พระบิณฑบาตแล้วเอากับข้าวไปแจกชาวบ้าน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 19 พฤศจิกายน 2013.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    ถาม : พระที่บิณฑบาต ลูกศิษย์ไม่ได้มาช่วยขน ก็เลยเอากับข้าวไปแจกชาวบ้าน ?

    ตอบ : แล้วจะบิณฑบาตไปเยอะแยะขนาดนั้นทำไม ?

    ถาม : เขาบอกว่าแจกได้

    ตอบ : โง่เกินไป..ก็ในเมื่อรู้ว่าบิณฑบาตขนไม่ไหว แล้วจะเอาไปขนาดนั้นทำไม ?

    ถาม : ถ้าเอาแจกติดหนี้สงฆ์ไหมครับ ?

    ตอบ : เต็มๆ เลย ทั้งคนกินคนให้นั่นแหละ อาหารบิณฑบาตเราต้องคิดเสมอว่าเป็นสังฆทาน

    พระพุทธเจ้า ท่านอนุญาตให้เลี้ยงพ่อแม่เท่านั้น ถ้าจะให้คนอื่นต่อ ต้องเป็นของที่กินเหลือแล้ว เพราะท่านเกรงว่าถ้าทำในลักษณะนั้น อันดับแรกก็คือ ไปประจบชาวบ้านเขา อันดับที่สองก็คือ คนที่เขาถวายจะเสื่อมศรัทธา เพราะว่าไม่ได้ฉลองศรัทธาของเขา เอาไปให้คนอื่น แล้วถ้าคนเสื่อมศรัทธามากๆ เข้า ศาสนาก็จะอยู่ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น..ที่โยมถามว่าพระบิณฑบาตจนกระทั่งเอาไปไม่ไหว ลูกศิษย์ที่จะช่วยก็ไม่มี ก็เอาไปไล่แจกคนอื่นเขา ทำได้ไหม ? ขอยืนยันว่าไม่ได้ แล้วไม่ต้องอ้างนะว่าเอาไปไม่ไหว ก็เสือกทะลึ่งบิณฑบาตเสียเยอะอย่างนั้นทำไม ?

    อาตมาสมัยอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์เพื่อดูแล หลวงปู่มหาอำพัน ที่ป่วย เดินไม่ถึงเสาไฟต้องกลับวัด เพราะล้นบาตร ของตัวเองอย่างเก่งก็ถุงหนึ่งตอนเช้า ถุงหนึ่งตอนเพล จบแล้ว ส่วนที่เหลือก็เอาไปที่ศาลาร่มเย็น ซึ่งเป็นส่วนกลาง ให้โยมเขาประเคนพระท่านอื่นไป

    เรื่องแบบนี้ถ้าถามว่าพระทำอย่างนั้นมีความผิดไหม ? ความผิดของพระผิดเป็นปกติอยู่แล้ว แต่โยมที่เอาไปจะซวย เพราะเป็นหนี้สงฆ์ไม่รู้ตัว เพราะเขาถวายพระ แล้วพระไม่ได้มีสิทธิ์ให้คนอื่นส่งเดช พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตแค่เลี้ยงพ่อกับแม่เท่านั้น ในเรื่องของการที่พระเลี้ยงพ่อแม่ ท่านก็บอกว่าสงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ พอสมควร ก็คือพอที่ท่านจะดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ว่าปัจจุบันนี้อย่าง เณรคำ สร้างบ้านให้พ่อแม่เป็นร้อยล้านบาท นั่นจะอ้างว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตก็ไม่ใช่ พระองค์ท่านให้สงเคราะห์ตามสมควร

    อย่างในธรรมบทพระท่านบิณฑบาตมาก็เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ แล้วตัวเองก็ไม่มีฉัน ก็ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ได้ผ้ามา เอามาเย็บมาย้อมดีแล้วก็ให้พ่อแม่นุ่ง ตัวเองก็เอาผ้าเก่าขาดของพ่อของแม่มาเย็บมาย้อมมานุ่งใหม่ ไม่รู้จะให้พ่อแม่อยู่ที่ไหน ก็ไปสร้างกระต๊อบในป่าให้พ่อแม่อยู่ พระพุทธเจ้าบอกถ้าลักษณะอย่างนี้ให้สงเคราะห์ได้ ไม่ใช่ประเภทซื้อรถเบนซ์ให้พ่อคันหนึ่ง ให้แม่คันหนึ่ง ให้พี่คันหนึ่ง ให้น้องคันหนึ่ง สร้างบ้านให้อีกคนละหลัง อย่างนั้นก็เจ๊งแล้ว

    ต้องบอกว่าส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้ พระเณรของเราไม่ได้ใส่ใจจะศึกษาจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ แล้วพระอุปัชฌาย์อาจารย์สมัยปัจจุบัน ก็ไม่ได้สนใจที่จะอบรมสัทธิวิหาริกของตน ประเภทบวชแล้วทิ้ง ที่เขาเรียกว่า อุปัชฌาย์เป็ด ไข่แล้วทิ้ง ไม่รู้จักฟัก ต้องบอกว่าปัจจุบันนี้อุปัชฌาย์ไก่ที่ฟักไข่เป็นมีน้อย ในเมื่อเป็นอย่างนี้ อะไรที่ตนคิดว่าสมควร ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องผิดพระวินัยก็ทำ จะโทษท่านหรือ ? ท่านก็อาจจะบอกว่าไม่รู้ แล้วจะไปโทษพระอุปัชฌาย์ เกิดพระอุปัชฌาย์บอกว่าผมก็ไม่รู้ด้วยก็เจ๊งเลย อาจารย์ไม่รู้ ลูกศิษย์ไม่รู้ แล้วคนที่รับถ่ายทอดรุ่นถัดๆ ไป จะมีใครรู้บ้าง ? เรื่องพวกนี้จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังให้ดี

    อาตมาปากเปียกปากแฉะกับพระกับเณรทุกเช้าทุกเย็นหลังทำวัตรค่ำ บางทีก็รู้สึกเบื่อตัวเองเหมือนกัน แต่ก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำแล้วเกิดเขาเข้าใจผิด ไปทำผิดทำพลาดอีก ตัวเองก็จะเกิดโทษด้วย เพราะว่าเป็นครูบาอาจารย์เขาแล้วไม่รู้จักอบรมสั่งสอน


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3897&page=4



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2013
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...