พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระอาจารย์ณริชธันร์ ศรีอิทธิมนต์ วัดป่าภัทรปิยาราม ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี ได้นำสิ่งของต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ ไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ 2 หน่วยงาน
    .
    1.มอบสิ่งของให้ เจ้าหน้าที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก
    .
    2.มอบสิ่งของ ให้เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่านุเซะโปล้ ชายแดนพม่ากะเหรี่ยง
    .
    ขอโมทนาบุญกับพระอาจารย์ณริชธันร์ ศรีอิทธิมนต์ ด้วยครับ
    .
    ขอขอบคุณภาพจาก พระอาจารย์ณริชธันร์ ศรีอิทธิมนต์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากวาระงานบุญ #วันพ่อแห่งชาติ ที่ผมได้แจ้งข่าวงานบุญ
    #พี่แอ๊ว ได้ส่งรูปและรายละเอียดมาให้ทราบกันครับ
    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้
    มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
    --------------------------------------------------------------
    ขอน้อมนำบุญมาฝากญาติธรรมทุกท่าน ในวาระแห่งการรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้ ของ #องค์มหาราชภูมิพล "#พ่อของแผ่นดิน"
    .
    #ลานวัดพระธาตุเชิงชุม ในเช้าวันที่ ๕ ธันวาคม 2561
    1.#พระอาจารย์นิล นำคณะศิษย์ #ใส่บาตรพระภิกษุสงฆ์ นำโดย #ท่านเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร ที่นำหมู่พระภิกษุสงฆ์มา #รับบิณฑบาตร ณ ลานวัดพระธาตุเชิงชุม
    .
    2.พระอาจารย์นิล #แจกอาหารกล่อง จำนวน 360 กล่อง แก่ญาติผู้ป่วย และบุคลากรของ #โรงพยาบาลสกลนคร
    .
    3.พระอาจารย์นิล #อธิษฐานจิตปล่อยปลาชนิดต่างๆที่ไถ่ชีวิตจากหน้าเขียง จำนวน 130 กก. และ #เต่า 10 ตัว
    .
    4.ถวาย #ผ้าป่าวิหารทาน เป็นการร่วมสร้าง #วิหารสมเด็จองค์ปฐม ที่ #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร ต.ธาตุนาเวง อ.เมือง จ.สกลนคร โดยมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบๆอาศรม มาร่วมทำบุญ และ #พระอาจารย์นิลแจกทาน เป็น ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ผ้าขาวม้า และขนมแก่ชาวบ้านที่มาร่วมบุญในครั้งนี้
    .
    5. #กองบุญพิเศษ ที่ได้จัดสรร คือ การจัดหาสิ่งของเพื่อมอบให้แก่ #ตชด. #ชุดปฏิบัติงานพิเศษภาคใต้ ซึ่งปัจจัยที่ญาติธรรมได้ร่วมบุญมาครั้งนี้ ได้จัดซื้อสิ่งของไว้บางส่วน เพื่อรอส่งมอบช่วงปีใหม่
    .
    และที่เพิ่มเติมคือการจัดสิ่งของให้แก่ชุด #เจ้าหน้าที่ป่าไม้ของอุทยานแห่งชาติภูลังกา ซึ่งพระอาจารย์นิล ได้ประสานเพื่อนำพระสงฆ์ของอาศรมฯ ขึ้นไปบำเพ็ญความเพียร ที่ถ้ำบนภูลังกา จึงได้จัดผ้าห่ม ผ้าขาวม้า ผ้าเช็ดตัว และอาหารแห้ง มอบให้แก่ จนท.ป่าไม้ ผู้ดูแลรักษาป่า จำนวน 20 คน
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 000-1.png
      000-1.png
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      146
    • 000-2.png
      000-2.png
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      182
    • 000-3.png
      000-3.png
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      204
    • 000-4.png
      000-4.png
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      181
    • 0-1   05122561.png
      0-1 05122561.png
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      114
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระอาจารย์ณริชธันร์ ศรีอิทธิมนต์ ได้แจ้งข่าวงานบุญที่ท่านได้ไปทำในช่วงนี้ (เดือนธันวาคม 2561) มาให้ผมทราบ
    ผมขอนำมาลงให้ทุกๆท่านได้ร่วมโมทนาบุญกับ พระอาจารย์ณริชธันร์ ศรีอิทธิมนต์ กันครับ
    .
    ท่านได้ไปมอบอุปกรณ์การศึกษาและสิ่งของ ให้โรงเรียนประถมวัยแม่ฟ้าหลวงบ้านมอตาบัว
    .
    และ มอบอุปกรณ์การศึกษาและยา ให้โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเลตองคุ
    .
    ขอโมทนาบุญกับ พระอาจารย์ณริชธันร์ ศรีอิทธิมนต์ กับคณะผู้ร่วมเดินทางทุกท่านด้วยครับ
    .
    #พระอาจารย์ณริชธันร์ศรีอิทธิมนต์
    #วัดป่าภัทรปิยาราม ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี
    #อรุโณโลกุตตระ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 11-1.png
      11-1.png
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      158
    • 12-1.png
      12-1.png
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      119
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมขออนุญาตแนะนำ #เทคนิคการทำบุญ ที่ผมทำบุญ มาเล่าสู่กันฟัง
    .
    1.ก่อนทำบุญ ตัวของท่านต้องมีศีล 5 ครบบริบูรณ์
    .
    2.มีเจตนาในการทำบุญ ในงานบุญนั้นๆอย่างเต็มเปี่ยม
    .
    3.เงินที่ท่านนำมาทำบุญ ต้องเป็นเงินที่ท่านหามาได้ด้วยความบริสุทธิ์ ต้องไม่เป็นเงินที่ได้จากการทุจริตไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือ ทางอ้อม
    .
    4.ผู้รับ(หมายถึงพระภิกษุ หรือ องค์กรต่างๆ) เป็นผู้บริสุทธิ์ มีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปบำรุงรักษา , ช่วยเหลือ ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และเงินที่ผู้รับ รับไปนั้นต้องไปทำตามวัตถุประสงค์ที่บอกบุญมา
    .
    5.ก่อนทำบุญจะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้ ขณะทำบุญที่ให้ก็ดีใจ และหลังจากทำบุญแล้วก็เกิดความเลื่อมใส
    .
    6.ของที่นำไปทำบุญ ต้องเป็นของที่ดี มีความปราณีตในสิ่งนั้นๆ
    .
    7.เมื่อทำบุญแล้วให้อธิษฐาน และกรวดน้ำ (หากท่านที่เคยมีวิธีกรวดน้ำตามสไตล์Sithiphong ท่านสามารถนำมาใช้ได้)
    .
    8.เวลาที่ทำบุญกับพระสงฆ์ ให้เราตั้งจิตว่า เราขอทำบุญต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ถ้าพระสงฆ์องค์นั้นๆ หรือคณะพระสงฆ์คณะนั้นๆ ไม่ปฏิบัติดีจริงๆ ท่านจะลงนรกไปเอง)
    .
    *****************************************
    .
    เรื่องการทำบุญ ปกติ ผมเองทำบุญเกือบทุกวัน หากวันไหนผมออกจากบ้านไปทำงาน หรือ ไปทำธุระนอกบ้าน ผมเองจะทำบุญโดยการหยอดเหรียญ 5 บาท หรือ 10 บาท ใส่ในกล่องไว้ เมื่อเงินในกล่องมากพอ ผมจะนำเงินนั้นไปเข้าบัญชีไว้ เพื่อรอการร่วมทำบุญในวาระงานบุญต่างๆ
    .
    กล่องที่ผมนำเงินใส่ มี 3 กล่อง และบัญชีที่ผมนำเงินทั้ง 3 กล่องไปเข้าบัญชี ก็มี 3 บัญชีเช่นกัน
    .
    กล่องและบัญชี ที่ 1 ผมเจตนาในการทำบุญทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับพระสงฆ์และพระพุทธศาสนา
    .
    กล่องและบัญชีที่ 2 ผมเจตนาในการทำบุญกับมูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ในรัชกาลที่ 9 หรือ รัชกาลที่ 10 หรือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เช่น มูลนิธิสภากาชาดไทยฯ , มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ , มูลนิธิรามาธิบดีฯ , ศิริราชมูลนิธิ เป็นต้น
    .
    กล่องและบัญชีที่ 3 ผมเจตนาในการทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เช่น การซื้อสัตว์ไปปล่อยในที่ๆเหมาะสม หรือ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ เป็นต้น
    .
    เมื่อทำบุญปร่ะจำวันในกล่องแล้วก็กรวดน้ำ
    .
    และหากเมื่อนำเงินในบัญชีไปทำบุญตามวาระต่างๆ แล้วก็กรวดน้ำอีกรอบครับ
    .
    ในเรื่องทำบุญที่ผมบอกไปในส่วนนี้ เป็นการทำบุญของผม หากท่านใดเห็นว่าดี สามารถนำไปใช้ได้ครับ
    .
    *****************************************
    .
    การกรวดน้ำ ผมมาแนะนำการกรวดน้ำที่ผมใช้อยู่ #กรวดน้ำตามสไตล์Sithiphong

    วันนี้ข้าพเจ้า (,สามี และ/หรือ ภรรยา) และครอบครัว ได้...(ทำบุญอะไร).....
    .
    ขออาราธนาพระบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกๆพระองค์ ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ,ทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ,องค์ผู้อธิษฐานจิตพระพิมพ์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ทุกพระองค์ ,เทวดาผู้รักษา , เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้า,พระกรุวัดพระแก้วและวัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ทุกท่าน , พระบารมีพระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ , พระบารมีกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ,พระบารมีกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระบารมีพระสยามเทวาธิราช ,พระยาพิชัยดาบหัก , เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ , แม่นางกวัก, พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน , พระพิรุณ , พยายมราช , นายนิริยบาลทุกๆท่าน , ยมทูตทุกๆท่าน , ท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่มนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล และเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา ขอให้มาอนุโมทนาและเป็นพยานบุญในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ด้วยเทอญ
    .
    ขออาราธนา บิดา , มารดา , ผู้มีพระคุณ , ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ , ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า , เจ้ากรรมนายเวร , ปู่ , ย่า , ตา , ยาย , เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ , แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน, พระภูมิ-เจ้าที่ ที่บ้านข้าพเจ้า , พระภูมิ-เจ้าที่ ที่บ้านคุณพ่อ-คุณแม่ข้าพเจ้า พระภูมิ-เจ้าที่ บ้านที่ข้าพเจ้าเคยอยู่ทุกๆที่ ,พระภูมิ-เจ้าที่ ที่ทำงานของข้าพเจ้าทุกๆแห่ง ขอให้มาอนุโมทนาในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ด้วยเทอญ
    .
    อิมินาปุญญะกัมเมนะ ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้า, สามีหรือภรรยา และครอบครัว ได้ ...(ทำบุญอะไร)..... ขอน้อมถวายบุญกุศลแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์
    .
    ขอถวายบุญกุศลแด่บิดา มารดา ,องค์ผู้อธิษฐานจิตพระพิมพ์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ทุกพระองค์ , เทวดาผู้รักษา , เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้า,พระกรุวัดพระแก้วและวัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ,ตัวข้าพเจ้าและทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน , ผู้มีพระคุณ , ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ , ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า , เจ้ากรรมนายเวร , ปู่ , ย่า , ตา , ยาย , เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ ,กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท,กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระสยามเทวาธิราช ,พระยาพิชัยดาบหัก
    .
    ขอถวายบุญกุศลแด่พระภูมิ-เจ้าที่ ที่บ้านข้าพเจ้า , พระภูมิ-เจ้าที่ ที่บ้านคุณพ่อ-คุณแม่ข้าพเจ้า พระภูมิ-เจ้าที่ บ้านที่ข้าพเจ้าเคยอยู่ทุกๆที่ ,พระภูมิ-เจ้าที่ ที่ทำงานของข้าพเจ้าทุกๆแห่ง ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน, เจ้ากรุงพาลี , แม่พระธรณี , แม่พระคงคา , พระเพลิง , พระพาย , แม่พระโพสพ , แม่นางกวัก ,พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน , พระพิรุณ , พยายมราช , นายนิริยบาลทุกๆท่าน , ยมทูตทุกๆท่าน , แม่พระธรณีทั่วโลก , พระแม่คงคาทั่วโลก , แม่พระโพสพทั่วโลก , องค์เทพเทวาทั่วโลก , ท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำ และเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา
    .
    ขออุทิศส่วนบุญกุศล ให้กับเพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ ตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ท่านได้สุข ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป
    .
    ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้าน้อมถวาย ,ถวายและอุทิศไปให้นี้ จงเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้ถึงพระนิพพานในปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้าอันใกล้นี้ด้วยเทอญ ฯ
    .
    ข้าพเจ้าขอพระเมตตาองค์พระแม่ธรณี ได้โปรดนำบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายทุกๆพระองค์ ,น้อมถวายทุกๆองค์ ,ถวายบุญให้กับทุกๆท่าน และอุทิศบุญให้กับทุกๆท่าน ไปถึงทุกๆพระองค์ , ทุกๆองค์ และทุกๆท่าน ตามที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายทุกๆพระองค์ ,น้อมถวายทุกๆองค์ ,ถวายบุญให้กับทุกๆท่าน และอุทิศบุญให้กับทุกๆท่าน ตามที่ข้าพเจ้าได้บอกไปในเบื้องต้นด้วยเทอญ
    .
    ข้าพเจ้าขอพระเมตตาองค์พระแม่ธรณี ได้โปรดนำบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายทุกๆพระองค์ ,น้อมถวายทุกๆองค์ ,ถวายบุญให้กับทุกๆท่าน และอุทิศบุญให้กับทุกๆท่าน ไปถึง แม่พระธรณีทั่วโลก , พระแม่คงคาทั่วโลก , แม่พระโพสพทั่วโลก , องค์เทพเทวาทั่วโลก ตามที่ข้าพเจ้าได้ถวายบุญแม่พระธรณีทั่วโลก , พระแม่คงคาทั่วโลก , แม่พระโพสพทั่วโลก , องค์เทพเทวาทั่วโลก ตามที่ข้าพเจ้าได้บอกไปในเบื้องต้นด้วยเทอญ
    .
    ด้วยเดชะบุญแห่งข้าพเจ้าน้อมถวาย ,ถวายและอุทิศนี้ไปให้ทุกๆพระองค์ ,ทุกๆองค์ ,ทุกๆท่านตามที่ข้าพเจ้าได้มีเจตนาในการน้อมถวายบุญแด่ทุกๆพระองค์ , ทุกๆองค์ และทุกๆท่านข้างต้นนี้ ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า ...........(ตามแต่อธิษฐาน)................. และ ตราบใดที่ยังไม่ถึงพระนิพพาน ขอให้ข้าพเจ้าอธิษฐานในทุกๆชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ว่า ...........(ตามแต่อธิษฐาน)................. จนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจโยโหนตุ
    .
    โมทนาบุญ สาธุครับ
    .
    บทความที่ผมเขียนนี้ เป็นเทคนิคการทำบุญของผม หากท่านใดเห็นว่าดี สามารถนำไปใช้ได้เลยครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    .
    #เทคนิคการทำบุญตามสไตล์sithiphong
    #กรวดน้ำตามสไตล์sithiphong
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
    มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
    ๑๐. เทวทูตสูตร (๑๓๐)

    [๕๐๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
    ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ

    [๕๐๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบ
    เหมือนเรือน ๒ หลังมีประตูตรงกัน บุรุษผู้มีตาดียืนอยู่ระหว่างกลางเรือน ๒ หลัง
    นั้น พึงเห็นมนุษย์กำลังเข้าเรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลังเดินมาบ้าง
    กำลังเดินไปบ้าง ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล เราย่อมมองเห็น
    หมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี
    ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมทราบชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้
    เป็นไปตามกรรมได้ว่า สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต

    มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็นสัมมาทิฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ
    เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ก็มี สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ประกอบ
    ด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็นสัมมาทิฐิ เชื่อ
    มั่นกรรมด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ เมื่อตายไปแล้ว บังเกิดในหมู่มนุษย์ก็มี สัตว์ผู้
    กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน
    พระอริยะ เป็นมิจฉาทิฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไปแล้ว
    เข้าถึงปิตติวิสัยก็มี สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วย กายทุจริต

    วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วย
    อำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานก็มี สัตว์ผู้
    กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน
    พระอริยะ เป็นมิจฉาทิฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไปแล้ว
    เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกก็มี ฯ

    [๕๐๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะจับสัตว์นั้นที่ส่วนต่างๆ
    ของแขนไปแสดงแก่พระยายมว่า ข้าแต่พระองค์ บุรุษนี้ไม่ปฏิบัติชอบในมารดา
    ไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ ไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล
    ขอพระองค์จงลงอาชญาแก่บุรุษนี้เถิด ฯ

    [๕๐๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมจะปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่
    ถามถึงเทวทูตที่ ๑ กะสัตว์นั้นว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๑
    ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ ฯ
    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลยเจ้าข้า ฯ
    พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นเด็กแดงๆ
    ยังอ่อนนอนแบ เปื้อนมูตรคูถของตนอยู่ในหมู่มนุษย์หรือ ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า ฯ
    พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านนั้นรู้ความ มีสติ เป็น
    ผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความเกิดเป็นธรรมดา
    ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสียเจ้าข้า ฯ
    พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย
    ทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลง
    โทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน
    ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน ไม่
    ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์
    ทำให้ท่าน ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบาก
    ของบาปกรรมนี้ ฯ

    [๕๐๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ
    ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๑ กะสัตว์นั้นแล้ว จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามเทวทูต
    ที่ ๒ ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๒ ปรากฏในหมู่มนุษย์
    หรือ ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า ฯ
    พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชาย
    มีอายุ ๘๐ ปี ๙๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปี นับแต่เกิดมา ผู้แก่ ซี่โครงคด หลังงอ ถือไม้
    เท้า งกเงิ่น เดินไป กระสับกระส่าย ล่วงวัยหนุ่มสาว ฟันหักผมหงอก หนัง
    ย่น ศีรษะล้าน เหี่ยว ตัวตกกระ ในหมู่มนุษย์หรือ ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า ฯ
    พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านนั้นรู้ความ มีสติ เป็นผู้
    ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความแก่เป็นธรรมดา
    ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสีย เจ้าข้า ฯ
    พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำดีทางกาย
    ทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลง
    โทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน
    ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน ไม่
    ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์
    ทำให้ท่าน ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบาก
    ของบาปกรรมนี้ ฯ

    [๕๐๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ
    ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๒ กะสัตว์นั้นแล้ว จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึง
    เทวทูตที่ ๓ ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๓ ปรากฏในหมู่
    มนุษย์หรือ ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า ฯ
    พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชาย
    ผู้ป่วย ทนทุกข์ เป็นไข้หนัก นอนเปื้อนมูตรคูถของตน มีคนอื่นคอยพยุงลุก
    พยุงเดิน ในหมู่มนุษย์หรือ ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า ฯ
    พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านนั้นรู้ความมีสติ เป็นผู้
    ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา
    ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ ฯ
    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสีย เจ้าข้า ฯ
    พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย
    ทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลง
    โทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน
    ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน ไม่
    ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์
    ทำให้ท่าน ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบาก
    ของบาปกรรมนี้ ฯ

    [๕๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ
    ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๓ กะสัตว์นั้นแล้ว จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึง
    เทวทูตที่ ๔ ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๔ ปรากฏในหมู่
    มนุษย์หรือ ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า ฯ
    พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นราชาทั้งหลาย
    ในหมู่มนุษย์จับโจรผู้ประพฤติผิดมาแล้ว สั่งลงกรรมกรณ์ต่างชนิดบ้างหรือ คือ ฯ
    (๑) โบยด้วยแส้บ้าง
    (๒) โบยด้วยหวายบ้าง
    (๓) ตีด้วยตะบองสั้นบ้าง
    (๔) ตัดมือบ้าง
    (๕) ตัดเท้าบ้าง
    (๖) ตัดทั้งมือทั้งเท้าบ้าง
    (๗) ตัดหูบ้าง
    (๘) ตัดจมูกบ้าง
    (๙) ตัดทั้งหูทั้งจมูกบ้าง
    (๑๐) ลงกรรมกรณ์วิธี หม้อเคี่ยวน้ำส้ม บ้าง
    (๑๑) ลงกรรมกรณ์วิธี ขอดสังข์ บ้าง
    (๑๒) ลงกรรมกรณ์วิธี ปากราหู บ้าง
    (๑๓) ลงกรรมกรณ์วิธี มาลัยไฟ บ้าง
    (๑๔) ลงกรรมกรณ์วิธี คบมือ บ้าง
    (๑๕) ลงกรรมกรณ์วิธี ริ้วส่าย บ้าง
    (๑๖) ลงกรรมกรณ์วิธี นุ่งเปลือกไม้ บ้าง
    (๑๗) ลงกรรมกรณ์วิธี ยืนกวาง บ้าง
    (๑๘) ลงกรรมกรณ์วิธี เกี่ยวเหยื่อเบ็ด บ้าง
    (๑๙) ลงกรรมกรณ์วิธี เหรียญกษาปณ์ บ้าง
    (๒๐) ลงกรรมกรณ์วิธี แปรงแสบ บ้าง
    (๒๑) ลงกรรมกรณ์วิธี กางเวียน บ้าง
    (๒๒) ลงกรรมกรณ์วิธี ตั่งฟาง บ้าง
    (๒๓) ราดด้วยน้ำมันเดือดๆ บ้าง
    (๒๔) ให้สุนัขทึ้งบ้าง
    (๒๕) ให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็นๆ บ้าง
    (๒๖) ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า ฯ
    พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านนั้นรู้ความมีสติ เป็น
    ผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า จำเริญละ เป็นอันว่า สัตว์ที่ทำกรรม
    ลามกไว้นั้นๆ ย่อมถูกลงกรรมกรณ์ต่างชนิดเห็นปานนี้ในปัจจุบัน จะป่วยกล่าว
    ไปไยถึงชาติหน้า ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสีย เจ้าข้า ฯ
    พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย
    ทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลง
    โทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน
    ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน ไม่
    ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์
    ทำให้ท่าน ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบาก
    ของบาปกรรมนี้ ฯ

    [๕๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ
    ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๔ กะสัตว์นั้นแล้ว จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึง
    เทวทูตที่ ๕ ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๕ ปรากฏในหมู่
    มนุษย์หรือ ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า ฯ
    พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชาย
    ที่ตายแล้ววันหนึ่ง หรือสองวัน หรือสามวัน ขึ้นพอง เขียวช้ำ มีน้ำเหลืองเยิ้ม
    ในหมู่มนุษย์หรือ ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า ฯ
    พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านนั้นรู้ความมีสติ เป็น
    ผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความตายเป็นธรรมดา
    ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ ฯ

    สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสีย เจ้าข้า ฯ
    พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย
    ทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลง
    โทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน
    ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน ไม่
    ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์
    ทำให้ท่าน ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบาก
    ของบาปกรรมนี้ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึง
    เทวทูตที่ ๕ กะสัตว์นั้นแล้ว ก็ทรงดุษณีอยู่ ฯ

    [๕๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านิรยบาลจะให้สัตว์นั้นกระทำเหตุชื่อ
    การจำ ๕ ประการ คือ ตรึงตะปูเหล็กแดงที่มือข้างที่ ๑ ข้างที่ ๒ ที่เท้าข้างที่ ๑
    ข้างที่ ๒ และที่ทรวงอกตรงกลางสัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ
    อยู่ในนรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด ฯ

    [๕๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านิรยบาลจะจับสัตว์นั้นขึงพืดแล้วเอาผึ่ง
    ถาก...จะจับสัตว์นั้นเอาเท้าขึ้นข้างบน เอาหัวลงข้างล่างแล้วถากด้วยพร้า ... จะ
    เอาสัตว์นั้นเทียมรถแล้วให้วิ่งกลับไปกลับมาบนแผ่นดินที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง
    โชติช่วง ... จะให้สัตว์นั้นปีนขึ้นปีนลงซึ่งภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ที่มีไฟติดทั่ว ลุก
    โพลง โชติช่วง ... จะจับสัตว์นั้นเอาเท้าขึ้นข้างบนเอาหัวลงข้างล่าง แล้วพุ่งลงไป
    ในหม้อทองแดง ที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง สัตว์นั้นจะเดือดพล่านเป็น
    ฟองอยู่ในหม้อทองแดงนั้น เขาเมื่อเดือดเป็นฟองอยู่ จะพล่านขึ้นข้างบนครั้งหนึ่ง
    บ้าง พล่านลงข้างล่างครั้งหนึ่งบ้าง พล่านไปด้านขวางครั้งหนึ่งบ้าง จะเสวยเวทนา
    อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในหม้อทองแดงนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาป
    กรรมยังไม่สิ้นสุด ฯ

    [๕๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหา
    นรก ก็มหานรกนั้นแล
    มีสี่มุม สี่ประตู แบ่งไว้โดยส่วนเท่ากัน มีกำแพงเหล็ก
    ล้อมรอบ ครอบไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกใหญ่นั้นล้วน
    แล้วด้วยเหล็ก ลุกโพลง แผ่ไปตลอดร้อยโยชน์รอบด้าน
    ประดิษฐานอยู่ทุกเมื่อ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย และมหานรกนั้น มีเปลวไฟพลุ่งจากฝาด้านหน้าจดฝา
    ด้านหลัง พลุ่งจากฝาด้านหลังจดฝาด้านหน้า พลุ่งจากฝาด้านเหนือจดฝาด้านใต้
    พลุ่งจากฝาด้านใต้จดฝาด้านเหนือ พลุ่งขึ้นจากข้างล่างจดข้างบน พลุ่งจากข้างบน
    จดข้างล่าง สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น
    และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด ฯ

    [๕๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วง
    ระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้น
    โดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลาย
    ก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิมทันที และใน
    ขณะที่สัตว์นั้น ใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็น
    ทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่
    สิ้นสุด ฯ

    [๕๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วง
    ระยะกาลนาน ประตูด้านหลังของมหานรกนั้นเปิด ฯลฯ ประตูด้านเหนือเปิด ฯลฯ
    ประตูด้านใต้เปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้
    หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์
    นั้นยกขึ้นแล้วจะกลับคงรูปเดิมทันที และในขณะที่สัตว์นั้นใกล้จะถึงประตู ประตู
    นั้นจะปิด สัตว์นั่นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น
    และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ฯ

    [๕๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วง
    ระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกนั้นเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้น
    โดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูก
    ทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิมทันที
    สัตว์นั้นจะออกทางประตูนั้นได้ แต่ว่ามหานรกนั้นแล มีนรกเต็มด้วยคูถใหญ่
    ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงในนรกคูถนั้น และในนรกคูถนั้นแล มีหมู่
    สัตว์ปากดังเข็มคอยเฉือดเฉือนผิว แล้วเฉือดเฉือนหนัง แล้วเฉือดเฉือนเนื้อ แล้ว
    เฉือดเฉือนเอ็น แล้วเฉือดเฉือนกระดูก แล้วกินเยื่อในกระดูก สัตว์นั้นย่อมเสวย
    เวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในนรกคูถนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาป
    กรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ฯ

    [๕๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย และนรกคูถนั้น มีนรกเต็มด้วยเถ้ารึง ๑- ใหญ่
    ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงไปในนรกเถ้ารึงนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวย
    เวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในนรกเถ้ารึงนั้น และยังไม่ตายตราบเท่า
    บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ฯ

    [๕๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย และนรกเถ้ารึงนั้น มีป่างิ้วใหญ่ประกอบอยู่
    รอบด้าน ต้นสูงชลูดขึ้นไปโยชน์หนึ่ง มีหนามยาว ๑๖ องคุลี มีไฟติดทั่ว
    ลุกโพลง โชติช่วง เหล่านายนิรยบาลจะบังคับให้สัตว์นั้นขึ้นๆ ลงๆ ที่ต้นงิ้วนั้น
    สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ที่ต้นงิ้วนั้น และยังไม่
    ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ฯ

    [๕๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย และป่างิ้วนั้น มีป่าต้นไม้ใบเป็นดาบใหญ่
    ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะเข้าไปในป่านั้น จะถูกใบไม้ที่ลมพัด ตัดมือบ้าง
    ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือและเท้าบ้าง และตัดใบหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งใบหูและ
    จมูกบ้าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ที่ป่าต้นไม้มีใบ
    เป็นดาบนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ฯ

    [๕๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย และป่าต้นไม้มีใบเป็นดาบนั้น มีแม่น้ำใหญ่
    น้ำเป็นด่าง ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงไปในแม่น้ำนั้น จะลอยอยู่ใน

    @๑. เถ้ารึง คือ ถ่านที่ติดไฟคุมีขี้เถ้าปิดข้างนอกอยู่รอบด้าน
    แม่น้ำนั้น ตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง ทั้งตามและทวนกระแสบ้าง สัตว์
    นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในแม่น้ำนั้น และยังไม่ตาย
    ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ฯ

    [๕๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลพากันเอาเบ็ดเกี่ยวสัตว์
    นั้นขึ้นวางบนบก แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ เจ้าต้องการอะไร
    สัตว์นั้นบอกอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าหิว เจ้าข้า เหล่านายนิรยบาลจึงเอาขอเหล็กร้อน
    มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง เปิดปากออก แล้วใส่ก้อนโลหะร้อนมีไฟติดทั่ว
    ลุกโพลง โชติช่วง เข้าในปาก ก้อนโลหะนั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง ปากบ้าง
    คอบ้าง ท้องบ้าง ของสัตว์นั้น พาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง ออกมาทางส่วน
    เบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ ณ ที่นั้น และ
    ยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด ฯ

    [๕๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลกล่าวกะสัตว์นั้นอย่างนี้ว่า
    ดูกรพ่อมหาจำเริญ เจ้าต้องการอะไร สัตว์นั้นบอกอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าระหาย เจ้าข้า
    เหล่านายนิรยบาลจึงเอาขอเหล็กร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง เปิดปากออก
    แล้วเอาน้ำทองแดงร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง กรอกเข้าไปในปาก น้ำ
    ทองแดงนั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง ปากบ้าง คอบ้าง ท้องบ้าง ของสัตว์นั้น พา
    เอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนา
    อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ ณ ที่นั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยัง
    ไม่สิ้นสุด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหา
    นรกอีก ฯ

    [๕๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พระยายมได้มีความดำริ
    อย่างนี้ว่า พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย เป็นอันว่า เหล่าสัตว์ที่ทำกรรมลามกไว้ในโลก
    ย่อมถูกนายนิรยบาลลงกรรมกรณ์ ต่างชนิดเห็นปานนี้ โอหนอ ขอเราพึงได้ความ
    เป็นมนุษย์ ขอพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธพึงเสด็จอุบัติในโลก ขอเราพึงได้
    นั่งใกล้พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นพึงทรงแสดง
    ธรรมแก่เรา และขอเราพึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เรื่องนั้น เรามิได้ฟังต่อสมณะหรือพราหมณ์อื่นๆ
    แล้วจึงบอก ก็แล เราบอกเรื่องที่รู้เอง เห็นเอง ปรากฏเองทั้งนั้น ฯ

    [๕๒๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตดังนี้ ครั้นแล้วพระสุคต
    ผู้ศาสดา ก็ได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกดังนี้ว่า
    นรชนเหล่าใดยังเป็นมาณพ อันเทวทูตตักเตือน แล้วประมาทอยู่
    นรชนเหล่านั้นจะเข้าถึงหมู่สัตว์เลว เศร้าโศกสิ้นกาลนาน
    ส่วนนรชนเหล่าใด เป็นสัตบุรุษผู้สงบระงับในโลกนี้ อัน
    เทวทูตตักเตือนแล้ว ย่อมไม่ประมาทในธรรมของพระอริยะ
    ในกาลไหนๆ เห็นภัยในความถือมั่นอันเป็นเหตุแห่งชาติและ
    มรณะแล้ว ไม่ถือมั่น หลุดพ้นในธรรมเป็นที่สิ้นชาติและมรณะ
    ได้ นรชนเหล่านั้นเป็นผู้ถึงความเกษม มีสุข ดับสนิทใน
    ปัจจุบัน ล่วงเวรและภัยทั้งปวงและเข้าไปล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ
    จบ เทวสูตสูตร ที่ ๑๐

    ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=14&A=6750&w=%E0%B7%C7%B7%D9%B5%CA%D9%B5%C3
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาชมภาพ #พิธีลงเสาเอก #มณฑปหลวงปู่เทพโลกอุดร
    @ #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร
    .
    วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2562
    .
    หมายเหตุ
    .
    #หลวงปู่เทพโลกอุดร องค์นี้ คือ #หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรือ #หลวงปู่อิเกสาโร
    เป็น #หลวงปู่เทพโลกอุดรองค์ที่3 ใน #คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( #คณะโสณะอุตระ หรือ เป็น #คณะพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราช #ส่งมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ เมื่อปี พ.ศ.235 )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    18 มงกุฎ แห่งปราสาทเขาพนมรุ้ง : เรื่องบังเอิญที่ลงตัว
    วันอาทิตย์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2560
    .
    ถึงแม้ว่าเรื่องราว 18 วานรในวรรณคดี “รามเกียรติ์” อาจเป็นเพียงเรื่องราวในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มิใช่เรื่องราวที่สืบทอดมาจากมหากาพย์ “รามายณะ” โดยตรงก็ตาม แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ของรามเกียรติ์ ก็ยังคงยึดหลักการดำเนินเรื่องมาจากรามายณะเป็นสำคัญ
    .
    หนุมานในรามายณะ ไม่เจ้าชู้ ถือเพศพรหมจรรย์ ต่างจากรามเกียรติ์ ที่กลายมาเป็นลิงจอมเจ้าชู้ ไม่เลือกหน้าถ้าถูกใจ
    .
    เช่นเดียวกับ 18 มงกุฎ ที่ไม่ปรากฏในรามายณะ แต่กลับโลดแล่นมีตัวตน ในรามเกียรติ์
    .
    18 มงกุฎ เป็นวานรที่มาจากสองเมือง คือ เมืองขีดขินของท้าวสุครีพ และเมืองชมพูของท้าวมหาชมพู ซึ่งแต่เดิมทั้งหมดก็คือเทพเจ้า 18 องค์บนสวรรค์ ทั้งทิศปาลก (ผู้รักษาทิศ) และ เทพนพเคราะห์ ที่อาสามาตามพระนารายณ์อวตารมาเป็นพระราม หรือ “รามจันทราวตาร” นั้นเอง ดังบทละครรามเกียรติ์ ที่กล่าวว่า
    .
    ๏ เมื่อนั้น ฝูงเทพเทวาน้อยใหญ่
    ต่างทูลอาสาพระภูวไนย จะขอไปเป็นพลพระอวตาร
    มาล้างเหล่าอสุรพาลา ที่หยาบช้าเบียนโลกทุกสถาน
    พระราหูฤทธิไกรชัยชาญ เป็นทหารชื่อนิลปานัน
    พระพินายนั้นเป็นนิลเอก พระพิเนกนั้นเป็นนิลขัน
    พระเกตุเป็นเสนีกุมิตัน พระอังคารเป็นวิสันตราวี
    พระหิมพานต์จะเป็นโกมุท พระสมุทรนิลราชกระบี่ศรี
    พระเพลิงเป็นนิลนนท์มนตรี พระเสารีเป็นนิลพานร
    พระศุกร์เป็นนิลปาสัน พระหัสนั้นมาลุนทเกสร
    พระพุธเป็นสุรเสนฤทธิรอน พระจันทรเป็นสัตพลี
    วิรูฬหกวิรูปักษ์สองตระกูล เป็นเกยูรมายูรกระบี่ศรี
    เทวัญวานรนอกนี้บาญชี เจ็ดสิบเจ็ดสมุดตรา ฯ
    .
    1. เกยูร คือ ท้าววิรุฬหก ผู้เป็นใหญ่ในยักษ์ทั้งหลายและเป็นหนึ่งในจตุโลกบาลประจำทิศใต้ ได้แบ่งภาคมาเป็นเกยูร วานรเมืองขีดขิน หัวโขนจะเป็นหน้าวานรปากอ้า สีม่วงแก่ มักปรากฏชื่อในกองทัพตอนรบกับเหล่าอสูรหลายตอน ซึ่งตอนหนึ่งปรากฏขึ้นในการจัดทัพรวมพลเมืองขีดขินและเมืองขมพู เพื่อยกไปลงกา สุครีพจัดกองทหารประกอบด้วยเสนาวานรสิบแปดมงกุฎ
    .
    2. มายูร คือท้าววิรูปักษ์ ผู้เป็นใหญ่ในหมู่พญานาค เป็นหนึ่งในจตุโลกบาลประจำทิศตะวันตก แบ่งภาคมาเป็นมายูร วานรเมืองขีดขิน หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้า สีม่วงอ่อน ได้รับการกล่าวถึงในกระบวนทัพเช่นเดียวกับเกยูร
    .
    3. โกมุทหรือโคมุท คือพระหิมพานต์ ผู้ดูแลรักษาป่าหิมพานต์ มีฤทธิ์เดชเก่งกล้ามาก รบชนะพวกยักษ์เสมอ แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน หัวโขนจะเป็นหน้าวานรปากอ้าสีดอกบัวโรย – ชุมพูซีด (บ้างก็ว่าหุบปาก) อยู่ในกองทัพที่รบกับอสูรเช่นกัน และเมื่อเสร็จศึกลงกา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเสนาฝ่ายซ้ายเมืองขีดขิน คู่กับไชยามพวาน
    .
    4. ไชยามพวาน คือ พระอีศาณหรือพระวิศาลเทวบุตร แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน ได้รับพรจากพระอิศวรให้เป็นผู้ถือธงชัยนำกองทัพพระรามไปรบ เพราะมีชื่อเป็นมงคลข่มนามอสูร หัวโขนจะเป็นหน้าวานรปากอ้าสีเทา หรือสีมอหมึกอ่อน เมื่อเสร็จศึกได้รับการแต่งตั้งเป็นเสนาฝ่ายขวาเมืองขีดขิน
    .
    5. ไวยบุตร คือ พระพิรุณ เทพแห่งฝน แบ่งภาคเป็นวานรเมืองขีดขินมาช่วยรบ หัวโขนจะเป็นหน้าวานรปากอ้า สีเมฆครึ้มฝน หรือสีมอครามแก่
    .
    6. สุรกานต์ คือ พระมหาชัยแบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน คุมกำลัง 30 สมุทรมาช่วยรบ เมื่อเสร็จศึกได้ครองเมืองโรมคัลซึ่งเป็นเมืองของยักษ์ หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้าสีเหลืองจำปา
    .
    7. นิลเอก คือ พระพินายแบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองชมพู หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้าสีทองแดงแก่ (บางแห่งก็ว่าหุบปาก) มีบทบาทในการรบไม่น้อย เช่น ไปช่วยพระลักษณ์ทำลายพิธีกุมภนิยาของอินทรชิต
    .
    8. นิลขัน คือ พระพิเนกหรือพระพิฆเนศแบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองชมพู ช่วยพระรามรบกับพวกยักษ์ หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้าสีหงดินแก่ หรือสีอิฐแก่ (หงคือสีแดงเจือขาว)
    .
    9. กุมิตัน คือ พระเกตุ หนึ่งในเทวดานพเคราะห์ มาแบ่งภาคมา ไม่ปรากฏว่าเป็นฝ่ายใด บ้างก็ว่าอยู่เมืองชมพู ปรากฏในคราวกระบวนทัพครั้งพระมงกุฎพระลบรบกับท้าวคนธรรพ์นุราช หัวโขนเป็นหน้าวานรปากหุบ (บางทีก็ว่าปากอ้า) สีทอง หรือ สีเหลืองรง (รง คือ ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มียางสีเหลือง)
    .
    10. นิลราช คือ พระสมุทร แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองชมพู นอกจากมีบทบาทสำคัญในการรบแล้ว ยังมีหน้าที่เอาก้อนหินไปถมทะเลในตอนจองถนน เพราะต้องคำสาปของฤาษีคาวิน ว่าเมื่อเอาสิ่งใดทิ้งน้ำให้จมอยู่กับที่ จึงต้องเป็นผู้อาสาเอาศิลาไปทิ้งทะเลแต่ผู้เดียวจึงจะพ้นคำสาป หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้า (บ้างก็ว่าปากหุบ) สีน้ำไหลหรือสีฟ้าอ่อนเจือเขียว
    .
    11. สัตพลี คือ พระจันทร์ หนึ่งในเทวดานพเคราะห์แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน นอกจากมีหน้าที่จดความดีความชอบของเหล่าทหารแล้ว ยังมีบทบาทเด่นเป็นผู้เขียนสารส่งไปยังกรุงลงกา ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นอาลักษณ์แห่งเมืองขีดขิน หัวโขนเป็นหน้าวานรปากหุบ สีขาวผ่อง
    .
    12. วิสันตราวี คือ พระอังคาร เทพแห่งสงคราม หนึ่งในเทวดานพเคราะห์ แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองชมพู ปรากฏในตอนพระพระพรตพระสัตรุดทำศึกกับท้าวทศพิน หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้าสีแดงลิ้นจี่
    .
    13. สุรเสน คือ พระพุธ เทวดานพเคราะห์แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน ความเก่งกาจเกือบเทียบได้กับหนุมาน เมื่อเสร็จศึกได้ไปครองเมืองอัสดงค์ของสัทธาสูร หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้าสีแสด หรือสีเขียว
    .
    14. นิลปานัน คือ พระราหู เทวดานพเคราะห์ แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองชมพูมาช่วยรบ หัวโขนจะเป็นหน้าวานรปากอ้า สีสำริด
    .
    15. มาลุนทเกสร คือ พระพฤหัสบดี เทวดานพเคราะห์แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน ปรากฏในคราวพระรามรบกับมังกรกัณฐ์ หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้า (บ้างก็ว่าปากหุบ) สีเมฆ หรือสีม่วงครามอ่อน
    .
    16. นิลปาสัน คือ พระศุกร์ เทวดานพเคราะห์แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองชมพู ปรากฏในการรบกับกุมภกรรณ หัวโขนเป็นหน้าวานรปากอ้าสีเลื่อมเหลือง หรือสีหมากสุก
    .
    17. นิลพานร หรือ วิมล คือ พระเสาร์ เทวดานพเคราะห์ที่แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน ปรากฏในการรบตอนหกรถรบหกวานร หัวโขนเป็นหน้าวานรปากหุบสีดำหมึก
    .
    18. เกสรทมาลา คือ พระไพศรพณ์ แบ่งภาคมาเป็นวานรเมืองขีดขิน (บางแห่งว่าไม่ปรากฏเป็นฝ่ายใด) ปรากฏในตอนรบกับกุมภกรรณ หัวโขนเป็นหน้าวานรอ้าปากสีเหลืองอ่อน หรือเลื่อมเหลือง
    .
    .
    เรื่องราวร่วมสมัยเล่ากันว่า ในช่วงรัชกาลที่ 6 มีกลุ่มมาเฟียโจงกระเบนเป็นนักเลงการพนัน คุมบ่อนเบี้ยโรงจีน ชอบสักตามตัวเป็นรูปวานร 18 มงกุฎ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกพวกนักเลงการพนันว่า “พวกสิบแปดมงกุฎ” ติดปากกันเรื่อยมา
    .

    ชื่อนาม "18 มงกุฎ" จากเทพเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ในความดี กลับถูกนำไปใช้เปรียบกับพวกนักเลงการพนัน พวกที่มีเล่ห์เหลี่ยมกลโกง นักต้มตุ๋นไปเสีย เพียงเพราะการนำรูปรอยสักไปสักไว้ตามตัว พลอยทำให้ชื่อเสียงเกียรติคุณความดีของวานรสิบแปดมงกุฎในวรรณกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เลือนหายไปจากความทรงจำ อีกทั้งยังกลายความหมายไปในทางไม่ดี
    .
    ยิ่งในทุกวันนี้ คำว่า “สิบแปดมงกุฎ” มิใช่สำนวนที่ใช้จำกัดเรียกขานเฉพาะพวกนักเลงการพนันเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงพวกมิจฉาชีพทั้งหลาย เป็นสำนวนที่พบเห็นบ่อยมากตามสื่อมวลชนต่าง ๆ มีความหมายถึงพวกที่ยักยอก ต้มตุ๋น หลอกลวงด้วยกลอุบาย หรือคำพูดล่อลวง ให้ผู้อื่นหลงเชื่อแล้วยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินผู้อื่นมาเป็นของตน
    .
    ถึงแม้ว่าอาจไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ที่หน้าบันหินแผ่นหนึ่งเหนือซุ้มประตูเล็กด้านปีกขวาของโคปุระทางเข้าทิศตะวันออกของปราสาทประธานพนมรุ้ง ปรากฎภาพสลักของยักษ์ที่กำลังถูกวานรโรมรัมพันตู ทั้งขบกัด ยื้อยุด ฉุดกระชาก จิกผม แย่งอาวุธ
    .
    หากนับจำนวนกันดี ๆ ก็จะ นับได้ 18 ตน พอดี อะไรมันจะบังเอิญกันขนาดนั้น !!!!
    .
    หรือนี่จะเป็นฉากของเรื่องราววานร 18 มงกุฎ เหล่าเทพเจ้าผู้อวตารมาช่วยพระนารายณ์จากวรรณกรรมรามายณะในยุควัฒนธรรมเขมรที่กลายมาเป็นต้นเรื่องของรามเกียรติ์ในราชสำนักสยาม กำลังต่อสู้กับความชั่วร้าย ในความหมายของยักษ์
    .
    อย่างไรก็ตาม มันก็ช่างเป็นความบังเอิญที่ลงตัวเอามาก ๆ ถ้าหากเราจะถือโอกาสหยุดยืน แล้วบอกเล่าเรื่องราวของ 18 มงกุฎ บนหน้าบันของประตูทางเข้าสู่มหาเทวาลัยวิมานแห่งพระศิวะ ผ่านภาพสลักพันปี ที่ข้ามเวลา “มาก่อนกาล” กับรอยต่อของรามายณะแบบอินเดียกับรามเกียรติ์แบบสยาม บอกเล่าถึงวีรกรรมของวานร 18 มงกุฎ ในความกล้าหาญและดีงามทางวรรณกรรม
    .
    เรื่องเล่าและจินตนาการ จะนำพาให้ปราสาทเขาพนมรุ้งมีชีวิตชีวา ขึ้นกว่าเดิมครับ
    .
    ไชยามพวาน ทหารหน้า เกสรทมาลากล้ากลั่น
    นิลราช กาจฉกรรจ์ เคียงคู่ นิลขัน ชาญชัย
    นิลเอก ฤทธิไกรดังไฟกัลป์ คู่ นิลปานัน ทหารใหญ่
    วิมล รณรบว่องไว ถัดไปชื่อ วิสันตราวี
    มาลุน เริงแรงกำแหงหาญ เคียงขนาน เกยูร กระบี่ศรี
    ทั้ง มายูร พูนพลังแข็งขันดี คู่กับ สัตพลี มีเดชา
    สุรเสน เจนจบรบรอนราญ คู่กับ สุรกานต์ ทหารกล้า
    โกมุท วุฒิไกรไวปัญญา เคียงมากับกระบี่ กุมิตัน
    ไวยบุตร รำราญแรง เคียงแข่งกับ นิลปาสัน
    ครบสิบแปดมงกุฎสุดฉกรรจ์ ทหารเอกทรงธรรม์รามราชา

    ..
    .
    วรณัย พงศาชลากร
    เรื่องราวทางมานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี สหวิทยาการและมุม Gossip
    Permalink : http://oknation.nationtv.tv/blog/voranai
    .
    http://oknation.nationtv.tv/blog/voranai/2017/02/19/entry-1
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันมาฆบูชา

    ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓

    .

    "มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน ๓ มาฆบูชานั้น ย่อมาจากคำว่า"มาฆบุรณมี" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญ เดือน ๓ วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ในวันพุทธศาสนา คือวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพุทธศาสนา ที่เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต" และเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปฎิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะยังพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป

    .

    โอวาทปาฏิโมกข์

    .

    โอวาทปาฏิโมกข์ - หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุ วนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา),

    .

    คาถา โอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)

    .

    สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา

    สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ

    ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา

    นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา

    น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี

    สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ

    อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร

    มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ

    อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

    .

    แปล :

    .

    การไม่ทำความชั่วทั้งปวง, การบำเพ็ญแต่ความดี, การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง,

    พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม,

    ผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,

    ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ

    การไม่กล่าวร้าย, การไม่ทำร้าย, ความสำรวมในปาฏิโมกข์,

    ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร, ที่นั่งนอนอันสงัด, ความเพียรในอธิจิต นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    .

    ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า

    .

    "ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส"

    .

    คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ "จาตุร" แปลว่า ๔ "องค์" แปลว่า ส่วน "สันนิบาต" แปลว่า ประชุม ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ

    .

    ๑. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย

    .

    ๒. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจาก พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น

    .

    ๓. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์

    .

    ๔. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ

    .

    การปฎิบัติตนสำหรับพุทธศาสนาในวันนี้ก็คือ

    .

    การทำบุญตักบาตรในตอนเช้า หรือไม่ก็จัดหาอาหารคาวหวานไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัด ตอนบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา

    .

    ในตอนกลางคืน จะพากันนำดอกไม้ ธูปเทียน ไปที่วัดเพื่อชุมนุมกันทำพิธีเวียนเทียนรอบพระอุโบสถพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ โดยเจ้าอาวาสจะนำว่า นะโม ๓ จบ จากนั้นกล่าวคำถวายดอกไม้ธูปเทียน ทุกคนว่าตาม จบแล้วเดินเวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ แล้วนำดอกไม้ ธูปเทียนไปปักบูชาตามที่ทางวัดเตรียมไว้เป็นอันเสร็จพิธี

    .ที่มา http://www.dhammathai.org/day/maka.php





    -----------------------------------------------------------------

    เพลงมาฆบูชา



    โรงเรียนวัดท่าข้าม

    เผยแพร่เมื่อ 19 ก.พ. 2013

    -----------------------------------------------------------------

    เพลง วันมาฆบูชา



    จิรญา จำเริญ

    เผยแพร่เมื่อ 14 ก.พ. 2014

    -----------------------------------------------------------------

    เพลง มาฆบูชารำลึก



    แดนธรรมะ DaenDhamma

    เผยแพร่เมื่อ 25 ม.ค. 2013

    -----------------------------------------------------------------

    เพลงมาฆบูชา



    วัดพระบาทอุดม ฝาง เชียงใหม่

    เผยแพร่เมื่อ 9 ก.พ. 2014

    -----------------------------------------------------------------

    เพลงวันมาฆบูชา [HD]



    luktungclub

    เผยแพร่เมื่อ 18 ก.พ. 2011

    -----------------------------------------------------------------

    วันมาฆบูชา : เพลงธรรมะร่วมสมัย

    https://www.youtube.com/watch?v=YWHLifVW0PM

    koweerawat

    เผยแพร่เมื่อ 24 ก.พ. 2013

    -----------------------------------------------------------------

    ประวัติวันมาฆบูชา - Springnews

    https://www.youtube.com/watch?v=u8f0K76qQdA

    SpringNews

    เผยแพร่เมื่อ 10 ก.พ. 2017

    -----------------------------------------------------------------

    ประวัติ และความเป็นมา วันมาฆบูชา

    https://www.youtube.com/watch?v=hs6yAeRdpwU

    Sanook.com

    เผยแพร่เมื่อ 7 ก.พ. 2014

    -----------------------------------------------------------------
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ ไม่ได้ไปวัดไหนเลย

    แต่ ไหว้พระที่บ้าน

    เมื่อสักพักนี้ พึ่งถวายน้ำชา พระ ที่บ้านครับ

    ผมเองไหว้พระที่บ้าน ก็พอแล้ว ไปเบียดเสียดกับคนเยอะๆไม่ไหว

    ผมไหว้พระที่บ้าน

    #พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์
    1.สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม #พระพุทธสิกขีทศพลที่1 (หรือ #สมเด็จองค์ปฐม)
    2.สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม #พระกกุสันธพุทธเจ้า
    3.สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม #พระโกนาคมนพุทธเจ้า
    4.สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม #พระกัสสปพุทธเจ้า
    5.สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม #พระโคตมพุทธเจ้า
    .
    พระบรมสารีริกธาตุ #พระปัจเจกพุทธเจ้า หลายพระองค์ไม่ทราบพระนาม
    .
    #พระธาตุ #พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ประมาณ 38 พระองค์
    .
    พระธาตุ #พระอุปคุตเถระเจ้า
    .
    พระธาตุ #คณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ( #คณะโสณะอุตระ หรือ #คณะพระธรรมทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิในปีพศ235)
    .
    พระธาตุ #พระอรหันต์ไม่ทราบพระนาม อีกหลายพระองค์
    .
    (พระ)ธาตุ #หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้
    (พระ)ธาตุ #สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
    .

    ปกติ เวลาที่ผมถวายน้ำชาพระที่บ้าน ผมถวายน้ำชาทุกวันอาทิตย์ และ วันสำคัญทางศาสนา(ถ้าผมอยุ่บ้าน)
    .

    1.#องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    2.#พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    3.#หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า
    4.#หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า
    5.#หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ( หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร)
    6.#หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า ( หรือ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือ #หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จ.ลพบุรี)
    7.#หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า ( หรือ #หลวงปู่หน้าปาน หรือ #หลวงพ่อโอภาสี วัดโอภาสี จ.กรุงเทพ)
    8.#สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
    9.#หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้
    10.#หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง
    11.#สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( #เจริญญาณวโร )
    12.#หลวงปู่ม่น #วัดเนินตามาก
    13.#หลวงปู่แสง #วัดมณีชลขัณฑ์ จ.ลพบุรี
    14.#หลวงพ่อเงิน #วัดบางคลาน
    15.#หลวงปู่ศุข #วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    16.#หลวงพ่อจง #วัดหน้าต่างนอก
    17.#หลวงปู่บุญ #วัดกลางบางแก้ว
    18.#สมเด็จพระมหาสมณเจ้า #กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
    19.#หลวงปู่ภู #วัดอินทรวิหาร
    20.#หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (#อุปราชวังหน้าองค์สุดท้ายของราชวงศ์จักรี)
    21.#รัชกาลที่9 ( #พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช )
    22.#องค์พยามัจจุราชเจ้า
    23.#สมเด็จพระนเรศวรมหาราช , #พระเอกาทศรถ และ #พระพี่นางสุพรรณกัลยา
    24.#สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
    25.#พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    26.#พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
    27.#พยาครุฑ
    28.#องค์ท้าวเวสสุวรรณ
    29.#ฮก #ลก #ซิ่ว
    30.#พระแม่ธรณี
    31.#พระแม่คงคา
    32.#พระแม่โพสพ
    33.#แม่นางกวัก
    34.#ท่านชุดขาว (ท่านเป็นพราหมณ์ ที่อาจารย์ผมบอกว่า ท่านมากับพระพุทธรูปที่ท่านสร้าง ท่านเป็นคนในยุครัชกาลที่ 4 หรือ รัชกาลที่ 5)



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2019
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อย่าไปหลงเชื่อ เรื่อง การลงทุน บิตคอยน์
    หากเรายังไม่รู้จริงๆ อย่าไปลงทุน
    เพราะ เราอาจจะถูกหลอกได้ง่าย
    เงินที่เราเก็บไว้จากการทำงานที่เหนื่อยยาก
    สูญไปในพริบตา
    ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่าย
    และ ที่ต้องไป ยืมจมูกคนอื่นหายใจ
    .
    ****************************************
    .
    ก.ล.ต.เตือนหลอกลงทุนเหมืองบิตคอยน์....
    .
    ก.ล.ต.เตือนประชาชนถูกหลอกลงทุนขุดเหรียญดิจิทัลผ่านโซเชียลมีเดีย ด้านผู้เสียหายถูกโกงบิตคอยน์บุกแจ้งความกองปราบ.... อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/finance/news/580731
    .
    #กลต #เตือนภัย #ขุดเหรียญดิจิตอล #CryptoCurrency #Cryptominingfarm #กองปราบปราม #กองปราบ #CSD #CSDThailand
    .
    https://www.posttoday.com/finance/n...wuPc0tTjUtoHNaGjkD-MUdSdzZIUNFFAj3PNeRbSgKMy0
    .

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อยากจะมาเขียนเรื่องนี้
    .
    ในการทำงาน ต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น
    .
    ความเดือดร้อนนั้นๆ มีผลต่อความก้าวหน้าในการทำงานของคนที่ถูกกระทำด้วย
    .
    เงินที่ได้ไปจากการกระทำผิด ก็เป็นเงินร้อน อยู่กับคนที่ได้ไปไม่นาน
    .
    ยังมีอีกคือ การใช้ความไว้ใจของเพื่อนร่วมงาน มาเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง
    .
    ลองคิดดูว่า หากมีคนอื่นมาสร้างความเดือดร้อนและปัญหาให้กับเรา ตัวเราจะรู้สึกอย่างไร
    .
    เรื่องของการใช้จ่ายเงิน อย่าไปฟุ้งเฟ้อ ใช้เงินเกินตัว การทำบุญก็ทำแต่พอประมาณตามกำลังของตนเอง
    .
    ต่อให้ไปกราบพระพุทธรูปทั่วโลก ไปกราบพระสงฆ์ทั่วโลก แต่การกระทำของตนเองไปสร้างผลกระทบกับบุคคลอื่น ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับบุคคลอื่น การกราบและการขอหรือการบนบานต่างๆนั้นๆ ไม่มีผลต่อกรรมที่ตนเองจะได้รับในปัจจุบัน และ อนาคต
    .
    เพราะว่า ไม่ว่าใครที่มาช่วย ต้องรับผลนั้นๆด้วยไม่มากก็น้อยแน่นอน ไม่มีอะไรฟรีในโลกทิพย์
    .
    ที่สำคัญจะสร้างกรรมกันไปทำไม
    .
    กฎระเบียบของบริษัท หรือ กฎระเบียบของหน่วยงานราชการ หรือ กฎระเบียบของรัฐวิสาหกิจ ถึงแม้จะลงโทษผู้กระทำผิดได้ นั้นคือ โดนในเรื่องแรก
    .
    กฎหมาย ที่สามารถลงโทษผู้กระทำผิดได้ นั่นคือ โดนในเรื่องที่สอง (เรื่องที่สองนี้ บางกรณีก็ไม่สามารถที่จะเอาผิดได้)
    .
    แต่กฎที่ไม่เคยละเว้น และไม่สามารถหนีได้ คือ กฎแห่งกรรม ที่เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ด้วยตนเองเท่านั้น นั่นคือ โดนในเรื่องที่สาม ที่เป็นเรื่องสุดท้าย
    .
    ระยะเวลาที่ใช้กรรมตามกฎระเบียบของบริษัท หรือ กฎระเบียบของหน่วยงานราชการ หรือ กฎระเบียบของรัฐวิสาหกิจ หรือ กฎหมาย ระยะเวลาที่ใช้กรรม ไม่เกิน 100 ปีแน่นอน
    .
    แต่ระยะเวลาที่ใช้กรรมตามกฎแห่งกรรม ใช้ระยะเวลาที่ยาวนานแสนนาน ไปพิสูจน์เองว่า นานแค่ไหน
    .
    #ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน
    #ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด
    #ไม่มีใครหนีกรรมพ้น
    #แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    #ที่ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
    #พระพุทธองค์ยังหนีกรรมที่เคยก่อไว้ไม่พ้น
    .
    ขออัญเชิญพระบรมราโชวาท รัชกาลที่ 9 นำมาให้อ่านกันเพื่อให้เป็นสติในการคิด และ การกระทำของตนเอง
    .
    “…เมื่อมีโอกาสและมีงานให้ทำ ควรเต็มใจ ทำโดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใด ไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริง ๆ นั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใดย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมี ความเอาใจใส่ มีความขยันและซื่อสัตย์สุจริต ก็ยิ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในงานที่ทำสูงขึ้น…’’
    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา8 กรกฎาคม 2530
    .
    “…การทำงานให้สำเร็จผลแน่นอนและสมบูรณ์ ตามเป้าหมายนั้นจะต้องใช้ความรู้ความสามารถ พร้อมทั้งคุณสมบัติที่สำคัญ ๆ ในตัวบุคคลหลายประการ ทั้งความตั้งใจที่มั่นคง ความคิดสร้างสรรค์ ความ อุตสาหะพยายาม ความรับผิดชอบ ตลอดจนความสุจริต เป็น ธรรมนำมาปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ…’’
    พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์19 กรกฎาคม 2528
    .
    “…การทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความ สุจริตกาย สุจริตใจ ด้วยความคิดเห็น ที่เป็นอิสระปราศจากอคติ และด้วย ความถูกต้องตามเหตุตามผลจึง จะช่วยให้งานบรรลุจุดมุ่งหมาย และประโยชน์ที่พึง ประสงค์โดยครบถ้วนแท้จริง…’’
    พระบรมราโชวาท พระราชทานเนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน1 เมษายน 2528
    .
    #พระบรมราโชวาทรัชกาลที่9
    #ความซื่อสัตย์สุจริต
    #กฎระเบียบของบริษัท
    #กฎระเบียบของหน่วยงานราชการ
    #กฎระเบียบของรัฐวิสาหกิจ
    #กฎหมาย
    #กฎแห่งกรรม
    #บุพกรรมพระพุทธองค์
    #พยามัจจุราชเจ้า
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ่านแล้วชอบครับ
    เพราะทุกวันนี้ จะเจอกับคนในลักษณะนี้เยอะมาก
    #ประเภทที่ชอบมุสาวาท
    ถ้ามีใครที่เข้าใจเราผิด เนื่องจากมีคนที่คอย #ใส่ความเท็จให้เรา
    ปล่อยเขาไป เพราะเขาชอบ #มุสาวาท
    ประเด็นที่สำคัญ ถ้าเราไม่ผิด #เราขอความเป็นธรรมต่อองค์พยามัจจุราชเจ้าได้
    ถ้าท่านใดที่ไม่มีองค์พยามัจจุราชเจ้า มาหาผม
    มาขอความเป็นธรรมได้
    #เราไม่ได้ใช้ปืนไปจ่อหัวใครให้ทำ
    #เขาทำด้วยตัวเขาเองทั้งนั้น
    #ให้ไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง
    .
    **************************************
    .
    อย่าไปเสียเวลาเปล่า กับการอธิบายคนที่ “เข้าใจคุณผิด”

    โดย รักยิ้ม
    .
    .
    ตาเหมือนกันยังมองไม่เหมือนกัน…
    .
    ปากเหมือนกันยังพูดไม่เหมือนกัน…
    .
    มีสมองเหมือนกันก็ยังคิดไม่เหมือนกัน…
    .
    เพราะฉะนั้น ย่อมมีคนที่เข้าใจคุณผิดได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว จงอย่าได้แคร์ และ อย่าได้เสียเวลาไปหาข้อแก้ตัว หรือ อธิบาย เพื่อให้เขาเข้าใจถูก ตราบใดที่ เรายังเป็นตัวเองที่ไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน
    .
    คนทุกคนล้วนดื้อรั้น คนที่เข้าใจคุณ ก็จะเข้าใจคุณตั้งแต่แรก คนที่ไม่เข้าใจคุณ เขาก็จะเลือกที่จะไม่เชื่อคุณไปตลอด
    .
    อย่าเสียเวลาอธิบายกับคนที่จะฟังในสิ่งที่เขา.. อยากจะได้ยินเท่านั้น ควรรู้ไว้ว่า… การที่มีคนพูดถึงคุณ แสดงว่าคุณมีอิทธิพลต่อชีวิตเขา
    .
    ถ้าคุณกลัวมากไปว่า คนอื่นจะคิดยังไง คุณจะไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่พยายามเป็นอย่างที่คนอื่นชอบ คุณจะไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำ
    .
    แล้วไปมัวทำแต่อะไร… ที่คนอื่นบอกว่าดี สุดท้ายคุณจะสูญเสียความเป็นตัวเองไป ควรฉุดคิดได้แล้วว่า… คนอื่นที่คุณพยายาม ทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเขาชอบ
    .
    เขาไม่ได้ ‘แคร์’ คุณ เหมือนที่คุณ ‘แคร์’ เขา พวกเขามาวิจารณ์แล้วก็ไป แต่ทิ้งผลลัพธ์มากมายไว้ในชีวิตคุณ ทำให้คุณเสียความเป็นตัวเอง เสียความมั่นใจ เสียโอกาส เสียเวลา
    .
    ถ้าคุณกลัวมากไปว่า คนอื่นจะคิดยังไง คุณย่อมไม่ได้ใช้ชีวิตเต็มที่ และ คนอื่นที่คุณแคร์คำพูดเขา เขาก็ไม่ได้แคร์ชีวิตคุณ ‘พลาด’ มาก…!!
    .
    อย่าไปเสียเวลาอธิบายคนที่เข้าใจคุณผิด… สักวันความจริงย่อมปรากฎ มีหญิงสาวคนหนึ่งตั้งท้องโดยไม่รู้ว่าใครคือพ่อของเด็ก พ่อแม่บังคับให้ลูกบอกว่าใครเป็นพ่อของเด็ก
    .
    เด็กสาวทนแรงกดดันไม่ไหว จึงบอกว่า… “พ่อของเด็กเป็นพระอาวุโสรูปหนึ่งในวัดใกล้บ้าน” เมื่อเด็กคลอด คนที่บ้านก็เอาเด็กไปหาพระอาวุโสรูปนี้ พระบอกเพียงว่า “อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง” ก็รับเด็กไว้
    .
    ตั้งแต่นั้นมา… พระรูปนั้นก็พาเด็กไปบิณฑบาตทุกเช้า คนในหมู่บ้านต่า ตำหนิ นินทา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง 1 ปี ผ่านไป… หญิงสาวรู้สึกผิด จึงสารภาพกับพ่อแม่ว่า พ่อที่แท้จริงเป็นอีกคนหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับพระรูปนั้นเลย ครอบครัวนี้รู้สึกละอายใจมาก ไปพบพระอาวุโสรูปนั้น ภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าครอบครัวนี้คือ พระท่านโทรมมาก แต่ลูกกลับอ้วน ๆ ขาว ๆ เป็นที่น่ารักมาก
    .
    หญิงสาวรู้สึกผิดมาก ขอโทษพระอาวุโสรูปนั้น ท่านพูดเพียงว่า…. “อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง” พระอาวุโสถูกกล่าวหาจนชื่อเสียงป่นปี้ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้แก้ตัวเลย เพราะอะไร…?
    .
    พระอาวุโสรูปบอกว่า…. ” บวชเป็นพระ ชื่อเสียงเงินทองต่างเป็นของนอกกาย คนเข้าใจผิด ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอาตมาช่วยแม่ และ ลูกให้พ้นวิกฤตได้ เป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง “
    .
    ตอนคนอื่นเข้าใจเราผิด เราต้องใช้เวลามากในการอธิบาย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเรา แต่ไม่มีประโยชน์อันใด…. ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ คนเราจะเชื่อกับข้อมูลที่ได้รับมาครั้งแรก
    .
    โดยไม่ค่อยพิจารณาว่า ความจริงเป็นเช่นไร ใช้หลักจากการรับรู้ของตัวเองในการเข้าใจ และ ตัดสินไปก่อนแล้ว เพราะทุกคนล้วนเชื่อแค่ในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเชื่อเท่านั้น จึงเกิดความเข้าใจผิดอยู่เรื่อยไป
    .
    ขอบคุณแหล่งที่มา : บทความจาก newface , เฌอมาณย์ รัตนพงศ์ตระกูล
    .
    https://www.rugyim.com/22456?fbclid=IwAR1aezO2R1QPhR4kdtyX3Is8iCypkvkRLTrAucxzwfAQyh3KtJPE1vvW5Hg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s001.jpg
      s001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      237 KB
      เปิดดู:
      205
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า LTF ไม่ต่ออายุหลังสิ้นปีนี้?
    .
    ป็นประเด็นมาตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับที่ออกข่าวแย้มๆ มาว่า สรรพากรจะไม่ต่อสิทธิลดหย่อนภาษีจากการซื้อกองทุนรวม LTF แล้วหลังปี 2562 (2019) หรือปีนี้
    .
    ถ้ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อยังยืนยันเช่นเดิม ก็จะแปลว่า ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่เราจะใช้สิทธิซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนนะครับ คราวนี้ มันมีหลายประเด็นที่เราในฐานะผู้เสียภาษีอาจสงสัยและเกิดตั้งคำถามขึ้นมา ผมลองรวบรวมคำถาม และตอบเป็นข้อๆ ให้หายสงสัยตามนี้ก็แล้วกัน
    .
    1.ถ้าไม่ต่ออายุ LTF เงินที่ครบเงื่อนไข ควรขายหรือย้ายกองออกไปไหม?
    .

    อันนี้แล้วแต่วัตถุประสงค์ของเงินลงทุนของเราเอง ผมเห็นหลายกรณี นักลงทุนที่ลงทุนใน LTF แล้วครบกำหนด เขาไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรต่อ และพึงพอใจกับผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงที่ผ่านมา ก็ถือต่อไป และให้ผู้จัดการกองทุนบริหารต่อ หากยังทำได้ดี เราก็ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่ม ดีกว่าไถ่ถอนออกมาแล้วเอาไปฝากประจำ หรือ ออมทรัพย์เอาผลตอบแทนต่ำติดดินครับ
    .
    แต่ถ้าจะโยกเงินออกมา สิ่งที่ต้องคิดคือ เรามีสินทรัพย์เป้าหมายที่จะลงทุนแล้วหรือยัง เปรียบเทียบแล้ว จะให้ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยงหรือเปล่า และอย่าลืมว่า การเข้าออกกองทุนมันมีค่าธรรมเนียม ซึ่งคุณคงต้องเอาส่วนนี้มาพิจารณาประกอบด้วย
    .
    2. เม็ดเงิน LTF ที่ถอนออกไป จะทำให้ตลาดหุ้นตกรึเปล่า?
    .

    หลายคนเชื่อว่า พอไม่ต่ออายุ LTF ก็แปลว่า เม็ดเงินในกองทุน LTF จะค่อยๆ ลดลง เพราะนักลงทุนทยอยไถ่ถอนออกไปเรื่อยๆ คำถามคือ มันจะถึงขั้นถอนกันจนตลาดหุ้นตกตามแรงขายไหม คำตอบคือ เม็ดเงินลงทุนใน LTF ทั้งหมด คิดเป็นเพียงแค่ประมาณ 4 % ของ Market Cap ของตลาดหุ้นไทย และเงื่อนไขการไถ่ถอน นักลงทุนไม่สามารถไถ่ถอนได้ทั้งหมดในปีเดียวอยู่แล้ว เพราะติดเงื่อนไขถือครองให้ครบ 7 ปีปฏิทิน
    .
    ซึ่งก็หมายความว่า เม็ดเงินลงทุนใน LTF จะค่อยๆ ถูกทยอยขายออกมาในอีก 6-7 ปีข้างหน้า (หากทุกคนเห็นตรงกันว่าต้องขายออก) แต่มุมมองส่วนตัวผมก็เชื่อว่า มีนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่จะไม่ขายออกมา และถือเงินลงทุนก้อนนั้นต่อไป ทำให้เชื่อว่าไม่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยเลยครับ ตรงนี้ขอให้สบายใจได้ระดับหนึ่ง
    .
    3. กองทุนจะติดลบไหม ถ้าไม่มีเงินใหม่เข้ามาใน LTF?
    .

    โดยปกติแล้ว ทีมบริหารกองทุน หรือ ผู้จัดการกองทุน แต่ละบลจ. จะมีการกำหนดกลยุทธ์และการลงทุนตามแต่ละโมเดลซึ่งเป็นไปได้นโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ซึ่ง LTF ของแต่ละบลจ. ส่วนใหญ่ เป็นหนึ่งในโมเดลการลงทุน ซึ่งมีกองทุนรวมปกติ ที่ไม่ใช่ LTF ที่ต้องบริหารจัดการต่ออยู่แล้ว ดังนั้น ในแง่การทำงานของผู้จัดการกองทุน จึงไม่ได้เกิดความยากมากขึ้น จากการที่ไม่มีเงินลงทุนเข้ามาใหม่ใน LTF
    .
    และจากการศึกษาของทีม Finnomena Analytics เราพบว่า ผลการดำเนินงานกองทุนรวมที่ไม่มี Flow ไหลเข้าออกจำนวนมาก ให้ผลตอบแทนสูงกว่า กองทุนรวมที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าออกในระยะสั้น อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งตีความได้ว่า กองทุนที่นักลงทุนทำการซื้อขายบ่อยๆ อาจทำให้ผู้จัดการกองทุนต้องคำนึงถึงการบริหารสภาพคล่อง จนมีผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุนบ้าง ซึ่งถ้าเชื่อในประเด็นนี้ ก็แปลว่า การไม่มีเงินใหม่เข้าลงทุนใน LTF อาจเป็นการดีต่อผลการดำเนินงานกองทุนด้วย
    .
    จะยกเว้นก็แต่ว่า ถ้าขนาดของกองทุน LTF นั้นๆ ที่เราลงทุนอยู่ มีขนาดเล็กมากเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจในการบริหารพอร์ตของผู้จัดการกองทุนให้ลดลง นักลงทุนจึงควรคิดทั้งสองมุม และติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องด้วย
    .
    4. NAV จะลดลงเรื่อยๆ รึเปล่า?
    .

    นักลงทุนหลายคนเข้าใจผิดว่า เงินขายออกจากกองทุนเยอะๆ แล้วจะทำให้กองทุนมี NAV ที่ลดลง ยกตัวอย่างรูปด้านล่าง ซึ่งเป็นราคาต่อหน่วย และมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน TMBCOF ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 3 เม.ย. 2562)
    .
    ดูรูป 4
    .
    จะเห็นว่า NAV ของกองทุน TMBCOF วิ่งขึ้นมาตามตลาดหุ้นจีนที่รีบาวน์ต่อเนื่องในไตรมาส 1/2562 ที่ผ่านมา แต่จะเห็นว่า มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนไม่ได้วิ่งขึ้นตาม NAV สาเหตุเป็นเพราะ ระหว่างที่ขึ้นมา มีนักลงทุนขายทำกำไรออกจากกองทุนรวมออกไปด้วย ซึ่งนี่ก็คือ หลักฐานว่า ถึงจะมีแรงขายออกจากกองทุนที่เราถือ มันก็ไม่ได้เกี่ยวว่าจะทำให้ NAV กองทุนลดลง
    .
    (การดูกราฟมูลค่าทรัพย์สินสุทธินี้ นักลงทุนสามารถเข้าไปดูได้ผ่าน Mobile Application ของ FINNOMENA นะครับ)
    .
    NAV จะลดลงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับราคาของสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนในเวลานั้นๆ มากกว่าว่าราคาสูงขึ้นหรือลดลงหรือเปล่านะครับ
    .
    5. กองทุนรวม LTF ที่มีอยู่ไว้แล้ว จะต้องถูกปิดลงไปด้วยหรือเปล่า?
    .

    กองทุนรวมนั้นๆ จะยังคงมีสถานะตามกฎหมายอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้สิทธิลดหย่อนแล้ว โดย บลจ. น่าจะเปลี่ยนนโยบายกองทุนให้เป็นกองทุนเปิดที่สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการเหมือนกองทุนรวมทั่วไป และนักลงทุนที่ใส่เงินใหม่เข้าไป ก็จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีประจำปีอีกต่อไป
    .
    แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีเงื่อนไขครับ เพราะถ้ากองทุนมีขนาดเล็กลงมาก จนบลจ.นั้นๆ เห็นว่า ค่าใช้จ่ายที่เก็บจากกองทุนอยู่ในระดับที่ไม่คุ้มทุน ทางบลจ. อาจมีการเสนอถือหน่วยเพื่อควบรวมกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเหมือนกัน ให้ได้ Economies of Scale หรืออาจเสนอผู้ลงทุนที่ครบเงื่อนไขระยะเวลาลงทุน ให้สับเปลี่ยนไปยังกองทุนที่มีนโยบายใกล้เคียงกัน และให้สิทธิลดค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนในช่วงเวลานั้นๆ ก็ได้ครับ

    6. ถ้าไม่ต่ออายุมาตรการส่งเสริม LTF เราสามารถขายได้ทุกก้อนที่ซื้อมาก่อนเลยไหม?
    .

    ใจเย็นๆ นะครับ การไม่ต่ออายุ LTF คือ การไม่ให้สิทธิกับเงินก้อนใหม่ที่จะเข้ามาลงทุน ไม่ได้หมายความว่า เงินก้อนเก่าๆ ที่ลงทุนมาแล้วจะไม่ได้สิทธิด้วย ดังนั้น เงินลงทุนก้อนที่เราซื้อก่อนปี 2562 เรายังจำเป็นต้องถือให้ครบตามเงื่อนไขเดิม คือ 7 ปีปฏิทิน ไม่เปลี่นแปลงไปจากนี้แต่อย่างใดครับ
    .
    ซึ่งถ้าดูจากเงื่อนไขการขายคืนหน่วยลงทุนได้ ที่มีการปรับเปลี่ยนจาก 5 ปีปฏิทิน เป็น 7 ปีปฏิทินเมื่อปี 2559 ก็จะพบว่า ปี 2563 และปี 2564 กอง LTF จะไม่มีเงินถูกขายออกมา ทำให้ขนาดกองทุนจะไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และจะมีการขายอีกครั้งคือในปี 2565 ซึ่งมาจากยอดซื้อ LTF ในปี 2559 ที่ใช้เงื่อนไขใหม่ในการถือครองคือ 7 ปีปฏิทินนั่นเองครับ
    .
    7. ถ้าถือครบกำหนดขายคืนได้ แต่ตอนนั้น NAV ยังขาดทุน ควรทำอย่างไร?
    .

    ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักลงทุนครับ เราคงต้องพิจารณาดูว่า ปัญหาขาดทุนที่เกิดขึ้น มาจากเงื่อนไขของตลาดหุ้นที่มันผันผวนเป็นขาลง หรือเกิดจากผลการดำเนินงานของกองทุนเองที่อาจจะไม่ดีเท่ากองทุนอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดเผย Peer Performance เปรียบเทียบผลตอบแทนกองทุนกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มไว้ให้เราได้ตรวจสอบทุกเดือน รวมถึงศึกษานโยบาย วิธีการลงทุนของกองทุนว่าถูกจริตนิสัยกับเราหรือเปล่า ถึงตอนนั้นค่อยมาพิจารณาอีกทีครับว่า จะถือไปก่อน หรือว่าจะขายดี
    .
    ยกตัวอย่างการวิเคราะห์ความสามารถของกองทุน สามารถดูได้ใน Mobile Application ของ FINNOMENA ใน Function “Fund” และเลือกเมนูผลตอบแทน
    .
    ดูรูปที่ 7
    .
    กองทุนตัวอย่างคือ UOBLTF จะเห็นว่า มีการแสดงผลตอบแทนย้อนหลังขอกองทุน และค่า S.D. เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของกองทุนประเภทเดียวกัน ซึ่งหากผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ย ก็แปลได้ว่า เป็นกองทุนที่ดีระดับหนึ่ง ในขณะเดียว ถ้าค่า S.D. ต่ำกว่าเฉลี่ยกลุ่ม ก็แปลว่า กองทุนมีความผันผวนต่ำกว่ากองทุนอื่นๆ ซึ่งก็แปลว่า มีการบริหารความเสี่ยงดีเช่นกัน
    .
    และใน App FINNOMENA จะเห็นว่า มีการใส่ tag สีเขียว แบ่งเป็น 3 tag คือ ดีที่สุด, ดีมาก และ ดี ตรงนี้ จากกองทุนนั้นๆ ได้ tag ดีที่สุด จะแปลว่า เป็นกองทุนที่อยู่ในช่วงเปอร์เซ็นไทล์ที่ 1-5 ซึ่งแปลว่า ให้ค่าดีที่สุดเมื่อเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน ขณะที่ tag ดีมาก แปลว่า เป็นกองทุนที่อยู่ในช่วงเปอร์เซ็นไทล์ที่ 5-25 และ tag ดี คือ อยู่ในช่วงเปอร์เซ็นไทล์ 25-50 ก็ถือว่าดีกว่ากองทุนประเภทเดียวกันกับกองทุนอื่นๆ อีกกว่าครึ่งที่มีขายอยู่ในตลาด ตรงนี้ ก็จะช่วยในการวิเคราะห์กองทุนได้เช่นเดียวกัน
    .
    สรุปจากทั้งหมดเลยก็คือ หาก LTF ไม่ต่ออายุจริงๆ ในแง่ของเงินลงทุนเก่า ไม่น่ามีผลกระทบอะไรกับนักลงทุนมาก และหากกระทบจริง เราก็เตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้าแล้วหลังจากอ่านบทความนี้ ส่วนทางสรรพากรจะมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่นๆ เพื่อชดเชยการหายไปของ LTF หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาทางเลือกต่างๆ ซึ่งหากได้เป็นรูปเป็นร่าง ก็จะมาแจ้งให้ทราบอีกทีครับ
    .
    https://www.finnomena.com/mr-messen...ZUXZ3c6uXvhXJtGyob5ESLiugJ55yrNFPvVmZqNgbsSAE
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติ พระธรรมธีรราชมหามุนี
    (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙)
    วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ กรุงเทพมหานคร
    .


    ๑.ชาติภูมิ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙)
    นามเดิมชื่อ “หนูคล้าย” (ภายหลังสมเด็จ “เขมจารีมหาเถร” วัดมหาธาตุ ได้เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า “โชดก” นามสกุลว่า “นามโสม” เกิดวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๔๖๑ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย ท่านเกิดที่บ้านหนองหลุบ ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
    .
    บิดาของท่านชื่อ “เหง้า” มารดาชื่อ “น้อย” ครอบครัวของนายเหล้า และนางน้อย นามโสมมีบุตรและธิดารวม ๑๐ คน มีรายชื่อตามลำดับดังนี้..
    .
    ธิดาคนที่ ๑ นางบุญ สิทธิ อยู่ที่บ้านหนองหลุบ ถึงแก่กรรม
    ธิดาคนที่ ๒ นางสูน แซ่เอี่ยว อยู่ที่อำเภอน้ำพอง ยังมีชีวิต
    ธิดาคนที่ ๓ นางปุ่น เข้าเกลียว อยู่ที่บ้านหนองหลุบ ยังมีชีวิตอยู่
    ธิดาคนที่ ๔ นางเปี่ยง หล่ำแขก อยู่ที่บ้านหนองหลุบ ถึงแก่กรรมแล้ว
    ธิดาคนที่ ๕ นางเครื่อง เมืองจันทร์ อยู่ที่น้ำเกลี้ยง ถึงแก่กรรม
    บุตรชายคนที่ ๖ นายหนูคล้าย นามโสม (คือท่านเจ้าคุณ)
    บุตรชายคนที่ ๗ นายคุ้ม นามโสม อยู่ที่บ้านหนองหลุบ ยังมีชีวิตอยู่
    ธิดาคนที่ ๘ นางสุ่ม จันทะสอน อยู่ที่บ้านหนองหลุบ ยังมีชีวิตอยู่
    ธิดาคนที่ ๙ นางทุม (นามสกุลจำไม่ได้) อยู่ที่บ้านโคกสูง ยังมีชีวิตอยู่
    ธิดาคนที่ ๑๐ นางทองอยู่ คนใหญ่ อยู่ที่บ้านโคกสูง ยังมีชีวิตอยู่
    .
    บิดาของท่านชื่อ เหง้า มารดาชื่อ น้อย ท่านมีพี่น้องร่วมตระกูล ๙ คน เป็นพี่สาว ๕ คน น้องชาย ๑ คน และน้องสาว ๓ คน และปู่ของท่านมีบรรดาศักดิ์เป็นขุน ชื่อขุนวงษ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านติดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย มีฐานะดี ส่วนบิดาของท่านเป็นชาวนา มีแต่ความรู้พิเศษ เป็นหมอชาวบ้าน-ช่างไม้-ช่างเหล็ก ประจำหมู่บ้าน.
    .
    ๒. การศึกษาเบื้องต้น
    พ.ศ. ๒๔๗๒ จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนบ้านหนองหลุบ ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ เมื่ออายุได้ ๑๕
    .
    ๓. บรรพชาอุปสมบท
    วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๗๗ เมื่ออายุ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดโพธิ์กลาง โดยมีพระครูเลิ่ง เจ้าอาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ และย้ายไปเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดกลาง ในตัวเมืองของแก่น สอบนักธรรมตรีได้จากวัดนี้ และย้ายไปอยู่วัดยอดแก้ว ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เพื่อเรียนนักธรรมชั้นโท และบาลีมูลกัจจายน์ และสอบนักธรรมชั้นโทได้ พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้ย้ายมาอยู่ในกรุงเทพฯ โดยครั้งแรกได้อยู่วัดเทพธิดาราม สอบ ป.ธ. ๓ ป.ธ.๔ และสอบนักธรรมชั้นเอกได้ในสำนักนี้ พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้ย้ายมาอยู่วัดมหาธาตุ โดยขุนวจีสุนทรรักษ์เป็นผู้นำมาฝากท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เขมจารีมหาเถร) ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระพิมลธรรมได้เมตตารับไว้ให้อยู่ คณะ๑
    .
    ๔. วุฒิการศึกษา
    พ.ศ. ๒๔๗๗ สอบได้นักธรรมชั้นตรี ในสำนักเรียนวัดโพธิ์กลาง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. ๒๔๗๘ สอบได้นักธรรมชั้นโท ในสำนักเรียนวัดกลาง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ สอบได้ ป.ธ.๓ – ป.ธ. ๔ ในสำนักเรียนวัดเทพธิดาราม พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๙๔ สอบได้ ป.ธ.๕ – ป.ธ. ๙ ในสำนักเรียนวัดมหาธาตุ ในสมัยสอบ ป.ธ. ๙ ได้ใน พ.ศ. ๒๔๙๔ นับเป็นผู้สอบได้เพียงผู้เดียวในประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๘๖-๒๔๙๒ ได้ปฏิบัติศาสนกิจ ณ จังหวัดขอนแก่น โดยครั้งแรกเปิดสอนพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกนักธรรม-บาลี ที่วัดสว่างวิทยา อำเภอเมือง ประมาณ ๑ ปี แล้วย้ายมาอยู่ที่วัดศรีนวล ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น ปรากฏว่าได้ส่งเสริมการศึกษาในสำนักนี้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีพระภิกษุสามเณรสอบนักธรรมและบาลีได้มากทุปี ต่อมาท่านได้ลากออกจากตำแหน่งสาธารณูปการจังหวัดเพื่อกลับมาอยู่วัดมหาธาตุ สำนักเดิม
    .
    ๕. การปฏิบัติศาสนกิจ
    พ.ศ. ๒๔๙๓ ย้ายกลับเข้ามาอยู่วัดมหาธาตุ ในสมัยท่านเจ้าคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) ครั้งดำรงสมณะศักดิ์ที่ พระพิมลธรรม เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้อยู่ที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุ และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะ ๕ วัดมหาธาตุ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๔๙๓ และอยู่ประจำที่คณะ ๕ มาตลอดจนมรณภาพ
    .
    ๖. หน้าที่การงานเกี่ยวกับการศึกษา
    พ.ศ. ๒๔๘๓ – ๒๔๓๐ -เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมทั้งนักธรรม-บาลี ในมหาธาตุวิทยาลัย ได้เป็นครูสอนบาลีไวยากรณ์ชั้นสูงมูล ๓ ได้นิตยภัตตั้งแต่เดือนละ ๖ บาท ใน พ.ศ. ๒๔๘๓ จนกระทั้งสอน ป.ธ. ๗-๘-๙
    -เป็นกรรมการตรวจประโยคนักธรรม-บาลี สนามหลวง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๗ ตลอดมาจนมรณภาพ -เป็นผู้อำนวยการแผนกบาลี สำนักเรียนวัดมหาธาตุ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นต้นมา
    .
    ๗. หน้าที่เกี่ยวกับด้วยพระไตรปิฎก
    พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย ในแผนกตรวจสำนวน พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจทานพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการปาลิวิโสธกะพระอภิธรรมปิฎก ฉบับสังคายนา พ.ศ. ๒๕๓๐ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานบรรณกรในการพิมพ์พระไตรปิฎก ฉบับสังคายนา พ.ศ. ๒๕๓๐
    .
    ๘. งานด้านวิปัสสนาธุระ
    พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ ณ มณฑปพระธาตุ วัดมหาธาตุ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ถึง ๑๙ ตุลาคม ๒๔๙๔ รวมเวลา ๗ เดือน ๑๙ วัน โดยพระภาวนาภิรามเถระ (สุข) วัดระฆังเป็นอาจารย์สอน
    .
    พ.ศ. ๒๔๙๕ ไปดูการพระศาสนาที่ประเทศพม่า และได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ สำนักศาสนายิสสา เมืองอย่างกุ้ง ประเทศพม่า เมื่อสำเร็จการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนาแล้ว ได้เดินทางกลับประเทศไทยพร้อมกับพระอาจารย์ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ๒ รูป ทีรัฐบาลไทยขอจากรัฐบาลพม่าเพื่อมาสอนวิปัสสนากรรมฐาน ประจำอยู่อยู่ในประเทศไทย พระวิปัสสนาจารย์ ๒ รูปนั้น คือ ท่านอาสภเถระปธานกัมมัฏฐานาจริยะและท่านอินทวังสะ ธัมมาจริยะกัมมัฏฐานาจริยะ
    .
    เมื่อท่านกลับมาประเทศไทยแล้ว ท่านได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่อีก ๔ เดือน ในสมัยนั้นท่านเจ้าประคุณเด็จพระพุฒาจารย์ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระพิมลธรรม ได้ประกาศตั้งสำนักวิปัสสนาธรรมฐานแห่งประเทศไทย ขึ้นที่วัดมหาธาตุ และได้แต่งตั้งท่านครั้งเป็นพระมหาโชดก ป.ธ. ๙ ให้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระเป็นรูปแรก ท่านได้รับภาระหนักมาก เพราะเป็นกำลังสำคัญของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ในการวางแผนขยายสำนักสาขาไปตั่งในที่ต่างๆทั่วประเทศ จัดทำหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐานคัดเลือกพระวิปัสสนาจารย์ไปสอนประจำอยู่ตามสำนักสาขาที่ตั้งขึ้นและจัดไว้สอนประจำที่วัดมหาธาตุ พระวิปัสสนาจารย์ทั่วประเทศ ส่วนมากเป็นศิษย์ของท่าน
    .
    อนึ่ง ในครั้งนั้น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ได้จัดตั้งกองกรวิปัสสนาธุระขึ้นเป็นศูนย์วิปัสสนากรรมฐาน ที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุ และได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้อำนวยการกองการวิปัสสนาธุระ ในความอำนวยการของท่าน มีกิจการเจริญก้าวหน้ามาก มีผลงานปรากฏ ดังนี้
    .
    ๑. จัดพิมพ์วิปัสสนาสารซึ่งเป็นวารสารราย ๒ เดือน (ออกปีละ ๖ เล่ม) ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๘ และได้ออกติดต่อ ตลอดมาถึงบัดนี้มีสมาชิกให้การอุดหนุนวารสารนี้มีมากพอสมควร
    .
    ๒. จัดการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่คณะ ๕ โดยจัดสร้างห้องปฏิบัติขึ้นรับผู้ประสงค์จะเข้าปฏิบัติ หรือผู้มีปัญหาชีวิต เข้าปฏิบัติได้ทุกเวลา ทั้งประเภทอยู่ประจำและไม่ประจำ (คือมารับพระกรรมฐานจากอาจารย์ไปปฏิบัติที่บ้านแล้วมารับสอบอารมณ์หรือมาปฏิบัติในเวลาว่างแล้วกลับไปพักที่บ้าน)
    .
    ๓. อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาจารย์ และคณะศิษย์ของท่านได้ไปสอนวิปัสสนากรรมฐาน ในพระอุโบสถวัดมหาธาตุ ตึกมหาธาตุวิทยาลัย ตึกธรรมวิจัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ทุกวันพระ และวันอาทิตย์
    .
    ๔. ให้ความอุปถัมภ์สำนักวิปัสสนากรรมฐานอื่นที่เป็นสาขาอีกหลายสำนัก เช่น สำนักวิเวกอาคม อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักวิปัสสนาภูระงำ อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น และสำนักบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เป็นต้น พระธรรมธีรราชมหามุนีนั้น ได้อุทิศชีวิตอบรมและเผลแพร่วิปัสสนากรรมฐานติดต่อมาเป็นเวลายาวนานประมาณ ๔๐ ปี
    .
    จึงมีศิษยานุศิษย์และมีผู้เคารพศรัทธาเลื่อมใสมาก ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ และบุคคลผู้มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น มีทุกระดับชั้น ทุกฐานะอาชีพ เช่น ในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๘ ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระอุดมวิชาญาณเถร ได้เป็นพระอาจารย์ถวายวิปัสสนากรรมฐานแด่สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (ปัจจุบัน คือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ซึ่งได้เสด็จมาสมาทานพระกรรมฐานเมื่อวันอังคารที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘ เวลา ๑๙.๐๐ น. ณ พระมณฑปพระบรมธาตุ วัดมหาธาตุ
    .
    ในโอกาสนั้น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ครั้งดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์ทีพระพิมลธรรม ได้วายศีลแล้วพระอุดมวิชาญาณเถร เป็นผู้ถวายพระกรรมฐานและถวายสอบอารมณ์ พระกรรมฐานด้วย เป็นประจำทุกวัน ณ พระมณฑปพระบรมธาตุ เวลา ๑๙.๐๐ น. รวมเวลาที่ทรงปฏิบัติพระกรรมฐานเป็นเวลา ๑ เดือน และทรงได้รับผลจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างดี
    .
    นอกจากนั้น ได้เป็นอาจารย์ถวายวิปัสสนากรรมฐานแด่พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ) ซึ่งเป็นพระอาจารย์มีเกียรติคุณในด้านสมถกรรมฐาน (วิชาธรรมกาย) มีชื่อเสียงมากในประเทศไทย โดยท่านไปถวายวิปัสสนากรรมฐานแด่หลวงพ่อที่วัดปากน้ำตลอดเวลา ๑ เดือน ครบหลักสูตรและหลวงพ่อวัดปากน้ำได้มาฟังเทศน์ลำดับญาณ ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุ โดยพระอุดมวิชาญาณเถรได้ถวายเทศน์ลำดับญาณ ปรากฏว่าหลวงพ่อได้ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างดี เพราะท่านได้นำสมถกรรมฐานมาต่อวิปัสสนากรรมฐาน พิจารณาไตรลักษณ์ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ หลวงพ่อได้มอบภาพของท่านไว้เป็นที่ระลึกแก่สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุ และได้เบียนบันทึกใต้ภาพยกย่องว่า “สำนักวิปัสสนากรรมฐาน เป็นสำนักที่สอนวิปัสสนาถูกต้องร่องรอยในมหาสติปัฏฐานทุกประการ”
    .
    ๙. หน้าที่เกี่ยวกับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
    พ.ศ. ๒๔๙๐-๒๕๓๐ - ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการชำระหนังสือธัมมปทัฏฐกถา ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลย - เป็นอาจารย์บรรยายวิชาพระพุทธศาสนาในชั้นอุดมศึกษา - เป็นกรรมการบริหารกิจการ - เป็นกรรมการพิจารณาหลักสูตรบาลีสำหรับมหาจุฬาฯ - เป็นรองประธานกรรมการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ - เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย
    .
    ๑๐. หน้าที่เกี่ยวกับการบริหารคณะสงฆ์
    พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๕๓๐ - ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการกรรมการสงฆ์จังหวัดขอนแก่น - กรรมการสาธารฯณูปการจังหวัดขอนแก่น - เจ้าคณะภาค ๑๐ - เจ้าคณะภาค ๙- พระอุปัชฌาย์ประจำวัดมหาธาตุ - รองเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ - รองประธานกรรมการสงฆ์บริหารมหาธาตุ รูปที่ ๑
    .
    ๑๑. หน้าที่งานพิเศษ
    -ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการหัวหน้าพระธรรมทูตสายที่ ๓ -เป็นหัวหน้าผู้อำนวยการ งานพระธรรมทูตสายที่ ๖ -เป็นอนุกรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อร่วมพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาวัดที่ว่างเจ้าอาวาสเพื่อหาข้อมูล
    .
    ๑๒. งานเผยแพร่
    -เป็นพระธรรมกถึกทั้งเทศน์คู่และเทศน์เดี่ยว -เป็นองค์ปาฐกแสดงปาฐกถาธรรม -องค์บรรยายธรรมทางวิทยุเป็นประจำหลายสถานี -บรรยายทางโทรทัศน์ -นับว่าท่านเป็นพระสงฆ์มีความเชี่ยวชาญในการบรรยายธรรม ได้รับความนิยมมากจากผู้ฟังทั้งจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และประชาชนเป็นอย่างดี
    .
    ๑๓. งานสาธารณูปการและงานสาธารณสงเคราะห์
    พระธรรมธีรราชมหามุนี มีผลงานด้านงานสาธารณูปการและงานสาธารณสงเคราะห์ปรากฏอย่างกว้างขวาง ทั้งภายในวัดมหาธาตุ และภายนอกวัด ดังมีหลักฐานปรากฏตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๓๐ ดังนี้
    .
    ๑) งานสาธารณูปการภายในวัดมหาธาตุ -จัดหาทุนสร้างห้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในวัดมหาธาตุ -จัดหาเงินสมทบทุนมูลนิธิวิปัสสนากรรมฐาน -สร้างตึกอุดมวิชาในคณะ ๕ วัดมหาธาตุ -เป็นประธานกรรมการหาทุนก่อสร้างตึกมหาธาตุวิทยาลัยอาคารทรงไทย ๔ ชั้น -เป็นประธานกรรมการหาทุนบูรณะโรงเรียนธรรมมหาธาตุวิทยาลัย และสร้างโรงครัวครูปริยัติธรรม -เป็นประธานกรรมการจัดหาทุนและก่อตั้งมูลนิธิศรีสรรเพชญ์ -ร่วมสมทบบูรณะคณะ ๘ วัดมหาธาตุ -บริจาคร่วมสร้างพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย -เป็นประธานกรรมการจัดหาทุนสร้างพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย -เป็นกรรมการอุปถัมภ์จัดหาทุนสร้างโรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รวมงานสาธารณูปการภายในวัดมหาธาตุที่ได้ดำเนินการมาเป็นเงินประมาณ ๑๔,๓๒๕,๐๐๐.๐๐ บาท (สิบสี่ล้านสามแสนสองหมื่นห้าพันบาท)
    .
    ๒) งานสาธารณูปการภายนอกวัด - งานก่อสร้างปฏิสังขรณ์วัดสว่างพิทยา บ้านหนองหลุบ ซึ่งเป็นถิ่นบ้านเกิด - จัดหาทุนสร้างโรงเรียนปริยัติธรรมวัดธาตุ ขอนแก่น ๒ หลัง - จัดหาทุนสร้างอุโบสถวัดโพธิ์ชัย จังหวัดขอนแก่น - จัดหาทุนสร้างโรงเรียนประชาบาลบ้านหนองหลุบ - เป็นประธานจัดหาทุนสร้างวัดพุทธประทีปในระยะเริ่มแรก - อุปถัมภ์สร้างอาคารเรียน ในโรงเรียนประชาบาลบ้านหนองบัว อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี - เป็นประธานจัดหาทุนสร้างตึกสงฆ์อาพาธสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) ในโรงพยาบาลขอนแก่น - บริจาคสร้างตึกสงฆ์สยามินทร์ โรงพยาบาลศิริราช - อุปถัมภ์สำนักวิปัสสนากรรมฐาน ภูระงำ อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น - หาทุนสร้างสำนักวิเวกอาคม ตำบลบางขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดเชิงเทรา รวมงานสาธารณูปการภายนอกวัด เป็นเงินประมาณ ๑๓,๔๕๖,๐๐๐.๐๐ (สิบสามล้านสี่แสนห้าหมื่นหกพันบาท) รวมเงินที่จัดหาในงานสาธารณูปการทั้งภายในวัดมหาธาตุ และภายนอกวัด เป็นเงินประมาณ ๒๗,๐๘๑,๐๐๐.๐๐ บาท (ยี่สิบเจ็ดล้านแปดหมื่นหนึ่งพันบาท)
    .
    ๑๔. งานต่างประเทศ
    พ.ศ. ๒๔๙๕-๒๕๒๘ - ไปดูพระศาสนาและปฏิบัติกรรมฐาน ณ ประเทศพม่า - ไปสอนวิปัสสนากรรมฐาน ณ ประเทศอังกฤษตามคำอาราธนาของคณะสงฆ์สมาคมแห่งประเทศอังกฤษ - เป็นหัวหน้าพระธรรมทูตประจำประเทศอังกฤษ - ริเริ่มสร้างวัดไทยในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันได้สร้างเป็นวัดไทยโดยสมบูรณ์ ชื่อว่าวัดพุทธประทีป โดยท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุรูปแรก - เป็นกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตที่จะไปต่างประเทศ - ไปสอนวิปัสสนากรรมฐานที่วัดไทย ในสหรัฐอเมริกา - รับชาวต่างประเทศปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุ และให้ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา
    .
    ๑๕. งานนิพนธ์
    พระธรรมธีรราชมหามุนี เป็นพระมหาเถระเชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฏกและมี ความทรงจำเป็นเลิศ สามารถบอกเรื่องราวต่างๆว่าอยู่ในเล่มใด และบางครั้งบอกหน้าหนังสือเล่มนั้นด้วย และท่านยังเป็นนักประพันธ์ ที่นิพนธ์เรื่องศาสนาได้รวดเร็ว และได้นิพนธ์ไว้มากมายหลายเรื่อง เฉพาะที่หาข้อมูลได้ แบะบทนิพนธ์ของท่านเป็นประเภทดังนี้
    .
    ๑ ) ประเภทวิปัสสนากรรมฐาน มีหนังสือประมาณ ๒๑ เรื่อง เช่น เรื่องความเป็นมาของวิปัสสนากรรมฐาน คำบรรยายวิปัสสนากรรมฐาน จำนวน ๙ เล่ม
    ๒ ) ประเภทพระธรรมเทศนา มีหนังสือประมาณ ๔ เรื่อง เช่น เรื่องเทศน์คู่อริสัจ ฯลฯ
    ๓ ) ประเภทวิชาการ มีหนังสือประมาณ ๘ เรื่อง อภิธัมมัตถสังคหะปริเฉทที่ ๑-๙ ฯลฯ
    ๔ ) ประเภทสารคดี มีหนังสือประมาณ ๒๐ เรื่อง เช่น เรื่องพระมาลัยโปรดสัตว์นรก ฯลฯ
    ๕ ) ประเภทตอบปัญหาทั่วไป มีหนังสือประมาณ ๕ เรื่อง เช่น ตอบปัญหาเรื่องบุญบาปและนรกสวรรค์เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีคำขวัญ คำอนุโทนา คติธรรม เพื่อลงตีพิมพ์ในหนังสืออนุสรณ์ต่างๆ ที่มีผู้ขอมา
    .
    ๑๖. สมณศักดิ์
    วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๙๗ (อายุ ๓๖ พรรษา ๑๕ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเปรียญวิปัสสนาธุระที่ “พระอุดวิชาญานเถระ”
    .
    วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๕ (อายุ ๔๔ พรรษา ๒๓) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ “พระราชสิทธิมุนี ศรีปิฏกโกศล วิมลวิปัสสนาจารย์อุดมวิชาญาณวิจิตรยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”
    .
    วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๓ (อายุ ๕๒ พรรษา ๓๑) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ “พระเทพสิทธิมุนี สมถวิถีธรรมาจารย์ วิปัสสนาญาณโสภณ ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”
    .
    วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (อายุ ๖๙ พรรษา ๔๘) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศิกดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม มีพระราชทินนามว่า “พระธรรมธีรราชมหามุนี คัมภีรญาณวิมลโสภณธรรมานุสิฐตรีปิฏกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี”
    .
    ๑๗. อวสานชีวิต
    พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ. ๙) ได้ถึงแก่มรณภาพ โดยอาการอันสงบ ในอิริยาบถนั่งเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ขณะไปทำการสอนวิปัสสนากรรมฐานที่บ้านโยมอุปัฏฐาก ในวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๑ เวลา ๑๕.๐๐ น. รวมสิริอายุได้ ๗๐ ปี ๒ เดือน ๑๕ วัน นำความเศร้าโศก แสนเสียดายอาลัยมาสู่คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนทั่วไปอย่างยิ่ง ขออำนาจบุญกุศลทั้งปวง ได้โปรดดลบันดาลให้พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) ประสบสันติสุขในสัมปรายาภพทุกประการ
    .
    ดังสุนทรโวหารที่ท่านได้นิพนธ์ในสุดท้ายแห่งชีวิตดังนี้

    เตรียมสร้างทางชอบไว้ หวังกุศล
    ตัวสุขส่งเสริม เพิ่มให้
    ก่อนแต่มฤยูดล เผด็จชีพ เทียวนา
    ตายพรากจากโลกได สถิตด้าว แดนเกษม.
    .
    ธรรมะสติปัฏฐาน4
    ที่มา http://dhamma-free.blogspot.com/2010/01/blog-post_27.html
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สวัสดียามเย็น วันพุธสุขใจ
    .
    พอมาถึงบ้าน ผมคิดถึงคำสอนของหลวงพ่อสนอง (วัดนครไทยวราราม จ.พิษณุโลก)
    .
    ผมเคยถามหลวงพ่อฯ แล้วหลวงพ่อท่านตอบมาให้ผมทราบ ก็เลยจะนำมาเล่าสู่กันฟัง
    .
    จะได้เป็นอุทาหรณ์ในการเตือนใจของท่านผู้อ่าน
    .
    ผมจะยกตัวอย่างโดยเล่าเป็นเรื่องให้ฟัง
    .
    ว่ากันต่อเลยครับ
    .
    นายหนุ่ม เหลือน้อย ได้มีเจตนาฆ่า นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง และการกระทำนั้น เป็นการฆ่านายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จนเสียชีวิต
    .
    นายหนุ่ม เหลือน้อย ต้องรับผลที่ได้กระทำลงไป 2 เรื่อง
    .
    1.ได้รับผลกรรม ทางกฎหมาย ซึ่งโทษอาจจะเป็นโทษจำคุก หรือ ประหารชีวิต
    .
    2.ผลกรรมตามกฎแห่งกรรม แบ่งได้เป็น 2 เรื่อง
    .
    2.1 กรรมที่เป็นผลจากกรรมผูกพันธ์กันมา นายหนุ่ม เหลือน้อย กับ นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง เคยผลักกันฆ่า กันมา หลายภพ หลายชาติ
    .
    2.2 กรรมที่เป็นกรรมในการฆ่าสัตว์(คน)
    .
    ผลที่นายหนุ่ม เหลือน้อย ที่ได้รับผลตามข้อที่ 1 ผมขอพูดนิดเดียวก็คือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมาย (ตำรวจ , ทนาย , อัยการ และ ผู้พิพากษา) ถึงแม้จะปฎิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามกฎหมาย แต่หากผิดหลักกฎแห่งกรรม ผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมายทุกคน ต้องไปรับผลแห่งกรรมที่ตนเองได้กระทำแน่นอน
    .
    เรามาว่ากันในข้อที่ 2 กัน
    .
    ในข้อที่ 2.1 ในกรณีที่นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ไม่อโหสิกรรมให้ ในชาติต่อไป นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จะกลับมาฆ่านายหนุ่ม เหลือน้อย และนายหนุ่ม เหลือน้อย ไม่อโหสิกรรมให้ เรื่องนี้จะวนเวียนไปไม่มีวันสิ้นสุด
    .
    ข้อที่ 2.2 เป็นจุดสำคัญที่อยากจะบอก ก็คือ ถึงแม้ว่า นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง อโหสิกรรมกับนายหนุ่ม เหลือน้อย (ที่ได้ฆ่านายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง) กรรมที่มีกันระหว้าง นายหนุ่ม เหลือน้อย กับ นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จบกันลงไป
    .
    ถึงแม้ว่า กรรมระหว่าง นายหนุ่ม เหลือน้อย กับ นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง จะจบกันไปแล้ว แต่กรรมที่นายหนุ่ม เหลือน้อย ที่ได้ฆ่า นายโน๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง ยังไม่จบ นายหนุ่ม เหลือน้อย ต้องไปรับผลกรรมที่ฆ่า นายโบ๊ตตี้ ลูกพี่โบ๊ตซัง แน่นอน และไม่ทราบว่า ผลกรรมที่ได้รับ ได้รับเป็นอย่างไร จนปัญญา ครับ
    .
    อยากจะมาเล่าให้ฟัง เพื่อเตือนสติในการใช้ชีวิต ให้ดำเนินการไปอย่างถูกตามทำนองคลองธรรม และดำเนินชีวิตตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    .
    กราบขอบพระคุณหลวงพ่อสนอง วัดนครไทยวราราม ครับ
    .
    #ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน
    #ไม่ว่ารวยล้นฟ้าเพียงใด
    #ไม่มีใครหนีกรรมพ้น
    #แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังหนีกรรมไม่พ้น
    #เพียงแค่คิดไม่ดีก็ผิดแล้วตามหลักธรรม
    .
    #หลวงพ่อสนองอตฺตทโม
    #วัดนครไทย
    วราราม
    #นายหนุ่มเหลือน้อย
    #นายโน๊ตตี้ลูกพี่โบ๊ตซัง
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โพสโดย คุยกับหม่อมกร

    เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมามีข้าราชการมาชี้แจงว่า น้ำมันไทยแพงกว่ามาเลเซียเพราะอะไร สรุป ว่า
    .
    1) ไทยแพงกว่า เพราะ ภาษี
    .
    2) ไทยแพงกว่า เพราะ น้ำมันมาเลเซียคุณภาพต่ำ
    .
    3) ไทยแพงกว่า เพราะ มาเลเซียอุดหนุนราคาน้ำมัน
    .
    ในฐานะที่ผมเป็น อดีต อนุกรรมาธิการที่ และกรรมาธิการ ที่เกี่ยวกับกฎหมายด้านพลังงาน วุฒิสภา และสนช. ผมเห็นว่า คำชี้แจงดังกล่าว ไม่ครบถ้วน และอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในสาระสำคัญ เพราะไม่ปรากฏข้อความที่ชี้แจงในประเด็น
    .
    1) การขายน้ำมันที่กลั่นในประเทศไทย ให้ใช้ราคาสมมุติว่า กลั่นในสิงคโปร์แล้วนำเข้ามา มีการบวกค่าพรีเมี่ยมให้โรงกลั่น ได้แก่ ค่าขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์มาไทย ค่าสูญเสียน้ำมันสำเร็จรูปขณะขนส่งจากสิงคโปร์มาไทย ค่าประกันภัยขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์มาไทย ทั้งที่น้ำมันที่ขายคนไทยนั้นกลั่นที่ กทม ศรีราชา และระยอง ไม่ใช่สิงคโปร์ ซึ่งเรื่องนี้ปรากฏตามรายงานสภาปฏิรูปแห่งชาติในปี 2558 ว่า เป็นกฎระเบียบที่ไม่เป็นธรรมสมควรแก้ไข จึงสงสัยว่า มีการยกเลิกราคาน้ำมันที่กลั่นในไทย แต่สมมติว่านำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์แล้ว หรือ จึงไม่กล่าวถึง
    .
    2) ผมยังพบข้อมูลว่า รายงานการประชุม กบง ที่ผ่านมา มีหน่วยราชการเสนอเรื่องให้ปรับขึ้นค่าการตลาดให้สูงขึ้นไปอีก จึงเกิดข้อสงสัยว่า เสมือนการปกป้องกำไรให้เอกชน และประชาชนเป็นผู้รับภาระ ใช่หรือไม่
    .
    3) ส่วนเรื่องที่ชี้แจงประชาชนน้ำมันมาเลเซียคุณภาพต่ำนั้นดูน่าสงสัย เพราะมีข้อมูลกรมศุลกากรว่า มาเลเซียนำเข้าน้ำมันส่วนหนึ่งจากโรงกลั่นไทยเอง แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ น้ำมันดีเซลไทยเป็นน้ำมันผสมไบโอ จึงน่าจะมีค่าความร้อนน้อยกว่า ย่อมวิ่งได้สั้นกว่า น้ำมันที่ไทยส่งออกไปมาเลเซีย เป็นดีเซลล้วนๆ จึงน่าจะมีค่าความร้อนมากกว่า ย่อมวิ่งได้ไกลกว่า ถ้าเป็นอย่างที่ผมตั้งข้อสังเกต น้ำมันที่ขายในมาเลเซียควรมีคุณภาพสูงกว่า ไม่ใช่ต่ำกว่า ใช่หรือไม่
    .
    4) อีกสาเหตุที่น้ำมันไทยแพง แต่ไม่มีการกล่าวถึงคือ การนำเบนซินไปผสมเอทานอลนั้น ไทยมีการตั้งราคาเอทานอลไว้ 21.96 บาทต่อลิตร สูงกว่าราคาตลาดโลกในบราซิลที่ประมาณ 15.05-16.63 บาทต่อลิตรเป็นอย่างมาก (เปรียบเทียบราคาก่อนภาษี ณ 26 เม.ย. 62) ในต่างประเทศเบนซินยิ่งผสมเอทานอลก็ยิ่งถูก เพราะเอทานอลมีราคาถูกเนื่องจากค่าความร้อนน้อยวิ่งได้สั้น แต่ของไทยยิ่งผสมเอทานอลก็ยิ่งแพง สุดท้ายเงินกองทุนก็ถูกละลายไปกับการชดเชยราคาเอทานอลให้กับโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อให้ราคาน้ำมันแก๊ซโซฮอลดูเหมือนราคาถูกกว่าเบนซิน
    .
    แต่ผมไม่แน่ใจเลยว่า เกษตรกร ผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกอ้อย หรือโรงกลั่นน้ำมัน ใครจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการตั้งราคาเอทานอลไทยแบบหลุดโลกนี้
    .
    5) ส่วนเรื่องมาเลเซียอุดหนุนราคาน้ำมันนั้น เป็นความจริงที่ไม่ครบถ้วน เพราะมาเลเซียไม่อุดหนุนราคาน้ำมันแบบโง่เขลา เขาจะอุดหนุนราคาเมื่อน้ำมันแพงเท่านั้น เพราะน้ำมันแพงจะทำให้ บริษัทปิโตรนาส ซึ่งเป็นบรรษัทพลังงานแห่งชาติ มีกำไรสูง ก็ส่งกำไรไปให้รัฐบาลนำมาจ่ายคืนประชาชนทุกคนเหมือนการปันผล แต่เมื่อน้ำมันราคาถูกประชาชนไม่เดือดร้อน ปิโตรนาสก็กำไรไม่มากจึงไม่ต้องแบ่งกำไรไปจ่ายปันผลให้ประชาชน นี่คือคำอธิบายผู้บิหารบริษัทปิโตรนัส (เมื่อปี 2557)
    .
    เพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ ผมจึงกำลังร่างหนังสือสอบถามกลับไปหน่วยงานผู้ให้ข้อมูลต่อสื่อ เพื่อขอให้ชี้แจงเพิ่มเติมครับ เพราะมีกฎหมายบัญญัติไว้ถึงการให้ข้อมูลของข้าราชการจะต้องถูกต้องครบถ้วน เพื่อประโยชน์ของประชาชนครับ
    .

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,443
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สนใจ หนังสือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
    ไปโหลดกันได้ครับ ตามลิงค์นี้
    .
    .
    .
    หนังสือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

    https://www.m-culture.go.th/adminli/main.php?filename=ebook_king

    .

    "ประมวลบทความเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก"

    http://www.finearts.go.th/literatureandhistory/files/224/articleroyal-r.pdf

    .

    "ประมวลองค์ความรู้ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก"

    https://www.m-culture.go.th/mculture_th60/download/pramuan_king.pdf

    .

    "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก"

    https://www.m-culture.go.th/mculture_th60/download/final-THAI.pdf

    .

    "The Royal Coronation Ceremony"

    https://www.m-culture.go.th/mculture_th60/download/final-ENG.pdf

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 99.png
      99.png
      ขนาดไฟล์:
      126.8 KB
      เปิดดู:
      170

แชร์หน้านี้

Loading...