ยายเขียนศิษย์หลวงพ่อปานนั่งกรรมฐานถอดจิตไปพระจุฬามณี โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ชนะ สิริไพโรจน์, 23 เมษายน 2016.

  1. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ยายเขียนศิษย์หลวงพ่อปานนั่งกรรมฐานถอดจิตไปพระจุฬามณี
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    จะเล่าเรื่องยายเขียนต่อไป ยายเขียนแกมาเจริญกรรมฐาน
    กับหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็ให้เจิญ อานาปานุสสติ
    กรรมฐาน ควบ พุทธานุสสติกรรมฐาน ควบ กสิณ ๓ อย่าง ...
    อานาปานุสสติกรรมฐาน คือพิจารณาลมหายใจเข้าออก
    ให้รู้ว่าลมเข้าลมออก หายใจสั้นหรือหายใจยาว
    พุทธานุสสติกรรมฐาน เวลาหายใจเข้าภาวนาว่า พุท
    หายใจออกภาวนาว่า โธ อันนี้เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน
    ควบกรรมฐาน ๒ อย่าง แล้วก็ให้พิจารณาเพ่งพระพุทธรูป
    องค์ใดองค์หนึ่งให้จับตา มองให้จำได้ หลับตาไปภาวนา
    ให้นึกถึงภาพพระองค์นั้นด้วย

    อันนี้เป็นกสิณ อันนื้ท่านฉลาด โบราณท่านฉลาด แต่โดยมาก
    ท่านสอนกรรมฐานแบบนี้ ถ้าคนมีอัธยาศัยไม่เฉพาะ ท่านให้
    กรรมฐาน ๓ อย่างร่วมกัน แล้วเป็นเหตุให้ได้สมาธิได้ง่าย
    เพราะการเพ่งภาพกสิณหรือการจับลมหายใจเข้าออกนี้
    ทั้งสองอย่างนี้เป็นสภาพของฌาน ๔ ทั้งคู่

    ยายเขียนอยู่บางปลาม้า แกมาขึ้นกรรมฐานกับหลวงพ่อปาน
    พอหลับตา ไอ้หลับตาตอนต้นน่ะ พอสมาทานแล้วก็หลับตา
    แล้วก็ลืมตาขึ้น ท่านก็บอกว่า แม่เขียน พยายามเข้านะ
    แม่เขียนจะได้ดีในไม่ชานี้ แน่ะ ! ท่านรู้ด้วย รู้จริงๆ ทีนี้
    ยายเขียนคนนั้นแกมาเจริญกรรมฐานอยู่กับหลวงพ่อปาน
    คือฝึกอยู่ที่วัด ๓ วัน หลวงพ่อปานท่านบอกว่า แม่เขียน
    กลับได้แล้ว เพราะทำเองได้แล้ว แล้ววันหลังถ้ามีอะไร
    ข้องใจสงสัยอะไรละก็แม่เขียนมาถามฉันได้ หรือให้ลูก
    เขียนมาถามก็ได้ ฉันจะอธิบายให้แม่เขียน ไม่ต้องมาบ่อยๆ
    เพราะไปมาลำบาก

    สมันนั้นเรือยงเรือยนต์มันไม่ค่อยจะมีหรอก จะไปทีก็มีเรือ
    อยู่ลำเดียว เขาออกแต่เช้า ถ้าไม่ทันลำนั้นก็ต้องพายเรือไป
    หรือไม่งั้นก้ต้องเดินไป ถ้าพายเรือไปก็หมายความว่าตั้งแต่
    เช้าตรู่จนกระทั่งค่ำนั่นแหละ ถึงจะถึงอำเภอบางปลาม้า
    ถ้าเดินก็ตั้งแต่เช้าจะถึงก็บ่าย เพราะเดินลัดทุ่งได้ นี่มันเป็น
    อย่างนั้น สมัยนั้นรถเรือหายาก ยายเขียนแกก็กลับ บ้านแก
    อยู่ในตลาดอำเภอบางปลาม้า

    เที่ยวพระจุฬามณี

    พอกลับไปแล้ว ไปสัก ๗ วันเศษๆปรากฏว่าลูกเขามาตาม
    หลวงพ่อปาน เขามาเล่าให้ฟังว่า ตอนเช้าเห็นแม่ไม่ออกมา
    จากห้อง เขาเรียกเท่าไหร่แม่ก็ไม่ได้ยิน ทีนี้ก็ช่วยกันงัดประตู
    เข้าไป ปรากฏว่าแม่นั่งสมาธิเฉย หายใจก็เกือบไม่หายใจ
    หายใจลมระรวยน้อยๆ หลวงพ่อปานถามว่า มีใครไปแตะต้อง
    ร่างกายบ้างหรือเปล่า เขาบอกว่าเปล่า ท่านบอกว่าดีแล้ว
    ท่านก็บอกว่าให้กลับก่อน พรุ่งนี้ฉันจะไป วันนั้นท่านก็ป่าวหมู่
    เทวฤทธิ์ บอกว่ายายเขียนไปเที่ยวพระจุฬามณี ใครจะไปดู
    ยายเขียนเที่ยวบ้าง เอาเข้าแล้ว ทุกคนอยากรู้ทั้งพระทั้ง
    ฆราวาส ติดตามท่านไปประมาณ ๑๐๐ เศษ

    เป็นอันว่าเจ้าของบ้านไม่มีที่รับรอง ต้องไปพักที่วัดสวนหงส์
    ตรงกับอำเภอบางปลาม้า แล้วท่านก็พักอยู่ที่นั่น ท่านบอกว่า
    ตั้งแต่วันที่เธอเห็นแม่ไม่ตื่น นั่งไม่ตื่น ไม่รู้สึกตัวครบ ๗ วัน
    เมื่อไหร่ให้เธอมาบอกฉันแต่เช้า บอกคณะลูก ท่านไปพัก
    ที่ไหนลาภก็เกิดแก่วัดนั้น คนไปหามากมาย และวัดนั้นกำลัง
    จะสร้างศาลา ท่านก็เลยโปเปบอกบุญสร้างศาลาส่ง กว่าจะ
    กลับก็ได้เงินให้วัดหมื่นเศษ สมัยนั้นหนึ่งหมื่นก็เรียบร้อย
    ศาลาสร้างไม่เหลือ หมายความว่าไม่มีอะไรจะเหลือสร้าง
    อีกแล้ว เงินหมื่นเยอะแยะเหลือแหล่

    ไม่เหมือนสมัยนี้ ศาลาหลังหนึ่งตั้งหลายแสน สมัยโน้น
    จริงๆ ศาลาบางหลังเขาสร้าง ๒ – ๓ พันก็เสร็จ แต่หลังนั้น
    หลวงพ่อปานเข้าไปแล้ว เขาก็เลยขยายแปลนไปหลายแบบ
    ขยายหน้าขยายหลัง กลายเป็นเงินหมื่นบาทพอดี

    เมื่อถึงวันที่ ๗ ลูกชายของโยมเขียนก็ข้ามมาบอกหลวงพ่อปาน
    บอกว่าวันนี้เป็นวันครบวันที่ ๗ แล้วครับ ท่านก็บอกพวกเรา
    ไปดูกัน ไม่รู้ว่าไปดูอะไร เมื่อท่านข้ามเรือไป พวกเราก็ข้ามตาม
    ฉันก็ไปด้วย ทุกคนก็ไป พระที่นั่นก็ไป พระเจ้าของวัดก็ไป
    ชาวบ้านเยอะแยะล้นหลาม วันนั้นตลาดอำเภอบางปลาม้า
    ข้าวแกงขายรวย คนมายิ่งกว่าดูงานวัดเสียอีก เขาบอกว่าที่
    อำเภอบางปลาม้านี่ไม่เคยมีคนมากขนาดนี้ มีงานอะไรประจำปี
    ก็ไม่เคยมีคนมาก คราวนั้นคนมากจริงๆ ยิ่งรู้ว่าหลวงพ่อปาน
    ไปด้วยยังงั้น เปิดกันใหญ่

    เมื่อท่านข้ามไปแล้ว ท่านก็สั่งให้ลูกสาว บอกต้มข้าวต้มไว้
    ให้เละทีเดียว แล้วอาหารก็อย่าใช้เป็นชิ้น เอาอาหารอ่อนๆ
    ปลาตายๆแล้วก็ได้ต้มลงไปด้วย ต้มเป็นข้าวต้มปลา บอกว่า
    เครื่องปรุงที่แข็งๆเหนียวๆห้ามใส่เด็ดขาด เขาก็ถามว่าโจ๊ก
    ได้ไหมขอรับ ลูกชายเขาถาม บอกเออมีโจ๊กก็ดี เขาก็เลย
    ไปจัดโจ๊กเข้าไว้

    พอประมาณบ่ายสักหนึ่งโมงยายเขียนก็รู้สึกตัวลืมตาขึ้น
    พอเห็นหลวงพ่อปานแกก็ก้มลงกราบ หลวงพ่อก็บอกว่า
    โยม...รับประทานข้าวต้มเสียก่อน ร่างกายจะได้มีกำลัง
    เพราะร่างกายขาดอาหารมา ๗ วันแล้ว แกก็บอกว่า
    ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อิฉันอิ่ม อิ่มเจ้าค่ะ อิ่มใจเหลือเกิน
    ท่านก็ไม่ยอม ท่านให้รับประทานโจ๊ก แกก็รีบกิน เพราะ
    แกกลัวจะไม่ได้คุยกับหลวงพ่อปาน

    พอรีบกินเสร็จ หลวงพ่อปานก็ถามเรื่องราวว่า โยมเรื่องราวมันไปยังไงมายังไง
    จึงได้นั่งหลับตาไปถึง ๗ วันอย่างนี้ ความจริงน่ะไม่ใช่ท่านไม่รู้ ท่านรู้
    แต่ก็อยากจะให้โยมแกเล่าให้ฟัง คนอื่นจะได้รู้ตามความจริงจากปาก
    ของแกเอง โยมเขียนแกก็เล่าให้ฟัง
    <O:p</O:p
    บอกว่าฉันก็มาปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสั่งเจ้าค่ะ พิจารณาลมหายใจเข้าออก
    ภาวนาหายใจเข้าว่า พุท หายใจออก โธ แล้วก็เพ่งรูปพระพุทธเจ้า
    รูปพระพุทธเจ้าจำเข้าไว้ วันนั้นรู้สึกว่ารูปนั้นแจ่มใส รูปพระที่เพ่งไว้
    หลับตาเห็นภาพแจ่มใส กลายสภาพเป็นแก้วประกายพรึกแพรวพราว
    สวยสดงดงาม มีอารมณ์ตั้งมั่น ไอ้อย่างนี้เขาเรียกว่าฌานนะ เข้าถึงระดับฌาน
    เมื่อมีอารมณ์ตั้งมั่นดีแล้ว ก็ปรากฏว่ามีพระสงฆ์องค์หนึ่งรูปร่างสวยมาก
    อายุประมาณ ๓๐ ปี เดินถือดอกบัวมา ๓ ดอก มาถึงก็มาชวนว่า โยมจะไปไหว้
    พระจุฬามณีมั้ย แกก็บอกว่าอยากจะไปเจ้าค่ะ แต่ว่าก็ไปไม่ได้ พระท่านบอกว่า
    ถ้าโยมจะไปละก็อาตมาจะพาไป แกก็ตกลง พระก็จับมือพาจูงไปๆตามทาง
    บอกว่าทางใหญ่ขาวสะอาด ขึ้นไปเขตพระจุฬามณี
    <O:p</O:p
    พอขึ้นไปถึงแล้ว ก็พาเข้าไปภายในพระจุฬามณี ภายในเจดีย์นะ เข้าไปในนั้น
    ท่านบอกว่าจะเข้าไปไหว้พระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้า พอเข้าไปแล้วแทนที่
    จะเห็นพระเขี้ยวแก้วเป็นเขี้ยวธรรมดา กลับไปเห็นพระพุทธเจ้ามีฉัพรรณรังสี
    รัศมี ๖ ประการแจ่มใสสวยสดงดงาม บอกว่าดูแพรวพราวสวยงามมาก ดูแล้ว
    ไม่อิ่มไม่เบื่อ ก็เข้าไปถวายนมัสการรูปพระพุทธปฏิมากร และรูปเปรียบของ
    พระพุทธเจ้า หรืออาจจะเป็นบารมีของพระพุทธเจ้าจริงๆก็ได้ ทรงแย้มพระโอษฐ์
    บอกว่าสวยงามมากเหลือเกิน เห็นรูปพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วแต่ก็ไม่ได้
    พูดอะไร มานั่งชมบารมีอยู่พักหนึ่ง เห็นบรรดาพระทั้งหลายเข้าไปนมัสการ
    พระแต่ละองค์มีเนื้อเป็นแก้วสดใส มีรัศมีกายสว่าง
    <O:p</O:p
    สักประเดี๋ยวหนึ่ง พระองค์ที่พาไปก็ชวนออกมาข้างนอก บอกว่าประเดี๋ยวบรรดา
    พรหมและเทวดาทั้งหลายจะเข้านมัสการ โยมออกไปชมข้างนอกเถอะ ก็พากัน
    ออกมานั่งอยู่ที่มุมด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระจุฬามณี แกบอกว่าพระจุฬามณี
    สีหลากสวยสดงดงามประดับประดาแพรวพราวไปด้วยแก้ว พื้นก็เป็นแก้ว
    สักประเดี๋ยวเดียวเทวดาและพรหมทั้งหลายต่างพากันมาเป็นกลุ่มๆ มานมัสการ
    พระพุทธเจ้า รู้สึกว่ารัศมีกายสว่างไสวมาก เครื่องประดับกายก็สวยสดงดงาม
    มองดูแล้วก็เพลินตาเพลินใจ มองไม่อิ่มไม่เบื่อ แต่ละคนสวยสดงดงามจริงๆ
    ท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส ทุกคนเดินมาเฉียดแกใกล้ๆ แก ก็หันมายิ้ม ทุกคนยิ้ม
    เหมือนกัน แต่แกบอกว่า แกไม่อยากมองดูตัวแก มันสวยไม่เท่าเขา มองเขา
    เพลิดเพลิน ทั้งผู้หญิงผู้ชายหาคนแก่ไม่ได้ มีแต่คนหนุ่มสาวเท่านั้น
    <O:p</O:p
    พอนั่งอยู่สักครู่เดียว พระองค์นั้นก็บอกว่า โยมกลับเถอะ เวลานี้ที่เมืองมนุษย์
    ๗ วันแล้ว ร่างกายจะทนไม่ไหว แกขออยู่อีกสักประเดี๋ยวหนึ่ง พระองค์นั้นก็บอกว่า
    ไม่ได้หรอก โยมอยู่ไม่ได้ร่างกายจะทนไม่ไหว เวลานี้มัน ๗ วันเข้าไปแล้ว ต้องรีบไป
    แล้วก็พาจูงกลับมา ทีนี้ท่านทั้งหลายผู้ฟังคงจะสงสัยว่าพระทำไมจูงมือผู้หญิงได้
    แต่ความจริงภาพที่เป็นทิพย์อันนั้นไม่เป็นอาบัติ เพราะว่าจิตใจที่เกิดจากราคะจริต
    มีความกำหนัดในระหว่างเพศย่อมไม่ปรากฏ อันนี้ขอให้เข้าใจ อย่านึกว่าอะไรๆที่
    เขาห้ามในเมืองมนุษย์นี่ เวลาสภาพเป็นผีแล้วเขาห้าม เขาไม่ได้ห้าม พระองค์นั้น
    ไม่ได้มีจิตกำหนัด พระองค์นั้นจะเป็นใครก็ตามทราบไม่ได้ นี่เป็นอันว่าการปฏิบัติ
    กรรมฐานน่ะไม่ใช่ว่าจะทำได้ดีแต่พระ
    <O:p
    แต่ความจริงแล้ว ถ้าวัดตามความจริง คนที่ได้ความดีรวดเร็วจริงๆ นั่นก็คือผู้หญิง
    พวกผู้หญิงนี่รู้สึกว่าได้เปรียบจริงๆ พวกฉันเมื่อเวลาเห็นผู้หญิงมาขึ้นกรรมฐาน
    พวกเราก็พากันยกนิ้วว่า ตัวเด่นมาอีกแล้ว เพราะแต่ละคนที่เป็นผู้หญิง โดยมาก
    นำไปปฏิบัติตรงปกิบัติถูกตามแบบตามแผน เพราะกรรมฐานน่ะถ้าจะปฏิบัติได้ดีจริงๆ
    ต้องปฏิบัติแบบโง่ๆ ไม่ใช่คนอวดฉลาด พวกผู้ชายน่ะโดยมากมักจะเป็นคนโง่แกมหยิ่ง
    เป็นคนอวดฉลาด ถือว่าตัวได้บวชบ้างมีความรู้ เรียกว่ายาวไม่แค่หางอึ่ง แต่คิดว่ารู้มาก
    อวดวิเศษ คิดโน่นคิดนี่ ครูสอนอย่างนี้ก็ทำอย่างโน้น ครูสอนอย่างโน้นก็ทำอย่างนั้น
    มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน อย่างนี้เขาเรียกว่าไปไม่ได้ไกล มันแบบการเดินทาง มันเดินไม่ตรง
    แวะโน่นแวะนี่ มันจะไปถึงปลายทางได้ยังไง
    <O:p</O:p
    สำหรับพวกผู้หญิงมีอารมณ์ดีอยู่ ๒ อย่าง คือ
    <O:p</O:p
    ๑.ผู้หญิงไม่รู้อะไรมาก เมื่อครูสอนยังไงปฏิบัติตามนั้น
    <O:p</O:p
    ประการที่ ๒ การตัดสินใจดดยฉับพลัน การตัดสินใจเด็ดขาด ผู้หญิงดีกว่าผู้ชาย
    นี่เป็นปกตินะ ตามธรรมดาเป็นปกติ เรียกว่าการตัดสินใจเฉพาะหน้าฉับพลัน
    ผู้หญิงรวดเร็วกว่าผู้ชายมาก อาจจะตัดสินใจอะไรก็ตาม อย่างเด็ดขาด คิดอยาก
    จะฆ่าตัวตายเสียยังได้ คิดอยากจะด่าใครกลางถนนหนทาง แม่ด่าดะ ยังงี้ก็ทำได้
    ผู้ชายทำไม่ได้ ที่ว่าอย่างนี้ไม่ใช่ประนามผู้หญิงว่าเป็นคนเลว แสดงให้เห็นว่า
    ผู้หญิงตัดสินใจได้รวดเร็วฉับพลัน
    <O:p</O:p
    และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะการที่ไม่ทนงตน ไม่อวดรู้ ไม่อวดวิเศษนั่นแหละ
    ครูสอนยังไงปฏิบัติตามนั้น อย่างนี้แหละเป็นเหตุให้เข้าถึงธรรมะสูงได้อย่างรวดเร็ว
    นี่เป็นอารมณ์อันหนึ่งที่ผู้หญิงจะพึงได้ ฉะนั้น ส่วนมากการปฏิบัติพระกรรมฐาน
    ผู้หญิงมักจะได้ดีกว่าผู้ชาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมถะด้านฌาน
    <O:p</O:p
    ถ้าด้านวิปัสสนาญาณผู้หญิงเองก็มีความทุกข์มากกว่าผู้ชาย เพราะภาระทางบ้าน
    เป็นหน้าที่ของผู้หญิง การเลี้ยงลูก การดูแลความเป็นอยู่ พอกินหรือไม่พอกิน
    ภายในบ้าน เป็นหน้าที่ของผู้หญิง ผู้หญิงจิตเป็นทุกข์เป็นปกติ เมื่อให้พิจารณาทุกข์
    ตามทุกข์ในอริยสัจ ผู้หญิงย่อมจะเห็นทุกข์ได้ง่าย นี่เป็นความดีของผู้หญิง
    ที่เป็นกำไรอย่างยิ่งในการปฏิบัติพระกรรมฐาน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไปยกย่อง
    สรรเสริญเกินพอดี ที่ประสบมาน่ะมันเป็นอย่างนั้น อันนี้เล่าถึงปฏิปทาของ
    ลูกศิษย์ของท่านตอนหนึ่ง.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2016
  2. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    กราบหลวงพ่อครับ
     
  3. ph240

    ph240 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +119
    สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...