ผู้ที่ไม่พอใจใน "กาม" แต่ยังต้องคายอารมณ์ "กาม" ถือว่าตัดเเล้วหรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somkiatfem, 19 กันยายน 2016.

  1. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ผู้ที่ไม่พอใจใน "กาม" แต่ยังต้องคายอารมณ์ "กาม" ถือว่าตัดเเล้วหรือไม่

    กามแปลว่า อยาก ดังนั้น เมื่อเราจะต้องกินอาหาร ถ้าเรามีเจตนาเพื่อการดำรงค์ชีวิต ไม่ถือว่า ติดในกามหรือไม่ คือตัดกามเเล้ว เเต่ถ้ายังเลือกในรสชาติอาหาร ชนิดอาหารอันนี้น่าจะหมายถึง ยังมีกาม ในอดีต หมอ ที่ดูแลพระพุธทเจ้า หลังพระท่านนิพพานเเล้ว ท่านหมอก็ได้ อดอาหารจนไม่ขอมีชีวิตเพราะชีวิตมีความทุกข์จึงเข้านิพพานไปได้เช่นกันด้วยการอดน้ำอาหาร

    ดังนั้นอาจจะสรุปได้ว่า เจตนาเป็นตัวกรรม

    เเล้วกามในเพศตรงข้ามล่ะ เมื่อเรายังไม่ชรา เราจึงมีอาการตามสภาพของร่างกายคือต้องการทางเพศ คือ คล้ายอาการฮิวอาหาร ถ้ากินเเล้ว ก็จะตรงตัวได้ระยะหนึ่งนานๆไปก็มีอาการหิวในกาม ถามว่าถ้าไม่สนองในกามมันก็อาจจะทำได้ เเต่ มันเกิดความทุกข์ คือ สิ่งที่ยากจะทน คือทนฮิว เเต่ ด้วยความที่ใช้เจตนาไม่พอในในกามเเละต่อสู้โดยใช้ทั้ง สมาธิ เเละ กรรมฐานเข้าต่อสู้ เเละได้ผล เเต่ไม่ 100% เราจะบอกว่าเราตัดกาม ก็คงไม่ได้สินะครับ เเต่ถ้าเราเปรียบเทียบกับการกินอาหาร พระท่านก็ฉันอาหาร ท่านก็เป็นพระอรหันต์ได้ เราจะต้องรอจนกว่ากายสังขารเรามันหมดสภาพไป เเละฝึกสมาธิ กรรมฐาน ควบคู่กันไปรอจน การเวลาที่เหมาะสม จนไม่เกิดอาการต้องการในกาม ใช้หรือไม่ครับ

    ได้ยินมาว่าบางท่านก็เข้านิพพานไปง่ายๆ คือมีเจตนามุ่งนิพพาน เห็นความทุกข์ในการเกิด ไม่ต้องการเกิด ผมเข้าใจถูกหรือไม่ ในแบบย่อ ถ้าแบบเต็มละเอียดก็ 10 ประการ บางกรณีพระท่านว่า พอใกล้จะตาย ถ้าจะเป็นพระอรหันต์เอง ถ้าพิจาราณาแบบย่อ ขณะนั้น ประกอบด้วย สภาพทางกายที่เเย่ เกิเความเบื่อทุกสิ่ง ไม่ต้องการอะไรอีกเเล้วเมื่อสังขารเต็มไปด้วยความทุกข์ มีอารมณ์นี้ประกอบ ก็ไปนิพพานได้ ผมเข้าใจถูกหรือไม่ ดังนั้น บางครั้ง ถ้าจิตใจไม่เข้มเเข็งพอที่จะสู้กายสังขารเราคงต้องรอให้มันคลายสภาพไปเอง เพราะ กิเลสกับร่างกายเป็นของคู่กัน ร่างกายเเข็งเเรงมันก็อยากสนองกิเลส ร่างกายเเย่กิเลสก็จะลดลงไปด้วยไม่อยากจะเอาอะไรเเล้วถ้ากายจะดับ
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ......
    ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค...ครับ เมื่อ รู้อาจจะพอรู้คร่าวคร่าว ว่าสิ่งใดคือทุกข์ ก็ ใน มรรค มีการ พิจารณา คุณ(อัสสาทะ)คือรสอร่อย....โทษ ความไม่เที่ยง...ก็ คง พอเห็นอุบายนำออก หรือการ ภาวนานี้ ตามแต่ กำลัง ล้มลุกคลุกคลานกันไป...(แต่ รู้ คุณ โทษ) นั่นเป็นเบื้องต้น.
    :cool:
     
  3. รักษ์11

    รักษ์11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +516
    เรียกว่าดำริออกจากาม มีความคิดที่จะออกกาม ถ้าตัดก็คือขาด

    ตอบ..
    +คนที่เข้านิพพานง่าย บารมีเต็มแล้ว ประเภทน้ำล้นตุ่มอยุ่แล้ว แค่มีฝามาปิดกั้น

    + พอครูบาอาจารย์ มาสกิด แนะนำเล็กๆน้อย ๆ ก็สำเร็จบรรลุธรรม

    +อย่างคนทั่วไป ก็ดีบ้าง ชั่วบ้าง คละเคล้ากันไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กันยายน 2016
  4. รักษ์11

    รักษ์11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +516
    มังสวิรัติบรรเทากามช่วยได้

    การกินผัก กินพืช จะช่วยลด ความกำหนัดในกาม

    ผมเคย กินมังสวิรัติ หรืองดกินเนื้อสัตว์ เป็นระยะเวลา 4 เดือน

    กายจะเบา ความรู้สึกทางกายจะเบาไม่เบียดเบียน จุดดีก็คือ ไม่ค่อยเคารพ

    ธงชาติแถวตรง

    แต่ใจยังมีความตรึก อยู่ในกาม ยังไม่ขาด ยังพอใจ แต่ความกำนัดลดลงไป

    เยอะ ความแข็งตัวลดลงไปเยอะ

    คนที่กินเจ มังสวิรัติ เป็นระเวลายาวพอสมควร บรรเทาความกำหนัดได้เยอะเลยละ

    ลองนำไปปฎิบัติดูได้นะครับ เป็นตามผมบอกนั้นแหละครับ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ความอยากในเรื่องการรับประทานเป็นความอยากเล็กๆน้อยๆ
    แต่ว่ามักจะมองข้าม เนื่องจากว่าเราไปปรุงแต่งร่วมจนเป็นปกติครับ
    เช่น แค่ได้ยิน ได้เห็น ก็น้ำลายสอ แล้วประมาณนี้พอเข้าใจเนาะ
    ถ้าสามารถดับความอยากได้ก่อนรับประทาน แล้วจึงค่อยทาน
    หรือแม้กระทั่งดับความอยากจะไปโน้นนี่นั้นได้ แล้วใช้สติพากายไป
    ก็จะช่วยหนุนในเรื่องของกำลังสติทางธรรมให้ เกิดความต่อเนื่อง
    และเป็นอัตโนมัติได้ นอกจากการเจริญสติให้ต่อเนื่องครับ...

    ส่วนความอยากในเรื่อง กามอารมย์นั้น ถ้าตัวจิตละหรือคลายได้
    ในระดับที่ละเอียดแล้ว..ตัวจิตจะไม่มีตัววิญญานส่งออกไปดึงอะไร
    ภายนอกเข้ามาเพื่อปรุงแต่งต่อจนเกิดเป็นอารมย์ได้ ร่างกายก็จะ
    ไม่ตอบสนองในเรื่องนี้ เพราะจิตถ้าตัดอะไรได้แล้วมันจะตัดได้เลยเช่นกันครับ

    แต่ยกเว้นว่า ร่างกายยังสมบูรณ์อยู่ ยังต้องทำหน้าที่ตรงนี้อยู่ ในฐานะ
    ที่ต้องทำหน้าที่ของคู่ครองที่ดี ก็จะยังเกิดขึ้นได้ เป็นบางเวลา แต่ในเวลา
    ปกติทั่วๆไป กับบุคคลๆอื่นๆ ก็จะไม่มีเรื่องการส่งออกและดึงมาปรุงร่วมครับ

    ถ้าต้องการตัดเรื่องความอยากเกี่ยวกับกามด้วยกำลังสมาธิให้ถึงขั้นละเอียด
    ได้นะครับ วิธีหนึ่งที่จะแนะนำคือ
    จะต้องเข้าสมาธิให้ได้ในระดับกำลังสูง และสามารถที่จะควบคุมจิต
    ให้อยู่ในร่างกายให้ได้แบบนิ่งๆ โดยมากจะประมาณครั้งที่ ๓ หรือ ๔ ตัวจิต
    ถึงจะนิ่งๆและอยู่ในกายได้ แล้วตัวจิตจะวิ่งไปดูอวัยวะภายในร่างกาย
    ไม่ว่าส่วนไหนๆก็ตาม จะหัวใจ ปอดตับ หรือในเส้นเลือด จนไปถึงในจุดหนึ่ง
    จนเกิดการระเบิดเสียงดังกึกก้องกัมปนาทเหมือนระเบิด และเกิดแสงสว่างจร้า
    ถ้าทำตรงนี้ได้ ตัวจิตจะคลายเรื่องกามได้ถึงขั้นละเอียดของมันเองครับ
    วิธีนี้ทำยากหน่อย แต่ถ้าทำได้นอกจากตัดกามได้ จะตัดเรื่องการยึดมั่นถือมั่น
    การถือเหนือถือตัว ว่าตัวว่าตนได้อีกด้วย
    โดยที่ไม่ต้องไปพิจารณาอะไรให้ยุ่งยากด้วยครับ..

    ส่วนการที่จะไม่กลับมาเกิดเลย หมายถึงว่า กิริยาทางจิตนั้น
    ตัวจิตมันจะต้องคลายตัวออกจากทุกๆเรื่อง ไม่ว่า สติ ปัญญา ฯลฯ
    หรือไม่มีตัววิญญานส่งออกไปดึงทุกๆเรื่องเข้ามาด้วยนะครับ
    ซึ่งพวกนี้ต้องอาศัยการวิปัสสนา การเดินปัญญา การพิจารณาด้วยนะครับ
    และตัวจิตจะต้องเห็นว่า การเกิดมันเป็นทุกข์ด้วยนะครับ
    เค้าถึงจะไม่อยากเกิดครับ
    ถ้ายังติดในเรื่องอะไรอยู่แม้แต่นิดเดียวก็ตาม
    จะต้องยังไปเสวยผลอยู่
    ครับไม่ว่าดีหรือไม่ดี ก็ต้องไปเสวยผลเช่นกันครับ


    ปล.เป็นแค่หนึ่งทางเลือกเฉพาะเรื่องกามนะครับ (^_^)
    และขอเสริมหน่อย การรับประทานผักลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งได้
    เพราะมะเร็งมันอาศัยอาหารจากพวกโปรตีนจากเนื้อ
    ด้วยส่วนหนึ่งในการเจริญเติมโตครับ (^_^)
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ตัดความอยากทางกามให้ถึงสมาธิขั้นละเอียด อันนี้หมายถึง กับสังขารร่างกายในชาตินี้เท่านั้นใช่ไหมครับ
    เพราะเห็นบอกต่อไปอยู่ว่า ส่วนที่จะไม่กลับมาเกิดอีกเลยคือต้องอาศัยการเจริญวิปัสสนา ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องถือว่า แยกออกว่าธาตุขันธ์มันก็ส่วนธาตุขันธ์ เป็นไปตามเหตุปัจจัย และหรือแม้จิตนี้ก็ฝึกได้เช่นกัน จะให้ไปสวรรค์ ไปพรหม ก็ฝึกเอา แต่ถ้าจะนิพพาน มีแต่จะต้องปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ทั้งสิ้นทั้งมวลอย่างเดียวเท่านั้นเอง ใช่ไหม จริงไหมครับ
     
  7. Dion

    Dion สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +18
    อยู่ที่ว่าคายอย่างงัย
    ปล่อยให้มันคลายของมันเองไปตามเหตุปัจจัย
    หรือไป "พอใจ" แล้วช่วยทำให้มันคาย
    ถ้าเป็นอย่างหลังนี่ ยังตัดไม่ได้แน่นอน
    เพราะยังยึดติดอยู่กับความพอใจอยู่
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ตอบ ก็ใช่และจริงอีกครับ (^_^)
     
  9. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ศีล ช่วยรักษาสมมุติให้เรียบร้อย สมาธิ ช่วยรักษาจิตให้มั่นคง ปัญญาเห็นชอบ นำออกจากทุกข์ทั้งปวง ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2016
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471

    หยิบ ผิด ฮับ

    " กาม " ถ้าหยิบคำว่า "กาม" มาใช้ จะเป็นการตรึกแบบ คนนอกศาสนา
    ยกตัวอย่างชัดๆ คือ พวกนิครณฑ์ ที่ ไม่นุ่งผ้า เพื่อประกาศว่า ตนชนะกาม

    ถ้า จะตรึกให้เป็น พุทธ ให้ใช้ ภาชนะ หรือ พยัญชนะ คำว่า ตัณหา

    ซึ่ง ต้องระวังไม่ให้แปลความตัณหา เป็น กาม จุกกรู้

    ต้องจับหลัก อรรถสาระแห่งธรรมให้แม่นๆ ตัณหา ของพุทธ มี 3

    คือ กามตัณหา ภวตัณหา และ วิภวตัณหา


    พอจับ สามตัวนี้ แล้วลอง ทบทวน คำถาม ของเจ้าของกระทู้

    จะเห็นว่า มันตกไปในเรื่อง วิภวตัณหา

    พอตกไปใน อรรถ วิภวตัณหา ก็จะได้คำตอบทันทีว่า ไม่พ้น ตัณหา ฮาอะไรทั้งนั้น !!!

    ยิ่งตรึกว่า พ้น ด้วยการ ผลัก ทำเป็น ก๋ากั่นอ้าง ชักชวน เสวนาเรื่อง ตัณหา

    จะเสร็จมันทันที

    จะปัสสวะเหนียวภายใน 7วัน

    7วันไม่เหนียว ก็7เดือน

    7เดือนไม่เหนี่ยว ก็ 7ปี

    7ปี ไม่เหนี่ยวก็ 7ชาติ

    ซึ่ง มันเป็นสำนวนแบบ อนุกรม ให้รับรู้ความหมาย ขยาย7วัน
    7เดือน 7ปี 7ชาติ ว่าเป็น อาการปัสสวะเหนียวไม่สิ้นสุด หาที่สุด
    ไม่ได้ ไม่พ้น


    พระพุทธองค์ตรัสสอนพระอานนท์ไว้ เรื่องพรรณนี้ ไม่ควรเสวนาด้วย

    เว้นแต่ จะจับหลัก อรรถ พยัญชนะ ที่ใช้ ตรึกธรรม ได้ถูกส่วน ถูกวิธี
    จะตรงกันข้าม คือ 7วัน 7เดือน 7ปี 7ชาติ พ้นแน่นอน



    จะย่อ เร็ว ลัด สั้น ยาว ก็อยู่ตรงคำว่า "ภว" หรือ "ภพ" มันเป็นภพ
    คือ มันห้อมล้อมอยู่ตั้งแต่ จิตมันเคลื่อน การกำหนดรู้ ทุกข์(ภพ)ให้
    ถูกวิธี จึงจะเห็น อุบาย นำออก ไม่ใช่ไป ตั้งธง "กาม" เป็น
    นิครณฑ์(ประกาศนิพพาน มี ฉับพรรรังษี เหมือนกัน แต่ เฮียย
    ไม่พ้นนรก ปราศจากสามัญผล )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2016
  11. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    กามฉันทะ ผมเห็นมีพูดกันมากครับ ผมยังไม่เข้าใจครับ

    ภาพรวมคือผมยังไม่เข้าใจที่คุณ อธิบายครับ ด้วยความเคารพ
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    บุคคล ที่ รับฟัง สัทธรรม แล้ว รักษาไว้ได้ ก็มีแต่ อรหันต์

    ดังนั้น

    บุคคลธรรมดา หรือ พวกขาดการสดับ

    หรือ เป็นแค่ หมั่นสดับ หรือเป็น เสขะ สดับธรรมแล้ว ธรรมก็อันตรธาน
    ไม่สามารถ ทรงจำไว้ได้ ก็เป็นเรื่อง ธรรมดาของสัตว์โลก ที่ถูกพร่ำหลอก
    กันมาด้วย อรรถสาระไร้แก่นสาร เป็นเวลายาวนาน

    ค่อยๆ พิจารณา หมั่นสดับธรรม ไปเรื่อยๆ ฮับ

    ถ้ามี ปฏิภาณ ก็ ชั่วช้างกระดิกหู งูแล๊บลิ้น จะทรงอรรถ ทรงธรรมได้ ไม่เคลื่อนคลาด
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    จะลอง อธิบายดู เนาะ

    ตัณหา มี 3

    " กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา "

    ตรงเนี้ยะ ถ้ามี ปฏิภาณไหวพริบพอ ตอนได้ยินคำว่า กามตัณหา ต้องไม่ให้
    ลักลั่นไปเป็นเรื่อง กามจุกกรู้

    ให้พิจารณาลงเป็น ความพอใจในรูป กลิ่น เสียง สัมผัส วรรณะ ฯ แทน ซึ่งถ้า
    ทรงธรรมไว้ได้ จะรู้ว่า กำลังพูดถึง การเพ่งกสิณ ทำฌาณ เป็นต้น ห่างไกล
    เรื่องพรรณอย่างว่าแบบ ฟ้ากับเหว [ ใช้ตัณหาให้ถูกวิธี เพื่อ ห่างตัณหา ละตัณหาบางเหล่า แบบฟ้ากับเหว ]

    พอทรงอรรถ ทรงธรรม กามตัณหาเป็นเรื่อง พอใจในรูป กลิ่น เสียง ฯ ได้
    ก็จะเข้าใจ และมี จิตโน้มไปในเรื่อง สมถะ กรรมฐาน ไม่ใช่ ไปตรึกเรื่อง
    เดี๋ยวบรรลุธรรมแล้วอดเรื่องพรรณาอย่างว่า

    ทีนี้ พอชำนาญ ก็จะค่อยๆ เข้าใจ ภวตัณหา ที่เป็น รูปภพ รูปฌาณ

    พอชำนาญ ภวตัณหา ก็จะเข้าใจ วิภวตัณหา ที่เป็น อรูปภพ

    กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา หรือ ภพเทวดา ภพพรหม พรหมอรูป
    มันพ้น กาม ไหมหละ ไม่พ้นหลอก ยังลงนรกได้

    แล้วอย่างไร จะพ้น


    ทุกข์ ให้กำหนดรู้ ทุกอย่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2016
  14. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ขอบคุณครับที่ช่วยอธิบาย
    ศัพย์แสงผมไม่เข้าใจเท่าไรครับ ยังไงช่วยขอแปลไทยๆด้วยจะช่วยคนมีความรู้น้อยได้เข้าถึงความดีมากขึ้น ด้วยความเคารพ
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ศัพท์แสง ไม่ต้องแปล

    ถ้า เรียน ภาษา โดย เรียนแบบ จดจำเอาไปแปล เรียน ภาษา
    แบบเรียนเป็นลหักสูตร พกดิก เรียนให้ตาย ก็ ไม่รู้เรื่อง

    การรับรู้ภาษา เวลา ได้ยินคำที่ไม่รู้จัก ให้ฟังผ่านๆ ไปเลย
    แล้วเอา นัยยะปฏิบัติ นัยยะของชีวิต มาจับ

    ยกตัวอย่าง คนที่เก่งภาษาอังกฤษ เรียนจบแบบได้เกรด A+

    กับ เด็กป.4 ส่งไปทำงานเมืองนอก ใช้ ชีวิตจริงสัมผัส นัยยะ ของศัพท์

    จะต่างกันมาก ต่อให้เรียนตามหลักสูตร จบดอกเตอร์
    ก็ อ่าน คอ นก รีต ได้

    ในขณะที่ เด็ก ป.4 ได้ยินคำว่า คอ นก รีต และเพราะใช้ ชีวิตสัมผัส
    รับรู้ตามความเป็นจริง เขาจะ แปลกลับได้ทันทีว่า หมายถึง concreate
    ไม่หัวเราะเยาะใคร ใสซื่อ ไม่มีขึ้นโรงพัก จดบันทึกประจำวัน

    งง ไหม

    อย่าไป งง

    งง ให้รู้ว่า งง มีประโยชน์กว่า

    พอเรา เพียรปฏิบัติ พอเจอศัพท์แสงอะไร พูดผิด พูดถูก จะ รู้แจ้งแทงตลอด ไปเอง
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ตัณหา มี 3

    " กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา "

    ตรงเนี้ยะ ถ้ามี ปฏิภาณไหวพริบพอ ตอนได้ยินคำว่า กามตัณหา ต้องไม่ให้
    ลักลั่นไปเป็นเรื่อง กามจุกกรู้

    ให้พิจารณาลงเป็น ความพอใจในรูป กลิ่น เสียง สัมผัส วรรณะ ฯ แทน ซึ่งถ้า
    ทรงธรรมไว้ได้ จะรู้ว่า กำลังพูดถึง การเพ่งกสิณ ทำฌาณ เป็นต้น ห่างไกล
    เรื่องพรรณอย่างว่าแบบ ฟ้ากับเหว [ ใช้ตัณหาให้ถูกวิธี เพื่อ ห่างตัณหา ละตัณหาบางเหล่า แบบฟ้ากับเหว ]

    พอทรงอรรถ ทรงธรรม กามตัณหาเป็นเรื่อง พอใจในรูป กลิ่น เสียง ฯ ได้
    ก็จะเข้าใจ และมี จิตโน้มไปในเรื่อง สมถะ กรรมฐาน ไม่ใช่ ไปตรึกเรื่อง
    เดี๋ยวบรรลุธรรมแล้วอดเรื่องพรรณาอย่างว่า


    พอไปหาพระป่า พระป่า ท่านสอนว่า กสิณคือ ส่งจิตออกนอก เราก็จะ เข้าใจ
    ในธรรม ที่พระป่า ท่านแสดง ได้ด้วย

    พอเข้าใจ หากยังเอา กสิณไม่ส่งนอก แล้วเอามา ส่งใน มาดู อวัยยวะ

    พระป่า ที่เป็น ก็จะบอกอีกว่า ก็ ส่งจิตออกนอกอยุ่ดี แม้นว่า จะส่งใน
    เพราะมันเป็น กามตัณหา นำหน้า

    แล้ว ยังไง ถึงจะพ้น

    หลวงพ่อฤาษี หลวงพี่เล็ก ก็พูดเสมอว่า ทำสมถะแล้ว ต้อง วิปัสสนาต่อ

    ส่งจิตออกนอก ส่งจิตเข้ามาภายใน อย่าสำคัญว่า วิปัสสนาแล้ว

    ยังไม่เริ่มอะไรเลย ....

    แล้วยังไง จะเริ่ม


    ทุกข์ ให้กำหนดรู้ ทุกอย่าง
     
  17. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    ขอบคุณที่ยังช่วยอธิบายอย่างต่อเนื่อง
    ความรู้คุณสูงมาก ผมปัญญายังน้อยจริงๆ ผมว่าคุณไปคุยกับ คุณธรรมชาติน่าจะสนุกมากครับ เพราะมีความเข้าใจด้านศัพย์แสง ใกล้เคียงกัน ด้วยความเคารพ ต้องขออภัยด้วยที่ผมถามมาก ครับ
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    แล้วแต่ ฮับ

    การที่ พุทธบริษัท นิยมใช้ ศัพท์แสง ที่เป็น บาลี

    มันเป็นเรื่องของ คนกตัญญูรู้คุณ ของ สมเด็จพระผู้มีพระภาค

    จึงพยายาม รักษา สืบสาน ภาษา ซึ่งจะสะท้อนไปถึง
    นัยยประวัติ ว่า ท่านมีตัวตนจริง


    ถ้าเมื่อไหร่ อกตัญญู รู้คุณไม่เป็น เป็นธรรมดา ที่จะ สร้างสิ่งใหม่ สำคัญว่า
    ควรศึกษา จดจำ และ เผยแผ่
     
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ผู้ที่ไม่พอใจใน "กาม" แต่ยังต้องคายอารมณ์ "กาม" ถือว่าตัดเเล้วหรือไม่

    + .. หมายถึงไม่พอใจในกาม แต่ยังเสพกาม ก็ย่อมแปลว่า ตัดกามไม่ได้

    กามแปลว่า อยาก ดังนั้น เมื่อเราจะต้องกินอาหาร ถ้าเรามีเจตนาเพื่อการดำรงค์ชีวิต ไม่ถือว่า ติดในกามหรือไม่ คือตัดกามเเล้ว เเต่ถ้ายังเลือกในรสชาติอาหาร ชนิดอาหารอันนี้น่าจะหมายถึง ยังมีกาม ในอดีต หมอ ที่ดูแลพระพุธทเจ้า หลังพระท่านนิพพานเเล้ว ท่านหมอก็ได้ อดอาหารจนไม่ขอมีชีวิตเพราะชีวิตมีความทุกข์จึงเข้านิพพานไปได้เช่นกันด้วยการอดน้ำอาหาร

    + .. ลำพัง เจตนา อยู่ แปลว่า ยังตัดไม่ได้
    + .. ความจริง เราพิจารณาได้อยู่ว่า เราทานอาหาร มีความอยากหรือไม่ ถ้าเรายังต้องพิจารณาทานอาหารโดยแยบคาย แปลว่า ความอยากในอาหารยังมีอยู่ ไม่ใช่การฉันแบบพระอนาคามีหรือแบบพระอรหันต์เลย

    เเล้วกามในเพศตรงข้ามล่ะ เมื่อเรายังไม่ชรา เราจึงมีอาการตามสภาพของร่างกายคือต้องการทางเพศ คือ คล้ายอาการฮิวอาหาร ถ้ากินเเล้ว ก็จะตรงตัวได้ระยะหนึ่งนานๆไปก็มีอาการหิวในกาม ถามว่าถ้าไม่สนองในกามมันก็อาจจะทำได้ เเต่ มันเกิดความทุกข์ คือ สิ่งที่ยากจะทน คือทนฮิว เเต่ ด้วยความที่ใช้เจตนาไม่พอในในกามเเละต่อสู้โดยใช้ทั้ง สมาธิ เเละ กรรมฐานเข้าต่อสู้ เเละได้ผล เเต่ไม่ 100% เราจะบอกว่าเราตัดกาม ก็คงไม่ได้สินะครับ เเต่ถ้าเราเปรียบเทียบกับการกินอาหาร พระท่านก็ฉันอาหาร ท่านก็เป็นพระอรหันต์ได้ เราจะต้องรอจนกว่ากายสังขารเรามันหมดสภาพไป เเละฝึกสมาธิ กรรมฐาน ควบคู่กันไปรอจน การเวลาที่เหมาะสม จนไม่เกิดอาการต้องการในกาม ใช้หรือไม่ครับ

    + .. ตรงนี้ เปรียบกันไม่ตรงนักนะครับ ระหว่าง ที่เรายังต้องสนองความต้องการในกามของเรา กับการที่พระฉันอาหาร ก็เป็นพระอรหันต์ได้
    + .. เรายังต้องสนองความต้องการในกาม เรายังไม่ขึ้นสู่บทเนกขัมมะเลย แต่พระท่านต้องจัดว่า เข้าสู่เนกขัมมะ แล้ว ซึ่งหมายถึงพระที่มาตรฐานที่ศาสนาพุทธวางไว้ ไม่ใช่พระที่สักแต่ว่าบวช ต้องได้หัวใจนักบวช คือ เนกขัมมะ ด้วย
    + .. ถ้าต้องรอจนกายสังขารมันหมดสภาพ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธนะครับ การจะดับกามตัณหา แบบชั่วคราวหรือถาวร ทางพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องรอกายสังขาร แต่ต้องเข้าใจกลไกความต้องการในกามของคนเรา คือ รู้ว่ามันมีอาการอย่างไร เกิดขึ้นเพราะอะไร ดับไปเพราะอะไร (พูดสั้นๆ ไปศึกษาเอาเองนะครับ ในเรื่อง อริยสัจสี่ หรือปฏิจจสมุปบาทก็ได้)
    + .. ดังนั้น เด็กน้อย หนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ ที่ร่างกายมันพรั่งพร้อมสนองต่อกามคุณ ๕ ถ้าพิจารณาได้ถูกจุด ก็บรรลุพระอรหันต์กันได้ ไม่ต้องรอแก่เฒ่า ไม่ต้องรอให้มีร่างกายแบบพระพรหม เพราะพระพรมหแม้ไม่มีเพศ แต่ก็ไม่พ้นจากบ่วงกามได้

    ได้ยินมาว่าบางท่านก็เข้านิพพานไปง่ายๆ คือมีเจตนามุ่งนิพพาน เห็นความทุกข์ในการเกิด ไม่ต้องการเกิด ผมเข้าใจถูกหรือไม่ ในแบบย่อ ถ้าแบบเต็มละเอียดก็ 10 ประการ บางกรณีพระท่านว่า พอใกล้จะตาย ถ้าจะเป็นพระอรหันต์เอง ถ้าพิจาราณาแบบย่อ ขณะนั้น ประกอบด้วย สภาพทางกายที่เเย่ เกิเความเบื่อทุกสิ่ง ไม่ต้องการอะไรอีกเเล้วเมื่อสังขารเต็มไปด้วยความทุกข์ มีอารมณ์นี้ประกอบ ก็ไปนิพพานได้ ผมเข้าใจถูกหรือไม่ ดังนั้น บางครั้ง ถ้าจิตใจไม่เข้มเเข็งพอที่จะสู้กายสังขารเราคงต้องรอให้มันคลายสภาพไปเอง เพราะ กิเลสกับร่างกายเป็นของคู่กัน ร่างกายเเข็งเเรงมันก็อยากสนองกิเลส ร่างกายเเย่กิเลสก็จะลดลงไปด้วยไม่อยากจะเอาอะไรเเล้วถ้ากายจะดับ

    + .. ตรงที่เน้นดำข้างบน ใช้คำว่า จิตไม่เข้มแข็ง แปลว่า ท่านฝึกแบบข่มด้วยกำลังสมาธิเป็นหลัก แต่ยังขาดความเข้าใจเรื่อง เนกขัมมะ ที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องจิตเข้มแข็ง แต่เป็นความเข้าใจ
    + .. เหมือนเวลามีคนมายั่วโทสะ หรือมาทำร้ายเราทั้งกายและใจ ถ้าเรามีปัญญาเห็นความจริงและธรรมชาติ เราจะไม่เกิดโกรธตอบ แต่ถ้าเราไม่เห็นธรรมชาติ แต่เรารู้ว่ามีคนสอนว่าโกรธไม่ดี เรากลับใช้ ขันติ ซึ่งเราจะพูดหรือท่องในใจว่า ทนไว้ ทนไว้ ซึ่งความโกรธมันเกิดแล้ว และต้องใช้ความตั้งใจแบบสมาธิมาข่มโทสะแค่นั้น ในขณะที่ถ้าเราเห็นเป็นธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติคนหรืออะไร เราก็จะไม่เกิดความโกรธหรือรำคาญเลย
    + .. ความต้องการในกาม ที่ร่างกายมันเกิดของมันเองเพราะจิตพื้นฐานของคนเราอยุ่ในกามภพ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น จะมีเหตุปัจจัยเกิด มีเหตุปัจจัยดับ และด้วยความที่จิตเราเสพคุ้นกับกาม จิตเราจึงไหลไปเอออวยกับมันแบบออโตเมติก หรือที่เรียกว่า ขาดสติไม่รู้ตัว (ถึงจะพูดว่า รุ้ตัว ก็คือไม่รู้อยู่ดี เพราะไม่รู้ทั่วถึงโทษแห่งการไหลไปตามกาม) เราจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติได้ยาก เพราะเราดันไปอยู่กลางกระแส(กาม) เสียแล้ว ดังนั้น เราต้องตั้งจิตออกจากมันก่อน จะมากจะน้อย ก็คือถอยจากกระแส ค่อยๆ ฝึกถอยจนหลุดมาดูกระแสอันนั้น ก็จะเห็นเป็นธรรมชาติ และเมื่อถอยมาบ่อยๆ เราสามารถไปอยู่ในกระแสอีกกระแสที่ตรงข้ามกับ กามคุณ ๕ เป็นกระแสเนกขัมมะแทน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2016
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035

    คุณ somkiatfem พึ่งเข้ามาใหม่
    คุณอาจจะไม่ทัน คุณ นิวรณ์ ผู้เจ้าเล่ห์ จอมพลิวพลิ้วชิวหา
    พาให้คนอื่นๆมาแย้ง แล้วก็ด่าตนเองคืน
    หลังจากนั้นก็จะใช้วิชา แถสญานแบบหน้ามนุษย์หิน
    ลอยหน้าลอยตาปกติ ว่างๆไม่มีคนคุยด้วยก็จะมา
    อวตารอีกชื่อ ตั้งกระทู้ถาม คุณนิวรณ์ ถามอาจารย์นิวรณ์
    เพื่อที่จะได้เขียนสิ่งที่แกได้ บรรลุทางจิตเดาสญานของแก
    แต่ที่เขียนดีๆก็มีนะครับ แต่ว่าน้อยมาก.(^_^)

    การขี้นโรงพัก จดบันทึกประจำวันนั้น เพราะว่า คุณ นิวรณ์
    ในอดีต แกกล่าวความเท็จคือ พูดปดแบบเห็นๆ
    รู้ทั่วบ้านทั่วเมือง และยังมีการใส่ร้าย ป้ายสี
    พยายามดิสเครดิตผู้อื่นครับ..
    ยังพยายามมาพูดให้ตัวเองดูดีอยู่ได้
    เพราะแกเสียหน้ามาหลายเรื่อง
    คนนี้แม้ว่าตัวเองผิด แต่ไม่เคยยอมรับผิดอะไรหรอกครับ
    กลัวเสียหน้า เป็นนักปฏิบัติที่พูดได้ถึง นิพพานโน้น
    ว่าคนอื่นๆอีกหลายกัป หลายกัล กว่าจะบรรลุ
    แกพูดป่านว่าแก บรรลุอรหันต์แล้วลงมาโปรดเพื่อนสมาชิกโน้นครับ

    แต่นิสัยส่วนตัว ณ ปัจจุบันยังแปลกๆ คล้ายคนพร่องทางด้านจิต
    แกพูดกรรมฐานพิเศษ บอกว่าเป็น ระดับอาจารย์ แต่พอให้แสดง
    ให้ดูหน่อย แกทำไม่ได้หรอกครับ แต่เก่งไปว่าไปทับถมคนแนะนำจัง
    แล้วก็แถไปเรื่อย
    และเป็นอะไรที่อยากได้รับการยอมรับแบบสุดๆ
    ถ้ามี ญ มาคุยด้วยหน่อยนิ หรือ แกล้งมาชมหน่อย
    คอยดูได้ แกตอบได้ยาว หลาย #Rep เลยหละครับ
    มุขที่แกคิดว่า หล่อมากสำหรับสาวๆ ที่แกชอบใช้
    ก็คือ '' น้องๆหนูๆ '' สงสัยแกจะชอบแนวๆนี้..

    และเสียหน้าไม่เป็น และเก่งในเรื่อง
    สร้างภาพและพูดให้ร้ายคนอื่นๆแบบเนียนๆ
    โดยไม่เคยสำรอกดูพฤติกรรมตัวเอง..



    เรื่องหลักๆคือ แกโม้ว่า
    แกเป็นระดับอาจารย์ แล้วไปพยายามสอนแบบกล่าวหา
    ดิสเครดิสผู้สอนคนนั้นๆ ไม่ใช่ลักษณะแนะนำ คือ ไปพูดเชิงยกตนข่มท่าน
    พอเจอเค้าท้าวัดความสามารถ แล้วแกก็เลย หง่อยรับประทาน
    เพราะแกทำไม่ได้ เค้าจึงรู้ว่า แกเก่งแต่ปาก การเล่นศัพท์แสงให้มันดูยากๆ
    เพราะแกเข้าใจว่า แกเขียนอย่างนั้นแล้วมันหล่อ มันเท่ห์ คนมาอ่าน
    จะเข้าใจว่า แกนั้นเก่งมากมาย และอ้างว่ากตัญญูรู้คุณพระพุทธฯ
    อ่านแล้วขำๆและก็จะมีด่าคนอื่นๆที่ไม่เห็นด้วยกับแกเรื่องศัพท์แสง
    เป็นตรรกะที่เกิดจากจิตที่พร่องอย่างแรงของแกอย่างหนึ่ง
    ในหลายๆมุขที่แกชอบใช้ครับ แต่ทุกครั้งพอแกแนะ แกสอน
    สิ่งที่สอน จะย้อนแย้งตัวแกเอง แล้วก็จะโดนสมาชิกคนอื่นๆย้อนแย้งแก
    แต่ว่า คุณ นิวรณ์ แกจบหลักสูตร แถสญาานมา ตัวจิตแกมีความสามารถ
    สูงส่งในเรื่องนี้ครับ. ทุกวันนี้ ก็อยากให้คนยกย่องตัวเอง

    อยากให้คนเรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์ เนื่องจากแกติดการสรรเสริญอย่าง
    ถอนตัวไม่ขึ้น แกถึงพยายามไปแย้งความเห็นบุคคลอื่นๆไปเรื่อย
    ในลักษณะที่จะยกตนข่มท่าน ซึ่งจะต่างจากนักปฏบัติคนอื่นๆ
    ที่จะพยายามเสนอในมุมที่ตนเองเห็นเพื่อเป็นทางเลือกเท่านั้น
    มีแต่ คุณ นิวรณ์ หรือ ขาจร 18 อะไร
    หรือ ชื่ออื่นๆ สังเกตุดูเกือบทุกชื่อ
    ที่ มาตั้งกระทู้ในห้อง อภิญญาสมาธิ (ว่าจะเงียบๆแล้วนะ)
    ก็เป็นตัว คุณนิวรณ์เองนั่นหละครับ ที่อวตารตัวเอง มาถามคุณนิวรณ์
    ถามอาจารย์นิวรณ์แต่ก็กลัวไม่เนียน เลยต่อทายว่า และผู้รู้อื่นๆ
    แล้วก็จะเว้นช่วงซักชั่วโมงเพื่อมาตอบ กะว่าให้ดูเนียนๆหน่อย
    ประหนึ่งว่าตนเองทรงภูมิเป็นผู้รู้ ไม่เชื่อก็ลองตรวจสอบ IP ดูก็ได้ครับ
    ส่วนตัวถึงบอกว่า ถ้าเวบนี้โชว์ IP ได้ท่านทั้งหลายจะมีฮา
    ซึ่งยังมีหลายคน ชอบใช้อีกชื่อ มาชมความเห็นตัวเอง
    ซึ่งก็ไม่รู้ว่า จะทำไปเพื่ออะไร ทั้งๆที่ความเห็นนั้น
    แทบขาดทั้งเหตุและผล ก็ยังชมกันอยู่ได้
    ทำกับจะมาโฆษณาขายยาปลูกผม

    มีบางชื่อ เช่น ขาจร
    แกคงลืมเพราะใช้หลายชื่อ เลยตอบสไตล์ นิวรณ์ ความเลย
    แตกไปหลายรอบ แต่คงเห็นว่า ห้องอภิญญา เงียบๆไม่มีไรทำ
    เลยมีความสุขกับการ อวตาร ตัวเองมาถามตัวเอง..
    ปล.ขำไปถึงดาวอังคารเลยครับ..(^_^)
     

แชร์หน้านี้

Loading...