ผู้ที่คิดว่าตัวเองคือ พระยาธรรมิกราช ท่านได้อตีตังสญาณ แล้วเหรอ?

ผมตั้งกระทู้ถามแบบนี้ คือ ผมไม่ได้หมายตัวผมเองจะเป็น "พระยาธรรมมิกราช" อะนะ เพราะผมก็ไม่ได้รู้เหมือนกันว่า "ในอดีตนั้น" ผมเคยเป็นใครมาก่อน จะเป็นพระโพธิสัตว์ผู้มีบุญ หรือ ผู้ที่เคยปราถนาพุทธภูมิหรือไม่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันอะนะ รู้แต่ว่า ณ ปัจจุบันตัวผมเองนั้น เคร่งครัดในศีล๕ และ กรรมบถ ๑๐ แล้วก็ได้ทำสิ่งที่ดี หรือ เลว อย่างไหน? มาก-น้อย กว่ากัน...(รู้แค่นี้สำหรับตัวผมอะนะ) แล้วท่านๆ ที่คิดว่าตัวเองเป็น "พระยาธรรมิกราช" นั้น ท่านหยั่งรู้ด้วยญาณมาแล้วเหรอครับ ว่าท่านคือ พระยาธรรมฯ แน่นอนอะนะ ท่านได้หยั่งรู้ด้วยญาณใดอะครับ

• รู้ด้วย อตีตังสญาณ (หมายถึง ญาณหยั่งรู้ในส่วนอดีต) หรือ รู้ด้วย บุพเพนิวาสานุสติญาณ (หมายถึง ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เกิดในอดีตได้ ซึ่งคือ การระลึกชาติ ของตนเองได้) อะครับ
  
  ภาพที่ท่าน(ว่าที่พระยาธรรมิกราช)เห็นในขณะนั่งสมาธิ คือ ญาณ หรือ นิมิต อะครับ แยกให้ออกได้นะครับ (ผมว่าไม่ยากอะนะ สำหรับคนปฏิบัติรู้เรื่องฌานในมาธิอะ) ว่าภาพที่ปรากฏสิ่งไหนคือ ญาณ และสิ่งไหน คือ นิมิต (นิมิตก็แยกไปอีกเป็น นิมิตแท้[เป็นจริงแต่ไม่100%] กับ นิมิตเทียม[ปลอม])
  
  แต่ถ้าท่านรู้ด้วยญาณ 2 ญาณ ข้างต้นที่ผมบอก ผมก็ไม่เถียงอะครับ ว่าท่านคือ "พระยาธรรมมิกราช" แต่ความจริงผมอยากให้รู้ได้ด้วย บุพเพนิวาสานุสติญาณ มากกว่าอะครับ เพราะว่า ญาณนี้ทำให้รู้ถึงอดีตชาติของเรานับถอยหลังไปได้หลายชาติมากกว่า อตีตังสญาณ อะครับ (เพื่อความชัวร์อะนะ)
  
  แต่ถ้าท่านไม่ได้รู้ได้ด้วยญาณเหล่านี้ นั่นก็แปลว่า ท่าน "ไม่ใช่" อะครับ ท่านคือ "ตัวปลอม" อะนะ จงยอมรับกับตัวเองเสียเถิด เพราะว่า "พระยาธรรมิกราช" ท่านของจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นอะครับ และเลิกคิดไปเองเสียทีสำหรับคนที่คิดจะเป็นท่านอะนะ จะได้ไม่เสียสติและไม่บาปไปกว่านี้อะครับ (วิธีของผมนี้ใช้ดู พระโพธิสัตว์,พระปัจเจกพุทธเจ้า,พระเจ้าจักรพรรดิฯ ได้ด้วยอะนะ)
  
  และผมก็อยากจะให้ดูคลิป 2 คลิปนี้ ซึ่งกล่าวเกี่ยวลักษณะของพระยาธรรมิกราชเอาไว้อะครับ ว่าท่านจะมีต้องมีลักษณะอย่างไร และท่านจะมาตอนไหนอะนะ
  
  
  
  
  
  ปล. ผมอยากจะทิ้งท้ายอะไรให้ฟังซักหน่อย การที่ท่านคิดว่า ท่านทนต่อการด่าว่า ของคนอื่นโดยไม่หวั่นไหวในคำพูดเหล่านั้นเลยในโลกโซเชียล เช่น พวกเฟซบุ๊ค,ไอจี,เว็บบอร์ด ฯลฯ เหล่านี้นั้น มันไม่ได้ช่วยทดสอบการทรงกำลังจิตที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวของท่านเท่าไหร่หรอกอะครับ ก็เพราะว่าการด่าด้วย วาทะกรรมในโลกโซเชียล (อย่างเว็บบอร์ดแบบนี้) มันไม่ได้กระทบ
  ผัสสะ ทั้ง ๖ เท่าไหร่อะครับ มันประทบผัสสะ แค่ผัสสะเดียว คือ จักขุสัมผัส เลยไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่า ท่านได้ทรงกำลังของจิตท่าน
  ถึงขั้นต่างๆ (เช่น พระโสดาบัน,พระสกิทาคามี,พระอนาคามี และพระอรหันต์)อย่างที่ตัวท่านเข้าใจอะครับ ก็เพราะว่ามันเทียบไม่ได้กับของจริง ชีวิตจริงๆ (นอกจอ)ที่มีคนมายืนด่าชี้หน้าท่าน ด้วยคำ วาจาที่หยาบคาย,เหยียดหยามดูถูก,ยั่วโมโห ฯลฯ สิ่งนี้มันทำให้เจ็บกว่าในโลกโซเชียลเยอะอะครับ ก็เพราะว่า มันกระทบ ผัสสะ ได้เยอะกว่าและกระทบได้ตรงๆ จังๆ กับตัวเรากว่า ยังไงล่ะครับ มันจะเป็นตัวชี้วัดระดับจิตของท่านได้ดีกว่าในนี้มาก อะนะ จะได้รู้ว่าจิตของท่าน กระเพื่อม(น้อย,กลาง,มาก)หรือ นิ่งไม่กระเพื่อมเลย(ธรรมชาติของจิต เปรียบเสมือน "น้ำ") จะได้รู้แน่ชัดว่า"จิตเรา"อยู่ในระดับไหนอะครับ ส่วนพวกที่เป็นฝ่ายด่าว่านั้น ถ้าท่านอ้างว่าเพื่อเป็นการทดสอบ (ผมก็ไม่ขัดท่านอะนะ) แต่ผมอยากจะบอกแค่ว่า ถ้าท่านด่าโดยที่จิตท่าน ณ ตอนนั้น ไม่ได้คิดอะไรตามไม่ได้มีโทสะหรือคิดร้าย ต่อคนที่ท่านด่า ก็ถือว่าไม่มีอะไรที่ไม่ดีกับตัวท่านอะนะ แต่ถ้าท่านเอาจิตที่มีโทสะร่วมเข้าไปประกอบด้วยในคำด่าที่ท่านพิมพ์ไปนั้น มันก็เป็นดาบ 2 คม ที่กลับมาทิ่มแทงท่านด้วยอะนะ เพราะท่านก็มีสิทธิ์ที่จะหนีไม่พ้นอบายภูมิเช่นกันอะครับ (เพราะว่าการด่าทอ ถือว่า ผิดหลัก กรรมบถ๑๐ ทำให้ตกนรก เหมือนผิดศีล๕ได้เช่นกัน) ซึ่งผมมาพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ผมไม่ได้ยกยอถือตัวผมเอง ว่าเป็นผู้วิเศษคนมีบุญมาก หรือ บุคคลสำคัญ อะไร ที่ผมมากล่าวในสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อการเตือนทุกคนไม่ให้ประมาท ไม่ให้หลงในตนเองจนเกินไปอะครับ (เจตนาของผมมีเท่านี้จริงๆ) ในสิ่งที่กระทำไปแล้วก็ให้แล้วๆไปครับ แต่การกระทำในสิ่งใหม่ๆที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี่สิ สำคัญกับอนาคตของท่านมากกว่า เพราะพวกท่านในเว็บนี้ได้ชื่อ ว่าเป็น "นักปฏิบัติ" กันไม่ใช่เหรอครับ งั้นเวลาใดโอกาสมาถึงตัวพวกท่านแล้ว พวกท่านก็ต้องปฏิบัติให้ได้จริง ตามแนวทางคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ด้วยอะนะครับ

 

จูนิเบียววัยผู้ใหญ่ จุ๊ๆ จะเก่งคนเดียวไปทำไมถ้าคนรอบข้างไม่รับรู้ ต้องแบ่งเกมกดกันเล่นบ้างยุคนี้ เก่งเท่าๆ กันหมด ได้ไปลุยต่างดาวซะที

 

อยากได้ตำแหน่ง ผู้เสมอฟ้า
ก็ต้องทำความดี สร้างบารมี แลกเอา
ตอนนี้มีผู้ที่เข้าสอบเต็มไปหมด
แต่ส่วนมาก จะเป็นตำแหน่งทีมงาน
ของท่านมากกว่า

แต่แค่ตำแหน่งทีมงานก็ยังยากมาก
สอบกันจนไม่รู้จบ ไม่รู้วัน ไม่รู้คืน
รู้อย่างเดียวก็คือ เมื่อไหร่ที่เข้าสอบ
จะต้องทุกข์ทน จนแทบทนไม่ไหว
เราเองก็เกือบไม่รอด ตั้งหลายหน
บางครั่ง หมดหนทาง ก็อยากจะฆ่าตัวตายก็มี
แต่พอท่อง สรรพสิ่งเพียงสมมุติๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไปเรื่อยๆๆ กำลังใจ การตัด การปล่อยวาง
ก็กลับมาอีก เตรียมตัวสู้ได้ไหม่อีกรอบ

 

กฏของฟ้า มีอยู่ข้อหนึ่งว่า
ถ้าหาก ผู้เสมอฟ้า สอบไม่ผ่าน
กรรมการฟ้า ก็จะอัญเชิญ
ผู้ใดผู้หนึ่งที่อยู่ในทีมงานนี้
ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผู้เสมอฟ้า แบบรักษาการ
แล้วก็จะทำการคัดสรร ผู้เสมอฟ้า ไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะหาผู้ที่ ทะแกล้วกล้า
มีอำนาจบารมี และ รู้หน้าที่ของตนเองแล้ว
มาดำรงตำแหน่งหน้าที่ต่อไป
เพราะฉนั้น หากเนิ่นช้า รวบรวมคนได้ไม่หมด
อาจจะได้หลัง เกิดภัยภิบัติร้ายแรง แล้ว
เพราะไม่มีทีมงานที่คอยป้องกัน แบบสมบูรณ์
งานที่จะต้องทำ ก็จะเนิ่นช้าไปอีก
ยุ่งยากขึ้นไปอีก

ซึ่งจะทำให้ พยามาร รวบรวม บุคลากร
ได้มากกว่า ก็จะกุม สนามต่อสู้ ได้ต่อไป
พยามาร ย่อมต้องรู้วิธีนี้ดี
เพราะ พยามาร ก็เคยเข้าสอบมาก่อนเหมือนกัน
เรื่อง ผู้เสมอฟ้า ก็ย่อมจะทันกันด้วยนั่นเอง

 

น่าจะเหมือนรถแม่ทัพเข้าแดนข้าศึก ถ้าท่านจะลงมาเทวดาคงปล่อยจิตมาหลายๆดวงลวงๆกันไปถึงเวลาพวกเราตีกันท่านได้ออกมาทีเดียว

 

ใช่แล้วท่าน...ท่านคิดอย่างนั้นดีแล้ว ให้คิดเสียว่า โลกทั้งใบที่เราอยู่นี้ คือ ห้องเรียนของเรา ส่วนเรื่องต่างๆและผู้คนที่เข้ามามีผลกระทบกับใจและจิตของเรานั้น คือข้อสอบ ในรายวิชาต่างๆ ที่เราจะต้องทดสอบ เพื่อวัดคะแนนว่าเราจะได้คะแนนเท่าไหร่ เพื่อพิจารณาคะแนนอีกทีว่าเราจะได้เกรดอะไร ผ่านหรือไม่ผ่าน (ไปอยู่ภพภูมิไหนต่อ นรก,สัตว์,มนุษย์,สวรรค์,พรหม,นิพพาน) แล้วอาจารย์ทั้งหลายก็คือภพภูมิเบื้องบน ที่คอยสอนแล้วเวลาช่วงสอบก็ตรวจข้อสอบให้กับเรา ว่าเรา จะผ่านไม่ผ่าน (ไปอยู่ภพภูมิต่างๆ) อะนะ ขอให้ท่านมีขันติ ให้มากๆ เพราะขันติ(ความอดทน) จะเอาชนะ ทำข้อสอบปลายภาคที่ยากที่สุด นั่นก็ คือ "ชนะกิเลสมาร" นั้นลงอะครับ จะได้ผ่านไปสู่จุดหมาย นั่นก็คือ จบการศึกษา ไปถึงยังดินแดน นิพพานนั้นได้อะนะ

 

สำหรับผมคิดว่าเราเรียนกัน ๕ ปีครับ

มีคนบอกผมมาว่า
ใครได้-d จะพาไปแค่-c
ใครได้-b จะพาไปเป็น-a

มันสนุกตรงที่ว่าพวกเรากำลังจะสอบมิดเทอมกันครับ ใครได้-d รอบนี้ รอบหน้าจะได้ born to be แล้วเมื่อสอบไฟนอลพวกเรา-เป็นa แน่ครับ
ส่วนใครไปเร่งทำ-d เอารอบหน้าสอบไฟนอลก็จะได้แค่-c ครับ

 

ภาพปลากรอบ จาก ทวิตตี้

 

อุ้ยส์

ผิดห้อง.....

 

อดีต อนาคตญาณ แปลคือได้เป็นผู้นั่งในไทม์แมชชีน

 

ก็ประมาณนั้นล่ะครับ....แต่ที่นั่งไปนี่คือจิตไปส่องดู แต่กายเราไม่ได้ไปด้วย แต่ถ้าเกิดกายไปอยู่ด้วยสำหรับเหตุการณ์ในอนาคต นั้นก็คือ ปรากฏการณ์ "เดจาวู" ซึ่งผมก็เป็นบ่อยเหมือนกันอะนะ

 

ขอบคุณที่เตือนคับผม แต่ไม่คิดว่าเป็นเขาหรอกคับ

ไม่อยากเหนื่อย เอิ้กๆ

 

ผมอยากจะให้ดูรายการทาง เว็บ Youtube นี้อะครับ (ผมดูทุกวันหลังเลิกงานเลย) เป็นรายการที่เข้าทางผมอะนะ ผมชอบในเรื่องลี้ลับ(อจินไตย) แล้วก็บุคคลที่มีพลังพิเศษที่ช่วยเหลือบรรเทาทุกให้กับคนแล้วก็พวกเหล่าวิญญาณกายทิพย์ทั้งหลายอะนะ ตอนนี้ผมจะยกมาให้ดูตัวอย่างซักตอนอะครับ(แบ่งเป็น 4พาร์ท) จะให้ดูว่า ผู้หญิงที่ชื่อเล่นว่า "ส้ม"คนนี้ เธอมีพลังพิเศษที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิดเลยอะครับ(ซึ่งในรายการนี้พิธีกรจะใช้คำจำกัดความ "เหล่ามนุษย์X-men" ที่มีพลังพิเศษเหนือมุนษย์ทั่วไป) ผมดูเธอรวมๆแล้ว รู้สึกว่าเธอคนนี้ค่อนข้างที่จะมีพลังจริงๆของแท้อะนะ ไม่คุยโอ้อวดโชว์ตนเหนือใคร แล้วผมคิดว่า คุณส้ม คนนี้เธอได้ ญาณ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 ถึง 3 ญาณเลยทีเดียว คือ

1) ทิพยจักขุญาณ = คือ รู้ในด้านก่อนการมาเกิดและอุบัติขึ้นของตนเอง(เห็นว่าตนเอง ก่อนเกิดมาจากที่ใดและลักษณะก่อนมาเกิดเป็นยังไง,แล้วก็เห็นนรก,สวรรค์ฯได้)

2) เจโตปริยญาณ = กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ (ซึ่งก็เห็นได้จากตัวอย่าง เธอเห็นภาพความคิดของพิธีกรได้)

และ

3) อตีตังสญาณ = ญาณหยั่งรู้เรื่องในอดีตของบุคคลนั้นๆ(ซึ่งในตอนนี้ไม่มี แต่ว่าถ้าไล่ดูตอนต่อไปเรื่อยๆ ประมาณตอนที่ 13 อะครับ เธอใช้ญาณนี้เห็นอดีตกรรมของวิญญาณที่มาเกี่ยวพันกับแขกรับเชิญได้)

ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆเลยนะครับ นี่สิถึงจะ เรียกว่า ผู้มีบุญอะนะ

 

แบบ ฝึกหัด สัจจ๊ะ บารมี ส่งตรง สีสะเกตุ

ปล. ยังขาดความสมบูรณ์ ตรงที่ ขาด === หนุมาน ===

 

หลักการสอนปฏิบัติ ดีๆ มีประโยชน์อย่างยิ่ง

 

ปล่อยวาง คือ บรรลุธรรม
ท่านปล่อยวางได้บ้าง ก็เป็น โสดาบัน
ท่านปล่อยวางได้ทั้งวัน ทุกวัน ท่านก็เป็น พระอรหันต์
ท่านปล่อยวางเอง ท่านก็บรรลุธรรมเอง
ฝึกเอง ปล่อยวางเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก
ท่านทำได้ ท่านก็รู้เอง

แบบนี้จึงจะเรียกว่า การรู้เองแบบพระอริยะเจ้า