รวบรวมวาทะคุณดังตฤณ *ความรัก อื่นๆ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย กลอง, 9 สิงหาคม 2016.

  1. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    เด็กพุทธ ไม่ใช่ดูกันตอนประกาศตัว
    แบบนกแก้วนกขุนทองว่า เป็นพุทธมามกะ
    ที่แท้ความเป็นเด็กพุทธ
    ต้องดูว่ามีจิตวิญญาณความเป็นพุทธกันแค่ไหน
    ทางจิตวิทยาตะวันตกสังเกตว่า
    จิตทำงานอยู่สองแบบ
    คือ จิตทำงานผ่านความคิด
    กับจิตที่ทำงานโดยไม่ผ่านความคิด
    จิตที่ทำงานผ่านความคิด
    คือจิตสำนึก หมายถึงขณะของการใช้เหตุผล
    ไม่ใช่คิดซัดส่ายฟุ้งซ่านไปเรื่อยแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้
    ขณะฟุ้งซ่านจัด จิตสำนึกเกิดไม่เต็มดวง
    ส่วนจิตที่ทำงานโดยไม่ผ่านความคิด
    คนยุคเรามักเรียกกันว่า ‘จิตใต้สำนึก’
    แต่ที่จริงแล้ว จิตที่ทำงานโดยไม่ผ่านความคิด
    จำแนกไว้ ๓ ระดับ ได้แก่
    จิตใต้สำนึก กระเดียดไปในทางการสั่งสมอะไรลบๆไว้
    จิตไร้สำนึก มุ่งไปในทางสัญชาตญาณรู้แบบโลกๆ
    จิตเหนือสำนึก เน้นไปในทางรู้สว่าง รู้พ้น เหนือโลก
    ส่วนทางพุทธเรา จะให้เริ่มมองความเป็นจิต โดยเน้นเรื่อง
    จิตเป็นกุศล (จิตสว่าง) หรืออกุศล (จิตมืด)
    ถ้าจิตสว่าง จะพลอยรู้สึกว่าโลกนี้สว่าง อบอุ่น ปลอดภัย
    ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เห็นเรื่องดีกระจ่างชัด
    แต่ถ้าจิตมืด จะพลอยรู้สึกว่าโลกนี้มืด เยียบเย็น อันตราย
    ก่อให้เกิดความคิดทำลายล้าง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
    เด็กคนใดมี ‘จิตสว่าง’ เป็นปกติ
    ชีวิตก็เหมือนมีเทวดานางฟ้าคอยดลใจ คอยบอกทาง
    เช่น ถ้าจะเลือกเรียนให้สมตัว
    ก็มีสมาธิแจ่มใสพอจะทราบอย่างกระจ่างว่า
    ตัวเองโฟกัสกับสิ่งใดแล้วนึกชอบ
    ถึงขั้นเห็นภาพทีเดียวว่า
    ตัวเองเป็นใคร ทำอะไรได้ในระยะยาว
    จึงจะมีชีวิตที่เป็นคุณ ไม่เป็นโทษ
    จิตที่สว่างจริง จะเลือกทางสว่างเสมอ
    เช่น ถ้ามาอยู่ตรงทางสองแพร่ง
    ระหว่างให้ผิดศีลกับรักษาศีล
    ก็ไม่ต้องชั่งใจเลือกกันนาน
    จิตที่สว่างจะคัดทางมืดออกจากการรับรู้
    ไม่เข้ามาเป็นตัวเลือกให้ตัดสินใจแต่แรกด้วยซ้ำ
    ตรงนี้ ทางฝั่งตะวันตกจะมองว่า
    เป็น ‘จิตเหนือสำนึก’ ที่แข็งแรงกว่าจิตสำนึก
    คอยชักใยบงการจิตสำนึก
    และมักมีการถกเถียงกันว่า
    ถ้า ‘จิตเหนือสำนึก’ เป็นของจริง
    เราสร้างขึ้นมาได้ หรือต้องรอให้เกิดเองกันแน่
    เพราะเป็นสิ่งลึกลับที่จับต้องยาก
    พิสูจน์ยากว่ามาจากไหน
    คล้ายมีอยู่แล้วก่อนเกิด
    ไม่เกี่ยวกับว่า พ่อแม่ยากดีมีจนเพียงใด
    ทางพุทธรู้คำตอบ คือ
    จิตเหนือสำนึกเป็นสิ่งสร้างได้
    โดยต้องปลูกฝังกันแต่เด็ก
    อาศัยศรัทธานำ แล้วต่อยอดด้วยปัญญาตาม
    ศรัทธานั่นแหละ ต้นทางของจิตเหนือสำนึก
    ปัญญานั่นแหละ จิตเหนือสำนึกที่ฉายแสงแล้ว
    คำถามคือ ตอนลงมือปลูกศรัทธา
    เขาทำกันจริงๆอย่างไร
    อันดับแรกให้ตั้งโจทย์ไว้เลย
    จิตเหนือสำนึก ต้องเกิดก่อนจิตสำนึก
    คือ ก่อนที่เด็กจะรู้ตัวว่า มีสิทธิ์คิดหรือไม่คิดอะไร
    เราต้องสร้าง ‘จิตที่พร้อมคิดดี’ ขึ้นมาให้ได้
    เริ่มง่ายๆ คุณต้องมีห้องพระให้ลูก
    ซึ่งไม่จำเป็นต้องแบ่งกั้นไว้โดยเฉพาะ
    ความเป็น ‘ห้องพระ’ นั้น ที่แท้แล้ว
    ประกอบด้วยบุคคลมากกว่าสถานที่
    ถ้าทั้งหมดที่คุณมีคือห้องเล็กๆห้องเดียว
    ไม่มีผนังกั้นอยู่เลย
    ก็ทำห้องนั้นเป็นห้องพระด้วยเสียงสวดมนต์
    ตลอดจน ‘การคุยกัน’ ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจเด็ก
    ได้แก่ พระพุทธรูปที่เห็นพ่อแม่กราบไหว้
    และตั้งไว้ในที่สูง
    ถ้าคุณสวดมนต์และกราบไหว้พระพุทธรูปให้ลูกเห็น
    ตั้งแต่เขายังไม่รู้ความ
    เขาจะเกิดกุศลจิต สะสมความสุขขึ้นทีละน้อย
    และเมื่อถึงเวลาพร้อมพอ
    เขาจะพอใจคลานมานั่งพนมมือกับคุณเอง
    ไม่ควรดึงเขาเข้า ‘ห้องพระ’ ก่อนหน้าสมัครใจเอง
    เพราะเด็กยังดิบ ยังซน ไม่มีความสุขพอจะนิ่ง
    ไม่ใช่ว่าเขาบุญน้อยหรือไม่มีบุญพอ
    สิ่งที่ต้องทำไว้ในใจเหนือสิ่งอื่นใด คือ
    ห้องพระต้องเป็นห้องที่มีบรรยากาศความสุข มีความสว่าง
    อย่าเผลอทะเลาะกันให้ลูกเห็นในห้องพระ
    และคุณต้องฝึกเปล่งเสียงสวดแบบเต็มปากเต็มคำ
    เพื่อให้ทั้งห้องประจุอยู่ด้วยเสียงแห่งความสุข
    วิธีง่ายที่สุดที่จะเปล่งเสียงอย่างเป็นสุข คือ
    ตั้งใจถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา
    แล้วจิตจะปรุงแต่งกายให้สบาย เป็นมหากุศลตามเอง
    หลังสวดเสร็จ คุณจะรู้สึกถึง
    บรรยากาศความสุขความสว่างที่ตกค้างอยู่
    อย่าเพิ่งออกจากห้องพระ
    ให้ใช้เวลาช่วงนั้นพูดคุยกับลูก
    ถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างวัน
    หรือบอกเขาว่า
    "เล่าให้คุณพระคุณเจ้าฟังซิ วันนี้เล่นอะไรมาบ้าง"
    ถามอย่างนั้น เด็กจะนึกได้ และเต็มใจเล่า
    การเล่าเรื่องของตัวเองต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    จะช่วยให้เด็กโตขึ้นแบบคนไม่ลืมการกระทำของตน
    และรู้สึกลึกๆ เหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
    มีสิ่งที่ใหญ่กว่าชีวิตเขารู้เห็นการกระทำของเขาอยู่
    คอยเตือนใจเขาอยู่
    ไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลานอย่างไร
    ในที่สุดใจจะกลับไปตั้งอยู่ในจุดนั้นตลอดชีวิต
    ถ้าบรรยากาศการเล่า มีเสียงหัวเราะ มีความเพลิดเพลิน
    มีการชี้นำสั้นๆจากคุณประกอบไปด้วย
    ก็จะกลายเป็นการสร้างความเคยชิน
    ให้ลูกอยากมาหาความสุขจากห้องพระทุกวัน
    ความสุขชนิดนั้นแหละ จุดชนวนความเป็นเด็กพุทธ
    อยู่กับอะไรดีๆได้นานๆนั่นแหละ
    ต้นเหตุของการเป็นคนมีสมาธิยาว อารมณ์เย็น
    และรู้ผิดรู้ชอบได้เอง
    โดยคุณแทบไม่ต้องเหนื่อยสอนให้ยากเลย!


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2016
  2. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    ตั้งธงไว้
    คุณจะเล่านิทานสดให้เป็น
    แล้วภายในเดือนเดียว
    คุณจะสอนลูกได้ทุกเรื่อง!

    เริ่มต้นขึ้นมา
    ให้เล่านิทานตามภาพในหนังสือ
    และข้อความตามที่คนอื่นเขียนไว้

    ขั้นต่อมา
    ให้ฝึกใช้เสียงสูงต่ำ
    ใส่อารมณ์เข้าไป ไม่น้อยไป ไม่มากเกิน
    กับทั้งมีคำควบกล้ำ ร.เรือ ล.ลิง ถูกต้อง
    เล่าแล้วภาพในหัวของลูก
    ถึงจะชัดเจนเหมือนกับเกิดขึ้นจริง
    เสียงสนุก บางทีดีกว่าเรื่องสนุกเสียอีก

    เมื่อสามารถเล่าอย่างได้รสได้อารมณ์แล้ว
    ภาพในหัวของคุณเองจะพลอยแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
    บางครั้ง บางจังหวะ เหมือนมีภาพในใจ
    เป็นต่างหากจากหนังสือนิทาน
    ณ จุดนั้น ให้เป็นตัวของตัวเอง
    ถ้าอยากพูดอะไรแตกต่างจากหนังสือ
    ให้พูดไปเลย เล่าไปตามภาพในหัวเลย
    โดยเฉพาะอะไรดีๆ ที่หนังสือไม่ได้เขียนไว้
    และอะไรเสียๆ ที่หนังสือสอนไม่ครบ

    หลังจากรู้จักพูดอะไรดีๆเองตามความรู้สึกได้
    ให้ฝึกใช้ภาพในหนังสือนิทาน
    พูดแจกแจงตัวละครแต่ละตัว
    ว่ามีดีมีเลวอย่างไร
    มีที่มาที่ไปอย่างไร
    มีความรู้สึกกับตัวละครอื่นอย่างไร
    เห็นโลกอย่างไร
    ตัวไหนทำกรรมดีหรือกรรมชั่วไว้มากกว่าตัวอื่น
    ไม่จำเป็นต้องอิง เรื่องราวที่เขาเขียนในนิทาน
    ใช้ความรู้สึกของคุณ
    ตอนเห็นตัวการ์ตูนอย่างเดียวพอ

    ถ้าแค่เห็นภาพแล้วเล่าได้เป็นตุเป็นตะ เป็นคุ้งเป็นแคว
    คุณจะรู้สึกถึงความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่
    ที่ก่อตัวขึ้นเอง รู้จักผสมผสานไม่จำกัด
    และอยากเล่าอะไรให้ลูกฟังมากมาย
    พอนึกถึงตัวละครหนึ่ง ก็จะเห็นชัดว่าตัวละครนั้น
    อยากทำอะไร ไม่อยากทำอะไร
    เหมาะสมกับสถานที่แบบไหน
    ขณะอยู่กับตัวละครอีกตัวหนึ่งจะพูดว่าอย่างไรบ้าง

    ให้ดีที่สุดคือสังเกตว่า ในวันหนึ่งๆ
    มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับลูกบ้าง
    หรือเขาดูการ์ตูนเรื่องไหนบ้าง
    ให้เอาตัวเขา มาเป็นพระเอกนางเอก
    เพื่อให้ความรู้สึกของเขาเชื่อมติดกับเรื่องของคุณ
    ตั้งชื่อเขาใหม่ เช่น
    เจ้าชายดอกไม้ (อาจเอามาจากลายดอกไม้ในเสื้อนอนลูก)
    เจ้าหญิงผีเสื้อ (อาจเอามาจากสัตว์ที่ลูกถามถึง)
    แมคควีนของพ่อ (อาจเอามาจากการ์ตูนเรื่องโปรดของลูก)
    บาบี้ของแม่ (อาจเอามาจากตัวการ์ตูนที่ลูกวาดบ่อยๆ)
    แล้วใส่เหตุการณ์ให้เชื่อมโยงกับเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
    เล่าเป็นเรื่องราวมีสีสันสนุกสนาน
    เช่น เจ้าชายดอกไม้ เกิดมาในเมืองที่สงบสุข
    เขาได้ชื่อว่าเจ้าชายดอกไม้
    เพราะสามารถคุยกับดอกไม้รู้เรื่อง
    อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าชายดอกไม้พบกับ...

    แค่มีภาพในหัวเกิดขึ้นเป็นชนวนเพียงเท่านั้น
    ใจคุณจะเชื่อมโยงได้ฉากต่อฉากไปเอง
    โดยไม่ต้องเค้นคิด
    (ถ้ายังต้องคิดเค้น แสดงว่ายังไม่ผ่านการฝึกขั้นที่ผ่านๆมา)
    คุณจะเกิดความมั่นใจขึ้นเอง
    หลังจากเล่าได้เป็นน้ำไหลตั้งแต่ครั้งแรก
    และคุณจะรู้ขึ้นมาเองว่า
    จะสมมุติเหตุการณ์แบบไหนสอนลูกตรงจุด

    ยกตัวอย่างเช่น
    ถ้าวันนั้นลูกโยเยอยากดูการ์ตูนนานเกินที่คุณกำหนดไว้
    ก็อาจเล่าเรื่องบาบี้ของแม่
    ที่ถูกล่อลวงให้เข้าไปในเมืองมายา
    เมืองนั้นเต็มไปด้วยภาพน่าสนุกสนาน ตื่นตาตื่นใจ
    แต่ก็น่ากลัวตรงที่ถ้ากลับออกมาไม่ทันเวลาปิด
    บาบี้ของแม่จะติดอยู่ในเมืองมายา กลับออกมาไม่ได้
    ภาพน่าสนุกสนานจะหายไป
    กลายเป็นเมืองร้าง เต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า
    กลบเสียงเรียกของแม่ที่ยืนอยู่นอกกำแพงเมืองไปหมด เป็นต้น

    ยิ่งฝึก คุณจะยิ่งรู้เองว่า
    จะสอนลูกตรงไหน ด้วยเหตุการณ์สมมุติใด

    จำไว้ว่า ถ้าคุณเป็นแต่เล่านิทานด้วยเสียงเอื่อยๆ
    พูดตามตัวหนังสือเป๊ะ
    ไม่เคยสังเกตรายละเอียดน่าสนใจในรูปเลย
    ไม่สนใจต่อยอดตามคำถามของลูกเลย
    คุณไม่มีทางเชื่อมตัวเองกับลูกผ่านนิทานได้
    แต่ถ้าคุณสามารถแต่งและเล่านิทานสดได้ทุกคืน
    ก็จะพบว่า ลูกมีจินตนาการบรรเจิด
    ความคิดสร้างสรรค์ของคุณ
    กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ขึ้นในเขา
    ความสนุกสนานจากการเล่าเรื่องของคุณ
    จะเปิดใจเขาให้รับฟังคุณทุกคำ
    การใช้เหตุผลของคุณ
    จะกลายเป็นแม่แบบในการใช้เหตุผลของเขาไปหมด

    ถ้ามีเวลาเจอหน้าลูกเพียงวันละสิบนาที
    ให้เลือกใช้มันเล่านิทานก่อนนอน
    แล้วความคิดสร้างสรรค์ของคุณจะเติบโตไปพร้อมลูก
    คุณและลูกจะผูกพันแน่นแฟ้น
    เพราะลูกรู้สึกว่า มีคุณอยู่ในชีวิต และคิดแบบที่คุณคิด
    ส่วนคุณก็รู้สึกว่า ตัวเองสร้างลูกมากับมือ
    ไม่ใช่แค่ทำให้เขาเกิดมา

    ดีที่สุดที่คุณอาจคาดไม่ถึง คือ
    เพียงวันละสิบนาทีที่เล่านิทานให้ลูกฟัง
    จะทำให้ลูกกลายเป็นนักเล่าเรื่อง
    ทำให้เขาโตแบบคิดเองเป็น
    และมีหัวใจที่อบอุ่นอ่อนโยน
    ซึ่งโลกยุคต่อไปต้องการเป็นที่สุด

    อย่างที่ สตีฟ จ็อบส์ เคยกล่าวไว้ในปี ๑๙๙๔
    เกี่ยวกับบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกว่า
    ไม่ใช่ประธานาธิบดีสหรัฐ
    ไม่ใช่เนลสัน แมนเดลลา
    แต่เป็นนักเล่านิทาน!
    "นักเล่านิทานคือนักสร้างจินตภาพ
    ค่านิยม และพฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นจริง
    ให้กับผู้คนในแต่ละยุค
    และตอนนี้ดิสนีย์ก็ผูกขาดธุรกิจเล่านิทานนั้นอยู่
    แล้วรู้ไหม ผมชักเบื่อนิทานไร้สาระแบบนั้นเต็มทน
    ผมนี่แหละ ที่จะเป็นนักเล่านิทานคนต่อไป!"

    สตีฟ จ็อบส์ เป็นเจ้านายของบรรดาคนที่เก่งกว่าเขา
    กลายเป็นซูเปอร์เซลล์แมนที่มีคนอยากฟังเขาขายของ
    แล้วก็เปลี่ยนโลกทั้งใบ
    ด้วยการทำให้เราๆท่านๆมีไอโฟนใช้
    ทั้งหมดก็เริ่มต้นจากที่เขาเล่านิทานเก่งนั่นเอง!

    [​IMG]
     
  3. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/0oWiPXmYrDU" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    กราบขอบพระคุณทุกท่าน
    ที่ไปร่วมงานบรรจุพระบรมธาตุฯ
    ในวันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน ที่ผ่านมา
    วันนี้ผมนำคลิปที่ทางทีมงานตัดต่อเสร็จ
    มาให้ดูกันนะครับ
    หากดูทางเฟสนี้แล้วกระตุก
    หรือต้องการคลิปความละเอียดสูง
    ให้ไปที่ http://bit.ly/28VqQlS
    ขอบคุณคุณ ณธนา หลงบางพลี
    สำหรับภาพเสียงมุมราบและงานตัดต่อ
    ขอบคุณคุณ อาร์ต อัมพวา
    สำหรับภาพมุมสูงจากโดรน
    ขอบคุณคุณสมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ
    สำหรับทุนทรัพย์ส่วนตัวและเวลานับเดือน
    กับการจัดงานยิ่งใหญ่
    ให้สามพันคนในพิธีบังเกิดมหาโสมนัส
    ขอบคุณทีมงาน-แรงงานร่วมร้อยชีวิต
    ที่อาสาอุทิศแรงกายแรงใจอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

    สำหรับภาพการถวายวัดจริง ขอให้รอดูได้จาก
    โครงการพระประธานทั่วหล้า

    ---
    ถ้าพระประธานหนึ่งองค์
    มีชาวพุทธกราบสักพันคนเป็นประจำ
    ก็ถือว่าเราช่วยให้ชาวพุทธจำนวน ‘เกินแสน’
    ได้มีพระประธานไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วครับ
    คำนวณจากองค์พระที่ถวายแล้วทั้งหมด ๘๐ องค์
    กับที่เมื่อวันศุกร์สั่งสร้างไปแล้วสำหรับล็อตหน้า ๓๒ องค์
    (เดือนตุลาคมจะดูตัวเลขยอดบริจาคอีกครั้ง
    เพื่อยืนยันกับทางโรงหล่ออีกครั้ง
    ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไรแน่)

    พวกเรานำพระใหญ่ไปให้ชาวพุทธต่างจังหวัด
    และชาวพุทธในพม่า ออสเตรเลีย
    กับอเมริกา ได้กราบไหว้
    หรือพูดสั้นๆว่า
    นำความชื่นบานไปให้ชาวพุทธทั่วโลกหลักแสนแล้ว
    ฉะนั้น ก็อย่าแปลกใจ
    หากจะเกิดความชื่นบานอย่างใหญ่เดี๋ยวนี้
    หรือมีคนนำความชื่นบานมหาศาลมาให้ในวันหน้า
    เพราะความชื่นบานที่เราให้ไป
    ไม่ใช่ความรู้สึกสดชื่นธรรมดาๆ
    แต่เป็นมหากุศลธรรมอันเกิดจากการเกื้อกูลให้ผู้อื่น
    ได้มีศรัทธาปสาทะให้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าง่ายๆ

    ตั้งแต่จำนวนองค์พระประธานเพิ่มขึ้นไปถึง ๗๐ องค์
    ประกอบรวมกับพระไตรปิฎกหลายสิบตู้
    ผมรู้สึกถึงความกว้างยาวลึกเหมือนมหาสมุทร
    แต่พอใกล้สิ้นปีขึ้นหลักร้อย
    ความรู้สึกคงประมาณไม่ถูกแล้วว่า
    จะเปรียบเทียบมหาสังฆทานของพวกเรากับอะไรดี
    ได้แต่คาดหวังว่าทุกท่านที่ปลื้มปีติอยู่
    จะมีหลักประกันความสุขความเจริญทางใจ
    รู้สึกเหมือนจะทำบาปไม่ขึ้นอีกต่อไป
    ซึ่งนั่นก็จะเป็นนิมิตหมายของสุคติภูมิ
    นับแต่ชาติภพนี้ ตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน

    ล็อตหน้าเป็นต้นไป
    คุณสมเจตน์จะส่งคนไปดูวัดจริง
    ก่อนตัดสินใจรับเข้าโครงการ
    ทั้งนี้ ขอประกาศแจ้งแบบไม่คอนเฟิร์มไว้ว่า
    งานบรรจุฯล็อต ๔ น่าจะเป็นที่วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๕๙
    และสำหรับปีถัดๆไป
    จะจัดเพียงปีละ ๒ ครั้ง ประมาณกรกฎาและธันวา
    เพื่อไม่ให้ทีมงานและญาติธรรมต้องเหนื่อยบ่อย
    แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ห่างจนลืมความรู้สึกแสนดี
    ที่มีในวันงานในแต่ละครั้งด้วย

    อีก ๕๐ หรือ ๑๐๐ ปีข้างหน้า
    คงไม่มีใครจำชื่อโครงการ ‘พระประธานทั่วหล้า’ได้
    พระประธานจำนวนมหาศาลที่เราช่วยกันสร้าง
    จะยังคงอยู่คู่โบสถ์ คู่ศาลา ยังความศรัทธา
    ให้บังเกิดแก่สาธุชนไม่เลือกหน้าต่อไปแน่นอนครับ!
     
  4. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/QFl_II1fVxg" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  5. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/39pZCgbtKQw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  6. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/EVBJdAK5P58" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  7. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/Lnk4S4vfU0o" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  8. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/pXmPr-FyKqE" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  9. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/TyJsqSryr_g" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  10. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    [​IMG]

    ความรัก กับ บุพเพสันนิวาสและเนื้อคู่

    คู่นั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้ คำว่า ‘คู่แท้’ จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’

    หากหันมาใส่ใจกับคำว่า ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บาป’ แทน อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้ ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป และนั่นก็แปลว่า คู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ

    มองอย่างนี้อคติจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน เราจะเห็นตามจริงว่า ถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้ อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย หรือที่เรียกง่ายๆว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อๆมา กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ

    ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและปัจจุบันประกอบกัน

    ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ บุญที่สร้าง ‘คู่บุญ’ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่

    ๑) มี ศรัทธา ไปในแนวทางเดียวกัน เช่นถือศาสดาองค์เดียวกัน เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลยครับ ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศ เดียวกัน ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน

    ๒) มี ศีล อันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้ แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที่ ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว และนั่นก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน ยิ้มไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นใน กันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ

    ๓) มี จาคะ อันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่นอีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กัน แน่นแฟ้นขึ้น จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียงย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่ เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน

    ๔) มี ปัญญา เสมอกัน กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง กล่าวทางธรรมคือมีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยเป็นไปไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน

    หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ (อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้ ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง

    จากที่พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัส ว่าหญิงชายจะพบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า ก็เพราะมีเหตุ คือต่างฝ่ายต่างมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน คำว่า "เสมอกัน" นั้น อย่างน้อยที่สุดคือร่วมยินดีไปในแนวความเชื่อเดียวกัน มีใจปรารถนาจะรักษาศีล มีใจอยากสละให้ และอย่างน้อยพูดภาษาเดียวกันรู้เรื่อง ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งเสนอ อีกฝ่ายนอกจากไม่สนองแล้วยังเอาแต่ขัดๆๆ

    ยิ่งไปกว่านั้น พระพุทธเจ้ายังเคยตรัสว่า ความรักจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเหตุสองประการ ประการแรกคือเคยอยู่ร่วมกันมาในอดีตชาติ ประการที่สองคือชาตินี้ได้เกื้อกูลกัน นั่นแหละความรักอย่างลึกซึ้งถึงจะเกิดได้

    มองด้วยข้อสรุปนี้ "คู่บุญตัวจริง" ก็คือคนที่เคยคิดดี พูดดี ทำดีต่อกันมาก่อน รวมทั้งมีศรัทธาไปในทางเดียว แข็งแรงในศีลข้อเดียวกัน มีใจคิดสละประมาณเดียวกัน และอย่างน้อยต้องพูดกันรู้เรื่องประมาณเพลินคุยได้ไม่รู้เบื่อ

    แม้เราจะไม่รู้ว่าใคร คือ คู่บุญของเรา แต่หากต้องการเลือกชีวิตคู่ให้เหมาะสมนั้น แนะนำว่าให้ใช้หลักธรรมะ 4 ตัวเป็นตัวตั้ง คือ คนๆ นั้น หรือคู่ชีวิต จะต้องมีศีล จาคะ ปัญญา และศรัทธาที่ใกล้เคียงกับเราด้วย ชีวิตคู่ถึงจะไปด้วยกันได้ดี

    สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อคบหากันแล้ว

    ๑) รู้สึกว่าใช่หรือเปล่า (เป็นเรื่องของสัญญาที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกล้วนๆ)

    ๒) เกิดแต่เรื่องดีๆเมื่ออยู่ด้วยกันหรือเปล่า (วัดผลของอดีตกรรมที่ให้เป็นวิบากฝ่ายดี)

    ๓) ร่วมกันเปลี่ยนอุปสรรคหรือเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้หรือเปล่า (ดูปัจจุบันกรรมที่เอื้อให้เกื้อกูลร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้แค่ไหน)

    ๔) เกิดแรงบันดาลใจให้คิด พูด ทำดี ๆ ต่อกันและต่อคนรอบข้างหรือเปล่า (ปัจจุบันกรรมที่จะให้ผลเป็นวิบากอนาคตที่สดใสหรือไม่ คู่ที่จรรโลงใจกันด้วยบุญ เลี้ยงใจกันด้วยบุญไม่ขาดสายเท่านั้น ที่ไม่เบื่อ ไม่แห้งแล้งต่อกันเสียก่อนตาย)

    สรุปคือเข้าคู่กันแล้วรู้สึกดีๆ เกิดเรื่องดี ๆ ก็ใช่เลยครับ และไม่ต้องไปหมายมั่นเอาว่านั่นคือเครื่องแสดงความถาวร เป็นเนื้อคู่นิรันดร์ เพราะสังสารวัฏไม่มีอะไรอย่างนั้นให้ มีแต่เปลี่ยนกับเปลี่ยนครับ จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลงเท่านั้น

    ถ้าคู่ชีวิตคู่ไหน อยากให้อีกฝ่ายหนึ่งสนใจ หรือหันมามองตัวเอง ตัวเราต้องฝึกฝนให้ดีเสียก่อน โดยใช้วิธีปฏิบัติธรรม เจริญสติในชีวิตประจำวัน จะทำให้เราได้เห็น และรู้จักตัวเองดีขึ้น รู้จักตัวเองในที่นี้ คือ เวลาเกิดปัญหา จะไม่มอง และโทษคนอื่น หรือเห็นคู่ชีวิตเป็นฝ่ายผิดตลอด

    เมื่อฝึกฝนตัวเองดีแล้ว เช่น คุมอารมณ์ให้อยู่ และเข้าใจความต่างในตัวของคนที่เรารัก จะช่วยให้อารมณ์ดี และใจเย็นขึ้น ใจจะเห็นโลกตามความเป็นจริง และสติจะช่วยให้เรารักษาศีลได้ดีขึ้น มีเมตตาเป็นเครื่องหนุนให้ผู้ปฏิบัติและคนที่อยู่ใกล้ชิดมีความรู้สึกสบายใจ
    สรุปว่า ถ้าอยากให้คนอื่นเข้าใจตัวเรา เราต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่า ณ ขณะนี้ เราคือใคร กำลังทำอะไร ปัญหาเกิดขึ้นเพราะใคร ต้องยอมรับความจริงให้เป็น ที่สำคัญไม่ควรไปรื้อฟื้นอดีตที่เลวร้ายของกันและกันมาเป็นข้อถกเถียง แต่จงอยู่กับปัจจุบัน เพราะจะทำให้มีความสุขมากว่า

    ที่มา:
    1. ธรรมะเลือกคู่“ศีล-จาคะ-ปัญญา-ศรัทธา” (“ธนาคารความสุขสาขา 2” โดยคุณพิทยากร ลีลาภัทร์)
    2.วาทะดังตฤณ ฉบับความรักหลากสี (คุณดังตฤณ)
     
  11. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    หลายคนที่รักอิสระมองว่า
    วินัย คือการโปรแกรมคน
    ให้กลายเป็นหุ่นยนต์
    วินัยจึงเท่ากับพันธนาการน่าอึดอัด

    และบางตำราก็แนะว่า
    อย่าด่วนเอาคำสัญญาจากเด็ก
    เพราะเด็กยังไม่รู้จักสัญญา
    เด็กจะเอาแต่ความต้องการเฉพาะหน้า
    ถ้าเด็กไม่สามารถรักษาสัญญา
    ก็จะรู้สึกไม่ดีกับการรักษาสัญญา
    หรือชอบหาเหตุผลแก้ตัวเพื่อผิดสัญญา

    ข้อเท็จจริงก็คือ นับแต่รู้ความกัน
    เด็กจะรู้จักคำสัญญาจากผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูตน
    เช่น บอกว่าเดี๋ยวมานะ (ไม่ระบุเวลา)
    เดี๋ยวจะมาตอน... (ระบุเวลา)
    เดี๋ยวจะให้ (ให้เปล่าๆเลย)
    เดี๋ยวจะให้ ถ้า... (ให้แบบมีเงื่อนไข)
    การบอกว่า เดี๋ยวจะอย่างนั้น เดี๋ยวจะอย่างนี้
    แล้วทำหรือไม่ทำตามที่บอก
    นั่นแหละ! ความรู้สึกเกี่ยวกับคำมั่นสัญญา
    ที่ลงหลักปักฐานในจิตสำนึกของเด็ก

    ผู้ใหญ่โดยมาก มักไม่ให้ความสำคัญตรงนี้
    พูดแล้วทำเป็นลืม สัญญาแล้วทำเป็นไขสือ
    ไม่ใช่เรื่องที่มีความหมายต้องจดจำไว้ในใจ
    เห็นเป็นเด็ก คงไม่เป็นไร เด็กไม่คิดมากหรอก

    เด็กน้อย ไม่ใช่จะคิดน้อยกันทุกคน
    และหลายเรื่องแม้ ‘ยังไม่คิด’ อะไรเลยก็จริง
    แต่ความจำที่ได้มาจากผู้ใหญ่นั่นแหละ
    ทำให้เริ่มคิด และคิดมากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน!

    จิตสำนึกของลูกมาจากไหน?
    หากคุณเป็นพ่อแม่ที่บอกว่า
    จะให้แล้วให้จริง
    เย็นนี้จะกลับกี่โมง แล้วกลับตรงเวลา
    วันไหนจะพาไปเที่ยว แล้ววันนั้นพาไป
    นั่นแหละ! จิตสำนึกของลูกมาจากตรงนั้น
    ยิ่งถ้าต้องลำบากเพื่อรักษาสัญญา
    ยิ่งต้องถือเป็นโอกาสทอง
    ทำให้ลูกเห็นว่าคุณต้องรีบตาลีตาเหลือก
    ทำให้ลูกเห็นว่าคุณทำโน่นทำนี่มากมาย
    เพียงเพื่อพยายามรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเขา
    หรือถ้าเขาไม่เห็น จะพูดเล่าเสียหน่อยก็ดี
    ประสบการณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับลูก
    จะฝังแน่นในใจเขาเองว่า สัญญาต้องเป็นสัญญา
    ไม่ใช่มาสอนกันดื้อๆ
    หรือทวงสัญญากันหลังจากเป็นไม้แก่ดัดยากแล้ว

    เส้นแบ่งระหว่างความอึดอัด
    กับความเต็มใจที่จะรักษาสัญญา
    คือ ความฝืนใจ กับความน่าพอใจ
    คุณต้องแสดงให้เกิดความรู้สึกด้วยว่า
    รักษาสัญญาได้แล้วภูมิใจ มีความสุข
    ไม่ใช่ข้อบังคับที่ปฏิบัติแล้วเป็นทุกข์
    ถ้าคิดจะให้ความสุขกับลูก
    พอรักษาสัญญาได้ก็ต้องเกิดความสุขตามลูก
    และถ้าคิดให้ดีก่อนรักษาสัญญา
    คนเราก็มักทำได้เสมอ น้อยครั้งที่จะหลุด
    เมื่อหลุดก็ต้องมีเหตุสุดวิสัยที่ชัดเจน
    และมีสิ่งชดเชยกัน
    อย่างน้อยที่สุดก็เช่น คำขอโทษจากความรู้สึกผิดจริงๆ
    หรือไม่ก็การอธิบายเหตุผลที่ฟังขึ้น

    การไม่เผลอหลุดปากสัญญาส่งเดชของคุณ
    ช่วยให้ลูกไม่ปากเบา ไม่พูดอะไรส่งเดช
    คุณเองจะเป็นคนแรกที่สบายใจ ไม่ต้องเป็นห่วง
    เพราะมั่นใจว่า ลูกพูดคำไหนก็คำนั้น
    จนคุณเองประหลาดใจว่าอายุยังน้อย
    ทำไมจำสัญญาแม่น
    และอยากรักษาสัญญามากขนาดนั้น

    แต่ถ้าเป็นตรงข้าม คุณไม่เคยใส่ใจคำสัญญาเลย
    คุณก็จะเป็นคนแรกเช่นกันที่พบว่า
    ยิ่งโต ลูกยิ่งเหลวไหล พูดไม่เป็นพูด
    แก้ตัวน้ำขุ่นๆ หรือไม่แก้ตัวเลย
    ฉันจะเอาของฉันอย่างนี้แหละ!

    [​IMG]
     
  12. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/Z3Otxbwtb0I" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  13. กลอง

    กลอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,468
    ค่าพลัง:
    +2,991
    <iframe width="640" height="360" src="https://www.youtube.com/embed/3WwRZQTixYw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     

แชร์หน้านี้

Loading...