฟันได้ เราก็ฉลาดขึ้นแล้ว เราไม่เห็นเราก็พยายามทำสบายๆ ไปก็แล้วกันทีนี้เมื่อเราเกิดโอภาสแสงสว่างขึ้นแล้ว มีนัยน์ตาดีขึ้นแล้ว รู้จักชาติ รู้จักภพของตัวเอง ก็ต้องรู้สิว่าปฐมฌานเกิดขึ้นกับเราแล้ว เราก็หมั่นเพียรหมั่นเข้าอยู่บ่อยๆ เป็นเนืองนิตย์ เพราะจะได้ฉลาด อันเราเพ่งอยู่บ่อยๆ หนังเราจะบางขึ้น เพ่งบ่อยขึ้น หนังเราก็จะบางขึ้น เราก็จะเห็นได้รู้ได้ เหมือนไม้เราไม่ได้ขัดได้ถู เงาของเราก็ไม่เข้าไปในเนื้อไม้ได้ ฉันใด เราหมั่นขัดหมั่นถูขึ้นแล้ว ย่อมมีจะมีญาณเข้าไปหยั่งรู้ในกายใจของเราได้ อย่างไม่ผิดหวังเอ้า อันนี้ก็ นำกรรมฐานญาติโยมแล้ว ก็ขอพยายามทำออกจากสมาธิ ใช้มือถูถูหน้าตักไป แล้วไปเกาะหัวเข่าไว้อย่างพระสะดุ้งมารน่ะ จิตใจจะสบายอีกได้ สองมือเกาะหัวเข่าไว้ ใจสบายเรายกมือขึ้นพนมไว้ที่หัวใจ ไหว้พระ ยกมือขึ้นหว่างคิ้ว ให้เห็นมือด้วย ถ้าไม่เห็นกำหนดรู้พยายามทำอย่างนี้ทุกครั้งนะ กลับไปบ้านเอามือพาดลูกตาแล้วยังไม่เห็นอีก หมั่นๆ ทำ มันจะได้เห็น ทีนี้เมื่อเราเห็นแล้วเราจะฉลาดขึ้นเอง

    นี่ต่อเนื่องการรู้การเห็นนะ ได้เหมือนกันอย่างว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะได้เหมือนกันที่ไหว้พระ
    กลัวบาปมากกว่ากลัวผีนะ... ก็ทนสิ ขันติความอดทน .... พระเขาห้ามรับเงินนะ รับไว้มากๆ เดี๋ยวไปซื้อตุ๊กตาเมืองไทย รับไว้มากๆ เดี๋ยวไปซื้อตุ๊กตาเมืองไทยซิ พระท่านห้ามรับเงิน ไม่จับ มันใช้เก่งนะ สร้างโน่นสร้างนี่หมด พระที่ไม่จับเงินนี่มันดีเรื่องอยู่ป่าช้านี่ มันต้องมีขันติความอดทน ความกลัวนี่มันกลัว ก็นึกว่าการเรากลัวบาปนี้มันมากกว่า เราถึงเข้าไปอยู่ในป่าช้า ละก็ ท่านเขียนไว้หมดแล้ว ธุดงค์นี่ เมื่อบวชแล้วให้ไปปฏิบัติ ให้อยู่ป่าช้าเป็นวัตร ให้อยู่โคนไม้เป็นวัตร รับ อามะ ภันเต อามะภันเต ว่ารับเรื่อยว่าจะรับ ไปอยู่โคนไม้บ้าง ไปอยู่กลางแจ้งบ้าง บอกอนุศาสน์ นะ ให้ไปธุดงค์ก็รับเรื่อย ทีนี้ถ้าเราไม่รับล่ะ ถ้าเราไม่ไปอยู่ โกหก โกหกอุปัชฌายะทีนี้ต้องทำ ต้องไปอยู่ป่าช้าเป็นวัตรเสียมั่ง ไปอยู่โคนไม้เป็นวัตรเสียมั่ง ไปอยู่กลางแจ้งเป็นวัตรเสียมั่ง แล้วเข้าไปกลัวใหม่ๆ เรื่องผีนี่กลัวมาก และผีบ้านทึงนี้ชื่อว่าหลอกเก่ง ผีหลอกเก่ง พอเราเข้าไปมั่งมันก็กลัวสิ กลัว กลัวก็ไม่กลัวเปล่าหรอก มันก็มาทำท่าอย่างนั้นมั่ง ทำท่าอย่างนี้มั่ง ละก็ทำตาโบ๋มั่ง ทำตาอะไรมั่ง ก็พวกนึกไปทุกอย่างล่ะ ถ้ามันมานี่จะหนีไหม นี่ ถาม ถามตัวเอง กลัว กลัววันนั้นไม่ได้หลับได้นอนแล้ว ไล่นิวรณ์ดี ไม่ง่วงนอนเลย ตาแจ๋ว ภาวนา พุทโธ ๆ เดี๋ยวเลิกพุทโธ แล้ว ผีหลอก ผีหลอกอีกแล้ว นึกเรื่องผีหลอกอีกแล้วก็ดีเหมือนกัน กลัวผีเสียแล้วไม่ง่วงนอน ถ้าไม่กลัว เดี๋ยวง่วงจังเลย หนักเข้าๆ กลัวจนน้ำลายแห้ง ไม่ได้นอนเลย คืนหนึ่งไม่ได้นอนเลย เขาตียาม เม้งๆ ตีสองตีสามตีสี่ ตีห้าก็ต้องออกบิณฑบาต นั่งแคร่วอยู่อย่างนั้นเอง วันนั้นได้บุญมาก พอหนักเข้าวันหลังๆ ชักนอนหลับ ชักไม่กลัวมันแล้วสิ ไม่กลัวปฏิบัติก็น้อยเข้า ไม่เหมือนวันอนั้นหรอก แล้วไปบิณฑบาตได้ข้าวมาอย่างเดียว โอโห พอจะฉันข้าวจะติดคอตาย น้ำลายมันไม่มี ต้องเอาน้ำกลั้ว ฉันเข้าไปไม่ค่อยได้เท่าไร มีแต่ข้าวอย่างเดียว เคยฉันมันมีกับมีอะไร เค็มๆ มันมี วันนั้นข้าวอย่างเดียวฉันไม่ได้มาก พออีก ๒-๓ วัน ไปวันหลังทีนี้ก็ เขาใส่บาตรให้บ้างอะไรบ้าง มีทั้งกับมีทั้งข้าวมันพอฉันกันไปได้เรื่องกลัวนี่มันทำให้คนไม่เข้าไป กลัวอะไรจะหนีไม่พ้น ก็ความตายนะสิ หนีไม่พ้น กลัวดีกว่า กลัวความตายนี่ ผีหลอกไม่ต้องกลัวหรอก กลัวคนหลอกนี่ดีกว่า คนหลอกหลอกยิ่งกว่าผีอีก ผีหลอกยังไม่เสียเงินเสียทองนะ คนหลอกบางทีเสียเงินเสียทองนะ หือ ไม่เคยได้ยินกันบ้างหรือ เขาหลอก หลอกเอาใบที่ดินที่เดินไปจำนำจำเนิมแล้วมันไม่ไถ่ให้ หลอกกันหนักเข้าๆ ฆ่ากันเลย เสียทีมัน แต่ผีหลอกนั้นมันไม่ทำอะไรเลยมันเคยมาให้สะท้านหวั่นไหวเหมือนกันในป่าช้า อาตมาก็ไม่มีอะไรเสียหายอะไร อะไรมันก็ต้องตายเหมือนกันแหละ เขามานี้ไม่กลัว มันหลายวันแล้วตั้งตัวได้แล้ว

    ถ้าอย่างวันก่อนๆ นี้ยังไม่แน่นะ ทีนี้มันหลายๆ วัน จะเกิดเรื่องอย่างพรุ่งนี้ วันนี้มีคนมาอ่านมนต์ให้แล้ว ฝันว่าอ่านมนต์ให้ ถามว่า อ่านมนต์ให้ทำไมล่ะ ก็อ่านป้องกันไว้ให้นะสิ พอพรุ่งนี้ล่ะก็ เสียงสะท้านหวั่นไหวในป่าช้า เปล่า... เฉย... ได้วิชาอย่างหนึ่ง เฉย ไม่กลัว มีสมาธิ กำลังนั่งสมาธิอยู่
    ญาติโยม ไม่ต้องกลัวหรอก ผีหลอกไม่เสียเงินหรอก คนหลอกมันเสียเงินเสียตัว ลำบาก ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ นี่ไม่เป็นอะไรยิ่งดีขึ้นอีก โธ่ไม่กลัวแล้วจิตใจ สมาธิ มีสมาธิย่อมไม่กลัว จริงๆ เลย โยมก็ทำไปเถอะ จะได้ไม่ต้องกลัว ไอ้ที่กลัวมันกิเลส ยังไม่มีสมาธิมันก็กลัวไปงั้นเอง กลัวที่เขาเชื่อคนที่ไปดูภาพยนตร์กลัวใหญ่เลย มันเคยไปเห็น หา กลัวไหมโยม นี่พระสนองท่านไปอยู่ตั้ง ๓ ปี ท่านไม่เห็นกลัว ถามสิ ผีมีไหม หือ หรือหลอกท่านก็ไม่กลัว ไม่งั้นท่านไม่พาโยมไปดูในป่าช้าหรอก พวกโยมนี้เก่ง พระถึงไหน โยมก็ถึงพระเหมือนกัน พาไปนอนในป่าช้าได้ก็ได้หมด เผื่อเอาไปไต่สวนสิพวกโยมเห็นผีหลอกบ้างหรือเปล่า ไปอยู่ในป่าช้ากับพระสนอง หลอกไหม หลับเงียบเลย หลับสบาย นั่นแหละเขาเรียกว่าสบายทำลายความสุข ไม่เอาความสุขล่ะ มันก็ได้ความสุข นอนหลับสบาย ผีเผอไม่มีเลย มีแต่ตัวเองหลอกตัวเองนะสิ เรากลัวไปก่อนแล้ว ยังไม่ทันได้หลอกเลย ไม่ต้องกลัวหรอกโยม เชื่อพระ เชื่อพระชนะมาร ไม่เชื่อพระก็แพ้มาร ก็มีมั่งแหละโยม ไปอยู่กับผีก็เหม็นบ้างแหละ ช้างเข้าไปอยู่ไม่เห็น มองไม่เห็นตัวช้างหรอก เพราะมีแต่ช่องหามผีไปเท่านั้นผีหลอกไม่เกินป่าช้าวัดบ้านทึง อย่าว่าแต่หลอก มันกัดเอาก็มีนะ กัดเอาเป็นแว่นเลยนะ ฟันผีก็คมเหมือนกัน วัดบ้านทึงไม่ใช่เล่น อย่าว่าผีไม่มีตัวมีตน ก็มีนะ พระคงเลวๆ มั่งแหละนะ มันถึงได้กัดเอา พระดีก็คงไม่กัดหรอกเชื่อไหมนี่โยม ที่ว่านี่ ว่าผีกัดพระน่ะ พระไม่โกหกหรอก นี่ตาอุม ชื่อโยมอุม แกเป็นพระ แกเป็นนักธุดงค์อยู่ในถ้ำ ไปไปพูดว่าไม้รวก ตรงๆ ดี พูดกับลูกศิษย์ อันนั้นก็ดีฮึ อันนี้ก็ดี พอพูดอย่างนั้นกลับมาถ้ำ สกปรก เสียงผีว่าเข้าแล้ว สกปรก นี้ แกมาบอกเองเลย ที่ถ้ำเสือนี่แหละ แต่ก่อนแกไปอยู่ สกปรก อีกวันนั้นทำให้หลับไม่ต้องมาบิณฑบาตเลย ผีถ้ำทำให้หลับเสีย อดข้าวเลยโยมนี่พระสนองท่านพาไปนอนในป่าช้าได้ นอนในโค้นไม้ได้ เนี่ยเป็นคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ เป็นนิสัยติดตามไป ไปเสียทีหนึ่ง ทีหลังก็อยากไปอีก อยากไปเรื่อยไป เหมือนอย่างพระธุดงค์เนี่ย ไปก็ตั้งปี ไปแล้วใช่ว่ามันสบายเมิ่อไร ก็ไปลำบาก จะพาเอาโลภ โกรธ หลงนี่แหละไปทิ้ง อุตส่าห์เอานะโยมนะ โยมที่นั่งกันอยู่เนี่ยะการที่พระจะไปปฏิบัติเอาธรรมะมาแนะนำสั่งสอนญาติโยมไ ด้เนี่ยะ ท่านก็ต้องเสี่ยงชีวิตเหมือนกันนะ ต้องเข้าไปในดงในป่า อย่างกะพระสนองเนี่ยะ จะเล่าก็น่าหวาดเสียวเหมือนกัน ไอ้เสือนี้ยิ่งกว่าผีนะ มันร้องนะ มันร้องนะยิ่งกว่าผีนะ ผีนี้มันไม่เท่าไหร่หรอก เสือนี้มันน่ากลัวกว่า แล้วไปหลงอยู่ในป่าหาทางออกไม่ได้ขนาดไหนที่กว่าจะมา สอนญาติโยมได้เนี่ยะ โยมนี่เป็นผู้มีบุญดีนะ ได้มาพานพบกับพระที่ปฏิบัติเสี่ยงชีวิต มันผ่านอุปสรรคมาก ที่การจะปฏิบัตินี่ ไอ้ผีนี้ไม่เท่าไรหรอก ไอ้เสือนี่สิสำคัญ งูเนี่ยะสำคัญ มันไปนอนอยู่เนี่ยะ มันจะเข้ามานี่วันนั้นอาตมาไปนอนที่ถ้ำ อะไร ที่วัดที่พระสนองไปตั้งใหม่ ทองผาภูมิ ไปนั่งอยู่ เอ อะไรมันมาฉกอยู่ ฉกอยู่ข้างไหวๆ ก็ลืมตาดู โอ้ งู... เอ๊ ! เราก็ไม่มีความผิดอะไรมาฉกเนี่ยะอยู่ข้างมุ้งเรา เราก็ว่า เอ๊ะ อะไรมันไหวๆ เอาไฟส่อง เอ้า งู เราไม่ผิดอะไร มากัดเราได้ เนี่ยะ เขาว่าพระมันเสี่ยงชีวิตอย่างนี้ ถ้าโยมไปเสี่ยงชีวิตตามพระนี้ก็มีพลานิสงส์มาก ขอให้รู้ว่าตัวเองมีของดีอยู่ในใจ พระองค์ได้แนะ ข้าพเจ้าได้ถึงแล้วเป็นที่พึ่งกำจัดภัย ภัยไม่มีกับคนซื่อตรงหรอก งูก็ไม่มีมากัดเรา ผีก็ไมมีหลอกเรา นี่ ไปกับพระ เขาว่าไปกับพระหมาก็ไม่กัดนะ นี่แหละท่านนำไปสวรรค์ ไปนิพพาน อุตส่าห์มาเถอะ มาปฏิบัติเถอะ กำลังชีวิตเรายังมีอยู่ เมื่อเราจะแตกดับที่ไหนก็ได้เรามีศีลธรรมแล้วก็ไม่ต้ องกลัวก็จะต้องไปสวรรค์ คนไม่มีบุญก็จะต้องไปสู่ทุกข์เท่านั้นสิ
    <!-- / message -->
     
  12. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,793
    ขอกราบ น้อมนำคำสั่งสอน ของพ่อแม่ครูอาจารย์ มาปฏิบัติเพื่อใจจะได้มีหลักชัยครับสาธุ
     
  13. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    หลวงพ่อใหญ่เป็นพระอาจารย์ที่โตรักและเคารพอย่างยิ่งๆ เพราะว่าท่านเป็นพระอาจารย์องค์ที่2จาก"ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน" หลังจากที่ท่านพ่อ(พระราชพรหมยาน)สิ้น หลวงพ่อใหญ่ก็มาเป็นครูบาอาจารย์ผู้สั่งสอน ...

    ด้วยความที่เป็นผู้ได้เคยพบเจอพระทางสาย"อภิญญา" คือ"ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน" (จริต)เลยชอบใจมาทางนี้ หลวงพ่อใหญ่ท่านก็ทราบดีด้วย"ญาน"วิถีของท่าน ท่านจึงเมตตาเราในแบบของโตคือ....ต้องแสดง"ฤทธิ์"ให้เห็น ด้วยความเมตตาของท่าน ท่านก็แสดงออกมาให้เราดูบ่อยๆ อย่างเช่น..เรื่องที่ท่านทราบอนาคตโดยการแกล้งบอก"หวย" ท่านจะเรียกให้เข้าไปใกล้ๆ(เพราะว่าเสียงท่านเบา5555) ท่านจะใช้คำว่า"ฉันฝัน"55555 แต่ฝันของท่านมันออกทุกๆงวด5555 ไอ้เราก็"ลิงทะโมน"มีหรือจะไม่ไปซื้อ อีกอย่างจับทางท่านได้เลยรวยกันใหญ่ในสมัยที่ท่านยังอยู่.....(นี่เป็นส่วนนึงที่ทึ้งใน"อำนาจจิต"ของท่าน ..

    สึ่งนึงที่ท่านเมตตาโตก็เพราะว่า โตเป็นคนชอบทำบุญ ขอให้ได้ทำจะอดก็ช่างแต่ขอใหได้ถวายของทุกๆอย่างที่เป็น"เอก"ในบวรพุทธศาสนาของต้องปรานีต(ราคะจริต5555) ท่านจะบอกกับหลายๆคนว่าเราเป็นคน"ใจบุญ" แต่ท่านไม่บอกต่อหน้าท่านจะบอกกับผู้อื่นตอนที่เราไม่อยู่

    มีอยู่เรื่องนึงจะเล่าให้ฟัง ....ฟังแล้วก็ต้องคิดให้หนักๆ คือท่านมักจะเตือนเรื่อง"น้ำท้วม" ท่านว่า...."หน้ากลัว....ไม่มีบุญต่อไปอยู่ไม่ได้....น้ำจะท้วม....คนไม่มีบุญลำบาก" หลวงพ่อใหญ่ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้มี"วาจาสิท" คำพูดของท่านไม่เคยพิดเลยสักครั้ง ...ทุกท่านอ่านแล้วก็จงคิดให้หนักๆ สาธุๆๆ
     
  14. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    "ฉันอยากได้กึ่งโพธิ์ จะเอามาแกะเป็นเจดีย์บันจุพระธาตุ".....

    "ฉันอยากได้กึ่งโพธิ์ จะเอามาแกะเป็นเจดีย์บันจุพระธาตุ".....(หลวงปู่"หลวงพ่อใหญ่"ทราบอนาคต)

    นี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่หลวงปู่(หลวงพ่อใหญ่)ได้ ออกปากให้เราหาของให้....ซึ่งหลวงปู่(หลวงพ่อใหญ่)จะไม่ค่อยออกปากบ่อยนัก เรื่องมีอยู่ว่า อยู่มาวันนึง หลังจากกลับจากไปถวายผ้าไตรกับหลวงปู่บุดดา โตและเพื่อนๆ4คนแวะไปกราบและถวายสังฆทานกับหลวงพ่อใหญ่...พอเจอหน้าท่านก็บอกกับพวกเราทุกคนว่า"ฉันอยากได้กึ่งโพธิ์ จะเอามาแกะเป็นเจดีย์บันจุพระธาตุ.....แต่ห้ามไปตัดนะ...ต้องไม่ไปตัดเอามา" ครั้งนี้แปลกคือ ท่านเห็นหน้ามาคุยกับโตแต่ไม่หันไปหาอีก3คน....ตอนนั้นหัวใจโต"เศร้าหมอง"อย่างหนักเพราะว่า โตอยู่สุขุมวิท โตจะไปหากึ่งโพธิ์ได้ยังไงอยู่ในกรุง แต่เพื่อนๆเค้าเป็นลูกชายผู้ใหญ่บ้านและ อบต ที่ปทุม เค้าคงมีบุญได้ถวายมหาทานนี้เป็นแน่แท้ เราคงหมดหวังในมหาทานในครั้งนี้แล้ว...

    พอเช้ามีความรู้สึกอยาก"ใส่บาตร"เลยเดินไปวัด(วัดธรรมมงคล) ขณะเดินไปตาไปเห็นกึ่งโพธิ์กำลังงามใหญ่กำลังดี เหมือนถูกใครตัดหรือหักเองก็ไม่ทราบอยู่ในที่ของ(หมู่บ้านมณีญา) ตอนนั้นหัวใจพองโต ดีใจเหลือเกินรีบๆเดินไปใส่บาตร แล้วไปตรงกึ่งโพธิ์บอกยามให้เอาเบอร์ของเจ้าของหมู่บ้านมาให้ เพื่อจะโทรไปขอ"อนุญาติ" โดยตรงจากเจ้าของแท้ๆเพราะไม้โพธิ์ขึ้นในหมู่บ้าน พอท่านเจ้าของทราบก็ดีใจให้กิ่งโพธิ์กับโตมา โตดีใจมากๆ พอมาถึงบ้านก็เอากิ่งโพธิ์ไปล้างและเอาผ้าสีเหลืองมาพูก(สีธงชัยพระอรหัน)และเอาน้ำหอมทาแทที่กึ่งโพธิ์เป็นการบูชา"ไม้โพธิ์"ที่จะนำไปแกะเป็นพระเจดีย์บันจุพระบรมธาตุ

    พอถึงวันก็นำเอากึ่งโพธิ์ไปถวายหลวงปู่...หลวงปู่บอกให้แม่และโตนำกึ่งโพธิ์ไปใกล้ๆและพูดว่า..."กี่คนจะได้ทำบุญแบบนี้...เราจะเอาไปแกะพระเจดีย์" แล้วท่านก็รับประเคนกับมือท่าน โตและแม่น้ำตาไหล เราปิติเหลือเกิน และนี้คือบุญที่ทุกครั้งที่นึกถึงจะดีใจปิติในทุกๆครั้ง ...

    ครั้งสุดท้ายที่ไปหาท่านท่านพูดว่า...."เราขออะไรได้ไหม?....โตถามว่า"อะไรครับ"....ท่านว่า"ให้จริญกรรมฐานก่อนนอนทุกๆวันได้ไหม? แล้วจะสมหวังทุกๆอย่าง...." สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  15. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    หลวงปู่ท่านเป็น"มหานิกาย"นะครับเช่นเดียวกับหลวงปู่ทา(วัดถ่ำซับมืด) ไม่ใช่ธรรมยุต ครับ....สวัสดี
     
  16. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    ขอบคุณคุณพสภัธ ที่นำเรื่องราวของหลวงปู่ใหญ่มาเล่าให้อ่าน เหมือนได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยจริงๆ ขออนุโมทนาด้วยครับ
    ท่านใด ถ้ามีเรื่องราวของท่านหรือเกร็ดประวัติ ก็ช่วยกรุณาโพสให้อ่านบ้างนะครับ รุ่นลูกหลานจะได้รู้ในปฏิปทาของครูบาอาจารย์เป็นเครื่องเจริญศรัทธาและปีติครับ
     
  17. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    ธรรมบรรณาการ หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก

    " จิตใจเราเบื่อหน่ายความเจ็บไข้เบียดเบียนเราจึงออกบวช "

    " เราสงสาร เราอยากให้ทุกคนไปนิพพาน ไม่อยากให้ไปนรกกัน "

    " เราเป็นพระบ้านนอก ไม่ได้เรียนหนังสือ ถ้าพวกเรานี้นะ ได้มารู้

    ได้มาเห็น เหมือนอย่างที่เรารู้เราเห็น ก็จะรู้จักเรามากขึ้น "

    " พูดจริงดี ทำจริงดีกว่า อาตมาขอสมาทานไว้ "

    " คุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ชี้ให้เรารู้ทุกข์

    เห็นทุกข์ และปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ "

    " คำสั่งสอนของท่านมีพลังล้ำค่ามาก ผู้ใดได้นอบน้อมนำเอาธรรมวิเศษ

    เข้ามาไว้ที่กายที่ใจ จึงเรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามรอยเท้าของพระองค์ "
     
  18. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,793
    ครั้งหนึ่ง ในกุฏิ หน้าโบสถ์วัดทุ่งสามัคคีธรรม มีพระภิกษุบวชใหม่กลุ่มหนึ่ง ธรรมดาของ

    พระใหม่ ก็อดที่จะพูดคุยเรื่อยแบบโลกๆไม่ได้ ไม่พ้นเรื่องของสาวๆคนโน้น คนนี้ โดยขาด

    สติยับยั้งชั่งใจ แต่เมื่อคุยจบต่างองค์ ก็แยกย้ายกลับที่อยู่ของตนเพื่อทำความเพียรของตน

    ไปจนลืมที่ตนเองพูดคุย ตกเย็นภิกษุกลุ่มนี้ก็ได้ไปถวายข้อวัตร บีบนวดครูบาอาจารย์คือ

    หลวงพ่อสังวาลย์ ที่บนเรือสุพรรณหงษ์ ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านก็ปล่อยให้พระหนุ่มกลุ่มนี้นวดตัว

    ถวายองค์ท่านนานพอสมควร จนกระทั่งท่านลุกขึ้นนั่ง แล้วมองหน้าพระหนุ่มกลุ่มนี้ แล้ว

    ท่านก็เอ่ยธรรมขึ้นว่า " พระอ่ะนะอยู่ที่ไหนก็คุยแต่เรื่องธรรมะ ที่ยังคุยเรื่อง...เรื่อง...

    มันยังไม่ใช่พระนะ" ท่านกล่าวจบ พระหนุ่มกลุ่มนี้มองหน้ากันโดยความรู้สึกยากที่จะ

    บรรยายได้ เพราะท่านถอดเอาคำที่พูดคุยกันเมื่อเช้านี้มาพูดทั้งนั้น พอลงมาจากท่าน ได้

    แต่กล่าวกันเป็นเสียงเดียวกันว่า "ท่านรู้วาระจิตจริงๆ"
     
  19. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    อาจารย์ของผมเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านไม่รู้หนังสือแต่ท่านสามารถรู้พระไตรปิฏกได้ทุกเรื่อง ที่มีพระมหาเปรียญ มาสอบถามท่านและยังสวดมนต์ได้ทุกบทเพราะเทวดามาสอนท่านสวด
    ผิดถูกอย่างไรลูกขอกราบขอขมาหลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก มา ณ ที่นี้
     
  20. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,793
    ใช่ครับ เคยมีพระมหาเปรียญ บอกว่า"ว่างๆจะมาคุยธรรมะกับหลวงพ่อสังวาลย์สักวัน"

    ลูกศิษย์เลยนำคำพูดมาบอกหลวงพ่อใหญ่ว่า "พระมหาท่านจะมาคุยธรรมะกับหลวงพ่อสักวันนึง"

    หลวงพ่อท่านเลยบอกกับลูกศิษย์ว่า"ธรรมะอะไรคุยกันตั้งวันนึ้ง" พอต่อมาไม่นาน พระ

    มหารูปนั้นก็ได้มากราบ และคุยธรรมะกับหลวงพ่อใหญ่ตามที่ตนได้เล่าเรียนมา ซึ่งหลวงพ่อ

    ท่านก็นั่งฟังปล่อยให้พระมหาท่านพูดอยู่นานแสนนาน โดยไม่แสดงความเบื่อหน่ายออกมา

    ตามหลักของผู้ฟังที่ดี พอพระมหาพูดเสร็จ ท่านได้ถามพระมหาว่า " ท่านมหา จิตเมื่อเข้า

    อุปจารสมาธิมีลักษณะอย่างไร" ท่านมหานั่งมองหน้าหลวงพ่อสังวาลย์โดยไม่ได้ตอบ

    หลวงพ่อท่านได้แสดงองค์ของฌาณตั้งแต่เริ่มจนกระทั้งจบ ให้พระมหาฟัง พอเสร็จ พระ

    มหาเปรียญก็รีบลาหลวงพ่อกลับทันทีโดยไม่อยู่ทั้งวันตามที่พูดไว้ ท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์

    ฟังว่า"ถ้ายึดตำราโดยไม่สนใจนำมาปฏิบัติก็เท่ากับใบลานเปล่า"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...