เพื่อการกุศล !!รอโอนครบ!! หลวงปู่ธรรมรังษี"ท่านเจ้าคุณสองแผ่นดิน",หลวงปู่ฤทธิ์ วัดชลประทานราชดำริ, อ.เปล่ง บุญยืน!!

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย seanelsker, 8 กรกฎาคม 2016.

  1. seanelsker

    seanelsker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    1,199
    ค่าพลัง:
    +534
    - ให้บูชาพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง รายได้ส่วนหนึ่ง หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปร่วมบุญตามวัดต่างๆ

    - รับประกันพระแท้ทุกรายการ

    - ค่าจัดส่งฟรี EMS

    - การจองสามารถจองได้ไม่เกิน 2 วัน ถ้ายกเลิกจองขอให้บอกก่อนล่วงหน้าเพื่อไม่เป็นการเสียเวลากับเสียโอกาศของสมาชิกท่านอื่น


    สนใจบูชา โอนเงินเข้าบัญชี ได้ที่

    720-2-63624-8
    ธนาคารกสิกรไทย
    สุระเดช โยฮันเซ่น


    230-2-35922-5
    ธนาคารทหารไทย
    สุระเดช โยฮันเซ่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2016
  2. seanelsker

    seanelsker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    1,199
    ค่าพลัง:
    +534
    ประวัติหลวงปู่ธรรมรังษี " ท่านเจ้าคุณสองแผ่นดิน "

    วัดพระพุทธบาทพนมดิน อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ “ ฉบับย่อ ”


    [​IMG]

    หลวงปู่ธรรมรังษี “ พระมงคงรังษี ”
    มีนามเดิมว่า นายสุวัฒน์ ฉิง เกิดเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๖๒ ณ.ตำบลเกีย อำเภอโมงฤษี (อำเภอโมงรือแซ็ยในปัจจุบัน) จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา เมื่อปฐมวัยได้ศึกษาจนจบการศึกษาภาคบังคับ (เทียบเท่าชั้น ป.๔ ของไทย) เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ๑ พรรษา แล้วลาสิกขาออกมาช่วยบิดา-มารดา ทำงานจนอายุครบ ๒o ปี บริบูรณ์จึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๘๑ ณ.วัดเวฬุวนาราม ตำบลเกียอำเภอโมงรือแซ็ย จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา โดยมีพระสุวัณณเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ พระสุวัณณปัญโญเป็นพระกัมวาจาจารย์ พระจันทัตตเถระเป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีฉายาธรรมว่า “ ธรรมรังษี ” หลวงปู่ธรรมรังษีเป็นพระที่มีใจใฝ่ปฏิบัติสมาธิภาวนา และกรรมฐาน ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานควบคู่กับการศึกษาพระเวทวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์ หลายรูปในประเทศกัมพูชาตลอด ๓๕ พรรษา จนมีวิชาแก่กล้าแตกฉานและเชี่ยวชาญหลายแขนงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน และจังหวัดใกล้เคียงในประเทศกัมพูชาในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่หลวงปู่ธรรมรังษีท่านอายุ ๒๐ ปี ท่านเน้นศึกษาสายพระเวทย์ วิทยาคมจากครูบาอาจารย์หลากหลายสำนัก รวมทั้งศึกษากับพระสังฆราชชวน นาถ (พระสังฆราชองค์ก่อนในยุค ๒๔๙๐) ซึ่งพระสังฆราชชวน นาถ ท่านเป็นมหาปราชญ์แห่งประเทศกัมพูชา หลวงปู่ธรรมรังษีท่านเรียนพระเวทย์เขมรโบราณชั้นสูง ตลอดระยะเวลา ๓๕ ปี (ถึงอายุ ๕๕ ปี) ควบคู่กับการปฏิบัติกรรมฐาน ก่อนที่หลวงปู่ธรรมรังษีจะหันมามุ่งเน้นการปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจังเพียงอย่างเดียวในครั้งเวลาต่อมาในขณะนั้นหลวงปู่ได้รับสมณศักดิ์ เป็น “ พระครูธรรมรังษี “ เป็นเจ้าคณะอำเภอโมงรือแซ็ย

    เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๘ ขณะที่สงครามกลางเมืองในประเทศกัมพูชาร้อนระอุถึงขั้นวิกฤตนั้นหลวงปู่ธรรมรังษีในฐานะทายาทผู้สืบต่ออายุพระพุทธศาสนาตกอยู่ในฝ่ายตรงข้ามเขมรแดง เนื่องจากวัดวาอารามในจังหวัดใกล้เคียงจังหวัดพระตะบอง ถูกทำลายเสียหายและถูกยึดเป็นค่ายทหาร พระสงฆ์องค์ใดไม่อ่อนน้อมยอมลาสิกขาเข้าเป็นพวกจะถูกทรมานถึงชีวิต ที่หนีรอดก็กระจัดกระจายไม่ทราบชะตากรรม

    คืนวันหนึ่ง ในขณะที่หลวงปู่ท่านนั่งเจริญสมาธิภาวนาในกลางดึกสงัด เกิดนิมิตทางหู ได้ยินเสียงประกาศกึกก้องมาแต่ไกล และใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ท่านยังคงนั่งนิ่งดำรงสติมั่น และเกิดภาพนิมิตเบื้องหน้าปรากฏชัดเจน คือองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของชาวไทย เสด็จยืนอยู่ใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ มีข้าราชบริพารนั่งคุกเข่าเฝ้าถวายความเคารพอยู่เนืองแน่น หลวงปู่ท่านเพ่งมองภาพนั้นอยู่นานจนกระทั่งเลือนหายไป ภาพดังกล่าวยังคงติดตาหลวงปู่ธรรมรังษีมาโดยตลอด วันรุ่งขึ้นหลวงปู่ท่านได้เล่ามงคลนิมิตให้บรรดาญาติโยมและพระลูกวัดฟัง และเอ่ยบอกว่าประเทศไทยนี้ปลอดภัยที่สุด เพราะอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารพระบารมีองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะพาญาติโยมและพระลูกวัดทั้งหลายอพยพหนีร้อนมาพึ่งเย็น ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วจากนั้นหลวงปู่จึงพาคณะและพระ ๔ รูป เดินทางเช้าตรู่ วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๑๘ คล้อยหลังเพียงหนึ่งวันอำเภอโมงรือแซ็ย ได้ถูกเขมรแดงยึดไว้ได้ใน วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๑๘

    หลวงปู่ธรรมรังษีและคณะใช้เวลาเดินทางธุดงค์มา ๕ วัน จนถึงด่านปอยเปต อยู่ติดกับชายแดน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เข้าพำนักที่วัดป่าเลไลย์เพื่อขออนุญาตเข้าประเทศไทย ในที่สุดก็ได้รับการอนุญาตจากทางการไทย หลวงปู่ท่านโดยสารรถไฟจากสถานีอรัญประเทศเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เมื่อเช้า วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๑๘ หลังจากกรุงพนมเปญถูกเขมรแดงยึดได้เพียง ๑ วัน ระหว่างอยู่บนรถไฟหลวงปู่นั่งภาวนาขอพระบารมีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่พึ่งตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก

    เมื่อถึงกรุงเทพมหานคร ได้เข้าพำนักอยู่กับพระอาจารย์วิโรจน์ เจ้าอาวาสวัดราชสิงขร ซึ่งเป็นสหธรรมิกกันมาก่อน และด้วยความที่หลวงปู่ธรรมรังษีมุ่งมั่นและใฝ่ในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน พระอาจารย์วิโรจน์จึงได้พาหลวงปู่ให้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเพลงวิปัสนา กรุงเทพมหานคร หลวงปู่ท่านได้ศึกษาปฏิบัติธรรมเพิ่มเติมจากสำนักวัดเพลงวิปัสสนา และวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ เพราะสมัยอยู่ที่ประเทศกัมพูชานั้น หลวงปู่ธรรมรังษีท่านมุ่งเน้นเรื่องด้านวิทยาคมเป็นหลัก ในพรรษาถัดมาหลวงปู่ธรรมรังษีท่านจึงได้ปรารภกับสหธรรมิกรูปหนึ่งนั่นก็คือ พระเกี่ยว ในขณะนั้นท่านมีอายุ ๔๙ ปี ซึ่งปัจจุบันนี้ที่ศาสนิกชนรู้จักท่านในนาม สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโน แห่งวัดสระเกศ ที่วัดเพลงวิปัสสนา ว่าการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาอยู่ในเมืองหลวงนั้นก้าวหน้าไปได้ช้าเพราะยังไม่สงบสงัดเพียงพอ น่าจะมีสถานที่อื่นที่จะไปบำเพ็ญเพียรให้ประสบความสำเร็จได้ สหธรรมิกรูปนั้นจึงนำพาหลวงปู่ท่านจาริกสู่ชนบทบ้านเกิดที่ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ได้พบกับ “ พระอาจารย์สิงห์ สุธัมโม ” (พระครูภาวนาประสุต) เจ้าอาวาสวัดบ้านขี้เหล็กตำบลหนองบัวทอง อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของสาธุชนทั่วไปในละแวกนั้น เมื่อท่านได้พบอาจารย์สิงห์ก็รู้สึกต้องในอัธยาศัยไมตรี จึงได้พำนักอยู่ ณ.วัดบ้านหนองเหล็ก ตามคำชักชวนช่วงเวลาแห่งการได้อยู่จำพรรษา ณ วัดบ้านหนองเหล็กนี้เองทำให้หลวงปู่ธรรมรังษีได้มีโอกาสพบกับพระอาจารย์สายวิปัสสนาจากสำนักต่างๆ มากขึ้นได้เปิดตัวให้เป็นที่รู้จักเลื่อมใสศรัทธาของสาธุชนและเป็นที่ยอมรับ ในหมู่พระสงฆ์ที่สนใจการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นอย่างมาก

    พ.ศ. ๒๕๒๑
    หลวงปู่ธรรมรังษี ท่านได้รู้จักกับพระครูปลัดขาว ฐิตธมฺโมเจ้าอาวาสวัดบุญศรีมุนีกร กรุงเทพมหานคร พระครูปลัดขาวยอมรับและนับถือหลวงปู่ธรรมรังษีเป็นอย่างมาก หลวงปู่ธรรมรังษีเป็นพระนักปฏิบัติที่กอรปด้วยคุณธรรมเปลี่ยมล้น และมีอภิญญาญาณสูง จึงได้อารธนาให้หลวงปู่ธรรมรังษีร่วมเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ในสำนักของท่านซึ่งรับฝึกปฏิบัติธรรมให้กับพระภิกษุ สามเณร และคฤหัสถ์ผู้สนใจทั่วประเทศหลวงปู่ธรรมรังษีเห็นเป็นโอกาสที่จะได้เผยแพร่ แนวทางปฏิบัติให้กว้างขวางได้มากยิ่งขึ้น จึงได้รับปากไปปฏิบัติภารกิจในช่วงที่มีการฝึกอบรมที่สำนักวัดบุญศรีมุนีกร เป็นเวลา ๒ ปี จึงกลับมาจำพรรษาอยู่กับพระครูภาวนาประสุต อีกครั้ง

    พ.ศ. ๒๕๒๒
    หลวงปู่ธรรมรังษีท่านเดินธุดงค์ไปภาคใต้ จรดถึงภาคเหนือของไทย ลัดเลาะไปยังพม่า และสปป.ลาว เรื่อยมาเมื่อครั้งหลวงปู่ท่านได้รู้จักพระมหาพันธ์ สีลวิสุทโธ (พระครูภาวนาวิสุทธิญาณ) เจ้าอาวาสวัดนิรมิตวิปัสสนา รองเจ้าคณะอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย หลวงปู่ธรรมรังษีท่านได้มีโอกาสไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดเนรมิตวิปัสสนาแห่งนั้น อีกทั้ง หลวงปู่ธรรมรังษีท่านเข้านิโรธสมาบัติตลอด ๑๕ วัน (นั่งสมาธิตลอดเวลาไม่เคลื่อนไหวร่างกาย ไม่ลืมตา ไม่ฉันอาหาร น้ำ โอสถ ไม่ขับถ่าย) ซึ่งหาพระสงฆ์ปฏิบัติได้เหมือนท่านถือว่าเป็นเรื่องยากในยุคปัจจุบัน แลหลวงปู่ธรรมรังษีท่ายได้มีโอกาสเพิ่มพูนบารมีให้แกร่งกล้ายิ่งขึ้นเป็นเวลาเกือบ ๓ ปี

    พ.ศ. ๒๕๒๕
    เจ้าคณะอำเภอคูเมือง ที่พยายามเสาะแสวงหาพระวิปัสสนาจารย์ที่มีอภิญญาญาณเพื่อไปอบรมเผยแผ่ธรรมให้กับคณะสงฆ์ในอำเภอคูเมือง จึงได้มาพบกับหลวงปู่ธรรมรังษี ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงได้อาราธนาให้ท่านมาเป็นพระวิปัสสนาจารย์ดังกล่าว นับเป็นโอกาสดี และประจวบเหมาะอย่างยิ่งท่านพิจารณาเห็นว่าการปฏิบัติธรรมตามแนวทางวิปัสสนา กัมมัฏฐาน หากไม่มีการเผยแผ่ก็จะไม่สามารถสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนถาวรได้เลย เมื่อมีความคิดเห็นเช่นนี้หลวงปู่ธรรมรังษีท่านจึงรับคำอาราธนาของท่านเจ้าคณะอำเภอคูเมือง โดยได้มาพำนักประจำที่สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานของอำเภอคูเมือง ณ.วัดบ้านปะเคียบ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ในเวลาต่อมาทั้งคณะสงฆ์ และชาวบ้านต่างได้สัมผัสและรับปฏิบัติตามแนวทางของหลวงปู่ธรรมรังษี เกิดความเลื่อมใสและศรัทธามาฝึกปฏิบัติกันไม่ขาดสาย

    พ.ศ. ๒๕๒๖
    ท่านพระครูประภัศร์คณารักษ์ (จันทร์ ปภัสสโร) เจ้าคณะอำเภอท่าตูมในสมัยนั้น ได้พบหลวงปู่ธรรมรังษีหลังจากรู้จักกันไม่นานท่านพระครูประภัศร์คณารักษ์จึง นิมนต์หลวงปู่ท่านไปดูสถานที่ป่าหนาทึบแห่งหนึ่งห่างจากอำเภอท่าตูมไม่ไกลนัก เมื่อหลวงปู่ธรรมรังษีได้เดินทางมาถึงดูสถานที่แห่งนี้ท่านเกิดความปิติ โสมนัสเป็นอย่างมาก หลวงปู่ได้เอ่ยว่า... “ สถานที่แห่งนี้มีความคุ้นเคยกันมาก่อน “ แล้วท่านก็ยิ้มแล้วพูดอีกครั้งว่า “ ฤาษีธรรมรังษี อาตมาเป็นฤาษีพนมดิน “ หลวงปู่ธรรมรังษีจึงรับปากกับพระครูประภัศร์คณารักษ์ โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะบุกเบิกสร้างป่าหนาผืนนี้ให้เป็น วัดพระพุทธบาทพนมดิน สถานที่ปฏิบัติธรรมให้รุ่งเรืองหลวงปู่ธรรมรังษีจึงได้อำลาญาติโยมชาวคูเมืองท่ามกลางความอาลัยของชาวบ้าน และจังหวัดใกล้เคียงเป็นอย่างมาก หลวงปู่ธรรมรังษีขอให้ความสัมพันธ์ของพี่น้องชาวบ้านอำเภอคูเมืองกับพี่น้อง อำเภอท่าตูม จงอย่าได้ขาดจากกันหลวงปู่ท่านขอเป็นผู้เชื่อมโยงสายสัมพันธ์ของพี่น้องทั้งสองนี้ การจากมาของหลวงปู่ธรรมรังษีในครั้งนั้นมีภิกษุสามเณร แม่ชี พราหมณ์ และอุบาสกอุบาสิกาติดตามมาด้วยความผูกพันเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก แม้จะไม่มีกุฏิให้พักอาศัยเลยแม้สักหลัง จะมีก็เพียงผืนป่าที่มีงูและยุงมากมาย ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายเหล่านั้นเต็มใจอยู่ปรนนิบัติรับใช้ปฏิบัติธรรม ร่วมเป็นร่วมตายกันต่อไป แม้กุฏิหลวงปู่ธรรมรังษีเองท่านก็ไม่มี ในสมัยนั้นยามค่ำคืนวันหนึ่งมีสามีภรรยาสูงวัยคู่หนึ่งอาศัยอยู่หมู่บ้านลุงปุง ได้เดินทางตามถนนหลัก ท่าตูม-สุรินทร์ สองข้างฝั่งเป็นป่าหนาทึบ ได้เกิดสีลำแสงสว่างจ้าสีฟ้าครามลูกใหญ่ในป่าหนาทึบนั้น พุ่งเป็นปล่องทะยานขึ้นตรงบนท้องฟ้าสูงจนลับตา ทั้งสองจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูที่กำเนิดลำแสงนั้น บริเวณตำแหน่งที่ลำแสงส่องท้องฟ้านั้นกลับพบพระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งสมาธิ อยู่บนแคร่ไม้ไผ่เล็กๆ อยู่ในท่ามกลางป่าหนาทึบ ไม่มีอะไรเลยนอกจากเครื่องอัฏฐะบริขารเพียงน้อยนิด จึงทราบภายหลังว่าพระสงฆ์รูปนั้นท่านมีชื่อว่า หลวงปู่ธรรมรังษี ด้วยบารมีธรรมอันแกร่งกล้า และด้วยเมตตาธรรมอันเปี่ยมล้นของหลวงปู่ธรรมรังษี สามารถทำให้วัดพระพุทธบาทพนมดินได้สำเร็จดังเจตนารมณ์ของคณะสงฆ์ ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนอำเภอท่าตูม ได้ดังที่หวังไว้หลวงปู่ธรรมรังษีท่านได้ตั้งใจอยู่พัฒนาบุกเบิกเป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐานสร้างศาลาการเปรียญ เสนาสนะและสิ่งก่อสร้างต่างๆ เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมจนเจริญรุ่งเรืองดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หลวงปู่ท่านได้ปรับปรุงก่อสร้างกุฏิสงฆ์ โดยมีกุฏิสงฆ์และผู้มาปฏิบัติธรรมไม่น้อยกว่า ๕o หลัง หอสวดมนต์ พระอุโบสถ รั้วคอนกรีตรอบวัด ประตูวัด บูรณปฏิสังขรณ์อาคารต่างๆ ทั้งของวัดและของส่วนราชการอีกมากมาย บริเวณวัดสะอาดเป็นระเบียบและดูร่มรื่นและสวยงาม

    เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปในคนชาวสุรินทร์และจังหวัดใกล้เคียง เมื่อสงครามสงบทางการประเทศกัมพูชาได้ นิมนต์ขอให้หลวงปู่ธรรมรังษีกลับไปดำรงค์ตำแหน่งพระสังฆราช แห่งประเทศกัมพูชา แต่ท่านได้ปฏิเสธไป เพราะหลวงปู่ท่านต้องการอยู่ที่ประเทศไทย และหลวงปู่ธรรมรังษีเป็นที่เลื่อมใสและศรัทธาของชาวอีสานใต้และภาคใกล้เคียง เป็นอย่างมาก หลวงปู่ธรรมรังษีท่านจึงขอรับสมณศักดิ์ทางการประเทศกัมพูชา ในพระยศสมณะศักดิ์ชั้นธรรม เพียงเท่านั้น

    วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๕ หลวงปู่ธรรมรังษี เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชพระสมเด็จพระมหาสุเมธาธิบดี ที่ประเทศกัมพูชารับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นธรรม ที่ “ พระธรรมวิริยาจารย์ กัมพูชา ”

    คณะสงฆ์จังหวัดสุรินทร์ โดยพระเดชพระคุณพระเทพปัญญาเมธีเจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ ได้เกื้อกูลหลวงปู่ธรรมรังษีอันเป็นเนื้อนาบุญของจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดใกล้เคียง จึงได้มอบความไว้วางใจให้กับหลวงปู่ธรรมรังษีเป็นพระฐานานุกรรมเจ้าคณะจังหวัด “ พระครูสังฆรักษ์ สุวัฒน์ จันทสุวัณโณ ”

    วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕
    เนื่องในวโรกาสอันเป็นวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชมหาราช ด้วยความเมตตาของพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ หลวงปู่ธรรมรังษีได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่ “ พระครูมงคลธรรมวุฒิ ” โดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโน

    วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๔๗
    สถาบันราชภัฏสุรินทร์ ขอพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์ครุศาสตร์บัณฑิต โปรแกรมวิชาจิตวิทยาและการแนะแนว ถวายแด่ พระครูมงคลธรรมวุฒิ ในปีการศึกษา ๒๕๔๖

    วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗
    เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ “ พระมงคลรังษี ” สร้างความปลาบปลื้มใจให้แก่บรรดาศิษยานุศิษย์และผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก

    วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๙ เวลา ๒๒.๔๘ น.
    เป็นวันที่ทุกคนต้องเศร้าสลดในการจากไปของท่านก็มาถึง หลวงปู่ท่านละสังขารด้วยโรคชรา ที่ รพ.วิชัยยุทธขณะเข้ามารักษาอาการอาพาธ สิริอายุ ๘๗ ปี ๖๘ พรรษาสังขารของหลวงปู่ธรรมรังษี บรรจุโลงแก้ว ในปราสาทศิลปะเขมร ณ.วัดพระพุทธบาทพนมดิน อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์สังขารหลวงปู่ท่านไม่เน่าเปื่อยแม้สังขารของท่านจะดับขันธ์ไปแล้วก็ตามแต่ “ พระมงคลรังษี ” ยังคงส่องแสงรังสีธรรมแห่งมงคลอยู่ในใจของญาติโยมศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศตลอดไป

    จริยาวัตร
    หลวงปู่ธรรมรังษีเป็นผู้มีจิตใจดี เปี่ยมล้นด้วยความเตตา ใฝ่ร่ำเรียนอยากที่จะศึกษาเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติจิตอยู่เสมอ พูดน้อย นอนน้อย ฉันน้อย ฉันเจ ตั้งแต่พรรษาแรกที่ครองศีลเคร่งครัดในการปฏิบัติ ศึกษาพระธรรมวินัยสิกขาบทเจริญกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ หลวงปู่ท่านจึงมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนาเป็นอย่างมาก หลวงปู่ธรรมรังษีท่านเป็นพระที่เปรียบได้ว่ามีเมตตาธรรมชั้นสูงเหลือเกิน ไม่เลือกชั้นวรรณะ คนรวย คนจน ต่ำหรือสูงศักดิ์ ให้ความเมตตาเท่าเทียมกัน ท่านมีจริยาวัตรอันงดงาม ตลอดชีวิตหลวงปู่ท่านพูดน้อยมาก ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ไม่เคยดุด่าว่ากล่าว ไม่เอ่ยคำกระทบจิตใจ ให้ผู้ใดขุ่นข้องหมองใจ ทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง กิริยางดงามวางเฉย ไม่ยึดถือทรัพย์สิน เงินทองเป็นของท่าน ปฏิบัติดั่งสายวัดป่าอย่างเคร่งครัด ชาวบ้านและเหล่าศิษยานุศิษย์ต่างทราบกันดี รวมถึง สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโน , หลวงปู่ท่อน ญาณธโร ฯลฯ ต่างก็มีความเคารพและศรัทธาเลื่อมใสในหลวงปู่ธรรมรังษีเป็นอย่างสูง หลวงปู่ธรรมรังษีท่านเป็นพระสุปฏิปัณโณอย่างแท้จริง​
     
  3. seanelsker

    seanelsker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    1,199
    ค่าพลัง:
    +534
    หลวงปู่ฤทธิ์ รตนโชโต
    วัดชลประทานราชดำริ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

    [​IMG]

    หลวงปู่ฤทธิ์ รตนโชโต

    ท่านผู้อ่านบางท่านยังอาจจะไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์
    หรือ
    แม้กระทั่งชื่อของหลวงปู่ฤทธิ์มาก่อน แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในเขตจังหวัดบุรีรัมย์และสุรินทร์กับผู้ที่นิยมวัตถุมงคลของเกจิอาจารย์ยุคปัจจุบันแล้ว หลวงปู่ฤทธิ์ท่านมีชาวบ้านชาวช่องนับถือและรู้จักกันดีเป็นอย่างยิ่ง มีลูกศิษย์ลูกหาที่นำวัตถุมงคลของท่านมาบูชา ติดตัว ติดบ้าน ติดร้านกันมาก วัตถุมงคลของท่านเป็นที่แพร่หลายมานับสิบปี

    โดยเฉพาะ :

    กิตติศัพท์หลวงปู่ฤทธิ์เป็นที่เลื่องลือมานานหลายสิบปีในจังหวัดแถบอีสาน แต่ในปัจจุบันชื่อเสียงของท่านได้ระบือ ไป ไม่แค่เพียงทั่วประเทศไทยตั้งแต่เหนือจรดใต้เท่านั้น ยังแผ่ขยายออกไปประเทศต่างๆ อาทิเช่น :- ลาว ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น อันเป็นการบอกเล่าและถ่ายทอดประสบการณ์ของวัตถุมงคลหลวงปู่ฤทธิ์ สู่กันและกันจากปากสู่ปากมากกว่าการเกิดจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในหนังสือต่าง ๆ

    หลวงปู่ฤทธิ์ท่านเป็นพระเกจิดังเชื้อสายเขมรที่มีความเชี่ยวชาญด้านคาถาอาคมทั้งของไทย ลาว และเขมร อย่างหาผู้เทียบเคียงไม่ได้ ท่านเป็นพระที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนฐานะ เป็นอย่างไร หลวงปู่ท่านจะให้การต้อนรับพูดคุยด้วยเป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องนั่งรถยนต์ราคาแพงๆไปกราบ ท่านแล้วถึงจะได้พบหลวงปู่ นอกจากจะได้รับการต้อนรับขับสู้จากท่านอย่างไม่ถือเนื้อถือตัวแล้ว หลวงปู่ยังจะ ปลุกเสกวัตถุมงคลในมือของท่านอีกอย่างดีก่อนมอบให้ บางครั้งท่านก็จะจารเป็นยันต์ให้ บางครั้งท่านก็จะพรมน้ำมนต์ให้ วัตถุมงคลของท่านถือว่าเป็นสุดยอดไม่ว่าจะได้โดยตรงจากมือหรือที่ศูนย์พระเครื่องต่างๆก็ตาม ยังไม่พบว่าวัตถุมงคลของท่านมีของปลอมหรือเสริมโดยที่หลวงปู่ยังไม่ได้ปลุกเสก บรรดาผู้ที่บูชาวัตถุมงคลของท่าน ต่างก็พบกับอภินิหารแบบพลิกชะตาชีวิตให้อย่างทันตาเห็น ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน เมตตา มหานิยม โชคลาภ ค้าขาย เรียกเงินเรียกทอง เป็นต้น แม้ว่าทุกวันนี้จะเป็นยุค ไอเอ็มเอฟ ที่เศรษฐกิจฝืดเคือง ทำมาหากินลำบากกันถ้วนหน้า แต่คนที่บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ฤทธิ์มักจะได้พบกับสิ่งแปลกประหลาด เช่น ค้าขายดีขึ้นอย่างผิดปกติ มีโชคได้ลาภ ลองปืนไม่ออก เป็นต้น

    หลวงปู่ฤทธิ์เกิดวันอาทิตย์ที่ 13 เดือน 6 (พฤษภาคม) แรม 8 ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ. 2460
    ณ ตำบลทุ่งมน อำเภอประสาท จังหวัดสุรินทร์ ท่านบวชเณรเมื่อปี 2482 และบวชเป็นพระที่วัดเพชรบุรี ต.ทุ่งมน จ.สุรินทร์ เมื่อปี 2483 โดยมีหลวงพ่อแปะ วัดปราสาทธนาพร(บ้านพลวง) อำเภอประสาท เป็นพระอุปปัชฌาย์ หลังจากนั้นท่านมาจำพรรษาที่วัดปราสาทธนาพร เพื่อ ศึกษาพระธรรมกับหลวงพ่อแปะอยู่ 3 ปีจึงได้ย้ายไปจำวัดอยู่ที่วัดพลับ ตำบลทุ่งมน อีก 4 ปี หลวงปู่ฤทธิ์ย้ายไปอยู่ วัดบ้านกระนัง ตำบลปรือ อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อปี 2490 ระหว่างที่อยู่วัดนี้ท่านได้ออกธุดงค์ไปเสาะแสวงหา ความรู้ทั้งทางธรรมและทางไสยศาสตร์ทั่วเขตอีสานจนตลอดเข้าไปในประเทศลาวและเขมร ท่านได้พัฒนาวัดบ้านกระนัง จนเจริญ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย

    ในปี พ.ศ.2535 ท่านจึงได้ย้ายมาสร้างวัดชลประทานราชดำริ ที่บ้านกระทุ่ม ตำบลสูงเนิน อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ตามพระราชดำริและได้จำพรรษาอยู่ที่นี่มาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากวัดชลประธานราชดำริเพิ่งเริ่มก่อตั้งมาไม่นาน ยังขาดถาวรวัตถุในวัดอยู่เป็นอันมาก ซึ่งในขณะนี้หลวงปู่ได้กำลังก่อสร้างศาลาการเปรียญเพื่อใช้เป็นที่อบรมพระสงฆ์และสามเณร รวมทั้งกุฏิสงฆ์ 2 ชั้น ก็กำลังก่อสร้างอยู่เช่นกัน ซึ่งปัจจัยในการก่อสร้างนั้นได้จากการให้บูชาวัตถุมงคล รวมถึงการที่บรรดา ลูกศิษย์ร่วมทำบุญในการทอดกฐินและการทอดผ้าป่า สำหรับท่านผู้อ่านที่ต้องการทำบุญและรับวัตถุมงคลที่ช่วยเหลือ ท่านได้จริงๆ ในยุคไอเอ็มเอฟ โปรดอย่าลืมนึกถึง หลวงปู่ฤทธิ์ รตนโชโต พระเกจิชื่อดังชาวเขมรแห่งวัดชลประทานราชดำริ จังหวัดบุรีรัมย์

    ประสบการณ์ของวัตถุมงคลรุ่นก่อนๆ ของหลวงปู่ฤทธื์ที่มีประสบการณ์เป็นที่กล่าวขานทั้งในหมู่ลูกศิษย์และบุคคลที่ได้ บูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ไปแล้ว

    ผ้ายันต์กิ่งแก้ว เป็นผ้ายันต์ที่มีผลในหลายๆด้าน ตามลักษณะการพับผ้ายันต์ ซึ่งรวมทั้ง เมตตา/มหานิยม คุ้มครองใน ด้านการเดินทาง โชคลาภ มหาอำนาจและอื่นๆอีกมากมาย จะเน้นมากทางด้านโชคลาภ และ เมตตา/มหานิยมคนที่ใช้แล้ว พบว่ามีคนมาติดพันมากมายเป็นต้น​
     
  4. seanelsker

    seanelsker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    1,199
    ค่าพลัง:
    +534
    อ.เปล่ง บุญยืน

    [​IMG]


    ประวัติอาจารย์เปล่ง บุญยืน
    จอมขมังเวทย์มหาเสน่ห์แห่งแดนอีสานใต้

    ท่านเกิดเมื่อวันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2464 ขึ้น2ค่ำ เดือน7 ปีระกา ที่ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ อาจารย์เปล่งท่านแต่งงานกับนางยอน บุญยืน
    มีบุตรธิดาร่วมกัน 7คน

    1)ด.ต.ผดุง บุญยืน(เสียชีวิตแล้ว)
    2)นายเสน่ห์ บุญยืน
    3)นางเสนาะ บุญยืน
    4)นายวรวุฒิ บุญยืน
    5)ด.ต.ทองอยู่ บุญยืน
    6)นายวรศักดิ์ บุญยืน
    7)นางเพ็ญศรี บุญยืน

    อาจารย์เปล่งท่านถึงแก่กรรมที่โรงพยาบาลสุรินทร์ด้วยโรคปอดบวมรุนแรงเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เวลา 17:20น. สิริอายุ 87ปี
    อาจารย์เปล่ง บุญยืน ท่านเคยเล่าว่า สมัยที่ท่านเป็นนักศึกษา ได้หลบหนีเข้าป่าเนื่องจากขณะนั้นมีเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองรัฐบาลได้กวาดล้างคนที่มีความคิดเห็นต่างและท่านถูกกล่าวหาว่า เป็นพวกคอมมิวนิสต์ ท่านจึงหลบหนีเข้าป่าไปเจอ

    ท่านอาจารย์ภา มีเชื้อสายเขมรและเป็นพระที่มีวิชาอาคมแก่กล้าและขลังมาก อาจารย์ภาได้ชักชวน อาจารย์เปล่ง ให้บวชด้วยกัน ท่านจึงตัดสินใจบวชออกเดินธุดงค์ไปทั่วป่าลึกทั้งในเขตสุรินทร์ ศรีสะเกษ กระทั่งฝั่งเขมรและลาว ท่านฝึกจิตเจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่กลางป่าเป็นเวลากว่า 10 ปี
    ท่านต้องกินเผือกกินมันแทนข้าว นอนในถ้ำที่มีงูเห่าชุกชุม และนั่งสมาธิเป็นประจำ ท่านเล่าว่างูเยอะมากแต่ไม่สามารถทำอะไรท่านได้ เพราะท่านก็มีวิชาอาคมไว้ป้องกันตนเหมือนกัน อาจารย์ภาเคยขอร้องท่านให้บวชตลอดชีวิตด้วยกัน แต่ท่านไม่สามารถทำได้เพราะท่านมีครอบครัวแล้ว และเมื่อถึงเวลาอันสมควรท่านจึงขอลาสิกขากลับมาสู่เพศฆราวาสอีกครั้งในปี พ.ศ. 2492 หลังจากนั้นอีก 6 เดือนต่อมาท่านก็สอบบรรจุเป็นครูเริ่มชีวิตข้าราชการแต่นั้นมาจนเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียนมัธยม ด้วยความสามารถทางจิตของท่าน ทำให้ท่านเสกอะไรก็ขลังมีพลังไปหมดทำแบบรู้แจ้งเห็นจริงเชื่อถือได้พิสูจน์ได้ คนในเขตอีสานใต้ต่างรู้ซึ้งถึงกิตติศัพท์ของท่านดี มีครั้งหนึ่งชาวบ้านได้เชิญท่านเป็นเจ้าพิธีในงานเปิดสะพานแม่น้ำมูล ท่านได้นั่งบริกรรมอยู่บนเรือ ขณะที่นั่งท่านบริกรรมอยู่นั้นได้มีปลาจำนวนมากกระโดดขึ้นเต็มลำเรือเลย ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากที่มาร่วมพิธีต่างตะลึงไปตามๆกัน จนเป็นที่เลืองลือระบือไกล เป็นที่รักใคร่และศรัทธาของชาวบ้านมาจวบจนทุกวันนี้
    เครื่องรางหรือวัตถุมงคลที่ท่านสร้างนั้นมวลสารหลักๆ คือผงพราย ท่านบอกว่า ถ้าใครโดนคุณไสยมา พรายจะถอนออกให้ และกันคุณไสยมนต์ดำได้ด้วย อีกทั้งเป็นมหาเสน่ห์อย่างแรง ท่านบอกว่าใช้พระท่านนั้นคุ้มครองตัวได้แน่นอน ย้อนไปในระหว่างที่ท่านบวชได้ธุดงค์ติดตามพระอาจารย์ภาอยู่นั้นท่านได้ศึกษาวิชาอาคมจาก "พระอาจารย์ภา" จนหมดสิ้นทั้งคงกระพันและเมตตา ว่านยาต่างๆ วิชาที่สำคัญอีกอย่างคือ วิชาทางพราย ซึ่งน้อยคนนักที่จะเรียนสำเร็จ วิชาทางพรายของท่านอาจารย์เปล่งนั้นท่านทำเพื่อสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์และเป็นการสร้างกุศลแก่พรายเอง (พรายที่นำมาทำผงพรายเป็นพรายที่พลีด้วยความสมัครใจไม่ได้บังคับแต่ประการใด) ท่านอาจารย์เปล่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางไสยเวทย์ท่านได้สยบวิญญาณก่อนและให้วิญญาณนั้นๆรับศีลรับพรทำให้เขาได้อยู่ดีมีสุข แล้วจึงนำกระดูกมาบดเสกกำกับด้วยคาถาให้มีผลทางด้านเมตตา มหานิยม ท่านอาจารย์เปล่งท่าน สร้างด้วยเมตตาธรรม จึงปลอดภัย ไม่เข้าตัว บางเรื่องทางคุณพระท่านสงเคราะห์ไม่ได้เพราะติดข้อบังคับพระธรรมวินัย บางอย่างฆราวาสจึงเสกได้ขลังกว่าพระอย่างเช่นมหาเสน่ห์ดลจิตดลใจคนประมาณนั้น ท่านอาจารย์เปล่งได้ใช้วิชาอาคมต่างๆ ที่ร่ำเรียนมาสงเคราะห์ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากมากมายอาทิ สมัยที่ท่านยังรับราชการอยู่มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งถูกงูกัด จะไปโรงพยาบาลแต่ก็ไม่ทัน พ่อแม่จึงพามาหาท่านให้ช่วยรักษา ท่านก็เมตตาเสกเป่าพ่นให้เป็นที่อัศจรรย์เด็กหายจากพิษร้ายรอดตาย หลังจากนั้นมากิติศัพท์ของท่านก็แพร่ออกไปชนิดที่เรียกว่าไม่ว่างูชนิดไหนจะมีพิษมากน้อยเท่าไรถ้าสามารถมาถึงมือของท่านได้รับรองว่ารอดทุกราย ส่วนทางด้านเมตตาก็มีปรากฏอยู่เนืองๆ ครั้งหนึ่งมีเพื่อนครู(ขอสงวนนาม)ไปหลงรักสาวแต่สาวเจ้ากับไม่เล่นด้วยเสียใจจนคิดฆ่าตัวตาย อาจารย์เปล่งเมือทราบเรื่องโดยตลอดแล้วจึงขอคำมั่นสัญญาจากเพื่อนครูและรับปากที่จะช่วยเหลือ จากนั้นท่านก็เสกสิ่งของให้ไป เพื่อนครูของท่านก็สมหวังในระยะเวลาต่อมา ความรู้ความสามารถของท่านไม่แสดงออกมากนักติดที่เพื่อนเป็นครู กลัวจะเป็นที่ครหานินทาว่า งมงายไร้สาระจนกระทั่งท่านเกษียณอายุ ท่านอาจารย์เปล่งจึงสร้างพระเครื่องและเครื่องรางของขลังอย่างจริงจังจนเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ คนสิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, จีน รวมถึงฮ่องกงก็ศรัทธาท่านบูชาวัตถุมงคลและเครื่องรางของท่านแล้วต่างมีประสบการณ์มากมาย พระเครื่องที่ท่านอาจารย์เปล่งสร้างครั้งแรก เป็นพิมพ์พระขุนแผน ผู้ที่ได้รับแจกไปจากท่านต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันหมดว่าเป็นสุดยอดทางเมตตาจริงๆ กรรมวิธีการสร้างและเสก ท่านอาจารย์เปล่งได้ชี้แจงรายละเอียดให้ทราบโดยไม่ปิดบังดังนี้ว่า มวลสารที่ท่านใช้ส่วนใหญ่จะเป็นว่านทั้ง 108 ชนิดและยังมีพวกพญาว่านที่สำคัญ ๆ อีก มาก อาทิ พญากาหลง พญางิ้วดำ พญาเครือหลง พญาสาลิกา พญาตะเคียนหิน พญาแกแล ผงพรายกุมารีแฝด ผงจินดามณี กาฝาก 108 สีผึ้งมหาเสน่ห์พระอาจารย์ภา มวลสารต่างๆ ที่กล่าวมาได้รับการปลุกเสกจากพระอาจารย์ภาผู้เป็นปรมาจารย์ของท่านก่อนแล้วจึงกำหนดฤกษ์ยามในการกดพิมพ์หมดฤกษ์ก็หยุด ในครั้งแรกนั้นท่านสร้างไว้ในจำนวนไม่มากนักแต่ไม่เกิน 100 องค์เมื่อการสร้างเสร็จสิ้นก็เข้าสู่ขั้นตอนการปลุกเสก ท่านใช้เวลาการปลุกเสกนานกว่า 3 เดือน จนกระทั่งพระขุนแผนทุกองค์เคลื่อนไหวพลิกไปพลิกมา จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พระขุนแผนรุ่นแรกถูกขนานนามว่า “ พระขุนแผนมหาเสน่ห์ ” เพราะพุทธคุณด้านเมตตามหาเสน่ห์ มหานิยม มหาละรวยแรงมากเป็นพิเศษ จนเป็นที่แสวงหาของศิษย์ และเมื่อพระขุนแผนรุ่นแรกหมดไปลูกศิษย์หลายคนหลายคณะที่ไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของจึงขอร้องให้ท่านสร้างขึ้นอีก ซึ่งท่านเมตตาก็สร้างให้ตามประสงค์
    จนถึงปัจจุบันมีมากถึง 6 รุ่น แล้วเรียงตามลำดับดังนี้

    1.พระขุนแผนมหาเสน่ห์(ป.1)
    2.พระขุนแผนชมตลาด(ป.2)
    3.พระขุนแผนสยบมาร
    4.พระขุนแผนสะกดทัพ
    5.พระขุนแผนพราย 59 ตน
    6.พระขุนแผนจอมสุรินทร์

    พระขุนแผนของท่านทุกรุ่นนับว่าไม่เคยสร้างความผิดหวังให้ใครเลยผู้ที่เคยใช้แล้วต่างยอมรับทุกราย รุ่นที่ศิษย์ขอร้องให้ท่านสร้างให้โดยเฉพาะในปีนี้ (พ. ศ. 2543) ท่านได้สร้างพระสมเด็จจอมสุรินทร์ขึ้นตามคำเรียกร้องของคณะศิษย์ที่อยากได้พระเครื่องที่มีพุทธคุณทางด้านค้าขายและโชคลาภโดยเฉพาะ ส่วนเครื่องรางของขลัง ท่านสร้างไว้มากมายหลายชนิด อาทิ อิ้นคู่มหาเสน่ห์ ที่มีอานุภาพทางเมตตามหาเสน่ห์อย่างสูงสุด ใครเห็นใครรัก หญิง ชายหลง ผู้ใหญ่เมตตา นับเป็นวัตถุมงคลที่สร้างชื่อเสียงให้ท่านเป็นอย่างมาก รัก–ยม ท่านอาจารย์เมตตาปลุกเสกจนมีฤทธิ์ช่วยผู้บูชาทำมาหากิน ทำมาค้าขาย เรียกลูกค้าเรียกคนเข้าร้าน เรียกงาน เรียกเงินเรียกทอง เฝ้าบ้านและตาม จะเรียกใช้ สีผึ้ง จะเน้นทางเมตตาค้าขายผสมผงกุมาร ลูกอมเพชรกลับ คุณพิเศษด้านกลับร้ายกลายเป็นดี ตะกรุดโทน มีพุทธคุณครบทุกด้านไม่ว่าจะเป็นมหาเสน่ห์ มหาโชค มหาลาภ มหาอุด ตะกรุดพญางูเหลือม ดีทางเรียกเงินเรียกทอง ทำมาหากินสะดวกสบาย โชคลาภเงินทองเข้ามาหาเอง เหมือนพญางูเหลือมที่สัตว์เล็กใหญ่พากันมาให้กินโดยไม่ต่อสู้ขัดขืน ปลัดขิก เมตตา ค้าขาย กันเขี้ยวงา นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายชนิดเช่น ผ้ายันต์ต่างๆ ซึ่งระยะหลังๆท่านได้เลิกทำแล้วเพราะอายุมาก เครื่องรางทุกชนิด พระเครื่องทุกรุ่นทุกพิมพ์ ท่านสร้างด้วยความพิถีพิถันทุกขั้นตอน อาจารย์เปล่งกล่าวว่าเวลาท่านทำวัตถุมงคลหรือเครื่องรางให้คนเอาไปใช้ ท่านต้องทำให้เต็มที่ ไม่ให้เสียชื่อ ท่านเรียนรู้จริง ทำได้จริงจึงกล้ารับประกัน วัตถุมงคลหรือเครื่องรางผงพรายที่ท่านทำนั้นท่านปลุกเสกผงพรายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และเป็นกุศลแก่พรายด้วย ไม่ใด้ใช้พรายไปทำร้ายใคร กุศโลบายของท่านเพื่อให้คนและพรายร่วมกันสร้างบุญใช้วัตถุมงคลหรือเครื่องรางของท่านแล้วหมั่นทำบุญถวายสังฆทานท่านจะพบแต่ความสุขความเจริญ
     
  5. seanelsker

    seanelsker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    1,199
    ค่าพลัง:
    +534
    มีมาให้บูชา เพียง 9 องค์

    พิมพ์ใหญ่

    เนื้อว่านสบู่เลือด 2 องค์
    เนื้อธรรมดา 3 องค์

    พิมพ์เล็ก

    เนื้อธรรมดา 4 องค์


    [​IMG]


    พระขุนแผนหลวงปู่ธรรมรังษีปี 2540 ผสมผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม

    ขุนแผนผงพรายกุมาร ใช้ผงพรายกุมารหลวงปู่ทิมผสมในการสร้างปลุกเสกโดยหลวงปู่ธรรมรังษี
    โดยใช้มวลสารสำเร็จจาก
    ผงพรายกุมารและขุนแผนลงกรุที่ชำรุดของหลวงปู่ทิม อิสริโก ซึ่งได้จากศิษย์สายตรงคุณชินพร สุขสถิตย์ แห่งมูลนิธิหลวงปู่ทิม

    และผสมมวลสารต่างอาทิ เช่น

    ไม้อาถรรพ์ต่าง ๆ เช่นว่านดอกทอง
    ไม้กาหลง(ต้นไม้ที่นกกาบินมาเกาะแล้วหาทางออกไม่ได้ บินวนไปมาจนตาย)
    ไม้มะยมตายพราย
    ไม้กาฝากรัก
    ไม้ปะนมปีเก็ง(ไม้วัวลืมคอก)
    และ
    ผสมกับสีผึ้ง หลวงปู่ทิม อิสริโก
    น้ำมันเสกเดือด หลวงปู่ทิม อิสริโก

    น้ำมันช้างตกมัน(กั่วเผาะ)
    งากำจาย

    ผงบางส่วนที่ได้จาก "อาจารย์เปล่ง" (สุดยอดฆราวาส ทางมหาเสน่ห์ อายุปัจจุบันกว่า 90 ปี ยังมีเมีย อายุ17-18 ปี (ที่สำหรับสวยอีกต่างหาก)มีเมียนับไม่ถ้วน)

    หลวงปู่ธรรมรังษีท่านได้ปลุกเสกคืนวัน "กบกินเดือน"
    ( ขึ้น 15 ค่ำของวันที่ 16 กันยายน 2540 วันจันทรคราส เวลา 01.09.น.)
    หลังจากนั้นก็ให้ฆราวาสจอมขมังเวท
    " อาจารย์เปล่ง " เสกด้วยตำรับเขมรอีกครั้ง
    ต่อจากนั้นจึงนำไปให้
    "หลวงปู่ฤทธิ์ วัดชลประทานราชดำริ บุรีรัมย์เสกอัดพลังเป็นครั้งสุดท้ายครับ (หลวงปู่ฤทธิ์ นี้ทางด้านมหาเสน่ห์ ก็เยี่ยมยุทธครับ รุ่นนี้หลวงปู่เสกทางเสน่ห์เต็มที่ครับ)

    ก่อนที่จะท่องคาถา ท่านให้ตั้ง นะโม 3 จบ นึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณพ่อคุณแม่ คุณครูบาอาจารย์
    แล้วท่องคาถาบารมีพระพุทธเจ้า "" อิติปาระมิตา ติงสา อิติสัพพัญญู มาคะนา อิติโพธิ มะนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม" แล้วท่องคาถาด้วย ""จิเจรุนิ นะมะพะทะ"

    จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าขุนแผนองค์นี้ไม่ธรรมดาเลยครับ...หลวงปู่ธรรมรังษี เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า

    "" ผงพรายกุมารเป็นของดี ไม่ได้เป็นของเลวร้าย เป็นผงวิเศษพิศดาร ที่มีพลังแรงเรียกรูปเรียกนามได้ง่ายปลุกเสกสำเร็จได้เร็ว""

    เซียนสายตรงหลวงปู่ทิม อิสริโกหลายคนกล่าวไว้ว่า ""ขุนแผนองค์นี้ใช้แทน...ขุนแผนหลวงปู่ทิมได้สบายๆ"""
     
  6. seanelsker

    seanelsker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    1,199
    ค่าพลัง:
    +534
    รายละเอียดในการให้บูชา


    ราคาเนื้อชมพู (ผสมว่านสบู่เลือด) บูชา 549 บาท 1-2

    ราคาเนื้อขาว (ธรรมดา) บูชา 449 บาท 3-5

    ราคาเนื้อขาว (พิมพ์เล็ก) บูชา 349 บาท 6-9


    ค่าจัดส่ง EMS 50 บาท


    [​IMG]
    [​IMG]


    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    **เจตนาเพื่อเป็นการเผยแพร่บารมีหลวงปู่ธรรมรังษี**

    หมายเลขการจอง เนื้อว่านสบู่เลือด


    1. คุณ jer jame ทางไลน์
    2. BKSK

    --------------------------------------------------------------------------

    หมายเลขการจอง เนื้อธรรมดา พิมพ์ใหญ่

    3. ปิดทางFB
    4. ปิดทางFB
    5. ปิดทางFB

    --------------------------------------------------------------------------

    หมายเลขการจอง เนื้อธรรมดา (พิมพ์เล็ก)


    6. ปิดทางFB
    7. ปิดทางFB
    8. ปิดทางFB
    9. บิว N ในไลน์

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2016
  7. BKSK

    BKSK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +158
    ขอจองหมายเลขที่ 2 ครับ
     
  8. seanelsker

    seanelsker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    1,199
    ค่าพลัง:
    +534
    รายละเอียดในการให้บูชา

    LINE: seanelsker


    ราคาเนื้อชมพู (ผสมว่านสบู่เลือด) บูชา 549 บาท 1-2

    ราคาเนื้อขาว (ธรรมดา) บูชา 449 บาท 3-5

    ราคาเนื้อขาว (พิมพ์เล็ก) บูชา 349 บาท 6-9


    ค่าจัดส่ง EMS 50 บาท


    หมายเลขการจอง เนื้อว่านสบู่เลือด


    1. คุณ jer jame ทางไลน์
    2. BKSK

    --------------------------------------------------------------------------

    หมายเลขการจอง เนื้อธรรมดา พิมพ์ใหญ่

    3. ปิดทางFB
    4. ปิดทางFB
    5. ปิดทางFB

    --------------------------------------------------------------------------

    หมายเลขการจอง เนื้อธรรมดา (พิมพ์เล็ก)


    6. ปิดทาง FB
    7. ปิดทาง FB
    8. ปิดทาง FB
    9. บิว N ในไลน์

     
  9. BKSK

    BKSK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +158
    คาถาบารมีพระพุทธเจ้า "" อิติปาระมิตา ติงสา อิติสัพพัญญู มาคะนา อิติโพธิ มะนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม"
    กับคาถา บารมี 30 ทัศ เหมือนกันหรือเปล่าครับบางคำก็ต่างกัน

    คาถาบารมี 30 ทัศ ( ย่อ)
    อิติ ปาระมิตาติงวา อิติ สัพพัญญุมาคะตา
    อิติ โพธิมะนุปปัตโต อิติปิโส จะ เต นะโม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2016
  10. 84000dharm

    84000dharm สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2017
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +3
    รบกวนด้วยนะครับ

    มีอีกไม๊ครับ
     
  11. 84000dharm

    84000dharm สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2017
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +3
    รบกวนด้วยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...