เรื่องเด่น มรณานุสติกรรมฐาน เป็นการระลึกถึงความตายที่จะมาถึงตัวเรา เพื่อจะได้ไม่ประมาท

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 15 พฤศจิกายน 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,369
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    3BD45D27-7832-4405-AA25-3FDA47C18648.jpeg

    ในวันนี้อยากให้ทุกคนระลึกถึงกรรมฐานกองหนึ่งที่สำคัญมาก คือ มรณานุสติกรรมฐาน มรณานุสติกรรมฐานเป็นการระลึกถึงความตายที่จะมาถึงตัวเรา เพื่อจะได้ไม่ประมาท ไม่มัวเมาในชีวิต จะได้เร่งรัดในการปฏิบัติให้เข้มข้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    ปกติแล้วสัตว์โลกเกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น แปลว่าการเกิดและการตายนั้นเท่ากัน แต่เนื่องจากว่าการเกิดนั้นใช้เวลาเพียง ๙-๑๐ เดือน แต่การตายนั้นใช้เวลาหลายสิบปี เราจึงเห็นว่ามีการเกิดมากกว่าการตาย ในความจริงแล้วการเกิดและการตายนั้นเท่ากันทุกประการ ก็คือใครเกิดมา คนนั้นก็ตายแน่

    คราวนี้ความตายของเรานั้นพิจารณาได้หลายอย่าง อย่างแรกก็คือ ดูบุคคลที่ต่ำกว่า เด็กกว่า อายุน้อยกว่า เราจะได้เห็นว่าความตายนั้นมาถึงทั่วทุกตัวคนและสัตว์ บางรายอยู่ในท้องแม่ ยังไม่ได้ลืมตามาดูโลกก็แท้งเสียแล้ว ตายเสียแล้ว บางรายคลอดออกมาไม่กี่วันก็ตาย บางรายเป็นเด็กเล็กก็ตาย เป็นเด็กโตก็ตาย เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวก็ตาย เป็นหนุ่มเป็นสาวก็ตาย

    เราจะเห็นว่าเรื่องของความตายนั้นมาถึงทุกผู้คน คราวนี้มาในวัยเดียวกับเรา ก็ดูเพื่อนฝูงอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่ตายไปแล้วก็มี เจ็บไข้ได้ป่วยออดแอดอยู่ก็มี หรือดูบุคคลที่แก่กว่า อายุมากกว่า ได้แก่ พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ล่วงลับดับขันธ์ไปเป็นจำนวนมากด้วยกัน บางคนก็ไม่เหลือญาติผู้ใหญ่แล้ว

    ถ้าจะดูอีกทีหนึ่ง ก็ดูบุคคลที่มียศถาบรรดาศักดิ์ มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นนายพัน นายพล เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี หรือแม้กระทั่งเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ อย่างเช่นบุคคลที่ทรงความดีอย่างยิ่ง เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ก็คือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชของเรา ก็เสด็จสวรรคตเช่นกัน

    หรือถ้าจะดูยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ บุคคลที่ทรงคุณความดี เป็นพระอรหันต์ก็มี เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ที่สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติอเนกอนันต์ก็มี หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายเหล่านั้น มรณภาพให้เราเห็นมากต่อมากด้วยกันแล้ว หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ทรงคุณความดียิ่งกว่าพระอรหันต์ พระองค์ท่านบำเพ็ญบารมีมา ขาดเพียงสัพพัญญุตญาณเท่านั้น ทุกพระองค์ก็ล้วนแต่ไปพระนิพพานหมดแล้ว ในการต่อไปข้างหน้าถึงจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้าปรากฏในช่วงที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านก็ต้องไปพระนิพพานเช่นกัน

    หรือแม้แต่สุดยอดของบุคคลอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สั่งสมบารมีมา เกิดขึ้นมาอย่างยากเย็นที่สุด เกิดขึ้นเมื่อไรก็สร้างคุณประโยชน์อเนกอนันต์ให้แก่โลก ทั้งโลกนี้และโลกอื่น ๆ ท้ายสุดพระองค์ท่านก็เสด็จดับขันธปรินิพพานเช่นกัน

    เราจะเห็นได้ว่าความตายมาถึงทั่วทุกตัวบุคคลและสัตว์ ไม่ได้เลือกชั้นวรรณะ ไม่ได้เลือกอายุขัย ไม่ได้เลือกยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ได้เลือกคุณงามความดี เมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าเราตายแล้ว ถ้าต้องตกสู่อบายภูมิก็ถือว่าขาดทุนมาก เพราะว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เป็นภพภูมิที่อยู่ในส่วนของความดี เพราะเรามาด้วยอานุภาพของศีล ๕

    ศีล ๕ นั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มนุสสธรรม หรือธรรมที่ทำให้เราเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเทวธรรมของเทวดานางฟ้าทั่วไป ก็คือ หิริโอตัปปะและศีล ถ้าเทวธรรมของพรหม ก็ประกอบไปด้วยหิริโอตัปปะ ศีล และฌานสมาบัติ หรือถ้าเป็นวิสุทธิเทพ ก็คือบุคคลที่สามารถปล่อยวาง ละกิเลสตามสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ได้โดยสิ้นเชิง

    ในเมื่อตัวเราเป็นมนุษย์มาด้วยมนุสสธรรม ถ้าเราไม่สามารถรักษาธรรมส่วนนี้ได้ เราก็จะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก เราจึงต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิด และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล หลังจากนั้นก็ทำความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้นจริงจัง ไม่ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    แล้วใช้ปัญญาพินิจพิจารณาว่า ความตายต้องมาถึงเราอย่างแน่นอน ขึ้นชื่อว่าตายแล้วต้องมาเกิดใหม่ มีแต่ความทุกข์ยากอย่างนี้เราไม่ต้องการอีก เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน แล้วเอากำลังใจสุดท้ายของเราเกาะพระนิพพานไว้ หรือว่าเกาะภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานเอาไว้ แล้วลองกำหนดดู ถ้ามีลมหายใจอยู่ เราก็กำหนดรู้ลมหายใจของเรา ยังมีคำภาวนาอยู่ กำหนดคำภาวนาไปด้วย

    ถ้าลมหายใจเบาลง ให้กำหนดรู้ว่าลมหายใจเบาลง เมื่อลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ให้กำหนดรู้ว่าตอนนี้ลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป อย่าพยายามทำให้เป็นดังนั้น และอย่าดิ้นรนให้หลุดจากสภาพเช่นนั้น เรามีหน้าที่กำหนดดูกำหนดรู้ไปเฉย ๆ สมาธิจิตจะดำเนินไปตามครรลองของตนเอง

    ลำดับต่อไปให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันศุกร์ที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙

    ที่มา : www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...