พระพุทธองค์ตรัสบอกไว้แล้วว่า ถ้าปรารถนาสุขเช่นใดก็ต้องเข้าใจในสุขชนิดนั้นก่อน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นิพพิชฌน์55, 26 เมษายน 2016.

  1. นิพพิชฌน์55

    นิพพิชฌน์55 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2016
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +31
    กามคุณ ๕
    [๑๐๐] ดูกรอานนท์ กามคุณ ๕ นี้เป็นไฉน คือ รูปอันจะพึงรู้ด้วยจักษุอันสัตว์ปรารถนาใคร่ พอใจ เป็นที่รัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงอันจะพึงรู้โดยโสต ...กลิ่นอันจะพึงรู้ด้วยฆานะ ... รสอันจะพึงรู้ด้วยชิวหา ... โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้ด้วยกาย อันสัตว์ปรารถนา ใคร่ พอใจ เป็นที่รัก ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ดูกรอานนท์นี้แลกามคุณ ๕ สุขโสมนัสอันใดย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยกามคุณ ๕ นี้ สุขและโสมนัสนี้ เรากล่าวว่ากามสุข.
    สุขในรูปฌานและอรูปฌาน
    [๑๐๑] ดูกรอานนท์ เราไม่ยอมรับรู้ถ้อยคำของผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเสวยสุขโสมนัส มีกามสุขนี้เป็นอย่างยิ่ง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะสุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้ยังมีอยู่.
    ดูกรอานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้เป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ นี้แล อานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้ เราไม่ยอมรับรู้ถ้อยคำของผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเสวยสุขโสมนัส มีกามสุขนี้เป็นอย่างยิ่ง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะสุขอื่นที่ดียิ่งกว่า และประณีตกว่าสุขนี้ยังมีอยู่.
    ดูกรอานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้เป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุทุติฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ นี้แล อานนท์ สุขอื่นที่ดี ยิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้ เราไม่ยอมรับรู้ถ้อยคำของผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเสวยสุขโสมนัส มีกามสุขนี้เป็นอย่างยิ่ง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะสุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้ยังมีอยู่.
    ดูกรอานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้เป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยมีอุเบกขา มีสติมีสัมปชัญญะและเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่ พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข นี้แลอานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้ เราไม่ยอมรับรู้ถ้อยคำของผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเสวยสุข โสมนัส มีกามสุขนี้เป็นอย่างยิ่ง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะสุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้ ยังมีอยู่.
    ดูกรอานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้เป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ นี้แล อานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้ เราไม่ยอมรับรู้ถ้อยคำของผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเสวยสุขโสมนัสมีกามสุขนี้เป็นอย่างยิ่ง ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะสุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้ยังมีอยู่.
    ดูกรอานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้เป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุอากาสานัญจายตนฌานด้วย มนสิการว่า อากาศไม่มีที่สุด เพราะล่วงรูปสัญญาได้โดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญาได้ เพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญาอยู่ นี้แลอานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้.
    ดูกรอานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้เป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุวิญญาณัญจายตนฌานด้วย มนสิการว่า วิญญาณไม่มีที่สุด เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะได้โดยประการทั้งปวงอยู่ นี้แล อานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้.
    ดูกรอานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้เป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุอากิญจัญญายตนฌานด้วย มนสิการว่า หน่อยหนึ่งไม่มี เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะได้โดยประการทั้งปวงอยู่ นี้แล อานนท์ สุขอื่นอันดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้.
    ดูกรอานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้เป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะได้โดยประการทั้งปวงอยู่ นี้แล อานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้.
    [๑๐๒] ดูกรอานนท์ เราไม่ยอมรับรู้ถ้อยคำของผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเสวยสุขโสมนัส มีกามสุขนี้เป็นอย่างยิ่ง ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรอานนท์ เพราะสุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้ ยังมีอยู่.
    ดูกรอานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้เป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะได้โดยประการทั้งปวงอยู่ นี้แล อานนท์ สุขอื่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าสุขนี้.
    ดูกรอานนท์ ข้อที่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมตรัสสัญญาเวทยิตนิโรธไว้แล้ว แต่บัญญัติลงในสุข ข้อนี้นั้นจะเป็นไฉนเล่า ข้อนี้นั้นเป็นอย่างไรเล่าดังนี้ เป็นฐานะที่จะมิได้ ดูกรอานนท์ อัญญเดียรถีย์ปริพาชกผู้มีวาทะอย่างนี้ ท่านควรจะกล่าวตอบว่า ดูกรอาวุโส พระผู้มีพระภาคจะทรงหมายสุขเวทนาอย่างเดียว แล้วบัญญัติไว้ในสุขหามิได้ แต่บุคคลได้สุขในที่ใดๆ พระตถาคตย่อมบัญญัติที่นั้นๆ ไว้ในสุข.
    พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ชื่นชมยินดีพระภาษิตของ
    พระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.
    จบ พหุเวทนิยสูตร ที่ ๙
     
  2. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    กามคุณ5= กามสุข5

    คุณจากผัสสะของอายตนะ5 สุขที่เกิดจากผัสสะของอายตนะ5..ถ้าไม่มี วิญญาณมาร่วมรับรู้
    มันคือ..ธรรมมารมณ์
     
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมบรรลุปฐมญาณ...มี วิตก วิจาร ปีติ สุข อันเกิดแต่วิเวก...อยู่

    ขยายควม..ขยายควม ดังนี้

    สงัดจากกาม..สงัดจากกามคุณ5 สงัดจากผัสสะอายตนะทั้ง5...คือนั่งตัวตรง ตั้งสติรู้ที่ลมเข้าออก เอาไว้..แต่ยังมีเวทนาอยู่..รู้เวทนาคือรู้วิตกอยู่ (สติแยกมารู้ว่ามีวิตกอยู่ )รู้ว่าความคิดมีอยู่ คือรู้วิจารอยู่
    สงัดจากอกุศลธรรม.คือ สงัดจากที่รู้ความคิดรู้วิจารอยู่ แยกสติออกมาจากความคิด..รู้อยู่กับสติมั่น..

    ตั้งสติมั่นมารู้ลมเข้าออก กำกับพุทโธอยู่..แต่เวทนามีก็รู้(วิตกมีอยู่) ความคิดมีอยู่ก็รู้(วิจารมีอยู่) ผลจากการแยกเวทนากับความคิดออกไปเป็นสิ่งที่ถูกสติรู้ คือ เรียกสภาวะแยกออกไปห่างนี้ว่า สงัดจาก....อกุศลธรรมเกิดความสงบวิเวก..วิเวกคือแยกสติรู้ออกมาได้มั่นคงแล้ว สติอยู่กับตัวเองตั้งอยู่ ก็เกิดปีติ สุข ก็รู้อยู่ ปีติ สุขที่ตัวสติรู้ หลังจาก สงัดจาก อกุศลธรรมคือ เวทนากายและความคิด....สงัดแปลว่า แค่แยกออกจากกันมา แค่เอาสติมากำกับที่คำภาวนาพุทโธกำกับกับลมหายใจเข้าออกไ ด้..แปลว่า สงัดจาก เวทนาและความคิด ขั้นแรก...ตอนที่สติ รู้ครบ ทั้ง วิตก วิจาร ปีติ สุข แยกสติออกมากำกับที่คำภาวนา ได้ บางคนเรียกสติตอนนี้ ว่า กำลังเข้าหาความเป็นเอกคตารมณ์...อยู่...ก็ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2016
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    แล้ว อายตนะใจ ตัวที่6..อยู่ ณ. หนแห่งใด..?..ถ้าใจไม่มีจิตอวิชา ไม่มีจิตวิญญาณร่วมปรุง....กามคุณ5 ก็จะยังเป็นกามคุณ5

    แต่ถ้าใจยังมีจิตวิญญาณจิตอวิชชาร่วมปรุง ก็จะไม่เป็นกามคุณ5 ไม่เป็นกามสุข5
     
  5. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    บรรลุทุติยญาณ..เพราะวิตก วิจาร สงบไป...เพราะเวทนา ความคิด ..สงบไป(ใช้คำว่าสงบลงไป) คือ แปลว่า เวทนากับความคิดมันก็ยังมีอยู่ของมัน คำว่าสงบไปแปลว่า เวทนาและความคิดไม่ มาเป็นเหตุปัจจัย ก่อกวนสติรู้ได้อีก...สงบไปเหมือนไม่มีเวทนาและความคิดอยู่(สภาวะ)

    สภาวะนี้เรียกเกิดสมาธิ ขึ้นมา ผลของความสงบที่เกิดจากสมาธินี้ พ้นจากเวทนาและความคิด แบบนี้ ก็ยังมีปีติเกิด (รู้อยู่) มีความสงบสบาย(สุข) เกิดอยู่ รู้อยู่..สติที่ส.บมากขึ้นก็คือ มันกำลังเข้าถึงความเป็นเอคกคตารมณ์มากขึ้น นั่นเอง เพราะ วิตกวิจาร ..สงบลงไป ไม่มีมาให้รับรู้ รวมความเอา คำภาวนาพุทธโธ หายไปด้วย...เหลือสติรู้แต่ลมเข้าออก แม้จมูกหรือร่างกาย ก็ไม่เหลือ ...มีแต่ลมเย็นๆ วาบไปวาบมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2016
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    บรรลุตติยญาณ....เพราะปีติสิ้นไป สิ้นแปลว่า มันเกิดปีติ มาแล้วคือ รู้แล้วในสภาวะการพ้นจาก เวทนาและความคิดนั้น..เมื่อเวทนาและความคิดไม่มี ไม่รับรู้ ผลที่เป็นปีติก็หายตามไปด้วย ผลแห่งการรู้สภาวะว่าพ้น มันมีครั้งเดียวที่พ้น เมื่อรู้ว่าพ้นแล้ว(ปีติ) มันก็สิ้นไป หายไปตาม ที่ สติไม่รับรู้ มารู้ผลของการพ้นแล้วจากเวทนาและความคิดคือ สุข...สงบสุข สบาย..สติอยู่กับความสุข..สติก็กำลังเข้าสู่ความเป็นเอคกคตารมณ์ อยู่..(กำลังดำเนินไปอยู่) อยู่กับสุข ที่เรียกว่า สงบสบายนี้ ว่า อยู่กับอุเบกขา

    คำว่า ปีติสิ้นไป หมดเลย ต้อง รวมเอา ลมหายใจหาย ไปด้วย พอรู้ว่าสภาวะพ้นจากลมหายใจ มันจะเข้าสู่สภาวะไร้กรอบ ไร้ตัวตน ...ว่างไปหมด ปีติเกิดครั้งสุดท้าย..ในสมาธิ ก็ เป็นอันเข้าสู่ สภาวะสุขที่ไร้ตัวตน ไร้ปีติมากวนได้อีก...คืออุเบกขา สุข สบาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2016
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    บรรลุจตุตถญาณคือ..เมื่อสติอยู่ในอุเบกขา สุข มากๆ...อุเบกขาทำให้สติ บริสุทธิ์ อยู่....อันนี้ ผมรู้แต่สุข นะ....ทำให้สติบริสุทธิ์อยู่นี่...ส่วนตัวไม่ น่าจะบริสุทธิ์ได้เลยนะ....เพราะ ก็แค่ จิตรู้มันเป็นสมาธิ สงบสบาย เท่านั้น รู้สงบ รู้สบาย รู้ไร้ร่างกาย รู้ความว่างเปล่า ...แต่สติตนเองบริสุทธิ์หรือไม่...ผมว่า ยังไม่บริสุทธิ์ นะครับ
     
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    1.ความว่างที่รู้ ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด คืออากาศ เหรอ...บรรลุอากายตนะ
    2.สิ่งที่เข้าไปรู้ว่าว่าง กว้าง ไม่มีขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุดคือวิญญาณ...บรรลุวิญญายตนะ
    3.และแสดงว่า สิ่งทั้งหลายที่ว่าว่างๆนั้น กว้างๆนั้น ไม่มีขอบเขตนั้น ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น..ล้วนรวมลงที่วิญญาณ รู้..ตัวเดียว นั่นเอง (มันรู้หมดฺ...แปลว่าที่รู้ทั้งหมดเป็นของที่มีอยู่ รู้อยู่ในวิญญาณ)...บรรลุอากิญยตนะ
    4.เมื่อรู้ว่ารู้ทั้งหมดที่ว่าง ที่กว้าง ที่ไร้ขอบเขต ที่ไม่รู้ไม่เห็นก็มีได้ทั้งหมด คือไม่ต้องไปควานหาว่าในความว่างนั้นมีอะไรบ้าง มันเป็นรู้ของวิญญาณรู้ แล้ววิญญาณรู้ได้อย่างไรแบบนี้ ที่มันยังไม่รู้นั้นต้อง ไปตามควานหามาเพื่อรู้ กับมันด้วยหรือไม่..มาพิจารณาละ....แบบนี้บรรลุเนวะสัญญานาสัญญายตนะ

    ที่ว่ารู้บ้างไม่รู้บ้าง ..ในเนวสัญญานาสัญญา..คือ คือรู้ว่าง แต่ไม่รู้ว่างถึงไหน รู้ว่ากว้างแต่ไม่รู้ว่ากว้างถึงไหน รู้ว่าไม่มีที่สุดแต่ไม่รู้ขอบเขตถึงไหน..รู้ว่าว่างไม่มีอะไร แต่ไมรู้ว่าในความว่างไม่มีอะไรจะมีสิ่งใดได้บ้าง
    อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2016
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    5.บรรลุสัญญาเวทนิโรธ....เมื่อ รู้ว่า ความว่างทั้งหมด ที่ไร้ขอบเขตนั้น เป็นรู้ที่มีในวิญญาณ..ก็จะเกิดปัญญาญาณ..ในตนขึ้นมา..ว่า แล้ววิญญาณที่มันรู้ มันมีรู้พวกนี้ รู้แบบนี้ มาได้อย่างไร....ทีนี้..ปัญญาใน..สิ่งต่างๆที่จะเอามา นำเราออกจาก ..ความรู้ที่มีในวิญญาณ..เพราะเห็นความจริงของวิญญาณ เห็นโทษของการรู้ที่มีในวิญญาณ ก็แล้วแต่จะเรียกชื่อมันไปว่า มันคืออวิชชา มันคือความยึดมั่นถือมั่น มันคือกิเลสตัณหา มันคือทุกข์โทมนัสโสกะปริเทวะ มันคืออาสวะ มันคือสัญญาที่ให้โทษ...ก็ว่ากันไป..นะ

    ช่วงนี้ก็เรียนรู้ ปรมัตถ์ธรรมล้วนๆ..คือธรรมที่เป็นที่สุดแห่งธรรม.แปลว่า
    ธรรมที่เป็นที่สุดแห่งกิเลสตัณหา
    ธรรมที่เป็นที่สุดแห่งความอยาก
    ธรรมอันเป็นที่สุดแห่งความคิด
    ธรรมอันเป็นที่สุดแห่งการเข้าไปรู้.
    ธรรมอันเปฌนที่สุดแห่งความจำ
    ธรรมที่เป็นที่สุดแห่งการไม่ต้องไปรู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2016
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ท่านใดมี การแปลความหมายได้เลิศ ได้ดีกว่าที่ผมแปลความไว้นี้ล่ะก็..เชิญร่วมแปลเลยครับ

    ผมแปลตามที่ผมเข้าใจมานะครับ

    ดังนั้นความบริสุทธิ์ของสติตอนบรรลุจตุตถญาณ..มันจึง ไม่ไช่จิตประภัสสรครับ
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ขั้นตอน ตั้งแต่ ปฐมญาณ ไปทุติยญาณ ไปตติยญาณ ไปจตุตถญาณ...จนเหลือสติรู้ในสุขจากอุเบกขา...ผมเรียก...รูปญาณ

    ขั้นตอน ตั้งแต่ อากาสายตนะ ไปวิญญายตนะ ไปอากิญยตนะ ไปเนวสัญญานาสัญญายตนะ..ไปจนบรรลุสัญญาเวทนิโรธ...ผมเรียก อรูปญาณครับ
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ถ้าคนที่เคยนั่งสมาธิมาจริงจะรู้ดีครับ..ว่า ปัญหาของ สติรู้ ที่เคยนั่งสมาธิมาเมื่อเข้าถึง เอคกคตารมณ์ ขั้นจตุตถญาณนั้น..เมื่อสติอยู่กับความสุข สงบ สบาย อยู่กับอุเบกขาธรรมนั้น...มันจะไปต่อ เพื่อให้เป็น วิปัสสนาได้อย่างไร..จะนั่งสมาธิไปพิจารณาอากาศต่อ หรือจะถอนญาณออกมาที่ญาณสองเพื่อรับรู้เวทนาและความคิด หรือจะลุกขึ้นไปเดินจงกรม..ดูกาย

    แล้ว..อารมณ์อุเบกขาที่สติเคยอยู่ ในสมาธิ มันจะยังตามมาวิปัสสนาด้วยมั้ย...ล่ะเนี่ย
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ปัญหาคือ..จะพิจารณาหรือวิปัสสนาอย่างไร ถึงจะเรียกว่า...เข้าสู่ อรูปญาณ...นั่นเอง

    นิวรณ์รู้มั้ย..ถ้ารู้ ก้อเอามาบอกคนอื่น มั่งดิ..

    อ้อ..นิวรณ์บอก ว่า พิจารณากำหนดรู้เวทนาเกิดดับ อยู่เนืองๆ จนสงบได้อยู่ในอุเบกขา จากการดูเวทนาเกิดดับอยู่ในอุเบกขาเนืองๆจนเป็นวิหารธรรม..แล้วสติรู้(จิต)ก็ไม่ห่างจากปฐมญาณ.แบบเนืองๆ..เดี๋ยวก็ถึงนิพพานเองแหล่ะ...จำได้ๆ ว่า นิวรณ์ ว่าเอาไว้อย่างนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2016
  14. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ที่ต้องให้ไปถามนิวรณ์....เรื่องวิญญาณ....ก็เพราะนิวรณ์อ้างว่า ไม่ได้เอาตาทิพย์มาแอบส่องชาวบ้านว่าเขามีอะไรกันหรอก...แต่แอบส่องวิญญาณชาวบ้านมันเกิดดับ...(นิวรณ์เขาบอกมา)

    อันนี้จะ เชื่อได้หรือไม่...นิวรณ์จะนำพาคน ไปนิพะานได้จริงหรือไม่

    ก็รอให้นิวรณ์ หายเพี้ยน..ได้ก่อน.ล่ะ..
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ขั้นตอนตั้งแต่
    1.ปฐมญาณ
    2.ทุติยญาณ
    3.ตติยญาณ
    4.จตุตถญาณ
    ......รูปญาณ
    5.อากาสายตนะ
    6.วิญญายตนะ
    7.อากิญยตนะ
    8.เนวสัญญานาสัญญายตนะ
    .....อรูปญาณ

    ทั้งหมด 8 ข้อคือ..รู้สุขเพราะมีเหตุปัจจัยดับลดลง..มันคือปีติในแต่ละ ที่ดับเหตุปัจจัยได้ คือพ้นแล้วจากเหตุปัจจัยนั้น..เรียกสุข..จากกามภพ...สุขจากอามิส

    จนมาข้อสุดท้าย
    9.ล่วงสัญญาเวทนิโรธ..คือดับเหตุปัจจัยได้หมด เลยเป็นสุขที่ได้พ้นจากเหตุปัจจัยทั้งหลายทั้งปวง..นิพพานัง ปรมัง สุขขัง..นั่นเอง..สุขจากไร้อามิส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2016
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    แต่ปัญหาก็ยังอยู่ ที่เดิม..คือ ขั้นที่ต่อจาก รูปญาณ...ไปสู่อรูปญาณ

    ว่า..ท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย...เขาทำกันเช่นไร

    ขอความกระจ่าง ด้วยเถอะ....อิอิ
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    4 ขั้นแรก ของรูปญาณ ผลของปีติเกิดในรูปของ ความสุข ความสงบ ความสบาย
    4 ขั้นอรูปญาณ ผลของปีติเกิด ในรูปของ ปัญญาญาณ

    แต่สำหรับผม ผมรู้ ละเอียดด้วยว่า ถ้าฝึกสติปัฏฐานสี่ ดูกายเวทนาจิต..สามขั้นแรก ปีติเกิดเป็นได้ทั้งความสงบความสุขความสงบและเกิดปัญญา..ด้วย

    ปล่อยวางกาย ปล่อยวางเวทนากาย ปล่อยวางความคิดและใจ...นี่สามขั้นของผม คือ รูปญาณ...
     
  18. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    ตัวผมเอง หลังจากนั่งสมาธิถึง สติรู้ในอุเบกขาสุข สงบ สว่าง สบาย กว้าง ไร้ขอบเขต..ก็ ครั้งเดียว...รู้แล้วว่ามีสภาวะแบบนี้ ตั้งแต่ ประถม

    จนโต เข้าวิทยาลัย จึง มาเจอกับ เวปพลังจิต เจอสันโดษ พาเข้าถึง ความว่าง แบบ ดึงจิตเราไปเลย..แต่ก็รู้ว่า มันไม่จบ เพราะปัญญาในตนยังไม่เกิด

    จนมาพบกับท่านขุนพล ฝึกแยกจิตดูกาย...จนเกิดปัญญา วางกาย วางเวทนากายวางใจได้..(วางตัวที่คิด)...เกิดปัญญารู้พระไตรลักษณ์...(ฝึกแยกจิตดูกาย ฝึกสติปัฏฐาน)

    แต่.จิตตนเองค้างอยู่นอกรอบโลก..ไม่ปนโลก ไม่เอาโลก...ค้างอยู่นาน อาละวาดหาที่จบ หาที่ลง...จนได้มาเจอกัน..พุทธหนึ่ง สุริยะ ฉัตรสุบรรณกุล...ท่านจึงเมตตาชี้.ทาง....กลับมาเป็นมนุษย์ อีกครั้งหนึ่ง...ใช้เวลานานหลายปี เหมือนกันครับ
    ...

    ขอบคุณ กระทู้นี้ครับ...ที่ได้มีที่ว่าง ให้ผมโม้...จนจบ
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    สรุปอ่ะ...กามคุณ5 ก็คือกามคุณ5....ตราบใดที่ใจ ไม่มีจิตอวิชชา ไม่มีจิตวิญญาณมาร่วมรับรู้

    ใจก็จะปรุงกามคุณจากผัสสะทั้ง5..ออกมาเป็น กามสุข5....ก็กายใจมันอยู่ในกามภพ ยังไม่ตาย เลยเรียกผัสสะที่ได้จากอายตนะ5 ว่ากามคุณ5 เรียกผลที่ได้จาก อายตนะที่6 ใจปรุงออกมาว่า กามสุข5

    (อันนี้ คือ ผู้ที่ชำระอวิชชาได้แล้ว นะครับ...ถึงจะเข้าใจ)
     
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,084
    ค่าพลัง:
    +3,025
    อ้อ...ยังไม่จบๆๆ

    พระพุทธองค์ ท่านสอน ว่า อนิจัง ทุกขัง อนัตตา....สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ พอแหวกสิ่งไม่เที่ยงทั้งหลายที่บังตาออก ทำไม จึงเข้าไปเห็น สุข ที่มีอยู่ลึกที่สุดของสิ่งไม่เที่ยง ทั้งหลายได้ล่ะ...ความไม่แน่นอน ก็ยังมีความแน่นอนอยู่

    ทีนี้ ผมจะกล่าว เมื่อผมได้เข้าไปเห็นสุข จากการค้นหาสุขในสิ่งที่ไม่เที่ยงทั้งหลาย เจอ
    ผมมาพูดอีก ด้านว่า...อนิจจัง สุขขัง อนัตตา....จงหาความสุขจากสิ่งที่ไม่เที่ยง ให้เจอเถอะ

    อนิจจัง สุขขัง อนัตตา.....นะ....นิวรณ์..(วะฮ่าฮ่า)
     

แชร์หน้านี้

Loading...