พ่อหลวงกับโรคระบาด

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 20 มีนาคม 2020.

  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    4x7_4E02wz4vVwemufKJbxfAjEidEHBNMc42OSGXCjKcLbGhVDGJ9BlYpwksdl8LaSRr80rz&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg


    #พ่อหลวงกับโรคระบาด
    #เชื่อว่าหลายคนคงไม่เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้

    พ่อขึ้นครองราชย์ตอนอายุเพียง 18 พรรษา
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
    เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2488 เพียงปีเดียว
    พ่อต้องกลับไปเรียนที่สวิตแล้ว
    กลับประเทศไทยในปี 2492

    #ช่วงเวลา 3-4 ปีนั้น เป็นช่วงที่เราต้อง
    ตกอยู่ในสภาวการณ์สุ่มเสี่ยงทั้งจาก
    การต้องชดใช้หนี้สงคราม
    และปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้ารุนแรง
    เงินในธนาคารแห่งประเทศไทยแทบไม่มี
    เช่นเดียวกับอาหารและทรัพยากรอื่นๆ
    เพราะต้องยกไปให้ญี่ปุ่นก่อน

    #แม้ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้แล้ว
    เราต้องกัดฟันสู้กับการบูรณะและฟื้นฟูประเทศใหม่
    ขณะเดียวกันก็ต้องสู้กับภาวะข้าวยากหมากแพง
    สินค้าอุปโภค-บริโภคที่มุดลงสู่ตลาดใต้ดิน
    ทำให้เงินเฟ้อตลอดช่วงสงครามสูงขึ้น
    เป็น 200-1,000 เปอร์เซ็นต์

    #ที่เป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งเพราะ
    เราต้องส่งข้าวให้อังกฤษ
    โดยไม่คิดมูลค่าจากหนี้สงครามที่ญี่ปุ่น
    ดึงไทยเข้าไปร่วมด้วยถึง 1.5 ล้านตัน

    #ขณะที่เศรษฐกิจไทยต้องตกต่ำลงอย่างหนัก
    ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นกลายเป็นสิ่งหายากยิ่ง
    และต้องเผชิญภาวะยุ่งยากปั่นป่วน
    เพราะถูกตัดขาดจากบรรดาชาติสัมพันธมิตร

    #เป็นที่มาให้ผู้คนอดอยาก
    และเจ็บป่วยล้มตายกันจำนวนมากด้วย
    โรคระบาดที่ไม่อาจรักษาได้

    #โรคระบาดที่รุนแรงในปี พ.ศ.2493
    และทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากคือ
    วัณโรค โรคเรื้อน โรคไขสันหลังอักเสบ (โปลิโอ)
    และอหิวาตกโรค ซึ่งทำให้
    มีคนไทยตายเฉียบพลันจำนวนมาก

    #แน่นอนว่า กิจการทางการแพทย์ของไทย
    ยังไม่เจริญก้าวหน้า ขาดแคลน
    ทั้งเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ที่จำเป็น
    บริการด้านสาธารณสุขก็ไม่แพร่หลาย
    ผู้เจ็บป่วยที่ยากจนและอยู่ห่างไกล
    ไม่มีโอกาสได้รับการรักษา

    #สิ่งแรกที่พ่อทำคือ
    พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์
    เพื่อ สร้างโรงพยาบาล “ปอดเหล็ก”
    และจัดซื้อเวชภัณฑ์เพื่อสู้กับวัณโรค
    ที่กำลังระบาดหนัก
    พร้อมกับสนับสนุนให้สภากาชาดไทย
    ผลิตวัคซีน BCG ป้องกันวัณโรค
    #จนกระทั่งทรงปราบวัณโรคสำเร็จในปี 2497

    #ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญ
    เพลงพระราชนิพนธ์ “ยามเย็น” ไปบรรเลง
    เพื่อหารายได้ช่วยเหลือโครงการ
    รณรงค์ต่อต้านวัณโรคแห่งชาติ
    ของสมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทย
    ในพระบรมราชูปถัมภ์ด้วย

    #ทรงพระราชทานแบบจำลองเรือรบหลวงศรีอยุธยา
    ซึ่งเป็นผลงานฝีพระหัตถ์ออกประมูลในงานเดียวกัน
    เพื่อนำรายได้สมทบทุนช่วยเหลือผู้ป่วยวัณโรค
    ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปสูงถึง 140,000 คน
    หรือ 500 คนต่อประชากร 100,000 คน

    #ทรงพระราชทานทุนประเดิมเพื่อจัดตั้ง
    “กองทุนโปลิโอสงเคราะห์” ที่เกิด
    การระบาดรุนแรงขึ้นในปี 2495
    พร้อมออก ประกาศเชิญชวนปวงชาวไทย
    โดยเสด็จพระราชกุศลด้วยการ
    “ทรงโซโลแซ็กโซโฟนเพลงตามคำขอ”
    ทางวิทยุ อ.ส.พระ ราชวังดุสิต
    ทำให้ได้เงินจำนวนมาก

    #ส่งไปพระราชทานแก่โรงพยาบาล
    พระมงกุฎเกล้าและมหาวิทยาลัยมหิดล (รพ.ศิริราช)
    ใช้เป็นทุนก่อสร้างอาคาร และซื้อเวชภัณฑ์
    เพื่อบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยที่พ้นขีดอันตราย แต่ต้องเป็นอัมพาต

    #ทรงสนับสนุนการค้นคว้าทางวิชาการ
    และก่อสร้างตึก “วชิราลงกรณ์ธาราบำบัด”
    ผลจากการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ
    ทำให้ปัจจุบันไม่มีรายงานการติดเชื้อโรคโปลิโอ
    หรือโรคไขสันหลังอักเสบอีกเลย

    #ทรงก่อตั้ง “กองทุนปราบอหิวาตกโรค” ด้วยการให้สภากาชาดไทยจัดซื้ออุปกรณ์เพื่อ
    ผลิตวัคซีนได้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
    ขณะเดียวกันก็สนับสนุน
    การจัดหาเครื่องมือเพื่อวิจัยโรค
    สร้างเครื่องกลั่นน้ำเกลือ
    คุณภาพทัดเทียมต่างชาติขึ้นใช้เอง

    #ทรงหาทุนโดยเสด็จพระราชกุศลด้วยการ
    “เป่าแซ็กโซโฟนตามคำขอ”
    โดยมีพระบรมราชานุญาตให้
    ประชาชนโทรศัพท์ขอเพลงผ่านวิทยุ อ.ส.ได้
    ทำให้การปราบอหิวาตกโรคของพระองค์สงบลง
    ได้อย่างสิ้นเชิงในเวลาเพียง 1 ปี 5 เดือน
    นับจากที่ระบาดอย่างรุนแรงในปี 2501

    #ทรงจัดตั้ง “ทุนอานันทมหิดล”
    แก่กระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นทุนเริ่มแรก
    ในการสร้างอาคารสถานพยาบาลโรคเรื้อน
    ขึ้นที่พระประแดง สมุทรปราการ
    แล้วทรงให้จัดตั้งสถาบันราชประชาสมาสัย
    เพื่อบำบัดฟื้นฟูและค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับโรคเรื้อน
    ทำให้ผู้ป่วยและบุตร 180,000 คน
    ได้รับการรักษาจนหายขาด
    ทำให้ไทยสามารถกำจัดโรคเรื้อน
    ได้สำเร็จเป็นประเทศแรกในภูมิภาคนี้ด้วย

    ขณะที่การรักษาโรคเรื้อนที่ทำให้
    ต้องตัดแขนขาของผู้ป่วยก็ได้
    #ทรงจัดตั้งหน่วยแขน-ขาเทียม
    พระราชทานให้ในปี 2513

    #ทรงจัดตั้งหน่วยแพทย์พระราชทาน
    และพระราชทานเรือ “เวชพาหน์”
    ในปี 2498 เพื่อออกไปให้บริการประชาชน
    ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ

    #ทรงมีรับสั่งกับหลวงพยุงเวชศาสตร์
    อธิบดีกรมสาธารณสุขว่า
    “ยาอะไรขาด ถ้าต้องการ ฉันจะหามาให้อีก
    ฉันอยากเห็นกิจการแพทย์ของเมืองไทยเจริญมากๆ”
    และเมื่อเสด็จนิวัตกลับประเทศไทย
    จึงทรงขนยารักษาโรคที่จำเป็น
    จำนวนมากกลับมาด้วย

    #ทรงมีรับสั่งว่า “ฉันต้องการให้หมอช่วยไป
    ดูแลบำบัดทุกข์แก่นักเรียนและประชาชน
    ที่อยู่ในท้องถิ่นกันดารห่างไกลหมอ
    จะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดตามความจำเป็น
    โดยให้จัดหน่วยเคลื่อนที่โดยรถยนต์
    และตระเวนไปตามถนนหนทางใน
    หมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลชนบท”

    ด้วยเหตุนี้พ่อของเรา
    #จึงทรงได้รับรางวัลเหรียญทอง
    ด้านการสาธารณสุขระดับสากลเพื่อมวลชน
    ทั้งจากองค์การอนามัยโลก
    วิทยาลัยแพทย์รักษาทรวงอกแห่งสหรัฐฯ

    #ได้รับเหรียญทองเทิดพระเกียรติในฐานะทรงเป็นผู้นำ ผู้บุกเบิก และผู้ควบคุมปัญหาการขาดสารไอโอดีนในประเทศไทยจากสถาบันที่มีชื่อว่า The International Council for Control of Iodine Deficiency Disorders
    และรางวัลเหรียญทองสดุดีพระเกียรติในฐานะทรงห่วงใยสุขภาพปอดของประชาคมโลกจากสหพันธ์องค์กรต่อต้านวัณโรค และโรคปอดนานาชาติ

    #สิ่งที่พ่อได้รับทั้งหมด
    ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญของบทความนี้ นั่นคือ
    สิ่งที่่พ่อเคยกล่าวไว้ว่า
    “เมื่อมีสุขภาพสมบูรณ์ ดีพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ย่อมมีกำลังทำประโยชน์ สร้างสรรค์ เศรษฐกิจ และสังคมของบ้านเมืองได้เต็มที่ ทั้งไม่เป็นภาระแก่สังคมด้วย คือ
    #เน้นแต่ผู้สร้าง มิใช่ผู้ถ่วงความเจริญ...”

    #และพ่อก็ทำให้เราเห็น
    ว่าพ่อทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้
    ใช้สรรพกำลังทั้งหมดที่มี
    ทำจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย

    #อุปสรรคนั้นอาจดูใหญ่เกินไหว
    หนักเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ

    #แต่ถ้าเรารู้ว่าเราทำเพื่อใคร
    เราจะทำมันจนสุดใจ

    ผมนึกถึงส่วนของเนื้อเพลง
    ที่ทำให้แอบนึกถึงพ่อทุกครั้ง

    #จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
    จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
    ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป
    เหลือไว้แต่คุณงามความดี

    #ลูกไม่รู้ว่าจะก้าวไปได้แค่ไหน
    แต่ลูกจะช่วยกันสามัคคีกัน
    ฟันฝ่าอุปสรรคครั้งนี้ให้ผ่านไป
    เหมือนที่พ่อเคยผ่านมา
    ปลูกต้นไม้แห่งคุณงามความดี
    ไว้ในใจของลูกไว้ตลอดกาล
    #ลูกขอสัญญา

    Thammasak Orachoonwong
    #ก้าวนี้เพื่อคนบนฟ้า
    #จากเด็กโง่คนนึงที่คิดถึงพ่อสุดหัวใจ

    thkz inspiration cr:
    ในหลวง กับเรื่องราว...ที่เราไม่เคยรู้
    thairath.co.th/content/545303
    ขอบคุณภาพวาดจากเพื่อนโก้
    Ghuntawat Charoenphol

     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    ?temp_hash=50efdc5e709dea48ec285526a1b90256.jpg


    พ.ศ. 2495 เกิดโรคระบาดหนักหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในหลวงรัชกาลที่ 9 นำพาให้ประเทศไทยรอดพ้นมาได้อย่างไร

    พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 สืบแทนสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งเสด็จ สู่สวรรคาลัยโดยกะทันหัน

    ขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา พระองค์ขึ้นครองราชย์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2488 เพียงปีเดียว

    แต่โดยเหตุที่ยังมีพระราชภารกิจต้องศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงต้องเสด็จฯกลับไป กระทั่งทรงสำเร็จการศึกษา จึงเสด็จนิวัตกลับประเทศไทยในปี 2492

    ช่วงเวลา 3-4 ปีนั้น เป็นช่วงที่ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวการณ์สุ่มเสี่ยงทั้งจากการต้องชดใช้หนี้สงคราม และปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้ารุนแรง เงินในธนาคารแห่งประเทศไทยแทบไม่มี หลังจากถูกญี่ปุ่นยึดเป็นด่านหน้าในการสู้รบกับฝ่ายพันธมิตร เช่นเดียวกับอาหารและทรัพยากรอื่นๆที่ประเทศไทยมี ต้องให้พวกญี่ปุ่นนำไปใช้ประโยชน์ก่อน

    แม้ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้แล้ว แต่ประเทศและคนไทยยังต้องกัดฟันสู้กับการบูรณะและฟื้นฟูประเทศใหม่ ขณะเดียวกันก็ต้องสู้กับภาวะข้าวยากหมากแพง สินค้าอุปโภค-บริโภคที่มุดลงสู่ตลาดใต้ดิน ทำให้เงินเฟ้อตลอดช่วงสงครามสูงขึ้นเป็น 200-1,000 เปอร์เซ็นต์ เป็นที่มาให้ผู้คนอดอยาก และเจ็บป่วยล้มตายกันจำนวนมากด้วยโรคระบาดที่ไม่อาจรักษาได้

    ขณะที่ช่วงต้นรัชกาลกิจการทางการแพทย์ของไทยยังไม่เจริญก้าวหน้า ขาดแคลนทั้งเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ที่จำเป็น บริการด้านสาธารณสุขก็ไม่แพร่หลาย ผู้เจ็บป่วยที่ยากจนและอยู่ห่างไกลไม่มีโอกาสได้รับการรักษา

    โรคระบาดที่รุนแรงในปี พ.ศ. 2493 และทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากคือ วัณโรค โรคเรื้อน โรคไขสันหลังอักเสบ (โปลิโอ) และอหิวาตกโรค ซึ่งทำให้มีคนไทยตายเฉียบพลันจำนวนมาก

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับทราบพระเนตรพระกรรณ ตั้งแต่ที่ทรงนิวัตกลับประเทศไทยในปี 2489 และตลอดช่วงเวลาที่ต้องเสด็จฯกลับไปศึกษาต่อ จึงทรงมีพระราชดำรัสว่า

    “...การรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายเป็นปัจจัยของเศรษฐกิจที่ดีและสังคมที่มั่นคง เพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้น โดยปกติจะอำนวยผลให้สุขภาพจิตใจสมบูรณ์ด้วย และเมื่อมีสุขภาพสมบูรณ์ ดีพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ย่อมมีกำลังทำประโยชน์ สร้างสรรค์ เศรษฐกิจ และสังคมของบ้านเมืองได้เต็มที่ ทั้งไม่เป็นภาระแก่สังคมด้วย คือ เน้นแต่ผู้สร้าง มิใช่ผู้ถ่วงความเจริญ...”

    เมื่อทรงทราบว่า สังคมไทยอ่อนแอ และคนไทยเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่างๆมากมาย โดยเฉพาะในช่วงหลังสงครามโลก ซึ่งเป็นเหตุให้ประเทศไทยต้องส่งข้าวให้อังกฤษโดยไม่คิดมูลค่าจากหนี้สงครามที่ญี่ปุ่นดึงไทยเข้าไปร่วมด้วยถึง 1.5 ล้านตัน ขณะที่เศรษฐกิจไทยต้องตกต่ำลงอย่างหนัก ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นกลายเป็นสิ่งหายากยิ่ง และต้องเผชิญภาวะยุ่งยากปั่นป่วน เพราะถูกตัดขาดจากบรรดาชาติสัมพันธมิตร

    สิ่งแรกที่พระองค์ทรงมุ่งแก้ไขจึงเป็นปัญหาด้านการสาธารณสุข พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนมากหรือประมาณ 500,000 บาท เพื่อ สร้างโรงพยาบาล “ปอดเหล็ก” และจัดซื้อเวชภัณฑ์เพื่อสู้กับวัณโรคที่กำลังระบาดหนัก พร้อมกับสนับสนุนให้สภากาชาดไทยผลิตวัคซีน BCG ป้องกันวัณโรค จนกระทั่งทรงปราบวัณโรคสำเร็จในปี 2497

    ขณะที่การผลิตวัคซีน BCG เพื่อสู้กับวัณโรคของสภากาชาดไทย ได้ผลเป็นอย่างดีนั้น องค์การสงเคราะห์แม่และเด็กแห่งยูนิเซฟได้สั่งซื้อเพื่อส่งไปให้กับประเทศที่เกิดโรคระบาดเดียวกันนี้ในเอเชียได้ใช้ด้วย

    เหตุการณ์นี้ ทำให้พระองค์ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์ “ยามเย็น” พระราชทานแก่วงดนตรีนำไปบรรเลงในงานแสดงดนตรีการกุศลเพื่อหารายได้ช่วยเหลือโครงการรณรงค์ต่อต้านวัณโรคแห่งชาติของสมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ด้วย

    พระองค์ยังพระราชทานแบบจำลองเรือรบหลวงศรีอยุธยาซึ่งเป็นผลงานฝีพระหัตถ์ออกประมูลในงานเดียวกัน เพื่อนำรายได้สมทบทุนช่วยเหลือผู้ป่วยวัณโรคซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปสูงถึง 140,000 คน หรือ 500 คนต่อประชากร 100,000 คน

    ในช่วงเวลาเดียวกัน พระราชทานทุนประเดิมเพื่อจัดตั้ง “กองทุนโปลิโอสงเคราะห์” ที่เกิดการระบาดรุนแรงขึ้นในปี 2495 พร้อมออก ประกาศเชิญชวนปวงชาวไทยโดยเสด็จพระราชกุศลด้วยการ “ทรงโซโลแซ็กโซโฟนเพลงตามคำขอ” ทางวิทยุ อ.ส.พระ ราชวังดุสิต

    ครั้งนั้น ทำให้ได้เงินจำนวนมากส่งไปพระราชทานแก่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและมหาวิทยาลัยมหิดล (รพ.ศิริราช) ใช้เป็นทุนก่อสร้างอาคาร และซื้อเวชภัณฑ์เพื่อบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยที่พ้นขีดอันตราย แต่ต้องเป็นอัมพาต

    ยังทรงสนับสนุนการค้นคว้าทางวิชาการและก่อสร้างตึก “วชิราลงกรณ์ธาราบำบัด” ไว้เป็นสถานที่รักษาด้วยวิธีทางกายภาพโดยใช้น้ำช่วยพยุงร่างกายระหว่างการบริหารและฟื้นฟูกล้ามเนื้อผู้ป่วยด้วย ผลจากการพัฒนาตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่องนี้ ทำให้ปัจจุบันไม่มีรายงานการติดเชื้อโรคโปลิโอ หรือโรคไขสันหลังอักเสบอีกเลย

    การระบาดอย่างรุนแรงของโรคร้ายต่างๆในช่วงหลังสงครามโลกดังกล่าว ทำให้คนไทยถูกรุมเร้าด้วย
    โรคเรื้อน และอหิวาตกโรคที่มีผลให้ต้องสูญเสียชีวิตกันเป็นจำนวนมาก

    นั่นทำให้พระองค์ทรงก่อตั้ง “กองทุนปราบอหิวาตกโรค” ด้วยการให้สภากาชาดไทยจัดซื้ออุปกรณ์เพื่อผลิตวัคซีนได้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว ขณะเดียวกันก็สนับสนุนการจัดหาเครื่องมือเพื่อวิจัยโรค สร้างเครื่องกลั่นน้ำเกลือคุณภาพทัดเทียมต่างชาติขึ้นใช้เอง

    และเช่นเดียวกันทรงหาทุนโดยเสด็จพระราชกุศลด้วยการ “เป่าแซ็กโซโฟนตามคำขอ” โดยมีพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนโทรศัพท์ขอเพลงผ่านวิทยุ อ.ส.ได้ ทำให้การปราบอหิวาตกโรคของพระองค์สงบลงได้อย่างสิ้นเชิงในเวลาเพียง 1 ปี 5 เดือน นับจากที่ระบาดอย่างรุนแรงในปี 2501

    ในปี 2496 ทรงพบโรคภัยอีกโรคขณะเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมราษฎร และทอดพระเนตรเห็นผู้ป่วยโรคเรื้อน ซึ่งไม่ได้รับการรักษา และยังคงอยู่ร่วมกับผู้คนปกติทั่วไป จึงพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ จัดตั้ง “ทุนอานันทมหิดล” แก่กระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นทุนเริ่มแรกในการสร้างอาคารสถานพยาบาลโรคเรื้อนขึ้นที่พระประแดง สมุทรปราการ แล้วทรงให้จัดตั้งสถาบันราชประชาสมาสัย เพื่อบำบัดฟื้นฟูและค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับโรคเรื้อน

    รวมทั้งฝึกอาชีพให้ผู้ป่วย และสร้างสถานศึกษาเพื่อการอบรมเจ้าหน้าที่ในการบำบัดรักษาผู้ป่วย พร้อมหาสมมติฐานของโรคเพื่อกำจัดโรคนี้ให้หมดไป และทำให้คนไทยหายขาดจากโรคสำเร็จ โดยผู้ป่วยและบุตร 180,000 คนได้รับการรักษาจนหายขาด สามารถดำรงตนเป็นปกติสุขในสังคมได้สมดังพระราชปณิธานที่ตั้งไว้ ขณะเดียวกันยังทำให้ไทยสามารถกำจัดโรคเรื้อนได้สำเร็จเป็นประเทศแรกในภูมิภาคนี้ด้วย

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงจัดตั้งหน่วยแพทย์พระราชทาน และพระราชทานเรือ “เวชพาหน์” ในปี 2498 เพื่อออกไปให้บริการประชาชนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ เรือลำนี้จึงนับเป็นเรือบรรเทาทุกข์และรักษาพยาบาลทางน้ำลำแรกและลำเดียวในโลกที่ทรงมุ่งมั่นตั้งพระทัยให้คนไทยหายขาดจากโรคร้ายต่างๆ

    ขณะที่การรักษาโรคเรื้อนที่ทำให้ต้องตัดแขนขาของผู้ป่วยก็ได้ทรงจัดตั้งหน่วยแขน-ขาเทียมพระราชทานให้ในปี 2513 พร้อมมีพระราชดำริให้มีการฝึกอบรม “หมอหมู่บ้าน” เพื่อให้ชาวบ้านมีความรู้ด้านการสาธารณสุขพอสมควร เพื่อช่วยเหลือตนเองในท้องถิ่นที่ขาดแคลนสถานพยาบาลต่อเนื่องมาจนถึงในปี 2525

    ในข้อมูลของ มูลนิธิปิดทองหลังพระที่ ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เป็นเลขาธิการ บันทึกว่า ปี 2492 ซึ่งเสด็จนิวัตกลับมาเยี่ยมพสกนิกรของพระองค์ ทรงมีรับสั่งกับหลวงพยุงเวชศาสตร์ อธิบดีกรมสาธารณสุขว่า “ยาอะไรขาด ถ้าต้องการ ฉันจะหามาให้อีก ฉันอยากเห็นกิจการแพทย์ของเมืองไทยเจริญมากๆ” และเมื่อเสด็จนิวัตกลับประเทศไทย จึงทรงขนยารักษาโรคที่จำเป็นจำนวนมากกลับมาด้วย

    มูลนิธิปิดทองหลังพระของคุณชายดิศยังบันทึกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่หมู่เฮาชาวเราไม่เคยได้รับทราบอีกมากมาย เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนี้ทำให้รับรู้ว่าทรงงานหนักเพียงใด แม้ในช่วงที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ และยังทรงมีพระชนมายุน้อยหากแต่ต้องทรงตัดสินพระทัยช่วยเหลือพสกนิกรของพระองค์ในแทบจะทุกเรื่อง

    เช่น ทรงริเริ่มสร้างภาพยนตร์ที่รู้จักกันในนามว่า “ภาพยนตร์ส่วนพระองค์” พระราชทานจัดฉายเพื่อหารายได้ช่วยเหลือทางการแพทย์ อาทิ สร้างตึกอานันทมหิดล ที่ รพ.ศิริราช สร้างตึกวิจัยประสาทที่ รพ.ประสาทพญาไท และพระราชทานทุนวิจัยโรค ประสาทแต่ละชนิดให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

    ทรงสร้างอาคารราชสาทิส รพ.สมเด็จเจ้าพระยา เพื่อให้คนไข้มีสถานที่กว้างขวางเพื่อจะได้เดินออกกำลังกายให้มีจิตใจที่ดีขึ้น สร้างตึกวชิราลงกรณ์ สภากาชาดไทย อาคารทางการแพทย์ของ รพ.ภูมิพล เป็นต้น

    ในปี พ.ศ.2497 ที่ทรงโปรดเกล้าฯให้ฉายภาพยนตร์ส่วนพระองค์ ณ ศาลาเฉลิมกรุง รายได้จากการฉายภาพยนตร์เมื่อ 61 ปีมาแล้วนั้นสูงถึง 444,600.50 บาท กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง จึงพระราชทานเงินส่วนพระองค์และเงินที่มีผู้โดยเสด็จพระราชกุศลเพิ่มเติมอีกรวม 1,558,561 บาท

    เมื่อสร้างอาคารต่างๆเสร็จเรียบร้อย ยังมีเงินคงเหลืออีก 175,064.75 บาท จึงพระราชทานเงินให้สร้างสถาบันอบรมเจ้าหน้าที่และค้นคว้าเรื่องโรคเรื้อนที่สถานพยาบาลพระประแดงในวงเงินประมาณ 1 ล้านบาท

    การจะทำให้พสกนิกรที่ยากจนหยุดการทำนาทำไร่แล้วเดินทางไปหาแพทย์เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ในทางตรงข้ามหากเป็นการให้บริการเคลื่อนที่ก็จะเป็นการแก้ปัญหาได้ทางหนึ่ง จึงมีรับสั่งว่า “ฉันต้องการให้หมอช่วยไปดูแลบำบัดทุกข์แก่นักเรียนและประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่นกันดารห่างไกลหมอ จะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดตามความจำเป็น โดยให้จัดหน่วยเคลื่อนที่โดยรถยนต์ และตระเวนไปตามถนนหนทางในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลชนบท”

    นั่นทำให้คนไทยในถิ่นทุรกันดารมีโอกาสได้พบกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พระราชทานมากมาย ตั้งแต่หน่วยทันตกรรม ศัลยแพทย์อาสาราชวิทยาลัย แพทย์หู ตา คอ จมูก และโรคภูมิแพ้ หน่วยอบรมหมอหมู่บ้านในพระประสงค์ หน่วยทำอวัยวะเทียมที่พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อก่อตั้งโรงงานผลิตแขน-ขาเทียม และจัดทำโครงการฟื้นฟูสมรรถภาพการทุพพลภาพขึ้น นั่นเอง

    พระราชภารกิจที่คนไทยเราไม่เคยได้รับรู้เหล่านี้ ล้วนแต่ได้รับการกล่าวขานจากองค์กรในต่างประเทศมากมาย จึงทรงได้รับรางวัลเหรียญทองด้านการสาธารณสุขระดับสากลเพื่อมวลชน ทั้งจากองค์การอนามัยโลก วิทยาลัยแพทย์รักษาทรวงอกแห่งสหรัฐฯ

    เหรียญทองเทิดพระเกียรติในฐานะทรงเป็นผู้นำ ผู้บุกเบิก และผู้ควบคุมปัญหาการขาดสารไอโอดีนในประเทศไทยจากสถาบันที่มีชื่อว่า The International Council for Control of Iodine Deficiency Disorders และรางวัลเหรียญทองสดุดีพระเกียรติในฐานะทรงห่วงใยสุขภาพปอดของประชาคมโลกจากสหพันธ์องค์กรต่อต้านวัณโรค และโรคปอดนานาชาติ

    กราบสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณมิรู้ลืม

    CR :
    https://www.thairath.co.th/content/545303
    เดินตามพ่อ

    OgAJd8MKMo5ZqE_16zDfRhF_C_y5wIEwzjBPiZAA_St3wwiUviE6nHMIy0wi7E2WYp0b6KLT&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    ถ้าพ่อยังอยู่ พ่อจะมีแมสพระราชทาน
    ถ้าพ่อยังอยู่ พ่อจะมีเจลล้างมือพระราชทาน
    ถ้าพ่อยังอยู่ พ่อจะมีวิธี ป้องกันโรคไวรัส

    เพราะตอนที่พ่อยังอยู่ หน้าแล้งพ่อจะมีฝนเทียม
    เพราะตอนที่พ่อยังอยู่ น้ำท่วม พ่อจะมีเขื่อน และแก้มลิง
    เพราะตอนที่พ่อยังอยู่ พ่อทำให้ฝิ่นหายไป ทำให้เป็นพืชผัก
    เพราะตอนที่พ่อยังอยู่ ลูกๆจะมีขวัญกำลังใจ ต่อสู้ทุกอย่าง

    #คิดถึงพ่อ #ถ้าพ่อยังอยู่ ♥️ร. ๙

    Cr.อ.แดง พนม ผิวขำ

    #ธ.สถิตย์ในดวงใจ ตลอดกาล
     
  4. ศิษย์รุ่นจิ๋ว

    ศิษย์รุ่นจิ๋ว นิพพานัง ปัจจโยโหตุ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2017
    โพสต์:
    55,559
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +72,316
    คิดถึงพ่อหลวงสุดหัวใจ
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,969
    R9wPQna-0g-ltm8TVkMxqT0S5sOQNpwmtJ5HHZoVZpIfEexVwik4ESE5NZq6YfEcAqsjyew6&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๙ : #นิมิตจากในหลวง
    ..........................................


    ประเทศไทยของเราโชคดีกว่าทุกประเทศในโลก เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม เป็นหลักชัยของมหาชนทั้งแผ่นดิน ยิ่งองค์ภูมิพลมหาราชด้วยแล้ว เป็นสุดยอดของพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงธรรมเลยทีเดียว...

    “ท่านผู้รู้” เมตตาเล่าว่า องค์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเรานั้น เป็นพระโพธิสัตว์ผู้เลิศด้วยบารมี ได้ทิพยจักขุญาณตั้งแต่พระชนมายุ ๗ พรรษา ทรงปฏิบัติธรรมได้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก สามารถทรงสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ..!

    หลังจากออกจากพระจุฬามณีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสด็จนำอาตมา ไปยังดินแดนแห่งเอกันตบรมสุขคือพระนิพพาน อาตมาได้พบเห็นเมืองแก้ว แพรวพราวงามระยับจับตา สูงส่งสง่า สงบ เยือกเย็น เป็นสุขสบายจนบอกไม่ถูก...

    อาตมาได้มีโอกาสได้เข้าไปกราบสมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลที่ ๑ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกสุด พร้อมด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และพระอรหันตเจ้าทั้งหมด...

    ถ้าใครบอกว่าเป็นการสะกดจิต เป็นการนึกฝันเอาเอง อาตมาก็ยอมให้สะกดจิต ยอมเพ้อฝันเอาเอง ขอให้มีคนสามารถสะกดจิตให้คนไปพระนิพพานได้จริง ๆ เถอะน่า จะยอมให้สะกดทั้งชาติเลยสิเอ้า...ถ้าท่านทำไม่ได้ ก็อย่าแสดงความโง่ด้วยการปฏิเสธเลย...!

    ออกจากวิมานขององค์สมเด็จพระบรมสุคต อาตมาก็ตรงไปยังวิมานของตน ที่หน้าวิมานนี่เอง อาตมาพบองค์ในหลวงในเพศพระภิกษุห่มจีวรเหลืองอร่าม ในพระหัตถ์ทรงบาตร ประทับยืนขวางทางอยู่...

    อาตมาถวายบังคมอย่างปลาบปลื้มใจ ทูลถามว่า เสด็จมาด้วยพระประสงค์ใด พระองค์ชี้พระดัชนีลงในบาตร อาตมาเห็นว่ามีน้ำอยู่ครึ่งบาตร และมีเรือสำเภาลำน้อยลอยวนอยู่...

    ทันใดนั้น...อาตมาลงไปอยู่ในเรือได้อย่างไรไม่รู้ น้ำในบาตรกลายเป็นมหาสมุทรกว้างสุดลูกหูลูกตา กระแสน้ำกลายเป็นวังวนมหึมา หมุนวนเชี่ยวกรากน่าสะพรึงกลัว ดูดเอาเรือสำเภาที่มีอาตมาอยู่ในนั้นเข้าไปใจกลางวังวนอย่างรวดเร็ว...!

    “ทำไมมาแกล้งกันแบบนี้...!” อาตมาตะโกนด้วยความตกใจ องค์ในหลวงมีดำรัสว่า "หาทางขึ้นมาซิ..." พริบตานั้น...ปรากฏเส้นเชือกใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนพาดจากฝั่งมายังเรือ อาตมาเลือกเชือกเส้นใหญ่ที่สุด ปีนกลับขึ้นมาบนฝั่งอย่างง่ายดาย กราบทูลถามว่า "นิมิตนี้หมายถึงอะไรพระเจ้าข้า..?" ทรงตรัสว่า "นานไปแล้วเธอจะรู้เอง"....

    หลังจากนั้นหลายปีมีผู้รู้พยากรณ์นิมิตนั้นว่า เรือสำเภาหมายถึงพระโพธิสัตว์ ผู้บำเพ็ญบารมีมาเพื่อขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร แสดงว่าอาตมาคงบำเพ็ญบารมีมาในด้านนี้ แต่การที่สละเรือขึ้นสู่ฝั่งแปลว่า อาตมาต้องลาจากพุทธภูมิ...!

    เชือกเส้นใหญ่ที่สุดที่อาตมาเลือกเพื่อปีนขึ้นฝั่ง คือหนทางปฏิบัติที่อาตมาเห็นว่ามั่นคงที่สุด ที่จะพาตนพ้นจากวัฏสงสารเข้าสู่ดินแดนแห่งพระนิพพาน คือการที่อาตมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่นเอง...!

    องค์ในหลวงของเราทรงปฏิบัติภารกิจ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนทุกถ้วนหน้า อย่างมิคำนึงถึงความเหนื่อยยากของพระองค์ เกียรติคุณของพระองค์ท่าน ขจรขจายไปทั่วโลก ทุกชาติทุกภาษาทั้งอิจฉาทั้งเลื่อมใส ที่เรามีผู้นำที่วิเศษเห็นปานนี้...

    ดวงแก้ววิเศษอยู่กับเราแล้ว อีกกี่ยุคกี่สมัยจึงจะมีเช่นนี้อีก ขอทุกท่านจงคำนึงและยึดมั่นปฏิบัติตามในพระราชดำรัสของพระองค์ สิ่งใดที่เป็นการแบ่งเบาพระราชภาระ และแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ขอทุกคนจงทำสิ่งนั้นอย่างเต็มสติกำลังโดยถ้วนหน้ากันเถิด...

    บารมีพระมากพ้น รำพัน
    พระพิทักษ์ยุติธรรม์ ถ่องแท้
    บริสุทธิ์ดุจดวงตะวัน ส่องโลก ไซร้แฮ
    ทวยราษฎร์รักบาทแม้ ยิ่งด้วย บิตุรงค์

    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ..........................................
    Cr. www.watthakhanun.com
    #สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #เกาะความดี #เกาะพระรัตนตรัย #เกาะพระนิพพาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...