พระบฏ พุทธศิลป์บนผืนผ้า

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย MBNY, 14 พฤศจิกายน 2005.

  1. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    'พระบฏ' พุทธศิลป์บนผืนผ้า

    [​IMG]



    พระบฏ คือผืนผ้าเขียนรูปพระพุทธเจ้าหรือเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เช่นพระพุทธประวัติหรือชาดก คำว่า "บฏ" มีรากศัพท์ในภาษาบาลีว่า ปฏ (อ่านว่า ปะ - ตะ) หมายถึง ผ้าทอ ผืนผ้า

    การประดับอาคารศาสนสถานด้วยผ้าเขียนภาพต่างๆ นั้น เป็นคตินิยมเนื่องในพุทธศาสนามหายานจากประเทศอินเดีย และได้ส่งอิทธิพลไปยังดินแดนต่างๆ เช่นจีนและญี่ปุ่น ดังพบหลักฐานการเขียนภาพบนผืนผ้าและนำไปประดับตามศาสนสถานตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ (สมัยราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง) ส่วนใหญ่เป็นภาพพระพุทธเจ้าศรีศากยมุนี หรือพระโพธิสัตว์ แวดล้อมด้วยพระสาวก (มาลินี คัมภีรญาณนนท์ ๒๕๓๒)

    ในจารึกสุโขทัย หลักที่ ๑๐๖ (จารึกวัดช้างล้อม) กล่าวถึงพนมไสดำ ผู้เลื่อมใสในพุทธศาสนา ได้สร้างถาวรวัตถุต่างๆ ไว้เป็นอันมาก และในปีพุทธศักราช ๑๘๒๗ "...จึงมาตั้งกระทำหอพระปีฎกธรรมสังวร ใจบูชาพระอภิธรรมกับด้วยพระบดจีนมาไว้ ได้ปลูกทั้งพระศรีม(หาโ)พธิ อันเป็นจอมบุญจอมศรียอ...พระบดอันหนึ่ง ด้วยสูงได้ ๑๔ ศอกกระทำให้บุญไปแก่สมเด็จมหาธรรมราชา กระทำพระหินอันหนึ่ง ให้บุญไปแก่มหาเทวี..." (สำนักนายกรัฐมนตรี ๒๕๑๓)


    [​IMG]


    ดังนั้น คติการสร้างพระบฏในสมัยสุโขทัย จึงนิยมทำขึ้นเพื่อการอุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
    ในจารึกหลักเดียวกันนี้ยังกล่าวถึง "พระบฏจีน" ซึ่งอาจจะเป็นพระบฏที่เขียนขึ้นเนื่องในคติมหายานตามความนิยมของจีน หรือไม่เช่นนั้น ก็อาจหมายความว่าการเขียนภาพบนผ้านั้น ทำตามแบบอย่างของจีน จึงเรียกว่าพระบฏจีน
    ในตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช วรรณกรรมที่สำคัญในสมัยอยุธยา (ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ - กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓) ก็ได้กล่าวถึงพระบฏไว้หลายตอนด้วยกัน เช่น

    "...ครั้งนั้น ยังมีผขาวอริยพงษ์ อยู่เมืองหงษาวดีกับคน ๑๐๐ หนึ่ง พาพระบตไปถวายพระบาทในเมืองลงกา ต้องลมร้ายสำเภาแตกซัดขึ้นที่ปากพนัง พระบตขึ้นที่ปากพนัง ชาวปากน้ำพาขึ้นมาถวาย สั่งให้เอาพระบตกางไว้ที่ท้องพระโรง แลผขาวอนทพงษ์กับคน ๑๐ คนซัดขึ้นปากพูนเดินตามริมชเล มาถึงปากน้ำ พระญาน้อยชาวปากน้ำพาตัวมาเฝ้า ผขาวเห็นพระบต ผขาวก็ร้องไห้ พระญาก็ถามผขาวๆ ก็เล่าความแต่ต้นแรกมานั้น แลพระญาก็ให้แต่งสำเภาให้ผขาวไปเมืองหงษาวดี..." (กรมศิลปากร ๒๕๑๗)
    พระบฏที่นับว่าเก่าแก่ที่สุดที่พบในประเทศไทย ได้มาการขุดกรุพระเจดีย์ วัดดอกเงิน อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ โดยกรมศิลปากร ในโครงการสำรวจทางโบราณคดีเหนือเขื่อนภูมิพล เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ พระบฎผืนนี้มีขนาดใหญ่มาก คือกว้าง ๑.๘ เมตร และยาวถึง ๓.๔ เมตร เป็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ แวดล้อมด้วยเหล่าทวยเทพ สภาพเมื่อแรกพบนั้นชำรุด มีรอยขาดผ่ากลาง ซึ่งเป็นลักษณะการชำรุดก่อนที่จะนำไปบรรจุไว้ในหม้อดิน จึงสันนิษฐานว่าพระบฏนี้มีอายุเก่ากว่าพระเจดีย์ หรือมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒
    ในสมัยรัตนโกสินทร์ วัตถุประสงค์การสร้างพระบฏยิ่งหลากหลายออกไป กล่าวคือมีทั้งที่ทำขึ้นเพื่อสืบทอดพระศาสนา เพื่อเป็นพุทธบูชา เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ และเพื่อเป็นอานิสงส์แก่ตนเองและครอบครัว เมื่อวัตถุประสงค์หลากหลาย จึงทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของพระบฏไปด้วย ทั้งในด้านเรื่องราว วัสดุ และขนาด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • phrabot_01.jpg
      phrabot_01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.2 KB
      เปิดดู:
      2,557
    • phrabot_02.jpg
      phrabot_02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30 KB
      เปิดดู:
      2,470
    • phrabot_03.jpg
      phrabot_03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.5 KB
      เปิดดู:
      2,395
    • phrabot_07.jpg
      phrabot_07.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.1 KB
      เปิดดู:
      2,408
    • phrabot_08.jpg
      phrabot_08.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.8 KB
      เปิดดู:
      2,669
    • phrabot_09.jpg
      phrabot_09.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.2 KB
      เปิดดู:
      2,528
    • phrabot_10.jpg
      phrabot_10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.2 KB
      เปิดดู:
      393
    • phrabot_11.jpg
      phrabot_11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.1 KB
      เปิดดู:
      5,925
    • phrabot_12.jpg
      phrabot_12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.4 KB
      เปิดดู:
      3,263
    • phrabot_13.jpg
      phrabot_13.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.3 KB
      เปิดดู:
      2,366
    • phrabot_14.jpg
      phrabot_14.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.3 KB
      เปิดดู:
      4,329
  2. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>พระบฏในสมัยรัชกาลที่ ๕


    [​IMG]







    ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ คือตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๔๖ เป็นต้นมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีทำ จากการเขียนภาพลงบนผืนผ้าทีละผืน มาเป็นการเขียนภาพเป็นแบบไว้ แล้วส่งไปถ่ายบล็อกมาพิมพ์ลงบนกระดาษ ทำให้ผลิตได้เร็วขึ้นและครั้งละมากๆ พระบฏในยุคนี้จึงมีลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิม แต่ยังคงเรียกว่า "พระบฏ" เช่นเดิม สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเล่าถึงการทำพระบฏในลักษณะเช่นนี้ว่า
    "...ในกาลครั้งหนึ่ง กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ ทรงพระดำริทำพระบฏเล็กๆ ขาย ให้พระวรรณวาดวิจิตร (ทอง) เขียนตัวอย่างเป็นปางมารประจญ แล้วส่งออกไปตีพิมพ์ที่เมืองนอก ครั้นได้เข้ามาก็ส่งไปจำหน่ายตามร้าน เป็นที่ต้องตาต้องใจคนเป็นอันมาก ขายดีเล่าลือจนทราบถึงพระกรรณ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว - ผู้เขียน) ตรัสถามถึงลักษณะพระบฏนั้น ฉันจึ่งไปซื้อมาถวายแผ่นหนึ่งก็พอพระราชหฤทัย
    "ต่อมากรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจเห็นว่าขายดีมีกำไรมาก จึ่งทรงจัดให้ช่างเขียนขึ้นหลายแบบ ส่งออกไปให้ทำเข้ามาอีก แล้วคนอื่นก็สั่งทำเข้ามาขายด้วย ต่างคิดค้นหาแบบเก่าใหม่ ที่หวังว่าคนจะชอบ ส่งไปเป็นตัวอย่าง เป็นการแย่งขายแย่งประโยชน์กันตามเคย พระบฏต่างๆ จึงมีทอยๆ กันเข้ามามาก..." (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๐๙: ๖)


    นอกจากนั้นแล้ว ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังมีหลักฐานการสร้างพระบฏอีกชุดหนึ่ง เป็นพระบฏหลวง ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าโปรดฯ ให้สร้างถวายไปตามวัดต่างๆ ๑๘ วัด พระบฏชุดนี้ก็มีลักษณะแตกต่างไปจากพระบฏที่เคยมีมา เพราะเป็นแผ่นไม้ผืนผ้า กว้าง ๒ ศอก สูง ๖ ศอกก็มี กว้าง ๒ ศอกคืบ สูง ๔ ศอกก็มี (ประมาณ ๑ x ๓ เมตร และ ๑.๒๕ x ๒ เมตร) แบ่งเป็นสองตอน ตอนบนเขียนภาพพระพุทธรูปปางต่างๆ หรือพระเจดีย์ ส่วนตอนล่างเป็นภาพชาดก ซึ่งกำหนดให้ช่างไปถ่ายแบบหรือคัดลอก มาจากภาพเขียนฝีมือเยี่ยมตามวัดต่างๆ เช่น พระพุทธประวัติในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เนมิราชชาดก มโหสถชาดก และเวสสันดรชาดก ภายในพระอุโบสถวัดสุวรรณาราม เป็นต้น สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ นายช่างเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นผู้กำหนดภาพที่ต้องการให้ช่างเขียนและวิธีการในการทำงานไว้อย่างละเอียด เช่น ​




    [​IMG]






    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>"... ที่ช่องบน เขียนรูปพระพุทธเจ้าปางเมื่อเหลียวหลังสั่งเมืองเวสาลี จงเขียนเส้นร่างตามแบบซึ่งส่งมาด้วยนี้ ถ่ายขยายให้ใหญ่ขึ้น ๕ เท่า การลงสีนั้น องค์พระเจ้าใช้สีเหลืองอ่อน พระสาวกใช้สีขาว ตัดอย่างโบราณ คือใช้คิ้วดำ หนวดดำ จีวรใช้ชาดเติมรงให้จัด แล้วตัดด้วยดินแดงเกลื่อนเข้าข้างลึก แล้วเอาเหลืองโฉบตามกลีบผ้าตรงที่สูงเส้นเล็กๆ บางๆ อย่างทำลายฉลุ รัศมีพระเจ้านั้นใช้ ๖ สี คือพื้นทาแดงชาด เส้นขอบรัศมี ๕ ชั้น ๕ สี ในเส้นหงษชาดใหญ่ ถัดออกไปเส้นขาวใสเล็ก ถัดออกไปเส้นเขียวแก่ใหญ่ ถัดออกไปเส้นเหลืองเล็ก ทีนี้ทิ้งให้หางวางเส้นทองเล็กอีกเส้นหนึ่ง ให้สีพื้นผนัง หลังเขาคั่นอยู่ในรหว่างเส้นเหลืองกับทอง เปนลวดใหญ่อีกลวดหนึ่งด้วย ถ้าแลเห็นไม่ขึ้นดี เอาเส้นดำเข้าช่วยคัดด้วยในรหว่างนั้นก็ได้... "ที่ช่องล่างเขียนเรื่องพระเนมีย์ราช จงไปถ่ายอย่างฝีมือครูทองอยู่ ซึ่งเขียนไว้ในพระอุโบสถวัดสุวรรณ คลองบางกอกน้อย ถ่ายเอาทั้งห้อง แต่ลดขนาดเขียนให้เล็กลงสามสอง (คือเหมือนหนึ่งว่าภาพต้นอย่างสูง ๑๒ นิ้ว ลดเขียนแต่ ๘ นิ้ว) ที่ว่าถ่ายทั้งห้องนั้น หมายความเอาเพียงเท่าที่เขียนไว้เดิมเท่านั้น ที่พอกปูนแก้บานแผละ เติมห้องกว้างออกมาอีกข้างละ ๖ นิ้ว และเขียนต่อเติมไว้ยังไม่แล้วนั้น ไม่หมายให้ถ่ายด้วยดอก อย่าหลงไปคิดเข้าด้วยจะลงกระดานไม่ได้..." (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๐๙ : ๘๓ - ๘๕)</TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  3. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    ภาพและเรื่องราวในพระบฏ

    [​IMG]


    ในคติดั้งเดิมนั้น ภาพพระบฏมีส่วนประกอบสำคัญคือพระพุทธเจ้ายืนยกพระหัตถ์ขวา ต่อมามีพระอัครสาวกประกอบซ้ายขวา ช่วงบนที่มุมซ้ายและขวามักมีฤาษีหรือนักสิทธิ์ เหาะพนมมือถือดอกบัว ในระยะต่อมา แม้ว่าจะมีภาพเล่าเรื่องเข้ามาประกอบ แต่ส่วนสำคัญของภาพก็ยังคงอยู่ที่องค์พระพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าและพระอัครสาวก หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนไป จนกระทั่งไม่มีภาพพระพุทธเจ้า กลายเป็นภาพเล่าเรื่องเต็มผืนผ้า​

    ภาพและเรื่องราวที่เขียนในพระบฏ คือ
    ๑. พระพุทธเจ้ายืนยกพระหัตถ์ขวา หรือบางครั้งมีพระอัครสาวกยืนประนมมือขนาบข้างซ้าย - ขวา หมายถึง พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร ส่วนใหญ่แล้วมักเขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้ายืนภายในกรอบซุ้มประตู ซึ่งสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงวินิจฉัยว่าเป็นตอนที่พระพุทธเจ้าทรงเดินออกจากประตูเมืองเวสาลี ทรงหยุดและหันพระพักตร์มองเมืองเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเสด็จปรินิพพาน
    ๒. พระพุทธประวัติ ที่นิยมเขียนมีตอนมารผจญ ตอนเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และตอนเสด็จลงจากดาวดึงส์ ​
    ๓. พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ หมายถึง พระอดีตพุทธ ๓ พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมน์ และพระกัสสปะ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือพระสมณโคดม และพระอนาคตพุทธเจ้า คือพระศรีอาริยเมตไตรย นิยมเขียนไว้ช่วงบนของผืนผ้า
    ๔. พระมาลัย เป็นวรรณกรรมในพุทธศาสนาที่นิยมเขียนกันมาก กล่าวถึงพระอรหันต์รูปหนึ่งคือพระมาลัย มีอิทธิฤทธิ์เหาะได้ พระมาลัยได้ลงไปโปรดสัตว์นรก และขึ้นไปนมัสการพระจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้พบพระอินทร์และพระศรีอาริย์ เมื่อกลับจากนรกและสวรรค์ จึงได้เทศนาสั่งสอนให้มนุษย์หวั่นเกรงต่อการทำบาป หมั่นทำบุญทำทาน อุทิศส่วนบุญกุศลจะได้ขึ้นสวรรค์และอยู่ในพระศาสนาพระศรีอาริย์ พระมาลัยในภาพเขียนจะแสดงด้วยพระสงฆ์ห่มจีวรสีแดง ถือตาลปัตร สะพายบาตร อยู่ในท่าเหาะ หรือไม่เช่นนั้นก็จะนั่งอยู่ต่อหน้าพระเจดีย์จุฬามณี
    ๕. พระเจดีย์จุฬามณี เป็นพระเจดีย์แก้วสีเขียวที่พระอินทร์ทรงสร้างไว้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นที่ประดิษฐานพระเกศา (เส้นผม) พระเวฏฐนพัสตร์ (ผ้าโพกศีรษะ) พระทักษิณทันตทาฒธาตุ (เขี้ยวซี่บนซ้าย - ขวา) และพระรากขวัญเบื้องบน (กระดูกไหปลาร้าบน) ของพระพุทธเจ้า (กรมศิลปากร ๒๕๓๐) พระอินทร์ พระพรหมและเทพยดาชั้นต่างๆ พร้อมด้วยบริวาร เสด็จไปนมัสการอยู่เสมอ ส่วนพระศรีอาริย์นั้นเสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิตและบริวารแสนโกฏิ พร้อมด้วยขบวนพยุหยาตราเครื่องสูง ดอกไม้ธูปเทียน แห่แหนมานมัสการพระเจดีย์จุฬามณีทุกวันขึ้น ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ (พิชิต อัคนิจ ๒๕๓๖)

    ๖. ทศชาติชาดก คือเรื่องราวของพระพุทธเจ้าครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญบารมีอันเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ๑๐ ประการ ในช่วง ๑๐ พระชาติสุดท้าย ก่อนที่จะเสวยพระชาติเป็นพระโคตมพุทธเจ้า พระชาติทั้ง ๑๐ คือ เตมิยชาดก (ความอดทน) มหาชนกชาดก (วิริยะ) สุวรรณสามชาดก (เมตตา) เนมิราชชาดก (อธิษฐาน) มโหสถชาดก (ปัญญา) ภูริทัตตชาดก (ศีล) จันทกุมารชาดก (ขันติ) พรหมนารถชาดก (อุเบกขา) วิธูรบัณฑิตชาดก (สัจจะ) เวสสันดรชาดก (ทาน)
    ๗. เวสสันดรชาดก เป็นเรื่องที่นิยมเขียนกันมาก เป็นพระชาติที่ยิ่งใหญ่เพราะทรงบำเพ็ญบารมีครบทั้ง ๑๐ ประการ จึงเรียกว่า มหาชาติ
    ๘. อสุภะ คือภาพพระสงฆ์พิจารณาซากศพที่อยู่ในสภาพต่างๆ กัน สำหรับเป็นมรณานุสติให้แก่พระภิกษุสงฆ์และบุคคลทั้งหลาย ได้ประจักษ์ถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร ว่ามีเกิดและมีดับสูญ แต่สิ่งที่คงอยู่ตลอดไปนั้นคือความดี ดังนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่ควรสร้างแต่ความดี
    นอกจากนี้ยังมีพระบฏที่เขียนเป็นภาพพระพุทธบาทสี่รอย มีลายมงคล ๑๐๘ ประการ ภาพพระอดีตพุทธเจ้าประทับนั่งเรียงเป็นแถว หรือภาพเล่าเรื่องในวรรณกรรม เช่น พระสุธน - มโนห์รา เป็นต้น

    [​IMG]
     
  4. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    เทคนิคการเขียนพระบฏ

    [​IMG]



    พระบฏคืองานจิตรกรรมไทยประเภทหนึ่ง ดังนั้น จึงมีวิวัฒนาการทางด้านรูปแบบคือการเขียนเรื่องราว การจัดวางองค์ประกอบ และเทคนิควิธีการเขียนเช่นเดียวกับจิตรกรรมไทยประเพณีในรูปแบบ ซึ่งประกอบด้วยสองขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมการ และขั้นการเขียน
    ขั้นเตรียมการ หมายถึง การเตรียมผ้า เตรียมสี และเตรียมกาว ผ้าที่นิยมใช้ทำพระบฏ คือ ผ้าฝ้ายสีขาว ทารองพื้นด้วยดินสอพองผสมกับกาวเม็ดมะขามหรือกาวหนังสัตว์ ที่แตกต่างไปจากการเขียนลงบนพื้นวัสดุอื่นๆ ก็คือในการเขียนพระบฏนั้น ชั้นรองพื้นและชั้นสี ต้องทาเพียงบาง ๆ เพื่อให้สามารถม้วนเก็บได้และสีจะไม่แตกหักหรือกะเทาะง่าย
    สีฝุ่นที่ใช้เขียนเป็นสีที่ได้จากธรรมชาติ คือ ดิน แร่ หิน โลหะ นำไปบดหรือเผาไฟให้สุก ตากแห้งแล้วบดให้ละเอียด มีบางชนิดที่ได้จากส่วนต่างๆ ของพืชและสัตว์ นำไปต้มหรือตำ คั้นเอาน้ำมากรอง เกรอะให้แห้ง จากนั้นจึงนำไปบดเป็นผงละเอียด สีฝุ่นที่ใช้ในสมัยโบราณมีสีดำ สีขาว สีแดง และสีเหลือง ในสมัยอยุธยาตอนปลายมีสีเพิ่มขึ้นและมีสีสดมากขึ้น เช่น สีเหลืองสด สีเขียวสด สีแดงชาด ฯลฯ อันเป็นสีที่สั่งเข้ามาจากจีน ในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในยุคต้น ๆ นั้น มีสีฝุ่นมากมายหลายชนิดด้วยกัน (วรรณิภา ณ สงขลา ๒๕๓๓)
    เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ สีฝุ่นอย่างโบราณเริ่มหายาก และช่างเขียนหันไปนิยมใช้สีสมัยใหม่กันมากขึ้นด้วย ดังที่ปรากฏในหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงกล่าวถึงสีสมัยใหม่ ที่พระองค์ท่านเรียกว่า "สีสวรรค์" หรือ "สีสวรรย์" ในระยะนี้ว่า


    [​IMG]


    "...อนึ่งข้าพระพุทธเจ้ามีความวิตกด้วยสีน้ำยา เพราะเหตุว่าที่มีขายในท้องตลาดทุกวันนี้ มีแต่สีปลอมคือเอาดินเหลืองมาย้อมสีสวรรย์ขาย เมื่อลลายจะใช้การ สีสวรรย์ลอยอยู่บนน้ำ ดินเหลืองนอนอยู่ก้น เมื่อจะทาต้องกวนอยู่ไม่หยุดได้ แลเมื่อเขียนแล้ว ล่วงเดือนหนึ่ง ไม่ใคร่มีอะไรติดอยู่ ความวิตกอันนี้เกิดขึ้นแก่การที่จะเขียนพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร เกรงด้วยเกล้าฯ ว่าจะไม่มีน้ำยาใช้ ให้ของอยู่ทนนานสมพระราชประสงค์ จึงได้คิดจะหาสีมาจากเมืองจีน จึ่งสืบสวนได้จีนช่างเขียนคนหนึ่งซึ่งพูดเข้าใจความประสงค์กันได้ ข้าพระพุทธเจ้าได้จัดให้จีนคนนั้นไปหาซื้อสีที่เมืองจีน บัดนี้ได้มาแล้วสมประสงค์ เปนสีอย่างที่หนึ่งมีมากพอที่จะเขียนพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรได้สัก ๒ หลัง้..." (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๐๙ : ๖๕ - ๖๖)
    กาวที่ใช้ในการเขียนภาพ มีกาวเม็ดมะขามหรือกาวหนังสัตว์สำหรับผสมกับดินสอพองในชั้นรองพื้น และกาวจากยางกระถินเทศ ยางมะขวิด ยางมะเดื่อ ที่ใช้ผสมกับสีฝุ่น ภาษาช่างโบราณเรียกน้ำกาวที่ใช้ผสมสีว่า "น้ำยา"
    ดังนั้น สีฝุ่นจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สีน้ำยา
    ขั้นการเขียนภาพ เริ่มจากการกำหนดภาพหรือเรื่อง ร่างภาพพอสังเขปลงบนกระดาษ นำไปขยายใหญ่ลงบนผืนผ้า หรือใช้วิธีปรุภาพหรือลวดลายลงบนผืนผ้า จากนั้นจึงลงมือเขียนสี ปิดทองและตัดเส้นซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย
     
  5. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    รูปแบบของพระบฏ

    [​IMG]




    พระบฏ สามารถจำแนกรูปแบบได้เป็น ๕ แบบ ดังนี้
    แบบที่หนึ่ง ผืนผ้าขนาดยาว เขียนภาพลงเต็มทั้งผืน เป็นภาพพระพุทธเจ้ายืน หรือภาพพระพุทธเจ้ายืนภายในซุ้ม พร้อมด้วยพระอัครสาวกซ้าย - ขวา
    แบบที่สอง ผืนผ้าขนาดยาว แบ่งภาพออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรกเป็นภาพพระพุทธเจ้ายืนพระองค์เดียว หรือขนาบข้างด้วยพระอัครสาวก และส่วนที่สองเขียนภาพเล่าเรื่องในพระพุทธประวัติ หรือพระมาลัย หรือทศชาติ
    แบบที่สาม ผืนผ้าขนาดยาว มีองค์ประกอบ ๓ ส่วน คือ ตรงกลางเป็นภาพพระพุทธเจ้ายืนพร้อมด้วยพระอัครสาวกซ้าย - ขวา ที่ช่วงบนและช่วงล่าง เขียนภาพเล่าเรื่องในพระพุทธประวัติ พระมาลัย หรือทศชาติ หรือภาพเล่าเรื่องอื่นๆ น่าสังเกตว่าภาพช่วงบน นิยมเขียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ดาวดึงส์ เช่น พระพุทธประวัติตอนเสด็จโปรดพระพุทธมารดา หรือพระมาลัยไปนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์ เป็นต้น
    แบบที่สี่ ผืนผ้าขนาดยาว เขียนภาพเล่าเรื่องเต็มทั้งผืน คือ พระพุทธประวัติ พระมาลัย ทศชาติชาดก เวสสันดรชาดก รอยพระพุทธบาท ฯลฯ
    แบบที่ห้า ผืนผ้าขนาดเล็กลง ประมาณ ๕๐ x ๗๐ เซนติเมตร หรือ ๕๐ x ๕๐ เซนติเมตร เขียนภาพเล่าเรื่องเป็นตอนๆ ในพระพุทธประวัติ ชาดก และที่นิยมกันมาก คือเวสสันดรชาดก ซึ่งบางทีเรียกว่า "ผ้าพระเวส"
     
  6. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    ผ้าพระเวส

    คือผ้าพระบฏที่เขียนเล่าเรื่องในเวสสันดรชาดก มีจำนวน ๑๓ ผืน ตามเนื้อเรื่องในแต่ละกัณฑ์ของเวสสันดรชาดก ซึ่งมีทั้งหมด ๑๓ กัณฑ์ คือ ทศพร หิมพานต์ ทานกัณฑ์ วนประเวศ ชูชก จุลพน มหาพน กุมาร มัทรี สักกบรรพ มหาราช ฉกษัตริย์ และ นครกัณฑ์ เป็นกัณฑ์สุดท้าย
    ผ้าพระเวส จะใช้ห้อยแขวนประดับตามศาลาการเปรียญในงานเทศน์มหาชาติ คือ เทศน์เวสสันดรชาดก และหากฟังจบภายในวันเดียวครบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ถือว่าได้อานิสงส์มาก
     
  7. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    คุณค่าและความสำคัญของพระบฏ

    [​IMG]

    พระบฏมิใช่เป็นแค่เพียงงานศิลปะเท่านั้น แต่เป็นหลักฐานที่สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะความเป็นอยู่ และความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองในแต่ละยุคแต่ละสมัยได้เป็นอย่างดี แสดงถึงความเจริญงอกงามของพุทธศาสนาที่เป็นบ่อเกิดของขนบประเพณีนิยม วัฒนธรรม และวิถีการดำรงชีวิตของบรรพบุรุษไทย
    พระบฏจึงเป็นมรดกที่สำคัญของชาติ ที่ควรค่าแก่การดูแล รักษา เชิดชู และหวงแหนไว้เป็นสมบัติของชาติตลอดไป แม้ว่าจะเป็นงานจิตรกรรมที่เคลื่อนที่ได้ และไม่คงทนเช่นเดียวกับงานจิตรกรรมฝาผนัง แต่ในปัจจุบัน ก็ยังสามารถหาชมได้ตามวัดและพิพิธภัณฑสถานต่างๆ เช่น วัดมหาธาตุ และวัดจันทราวาส จังหวัดเพชรบุรี วัดหัวเตย จังหวัดพัทลุง พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด สยามสมาคม วัดป่าลิไลยก์และพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหลายแห่ง




    โดย คุณจารุณี อินเฉิดฉาย*
    พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป
    ที่มาเนื้อหา : วารสารเมืองโบราณ
     
  8. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    โมทนาครับ ที่หาข้อมูลดี ๆมาฝากนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...