รองอ่านดูเอามาจาก mail ถ้าจริงผมก็ถึงกับ(อึ่ง!!!)

ถ้าใครไม่ชอบใจในบทความนี้ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ความจริง คือ ความจริง เลยช่วยส่งต่อ
คนเขียนมีความกล้าหาญทางจริยธรรมมากทีเดียว

ความแตกต่างระหว่างงานศพ ท่านพุทธทาส กับ แม่ชีจันทร์ วัดธรรมกาย

ธรรมกายมิใช่พระพุทธศาสนา แต่เป็นระบบทุนที่หากินกับศรัทธาในพระพุทธศาสนา

ด้วยการร่วมมือและเอื้อประโยชน์

กับพ่อค้า ข้าราชการ และนักการเมือง บางกลุ่ม

หากกาลเนิ่นนานไป จะเป็นภัยร้ายที่ร้ายยิ่งกว่า

ภัยใดใดในสังคมไทย



เมื่อครั้งเกิดความรุนแรงในยุโรป

เป็นเพราะพระในคริสต์ศาสนานิกายคาธิลิคเสื่อม

เนื่องด้วยการขายใบสารภาพบาป

ของคาธอลิค เพื่อหาเงินของพระในยุคนั้น

เป็นเหตุให้เกิดกลุ่มต่อต้าน

และตั้งนิกายใหม่ชื่อโปรแตสแตนต์

Protestantism

ซึ่งชื่อนิกายมาจากคำว่า Protest

ที่แปลว่าการประท้วง ยืนยัน ขัดขวาง

พระเหล่านั้นได้อาศัยอำนาจรัฐที่สมประโยชน์กัน

และกองกำลังทหารของรัฐ

ไล่ฆ่าพระฝ่ายตรงข้ามอย่างทารุณ

โหดร้ายไปเป็นจำนวนมาก



ที่ผ่านมาธรรมกายได้ขายบุญและสวรรค์

โดยกำหนดชั้นของสวรรค์กับจำนวนเงินที่ทำบุญ

ทำให้ศาสนิกชนที่ขาดปัญญามีความงมงาย

หลงไหลไปเป็นอันมาก ตามภาพที่เห็น

ประเด็นสำคัญคือคนในระบบราชการ

จำนวนไม่น้อยที่มีอำนาจ ก็สนับสนุนร่วมมือด้วย

ผสมโรงกับนักการเมืองและนักธุรกิจที่สมประโยชน์กัน

ต่างร่วมมือกับคนที่ใช้เครื่องแบบของพุทธศาสนาเหล่านี้

สร้างอาณาจักรและรุกรานทรัพยากร

ไปทุกหนแห่ง

มีการต่อสู้ระหว่างชาวบ้านและธรรมกายเรื่อยมา

ไม่่ว่าเกษตรกรเจ้า้ของที่ดินรอบวัดเมื่อหลายปีก่อน

หรือการต่อสู้ของชาวเกาะช้างที่ปกป้องอนุสรณ์สถาน

ซึ่งธรรมกายไปทุบทิ้ง

บนโฉนดที่ดินอันเกิดขึ้นโดยมิชอบอย่า่งชัดเจน

แต่จนบัดนี้ยังไม่ถูกเพิกถอน



กรณีถนนเขาใหญ่ยากที่จะไม่คิดไปว่า

ธรรมกายไม่เกี่ยวในเชิงลึก

เนื่องจากมีที่ดินของธรรมกายนับพันไร่อยู่ปลายถนนเส้นนั้น



หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้เนิ่นนานไป

เราละเลี่ยงสงครามการเข่นฆ่าแย่งชิง

อันเกิดจากความเชื่อของประชาชน

ในนามของศาสนาเดียวกัน

แต่ถูกนำชื่อแบะเครื่องแบบมาใช้

เพื่อประโยชน์กลุ่มและพวกพ้องตน

ได้หรือไม่????

ยังเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจ

เพราะยากที่จะไม่สงสัยว่า

สถาบันหลักอย่างมหาเถระสมาคมก้อ่อนแอ

และตกเป็นเครื่องมือธรรมกายไปเสียแล้วใช่ไหม

ใครมีข้อมูลและในใจยังมีพลังอยู่

หากทำอะไรได้ก็คงต้องมา

คิดร่วมกันในเรื่องนี้

ด้วยจิตคารวะ

ความแตกต่างระหว่างงานศพ ท่านพุทธทาส กับ แม่ชีจันทร์ วัดธรรมกาย
สุดท้ายก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้แม้แต่ร่างกาย...

ความแตกต่างระหว่างงานศพ ท่านพุทธทาส กับ แม่ชีจันทร์ วัดธรรมกาย

งานศพท่านพุทธทาสยึดแนวทางปฏิบิติ"เป็นอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง"

แม้แต่งานศพของอินทปัญโญก็ยังแฝงไว้ด้วยการสอนธรรมของตัวท่าน
ในพินัยกรรมของท่านที่ทำไว้ก่อนมรณภาพ ท่านเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ให้เผาศพท่านในสามเดือนโดยจัดการอย่างง่ายที่สุด

ไม่จัดงานพิธี โดยให้เผาศพในบริเวณเขาพุทธทอง โดยปักเสาสี่มุมและคาดผ้าขาวเป็นเพดานเท่านั้น

นี่เป็นเจตนาของท่านที่ต้องการให้งานศพของท่านเป็นแบบอย่างเหมือนสมัยพุทธกาล

โดยมุ่งหวังให้สงฆ์รุ่นหลังยึดถือปฏิบัติต่อไปในภายหน้า

งานศพแบบสวนโมกข์ได้ปรากฏขึ้นแก่สายตาของพระ และฆราวาสจำนวนมากที่มาร่วมงานตามจุดประสงค์ของอินทปัญโญทุกประการ

นี่เป็นการจัดการศพโดยวิธีเผากลางแจ้ง โดยตั้งโลงศพบนกองฟืน แล้วจุดไฟเผาต่อหน้าสายตาของผู้มาร่วมรับการสอนธรรมอย่างไม่มีสิ่งปิดบัง

ในประเทศนี้มีชาวพุทธจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้พยายามด้วยวิธีการต่างๆ ตาม "ความจริง" และ "ความเชื่อ" ของตน เพื่อที่จะเข้าใกล้พระพุทธเจ้าที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่จะมีใครสักกี่คนกันที่สามารถเป็นผู้อยู่ใกล้พระพุทธองค์อย่างที่สุด เหมือนอย่างท่านผู้ที่กำลังถูกเผาไหม้อยู่เบื้องหน้านี้

ภาพงานศพแม่ชีจันทร์ ขนนกยูง วัดธรรมกายเมื่อกันยายนปีที่แล้ว อลังการงานสร้าง เทียบชั้นงานเปิดโอลิมปิค "ปักกิ่งเกมส์" และยังจัดได้แบบพิธีเปิดฟุตบอลโลก 2010 ยังต้องอาย

 

ใกล้ละ คงไม่กี่เพลา อย่างที่เป็นไปในสากลโลก ทำดีได้ดี ทำไม่ดีก็ไม่ได้ดี กรรมเป็นผู้กำหนด...ใช่มั้ยครับ

 

ข้างล่างว่าไง

สำหรับผม ผมสับสนไปหมดไม่รู้อะไรจริง อะไรไม่จริง

 

หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้เนิ่นนานไป

เราละเลี่ยงสงครามการเข่นฆ่าแย่งชิง

อันเกิดจากความเชื่อของประชาชน

ในนามของศาสนาเดียวกัน

แต่ถูกนำชื่อแบะเครื่องแบบมาใช้

เพื่อประโยชน์กลุ่มและพวกพ้องตน

ได้หรือไม่????

ยังเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจ

เพราะยากที่จะไม่สงสัยว่า

สถาบันหลักอย่างมหาเถระสมาคมก้อ่อนแอ

และตกเป็นเครื่องมือธรรมกายไปเสียแล้วใช่ไหม

ใครมีข้อมูลและในใจยังมีพลังอยู่

หากทำอะไรได้ก็คงต้องมา

คิดร่วมกันในเรื่องนี้

ด้วยจิตคารวะ



ด้วยจิตคารวะ

ท่าน จขกท. นับถือศาสนาใด

และท่านรู้หรือไม่ ผู้ทำให้สงฆ์แตกกัน

มีอบายภูมิรออยู่เบื้องหน้า

ด้วยจิตคารวะ

ปล. ศาสนาท่านก็ดี ศาสนาผมก็ดี

อยู่กันด้วยสันติเทอญ

 

อึ้ง...ทึ้ง..แบบพูดไม่ออก...

จะจัดงานให้อลังการอย่างไ รสุดท้าย ก็กลายเป็นผงธุลีเหมือนกัน

 

เปิดโปงแผนอัปยศของคนใจบาปหอบเงินข้ามชาติล้มวัดพระธรรมกาย
<!-- Main -->เปิดโปงแผนอัปยศของคนใจบาปหอบเงินข้ามชาติล้มวัดพระธรรมกายตามที่ให้สัญญาไว้ การเติบโตของวัดพระธรรมกาย ถูกเป็นเป้าจับตาจากคนกลุ่มนี้ มาเป็นเวลาช้านานแล้ว คนกลุ่มนี้มองอนาคตว่า หากวัดแห่งนี้เติบโต ก็เท่ากับว่า พุทธศาสนาจะแผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วโลก ได้ไม่ยากเย็น เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม กลุ่มมารจึงวางแผนทำลายล้าง พุ่งเป้าโจมตีวัดพระธรรมกาย วางแผนอุบาทว์ 6 ขั้นตอน

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า หัวขบวนมารศาสนาประกอบด้วย 12 คน เป็นบุคคลระดับแถวหน้าของประเทศ ครั้งแรก มีการนัดประชุม ที่โรงแรมย่านริมโขง ที่เชียงแสนใกล้สามเหลี่ยมทองคำ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2541 ล่าสุดเมื่อวันที่ 6-7 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยใช้โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจ.นครพนม เป็นเซฟส์เฮ้าท์วางแผนชั่ว และมีการนัดประชุมติดต่อกันหลายครั้ง โดยใช้จดหมายลับนัดประชุมหลายฉบับติดต่อกัน มีการอ้างชื่อ บุคคลระดับสูงของประเทศหลายคน เป็นผู้ร่วมวางแผนชั่วด้วย

ขบวนการดังกล่าวยังอวดอ้างถึงความสำเร็จในการทำลายวัดดังมาแล้วหลายวัด โดยอ้างว่าทำสำเร็จไปแล้ว 5 ขั้นตอน คือ

1.จุดประเด็น

2.ตีแผ่

3.หาแนวร่วม

4.ชี้นำความคิดประชาชน

5.สร้างผลทางการเมือง

ส่วนแผนอุบาทว์สุดท้ายคือ 6.การขุดรากถอนโคนวัดพระธรรมกาย

สร้างสถานการณ์ทำหลักฐานเท็จเผยแพร่ข่าวอย่างมีระบบ พยายามหาแนวร่วม จากกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์และเป็นศัตรูต่อวัด หลอกใช้พระอกหักและอยากดังเข้าร่วมเครือข่าย เป็นขบวนการปลุกปั่น ให้เกิดความแตกแยกในวงการสงฆ์ เพื่อทำลายสถาบันศาสนาพุทธ ให้เสื่อมสลาย ไปจากประเทศไทย เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในอินเดีย เมื่อหลายพันปีก่อน

แหล่งข่าวยังเผยด้วยว่า ในจดหมายลับนัดประชุมของกลุ่มมาร เตรียมการขั้นแตกหักกับพระเถระผู้ใหญ่ โดยการชักชวนให้ดำเนินการกับ มหาเถระผู้ใหญ่ 2 รูป องค์หนึ่งเป็นระดับสมเด็จ โดยอ้างว่า จะเป็นผู้ขัดขวางการดำเนินงานอันสกปรก ของขบวนการทำลายพุทธศาสนา และยังบังอาจยุยงให้กลุ่มสมาชิก จัดการกับ พระเถระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นที่นับถือของวงการสงฆ์ทั้งประเทศ เพื่อให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียง

ให้ดำเนินการทำลายล้างทุกรูปแบบ ยกเว้นการทำร้ายร่างกายและชีวิต ข้อความในจดหมายลับระบุ

ในตอนท้ายของจดหมายลับฉบับที่ 6 ยังกำชับอีกว่า ในการดำเนินการครั้งนี้เป็นการทำงานในทางลับ จึงไม่มีเอกสารรายละเอียดใด แนบมาด้วย ทางกลุ่มจะแจกให้ในวันประชุม

แหล่งข่าวผู้นี้ระบุด้วยว่า เขายังไม่กล้าปักใจเชื่อตามจดหมายลับดังกล่าว ว่าจะมีกลุ่มมารศาสนาที่มีตัวตนจริง และทุกอย่างก็กระจ่างทันที เมื่อสื่อมวลชนนำเสนอข่าวโจมตีพระเถระผู้ใหญ่ทั้งสองรูป จากกลุ่มมารที่แอบอ้างปกป้องศาสนา อาศัยสถานการณ์ อ้างภาวะเศรษฐกิจบ้านเมือง ตกต่ำโจมตีวัดพระธรรมกาย

ขบวนการทำลายล้างพุทธศาสนากลุ่มนี้ ปฏิบัติการณ์โจมตีวัดพระธรรมกายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีการเตรียมการกระจายข่าว ใส่ร้ายป้ายสีวัด โดยสื่อมวลชนบางกลุ่มได้มีการนัดแนะจุดประเด็นโจมตีกันอย่างต่อเนื่อง ดังที่ปรากฏต่อสายตาชาวพุทธ

แม้ขบวนการดังกล่าวจะพยายามทุกวิถีทาง เพื่อลบล้างวัด แต่ปรากฏว่าขณะนี้แผนชั่วร้ายของกลุ่มบุคคลดังกล่าว เริ่มส่อแววล้มเหลว เมื่อบุคคลที่ชักชวนให้เข้ากลุ่ม เริ่มเห็นเจตนารมณ์ที่ไม่บริสุทธิ์ และมีบางคนได้ถอนตัวไปแล้ว

แหล่งข่าวสายทหารวิเคราะห์ว่า ดูจากสำนวนจดหมายและวิธีการเคลื่อนไหว เป็นวิธีการหลวมๆ จากกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ จากวัดพระธรรมกาย ส่วนสื่อมวลชนที่โจมตีวัด ก็อาจหวังผลขายข่าว ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ และยังเห็นว่า

กรณีของวัดพระธรรมกาย น่าจะเป็นกรณีศึกษากับวัดอื่นๆด้วย


หมายเหตุ บทความนี้มีผู้เขียนไว้หลายปีแล้ว จึงนำกลับมาฟื้นความจำอีกครั้ง ขอบคุณคุณปลาทูแห่งพันทิป<!-- End main-->

 

จะจริงไม่จริง ผมก็ไม่ทราบเช่นกัน

แต่คนที่ทำย่อมรู้อยู่แก่ใจ

กรณี สุนัขในวัดที่อยุธยา ก็คราวหนึ่ง

กว่าชาวพุทธจะตั้งสติยั้งคิด

ก็ตั้งกระทู้ว่าพระว่าวัดกันไปร้อยกว่ากระทู้ในพันทิพย์

จนกระทั่งสนักข่าวได้ไปตรวจสอบพบว่าไม่เป็นความจริง

ชาวพุทธจึงเพิ่งกลับมามีสติได้



ป.ล.ผมบอกแล้วว่าการต่อสู้ระหว่างธรรมะ และอธรรมจึงมีอยู่จริง

ผมจึงเข้าใจในนามของหลวงพ่อ ธัมมชโย ว่าชื่อนี้ได้มาอย่างไร

เพราะท่านทราบล่วงหน้าแล้วว่า ท่านจะชนะด้วยธรรม


ขอสันติสุขจงมีแก่ท่าน แต่มันจะไม่เกิดขึ้นเลยหากใจท่ายยังไม่สงบ

ด้วยจิตคารวะ

 

การชนะด้วยธรรมนั้น

เป็นการชนะด้วยจิต ชนะใจของเหล่ามหาชน


แตกต่างกับการชนะด้วยการบังคับ

สร้างความหวาดกลัว และเข่นฆ่า

หรือการก่อการร้าย

ซึ่งการทำแบบนั้น เท่าที่ผมได้เรียนรู้หลักศาสนาแห่งสันติสุข

มันย่อมไม่ใช่พระประสงค์ของอัลลอฮ

ไม่ใช่สงครามจีฮัด

เพราะสงครามจีฮัดจะกระทำได้ เมื่อมีหลักสองข้อประกอบกัน

คือ 1. ถูกขับไล่ให้ออกจากพื้นที่ 2. บังคับไม่ให้ปฏิบัติศาสนกิจ

ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ คือการอยากได้อยากครอบครอง ทั้งที่พระองค์

ไม่ประสงค์ให้เกิดการแบ่งแยกแบ่งเขต แม้แต่รั้วท่านยังไม่อยากให้สร้าง

แล้วเหตุใด ศาสนิกชนในปัจจุบัน จึงหาเหตุให้เกลียดชัง คนศาสนาอื่นนัก

ทั้งที่พระเจ้าประสงค์ที่จะสร้างพวกเราให้เกิดมาแตกต่างกัน เพื่อพวกเจ้าจะได้ทำความรู้จัก

กัน มิใช่เพื่อให้เราทำหน้าที่แทนพระเจ้า เข่นฆ่าคนที่พระเจ้าทรงสร้างมาทั้งนั้น


ด้วยจิตคารวะ

 

*** กรรมเป็นตัวกำหนด ***
บวชเพียงกาย ไม่บวชจิต
ความรุนแรงกำลังจะเกิด ผู้ไม่มี สัจจะ ต้องถูกกวาดล้าง
ผู้ถือสัจจะ เท่านั้นที่จะรอด





ปล.ขอนะท่านหนุมาน

 

ถ้าท่านอ่านสำนวนการเขียนของคนที่ คุณ kountee อ้างว่านำมาจากเมล์


ท่านก็จะเห็นคำว่า ด้วยจิตคาวะ เป็นคำแปลมาจากคำสรรเสริญพระเจ้า

ในศาสนาหนึ่ง


คิดต่อไปว่า เหตุใดคนศาสนาอื่นจึงมาเป็นห่วงเป็นใยในพิธีกรรมของพุทธนัก

ไม่สมเหตุสมผล


มีแต่การปลุกระดมที่หวังจะให้เกิดการลุกฮือฆ่าฟันกันเอง โน้มนำให้เป็นสงคราม

เรียกว่า ยุแยงศัตรูให้ฆ่ากันเอง โดยที่ตัวเองนั่งดูและหัวเราะ

มุกนี้ เอามาใช้บ่อยๆใน 3 จชต.




ปล. ที่ยิ่งต่อต้านมาก ปลุกปั่นมาก ก็เพราะคิดหนัก กลัวจะพ่ายแพ้

 

สิ่งดีก็นำเข้าตัว สิ่งใดไม่ดีก็ไม่ต้องนำมันเข้าตัว หลักการง่ายๆ (จะง่ายเกินไปรึเปล่าก็ไม่รู้)

 

มันก็จริง ในแง่ ฟาริสี มันมีทุกวงการ....55 โลกมันก็เป็นเช่นนี้แล

 

แม้แต่ตัวเราเอง บางครั้งยังกลายเป็นฟาริสี เลยท่าน

แล้วใครเป็นฟาริสีหรือไม่ คงพิจารณาไม่ได้ด้วยตาเนื้อหรอก

 

ใช่....แต่ถ้ามีจิตสำนึกเราๆท่านๆก็ไม่ใช่ฟาริสีซะทีเดียว
คนเก็บภาษีทำผิดบาปสำนึกผิดขอรับโทษสารภาพผิดแล้วไม่กลับไปทำ...เราก็เคยพลาดผิด
ฟาริสี มือถือสากปากถือศีล อยู่ใต้ธรรมบัญญัติไม่เคยคิดว่าตัวเองผิดชอบตำหนิ
ว่าคนอื่นชั่วช้าเพราะรักษาศีลได้ไม่เท่าตน สุดโต่ง ชอบแสดงธรรมให้คนนับถือ
แต่เรื่องง่ายในจิตสำนึกไม่มี ใครทำอะไรดีเกินตนไม่ได้หาเรื่องทำลายเขา...
มิจฉาทิฐฐิ ...และไม่เคยจะกลับตัว
สำหรับท่านไม่ใช่ ฟาริสีหรอก คนเราทำผิดตลอดเวลานั้นแหละถ้ารู้จักที่จะยอมรับ
ความจริง แล้วไม่กลับไปทำชั่วซ้ำๆก็ประเสริฐแล้วละท่าน...ของแบบนี้มันเกิน
สัมผัสทั้ง5ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว..

 

อันที่จิงหวลงปู่ท่าน กับท่านแม่ชี และศิษย์ที่ปฏิบัติดี ท่านก็ดีนะ แต่หลังจากท่านทั้งสองสิ้น ก็นะ คนเลวมันเยอะ อย่างที่มีกล่าวไว้ว่า คนดีหนีเข้าป่า คนบ้าครองเมือง

 

ช่วยกันดูหน่อยว่านี่คืออะไร ....

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=118246

 

มาในห้องวิทยาศาสตร์ก็จะพูดแบบวิทยาศาสตร์นะครับ (ฮา)

ลักษณะเช่นนี้เหมือนการซ่องซุมกำลังจากแรงศรัทธา ผมก็เจอกับตัวมาเหมือนซองกฐินว่าไว้ว่าทำบุญเยอะได้ขึ้นสวรรค์อะไรทำนองนั้น ทีแรกกะทำบุญเหมือนกันพอควักปัจจัยออกมาเขาบอกว่าไม่พอต้อง 3 หมื่นจึงจะสร้างพระพุทธรูปได้และเก็บไว้ในที่ลับตาเพื่อความขลังของพลังงาน (ใต้ฐานจานบิน) ต่อมาชักเริ่มไม่เข้าท่าแล้วสำหรับหลักปฏิบัติ บริจาคมากเป็นจำนวนเงินยิ่งสูงยิ่งได้นั่งอัฐจรรย์สูงและยิ่งได้นั่งที่สูงยิ่งถึงธรรมเร็วกว่า อย่างงี้คนจนก็ตกนรกทั้งเพน่ะสิ พอบอกว่าทำไมคนถึงจนและคนรวยก็ถึงได้รวยคราวนี้เขาก็จะเบี่ยงเบนเป้าไปหาบุคคลใดบุคคลหนึ่งว่าบุคคลนั้นแหละที่ให้จนและทำให้รวย มันผิดวิสัยของหลักธรรมอย่างยิ่ง เนื้อคร่าวๆนะครับยังมีอีกเยอะแยะ แต่ตอนนี้พูดไปก็เปล่าประโยชน์แล้วผู้คนโดนล้างสมองไปมากเปรียบเสมือนไวรัสที่เข้าในกระแสเลือดของผู้ป่วยไปแล้ว

ฉนั้นเมื่อพิจารณาโดยหลักธรรมชาติแล้วขอใช้ทฤษฏีมะเร็งหยิบยกมาอ้างนะครับ
ในกรณีเช่นนี้ผู้ที่หลงผิดทั้งทางโลกและทางธรรมนั้นก็เหมือนเนื้อมะเร็งที่เสียแล้วรักษาอาจจะไม่ทัน ก็ต้องปล่อยไปตามอรรถภาพแต่ก็ต้องมีมาตรการณ์ป้องกันเนื้อส่วนที่ดีไว้โดยการฉีดวัคซีนเข้าไปเพื่อเป็นภูมิป้องกัน การฉีดวัคซีนนี้ก็หมายถึงการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกที่ควรตามลำดับของระดับขั้นของสติปัญญาอาจจะจำแนกแยกซอยไปถึงรายละเอียดต่างๆที่กว่า 1 จริต ซึ่งตรงนี้เองพระพุทธเจ้าได้จำแนกไว้ให้แล้วถึง 40 จริตในการปฏิบัติธรรม


ใครหรือผู้ใดที่มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงจุดนี้ก็ขอเสนอให้ใช้วิธีดังกล่าวนี้ครับ

 

จริงเท็จเป็นอย่างไร ไม่สำคัญ

แต่ไหนๆก็เข้ามาแล้วผมจะขอ คอมเม้น งาน 9ล9 ของรูปที่ท่านนำมาโพสหน่อย

"เยสเข้"

Ps. ขออนุญาติหยาบคายครับ แต่ผมไม่สามารถกล่าวอะไรได้อีก อันเนื่องมาจากความอลังก์

 

แล้วถ้าวิชชาธรรมกายไม่มีจริง หรือสิ่งที่วัดนี้ทำอยู่ หรือกล่าวเอาไว้ไม่เป็นจริง

ใยพระเกจิต่างๆทั่วประเทศไทยจึงไม่ต่อต้านล่ะ และบอกเสียว่านี่คือมาร

ทำไมพระหลายๆวัดในไทยจึงมาร่วมงานที่วัดนี้ตามนิมนต์เชิญล่ะ

ในจำนวนนั้นจะไม่มีเจ้าอาวาสที่เป็นเกจิเลยหรือ


แต่สิ่งที่ท่านสงสัยหลายๆอย่าง ข้าพเจ้าก็สงสัยเช่นกัน ก็ต้องใช้ปัญญา

พิจารณาไป แต่ตัดสินถูกผิดได้หรือไม่ ก้คงต้องมีดวงตาเห็นธรรมเสียก่อน



อย่างที่บอก

โครงการตักบาตรพระ 500000 รูปทั่วไทยเอย

บวชพระ 100000 รูป ทั่วไทยเอย

ทำวัดร้างให้เป็นวัดรุ่ง

ท่านคิดว่าต้องใช้เงินมากขนาดไหนล่ะ

แต่วิธีที่ชวนคนทำบุญ กับการปฏิบัติต่อผู้ทำบุญเยอะๆนั้น อันนี้ผมก็ใช่ว่าจะ

แน่ใจว่ามันถูกต้องหรือไม่ แต่แน่นอนผมก็ตัดสินไม่ได้




แต่ถ้าไปถามคนไทยพุทธ ที่วัดมุจลิน ปัตตานี ก็จะรู้ว่า สำนักพุทธที่เข้า

ไปช่วยเหลือสนับสนุนมอบของบริจาค ทำให้เขาไม่โดดเดี่ยว นั่นก็เยี่ยม



แค่รู้ว่าเงินที่ได้ไปนั้น นำไปใช้ประโยชน์เพื่อพุทธศาสนาก็อนุโมทนาล่ะครับ

ส่วนถ้าจะมีใครเอาเงินไปทำอะไรไม่ดี

ถ้าคุณ Boy เชื่อเรื่องกรรม ก็ไม่ต้องห่วง

ก่อตั้งวัดจนมาขนาดนี้ ถ้าเขาไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี มันก็ดำรงเป็นวัดอยู่ไม่ได้

หรอกครับ