ปุจฉา - วิสัชนา ** ท่านพุทโธ ว.ญาณ***

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย MayBuddhaBlessYou, 15 กรกฎาคม 2019.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    [​IMG]บุญกุศลที่เราทำแบบมีสติมีชัยชนะเหนือความเจ็บปวด ก็เป็นบุญกุศลอย่างมากมายอยู่แล้ว ตัวนี้ก็จะเป็นตัวมาหนุนเราเช่นเดียวกัน ปิดประตูอบายภูมิ 4 นี่ปิดอย่างนี้แล้วทำไมไม่ทำความเพียรปิดประตูอบายภูมิตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหล่ะ ตั้งสติให้มันได้ รู้ลม รู้องค์บริกรรมต่อเนื่องให้มันได้ตลอดเวลา เมื่อมันมีสติแล้วมันจะรู้เรื่องอาการของจิต เมื่อมันมีความเจ็บปวดขึ้นมา ก็รู้เท่าทันมัน จึงจะได้รู้จักทุกข์อย่างแท้จริง หากนั่งอยู่ไม่รู้ลมเข้าไม่รู้ลมออก ไม่รู้องค์บริกรรมภาวนาแล้ว มันจะเกิดประโยชน์อะไร ชีวิตของเรานี้มันสั้นนัก หากไม่เพียรพยายามทำความเพียรทำความดีของเราให้เป็นปกติ สม่ำเสมอให้ได้ทุกวันแล้ว ก็ยังเชื่อได้ว่าเป็นบุคคลที่ประมาทต่อภพชาติ มีโอกาสเกิดมาเป็นคนสามารถสร้างมรรคผลนิพพาน ทำได้สุดๆ อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำได้อยู่แล้ว นี่คือศักยภาพสูงสุดของความเป็นมนุษย์สามารถทำได้ ถ้าสามารถทำความเพียรได้ปกติสม่ำเสมอ ตามที่ได้แนะนำนี้ เรียกว่าทำความเพียรเสมอซึ่งลมหายใจเข้าออกความดีก็เกิดขึ้นได้ตลอดทุกวัน แม้ไม่ได้มาวัดที่วาก็ยังสามารถสร้างบุญสร้างกุศลที่กายที่ใจของเราได้ตลอดเวลา จิตจะได้ไม่ต้องไปดิ้นรน มีโอกาสมาทำบุญกับพระสงฆ์องค์เจ้าเพื่อเป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนาก็ต้องมาเพราะเราได้ชื่อว่าเป็นพุทศาสนิกชน จึงจำเป็นที่จะต้องทำตามลูกหลานให้ได้เห็น เพื่อที่จะได้เจริญรอยตามพวกเรา พุทธศาสนาจะได้เจริญสืบทอดต่อเนื่องไปยังลูกหลานเหลนโหลนของเราในภายภาคหน้า ถ้าเราทำได้อย่างนี้ เวลาที่จะเสียไปเปล่าๆ นั้น

    แม้ในเวลาหลับในอิริยาบถของการนอนนั้น ก็ทำเช่นนี้ททความเพียรจับลมหายใจองค์บริกรรมภาวนาอยู่ตลอดเวลา หากเรามีสติไม่หลับไปก่อน เราก็ชื่อว่าเป็นผู้มีสติดำรงอยู่ได้ทำความเพียรในอิริยาบถนอนได้สมบูรณ์ หากถึงเวลานอนถ้าเห็นว่ามันดึกมากเกินไปเราก็กำหนดหลับภาวนากำหนดไปจนกว่าจะหลับ นี่เค้าเรียกว่าทำความเพียรในอิริยาบทนอนนี้เราก็สามารถทำได้ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะสืบเนื่องตลอดเวลา สติใครดีก่อนจะหลับให้มีสติรู้ตัวก่อน อย่าให้มันหลับก่อนที่จะกำหนดจิตรู้ ตื่นขึ้นมาก็มีสติรู้ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ นี่เค้าเรียกว่าการทำความเพียรยิ่ง สภาพของพุทธโธกับลมหายใจแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อเริ่มตื่นขึ้นมามีสภาพที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ตั้งใจ ถ้ามันจะทำให้ได้อย่างนี้จำเป็นที่จะต้องทำความเพียรให้ได้สืบทอดต่อเนื่องตลอดเลา มีจิตใจจดจ่อมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา ความเพียรตัวนี้จะเป็นความเพียรอัตโนมัติเกิดขึ้น แม้ไม่ตั้งใจมันก็ภาวนาให้เรา พอรู้ถึงลมหายใจพุทธก็แนบแน่นไปกับลมหายใจเข้าหายใจออก ระลึกรู้ถึงองค์บริกรรมภาวนาพุทธโธ ลมหายใจนึกว่าพุทธ ลมหายใจออกนึกว่าโธ มันก็ทำเป็นอัตโนมัติของมัน นี่คือผลของการกำหนดลมหายใจสืบเนื่องตลอดเวลา เอาใจใส่ในเรื่องกายเรื่องใจของเรามันจะดีขนาดไหน จากเมื่อก่อนนี้เราตั้งใจจงใจในการทำความเพียร ถ้าไม่ตั้งใจบุญก็ไม่เกิด สติก็ไม่เกิด แต่เมื่อเราความเพียรบ่อยๆ ความเพียรเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เป็นบุญเกิดขึ้นแม้เราไม่ตั้งใจ แต่ตัวนี้จะเป็นตัวที่ทำให้เราตั้งใจทำความดียิ่งขึ้น เพราะว่าเราเห็นผลของการปฏิบัติ
     
  2. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    4.jpg
    เมื่อเราเห็นผลของการปฏิบัติอย่างนี้ เราต้องเพิ่มความเพียรของเราทำความเพียรของเรายิ่งขึ้น เพราะเห็นช่องทางของการปฏิบัติเพราะเห็นผลของการปฏิบัติ เห็นวิธีการสร้างความดีทำความดีได้โดยง่าย เพียงมีแค่กายแค่ใจของเราเท่านั้นก็สามารถทำความดีเกิดขึ้นได้แล้ว นี่คืออริยะทรัพย์ภายใน ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เกิดขึ้นกับเราแล้ว ทรัพย์ตัวนี้ไม่มีวันเสื่อมสลาย ทรัพย์ตัวนี้ไม่เสื่อม ทรัพย์ตัวนี้ไม่มีใครที่จะขโมยของเราไปได้ รอวันที่จะเปิดเผยตัว ในวันที่ภพชาตินั้นอำนวยแก่เรา ไม่ว่าจะเดินอยู่ที่ไหน ไปที่ไหน ไม่ว่าจะเดินอยู่ป่าเขาลำเนาไพร ไม่ต้องไปหวาดกลัวสัตว์ร้ายหรือผีสางทั้งหลาย บุคคลที่มีพุทธโธอยู่เนืองนิตย์ประจำกายประจำจิต จิตจะไม่ส่งออกนอกไป จิตของเราไม่หวาดกลัว จิตของเราจะไม่สะดุ้งสะเทือนจิตของเราจะมาสงบรู้อยู่ที่กายที่ใจของตน บุคคลที่หวาดกลัวสะดุ้งสะเทือเรื่องผีสางนางไม้ หวาดกลัวเรื่องโจรขโมย นั่นเป็นจิตใจของบุคคลที่ส่งจิตออกนอกกายนอกใจของเรา หากเราภาวนาพุทธโธ มีสติอยู่กับกายกับใจของเราอยู่ตลอดเวลา แม้จะตายลงไปก็ตายไปด้วยความมีสติสัมปชัญญะไม่ตายไปด้วยความหลงสติ ภพภูมิของเราย่อมต้องไปสู่สุคติภพอย่างแน่นอน หากตายไปแบบไมมีสติย่อมมีภพภูมิที่ไปอย่างอับเฉา อดสู

    ดังนั้นเมื่อมาทำความเพียรแล้ว มาทำความเพียรเพื่อหมายเอาความดี ก็จงพยายามทำความเพียรนั้นทำดีให้ถึงดีให้ได้ เพื่อที่ว่าจะได้เอาความดีกลับไปสมใจอยาก สมใจปรารถนาของเรา เพราะว่าวันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันพระ เราได้สละกายสละใจของเรามารักษาศีล ปฏิบัติธรรม หมายมาเอาบุญจากการที่เราสละกายสละใจนี้มาปฏิบัติทำเพื่อหมายเอาบุญที่ลานธรรมแห่งนี้ แต่ผู้พูดก็ไม่สามารถให้บุญให้กุศลแก่พวกเราได้ ถ้าอยากได้ก็ต้องประพฤติปฏิบัติเอาเองใครตั้งสติได้มากกว่าผู้นั้นย่อมได้บุญมากกว่า ใครมีสติระลึกรู้ถึงลมหายใจได้น้อยกว่าย่อมได้บุญน้อยกว่า อยู่ที่กำลังจิตกำลังกายของเรานี่แหล่ะที่ว่าใครจะทำได้มากกว่ากัน ไหนๆ ก็มาที่นี่แล้ว สละเวลาที่จะอยู่บ้านเฉยๆ มาเอาบุญ ก็ให้นำบุญกลับไปบ้านให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่าคิดว่ามาวัดแล้วยังงัย ๆ ก็ได้บุญอยู่ดี อย่างนั้นคิดผิด บุญเกิดขึ้นจากการเห็นถูกคิดถูกตามความเป็นจริง บุคคลที่จะเห็นถูกรู้ถูกตามความเป็นจริงต้องเป็นบุคคลที่มีสติสัมปชัญญะเท่านั้น คือให้รู้ลมเข้าลมออก ลมเข้าก็รู้ชัด ลมออกก็รู้ชัด ไม่มีความลังเลสงสัยในลมหายใจว่า ลมหายใจนั้นเป็นลมหายใจเข้าหรือเป็นลมหายใจออก นี่แหล่ะที่เรียกว่าสติสัมปชัญญะที่เราสามารถกอบโกยเอาบุญกุศลนั้นไปได้ อยู่ที่กำลังกายกำลังใจของเรานี่แหล่ะ การนั่งที่เอาแต่ความสุขไม่รู้จักทุกข์ สภาพรู้ของกายไม่เกิด สภาพความเจ็บปวดต้องเกิดเมื่อมีสติสัมปชัญญะ เพราะสติสัมปชัญญะหมายถึงรู้สึกตัวทั่วพร้อม รู้ในเรื่องของกาย เพราะไม่มีสติความเจ็บปวดของกายมันก็ไม่รู้เพราะมันไม่เกิด เพราะเมื่อมีสภาพสุขเข้ามาแทนที่เสียแล้วมัยจึงพอใจ ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่าถ้านั่งไปนานๆ สภาพของธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม นั้น ย่อมมีความแปรปรวน ย่อมเกิดขึ้นทางกาย เราหมายถึงความเจ็บปวดนั่นเอง ความเจ็บปวดก็คือทุกข์ ถ้าไม่รู้จักทุกข์แล้วมันจะดับความเจ็บปวดได้อย่างไร เมื่อมานั่งก้อย่าเอาแต่ความสุขในสมาธิ เมื่อมานั่งก็ให้รู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก
     
  3. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    การที่รู้ลมหายใจเข้าลมกายใจออกนั่น ให้รู้ว่าการหายใจเข้าไปที่สุดของมันมันต้องดับก่อนลมหายใจออกก่อนมันจึงจะออกมา เมื่อลมหายใจไปสุดแล้วดับก่อน ลมหายใจเข้ามันจึงจะเกิดขึ้น นี่คือคนที่มีปัญญาแล้ว เข้าถึงสภาพถึงความเป็นไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นความเกิดดับของลมหายใจเข้าลมหายใจออก ถ้ารู้ได้อย่างนี้แสดงว่า ภูมิวิปัสสนาเกิดขึ้นแล้วกับบุคคลผู้นั้น เพราะเป็นขั้นของปัญญาหรือวิปัสสนา อย่าเอาความสุขของสมาธิ มาปิดตาปิดใจของเรา เรานั่งเพื่อให้รู้จักทุกข์ ไม่ใช่ให้มานั่งอยู่ในกองสุข ให้สุขในสมาธินั้นมากล่อมเรา ถ้านั่งอย่างนี้มันก็ไม่รู้จักทุกข์ ต้องนั่งให้รู้จักทุกข์อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านรู้จักทุกข์ท่านจึงรู้จักเหตุแห่งทุกข์ รู้ความดับทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ถ้านั่งอย่างนี้สวนทางกับพระพุทธเจ้า ถ้าใครนั่งอย่างนี้เอาความสุขในสมาธิหน้าเดียวอย่างนี้ ความสุขนี่แหล่ะจะเป็นกรงขังของเรา ก็คือภพชาตินั่นเอง หนีไม่พ้นภพชาติ เพราะความสุขนี่แหล่คือภพชาติเพราะเรายึดถือความสุขนั่นเอง อยากได้ภพชาติใช่มั๊ย นั่นแหล่ะก็นั่งเอาความสุขไป มันหนีไม่ออก เพราะมันชอบแต่ความสุข สภาพคิดที่ให้เรารู้ถูกเห็นถูกนั้นมันไม่ให้เราคิดหรอก เพราะคิดแล้ว เพราะมันเกิดความฟุ้งเกิดความหงุดหงิดขึ้นมา มันเอาแต่ความสุขหน้าเดียวอย่างนี้ ถ้าไม่เรียกว่าภพ แล้วจะเรียกว่าอะไร ภพคือการเกิด คือสถานที่เกิดของดวงจิตดวงวิญญาณของแต่ละภพ 31 ภพภูมินั่นเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เทวดา อินทร์ พรหม แม้ว่าจะดีแค่ไหนก็ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด หาความดับทุกข์อย่างแท้จริงไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าเกิดที่ว่าจะไม่ตายไม่มี ขึ้นชื่อว่าเกิดแล้วที่จะประสพกับความผิดหวังกับความทุกข์นั้นย่อมไม่มี ดังนั้นการประพฤติปฏิบัตินั้นจำเป็นจะต้องปฏิบัติเพื่อการดับภพดับชาติ ปฏิบัติเพื่อความสุขในปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ หากเราไม่สามารถที่จะดับภพดับชาติได้ บุญอันนี้แหละที่จะคอยหนุนเราอยู่ตลอดเวลา ความสุขที่แท้จริงคือการไม่กลับมาเกิดอีก เหตุเพราะเกิดนี่แหล่ะ จึงมีแก่ มีเจ็บ มีตาย ดังนั้นการประพฤติปฏิบัติจุดประสงค์สูงสุดในพระพุทธศาสนาก็คือเข้าสู่พระนิพพานนั่นเอง
     
  4. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    5.jpg
    อย่ามาหมายเอาความสุขแค่ปัจจุบันชาตินี้เลย ภพชาติไม่ดับยังจะต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแม้จะต้องไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ก็ตาม ภพชาติยังไม่จบ เป็นพรหมนี้อายุเป็น 8หมื่น เป็นแสน เป็นล้านปี ยิ่งอรูปพรหมแล้วยิ่งละเอียดใหญ่ อายุเป็นล้านๆ ปี ไปเสียเวลาอยู่บนนั้นกันทำไม รีบตัดภพตัดชาติในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในภพของมนุษย์นี่แหล่ะ ขณะที่มีลมหายใจนี่แหล่ะ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าคิดถูกเห็นถูก คิดอย่างนี้ถือว่าเป็นบุคคลที่ประเสริฐแล้ว เพราะว่าคิดถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงที่ว่า ไม่ว่าจะไปเกิดในภพภูมิของเทวดา อินทร์ พรหมแล้ว ก็ยังไม่สิ้นภพชาติอยู่ดี จงให้รีบทำความเพียรให้ถึงที่สุดในลมหายใจที่เราจะมีอยู่ไม่กี่มากน้อยนี้ ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดให้ตั้งใจว่า ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ตั้งแต่ต่อไปนี้ เราจะกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก จะกำหนดรู้สติในลมหายใจเข้าออก หายใจเข้านึกว่าพุทธ ลมหายใจออกนึกว่าโธ จะทำอย่างนี้ตลอดเวลาเสมอซึ่งลมหายใจให้ได้ แม้ไม่ถึงมรรคผลนิพพานซักเพียงใด เพราะว่าเวลาของเรามันสั้นแล้ว แต่มันก็กลายเป็นอริยะทรัพย์คือทรัพย์ภายในของเรา หากวาสนาบารมีพอ อาจจะตกกระแสพระนิพพานขั้นหนึ่งขั้นใดก็ได้เพราะความเพียรตลอดเวลา ความเสมอซึ่งลมหายใจนั้น มันจะมีช่องว่างที่จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในกิเลส ตัณหา อุปาทานได้อย่างไร จงเพียรมีสติมันจึงวางได้ซึ่งความเป็นตัวกูของกูได้ ให้มารู้อยู่ที่กายของเรานี่แหล่ะ ให้มารู้อยู่ที่ความเป็นตัวกูของกูให้ได้ ของกูก็จะไม่เกิด เพียรตัดอยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหล่ะเป็นพอ ของใครของมัน ตัดกายได้เดี๋ยวนี้ความสุขก็เกิดขึ้นได้เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เป็นความสุขธรรมดา เป็นความสุขของพระอริยะเจ้า เพราะว่าจัดกายได้ ไม่มีความเป็นตัวกู ของกูไม่มี ความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวกูก็ไม่มี และของกูจะมีได้อย่างไร ตัดแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง อุปาทานทั้งหลายไม่เกิดขึ้นอีกแล้วเพราะรู้จักของจริงตามความเป็นจริง ส่งคืนสู่สภาพเดิมตามความเป็นจริงของธรรมชาติ จิตเมื่อมันปราศจากอุปาทานแล้ว เมื่อดับขันธ์ลงไป ธาตุดินคืนสู่ธาตุดิน ธาตุน้ำคืนสู่ธาตุน้ำ ธาตุไฟคืนสู่ธาตุไฟ ธาตุลมคืนสู่ธาตุลม อากาศธาตุทั้งหลายคือที่ว่างทั้งหลายก็คืนสู่อากาศธาตุ จิตของเราก็คืนสู่วิญาณธาตุ เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
     
  5. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    เหตุที่มันไม่ธรรมชาติ เพราะว่ามันมีความยึดถือ กายและจิตไม่ใช่ของเราอีกต่อไป จิตก็เป็นจิตที่ส่งคืนสู่วิญาณธาตุที่เค้ามีอยู่แล้วตามธรรมชาติ จิตไม่ใช่ของเรา กายก็ไม่ใช่ของเรา หาสัตว์ ตัวตนบุคคลเราเขาไม่ได้เลย เมื่อส่งคืนสู่ธรรมชาติแล้วปราศจากความยึดถือใด ๆ ก็ได้ชื่อว่าบุคคลผู้นั้นสิ้นแล้วซึ่งอาสวะกิเลส ภพชาติสิ้นแล้ว ดับไปแล้ว ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว ดับไปแล้ว นี่คือยอดความปรารถนาสูงสุดของคนที่ดิ้นรนเข้าไปหาความสุขอย่างแท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องกลับมาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตายอีกนั่นเอง ดับจงดับในอุปาทานให้ได้ ความยึดถือในรูปในนามทั้งหมด ความยึดถือว่าเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างทั้งหลาย สุขก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มี เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว สุขก็ไม่มีทุกข์ก็ไม่มี ทุกข์ก็เป็นสมมุติบัญญัติตัวหนึ่ง สุขก็เป็นสมมุติบัญญัติตัวหนึ่งโลกนี้เป็นของว่าง โลกนี้ไม่มีอะไรแล้วจะให้มันทีอะไรในสิ่งที่ไม่มีอะไรได้อย่างไร สิ่งที่มีอยู่แล้วเพราะมันมีอยู่ตามธรรมชาติ เหตุที่มันมีเพราะสมมุติบัญญัติเข้าไปกำกับมันต่างหาก ว่าสิ่งนั้นมีสิ่งนั้นเป็น แล้วเราก็เข้าไปยึดถือว่าสิ่งนั้นมันมี สิ่งนั้นมันเป็น จริงๆ มันไม่มี ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ จิตวิญญาณก็ไม่มี มีได้เพียงสมมุติ สิ่งเหล่านั้นมันมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ มันไม่มีชื่อไม่มีแซ่ ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไร ที่มันเรียกได้ เข้าใจกันได้ ขานกันได้ โดยสมมุตบัญญัติเท่านั้น เหตุที่เรารู้ เราทุกข์เพราะสมมุตบัญญัติ รู้แล้ว เห็นแล้ว วางกันไม่เป็น เรียกว่าวางสมมุตบัญญัติกันไม่เป็น ไม่เข้าใจเรื่องสมมุตบัญญัติ ไปยึดเอาสมมุตบัญญัติสิ่งที่ไม่มีกลับมี สิ่งที่ไม่เป็นกลับเป็นขึ้นมา

    โลกนี้จึงอุบัติมาเพราะอุปาทานนี่เอง ตัวเราก็ไม่มี เหตุที่มีก็เพราะมีการประชุมตัวเฉพาะกาลของธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม โลกนี้จึงเป็นโลกที่ว่างเปล่า ไม่มีสภาพใดๆ ทั้งสิ้น ที่มีก็มีแต่สภาพที่ยึดถือเอา ยึดถือเป็นเท่านั้น แต่จะมีใครซักกี่คนที่รู้เท่าทันสมมุตบัญญัติ แล้ววางสมมุติบัญญัติ แล้ววางสมมุตบัญญัตินี้ให้เป็นสิ่งที่ว่างเปล่า นอกจากพระอริยะเจ้าเท่านั้นแหล่ะที่จะสามารถเข้าไปถึงสภาพเหล่านี้ได้ และมีความเข้าอกเข้าใจทั้งหมดทั้งสิ้นจริงๆ ว่าโลกนี้เป็นของว่างจริงๆ เหตุที่มีก็เป็นแต่เพียงสมมุติบัญญัติที่เข้าไปยึดถือเท่านั้น ตัดความเป็นตัวกูให้ได้ ให้มาเข้าใจว่าการเป็นตัวกูของกูนี้ว่ามันไม่มีนั่นแหล่ะ พยายามตัดมันให้ได้ตรงนั้น พยายามเพียรให้เป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้ได้ อย่ามัวส่งจิตไปนอกกายนอกใจ ขุมทรัพย์ที่สำคัญที่สุดประเสริฐที่สุดที่เราจะต้องรู้ให้ได้ก็คือกายของเรา คือป่ามหานครกายของเรามาจำแนกแยกแยะให้เห็นถึงความเป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้ได้ เนื้อ หนัง มังสัง เนื้อ ขน เล็บ เอ็น กระดูก จนมาถึงเยื่อในสมองศรีษะ เรียกว่าธาตุดิน ปุพโพ น้ำหลือง โลหิตตังน้ำเลือด เสโทน้ำเหงื่อ เมโทน้ำมันข้น จนมาถึงน้ำมูก จนมาถึงนำปัสสาสะ นี่เรียกว่าธาตุน้ำ ในอาการ 32 พิจารณาให้เห็นถึงความเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ พิจารณาให้เห็นลมเข้าลมออก นี่แหล่ะ นี่คือธาตุลมธาตุลมดับไปก่อน ธาตุไฟจึงดับตามมาภายหลัง ต่อมาก็คือธาตุน้ำที่จะต้องดับคืนสู่สภาพเดิมตามความเป็นจริงของเค้าและท้ายที่สุดคือธาตุดิน ที่ชื่อว่าธาตุดิน ธาตุดินนี้ไม่ช้าไม่นานมันก็แตกสลายจมดินเช่นเดียวกัน ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งแข็งแรงขนาดไหน ไม่ว่ามันจะเป็นฟัน เป็นกระดูก โครงกระดูกของเราทั้งหลาย มันต้องแตกจมดินลงไปอย่างแน่นอน จึงบอกว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนังนี่คือธาตุดิน เพราะว่าท้ายที่สุดมันก็ต้องจมดินลงไป คืนสู่สภาพเดิมไปในที่สุด เมื่อแตกแยกกันถึงขนาดนี้แล้วเราจะเห็นได้ว่าหาอะไรที่เป็นของเราไม่ได้เลย มีแต่ความว่างเปล่า เราไปยึดเอาความว่างเปล่าว่าเป็นตัวเรา ไปยึดเอาธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม มาเป็นของเรา ของเราจะมีมาแต่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ความว่างเปล่า จะเอาอะไรมามีอะไร ให้มีอะไรมาได้อย่างไร
     
  6. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    ขอให้พิจารณาด้วยความมีปัญญาของเรา เพราะขณะนี้ทุกคนก็ทำความเพียร มีสติสัมปชัญญะรู้ลมเข้ารู้ลมออก ทุกคนพยายามตั้งสติของตนเองให้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา จงพิจารณากลับมากลับไป จากบนลงล่างจากล่างขึ้นบน ดูซิว่ามันมีอะไรเที่ยงบ้าง มีอะไรบ้างที่มันสวยมันงามบ้าง ไม่มีใครที่อยู่ค้ำฟ้าจงพิจารณาด้วยความเป็นกลางก่อนที่จะตายไป อย่าให้มันตายไปแบบไม่มีความรู้ใดๆ ไม่มีสภาพรู้ถึงความเป็นจริงใด ๆ จงหมั่นพิจารณาให้ตาสว่าง จะได้รู้ว่าของจริงนั่นจำเป็นที่จะต้องมาพิจารณาลงที่กายนี่แหล่ะ เป็นการตัดทุกสิ่งทุกอย่างได้ เข้าใจกายถึงความเป็นจริงคือธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้ว จึงจะได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่รู้ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ให้มันรู้ความเป็นจริงก่อนตาย พิจารณาให้เนืองๆ ที่กายของเรานี่แหล่ะ ไม่ต้องไปดูที่ไหน ไม่ต้องไปขอให้ใครมานั่งเป็นโครงกระดูกเป็นกายให้เราดู หลับตาแล้วพยายามโน้มพิจารณาที่กายของเรานี่แหล่ะ ระลึกได้เท่าไหร่ก็สามารถเห็นตามความเป็นจริงได้ในขณะนั้น วันๆ ก็ครุ่นคิดแต่เรื่องกายของเรานี่แหล่ะ จะได้ลดความยึดมั่นถือมั่น ไม่ต้องไปดูกายของคนอื่นหรอก ของผู้อื่นนั้นมีมากมายเสียเหลือเกิน ดุที่กายของเรานั้นดูได้ตลอดเวลา ดูให้มันรู้แจ้งเห็นจริง กายของเราจิตของเรานี่ ดูให้มันเกิดกลายเป็นปัญญาขึ้นมา จึงจะได้เข้าถึงความเป็นจริงของธรรมชาติ ตายไปจิตจะได้ไม่เศร้าหมองเพราะว่ามันคลายจากความยึดมั่นถือมั่นไปแล้ว ภพภูมิของเรา หากแม้จะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดใหม่ ก็จะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี

    โงกง่วงก็พยายามเร่งองค์บริกรรมภาวนาให้มีสติ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ก็จะให้ออกจากความเพียรใครที่สามารถนั่งอยู่ในท่าเดิม ทนต่อความเจ็บปวด จะได้เห็นความเจ็บปวดนั้นมีความเกิดดับ เกิดดับใครนั่งได้ถึงขนาดนั้นก็ได้เห็นถึงความเป็นจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นของที่น่ากลัวอะไร เพราะท้ายที่สุดของความเจ็บปวดนั้นมันก็ดับ หากเรามีขวัญกำลังใจที่ดีมีความอดทนที่ดี ย่อมชนะมันอย่างแน่นอน อย่าไปอ่อนแอกว่ามัน ชนะมันแล้วก็ต้องชนะมันอีก รู้จักมันแล้วก็ต้องรู้จักกับมันอีก เรื่องความทุกข์ความเจ็บปวดนี่ ทำแล้วทำเล่า เจ็บแล้วเจ็บเล่า เจ็บจนรู้จักมันดีว่า มันก็คือสภาพไม่เที่ยงนั่นเอง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ต่อไปเมื่อมีความเจ็บปวดขึ้นมา มันจะได้ทน เพราะว่าเรารู้จักมันแล้วนี่ ถ้าเราบอกว่าเราสร้างวิริยะบารมี ขันติบารมีได้เต็มภูมิแล้ว เราย่อมมีจิตใจที่เหนือมัน มันก็ไม่สามารถที่จะมาสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้เราต้องมากังวลในเรื่องของการเจ็บปวดนั้น
     
  7. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    6.jpg
    การเจริญวิปัสสนาทางปัญญาต้องวางกายให้ได้เสียก่อน หากวางกายไม่ได้แล้ว จิตก็ยังเป็นห่วงเป็นพะวงอยู่ การเจริญวิปัสสนาทางปัญญาก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นแก่ผู้นั้นฉะนั้นจงพยายามเพียรพยายามมีจิตอยู่เหนือความเจ็บปวดให้ได้เสียก่อน เมื่อจิตมันวางความเจ็บปวดได้ก็คือวางกายได้แล้ว จึงสามารถที่จะยกระดับจิตของเราขึ้นไปสู่ภูมวิปัสสนาได้ ความเจ็บปวดไม่ใช่ทำแค่ครั้งเดียวก็จะชนะ ความเจ็บปวดมันก็ยังคงมีอยู่นั่นแหล่ะ ถ้าเราทำบ่อยๆ มันกลับทำให้เรามีสติสัมปชัญญะขึ้นมาได้ เพราะระลึกถึงความเจ็บปวดว่า ความเจ็บปวดนี้ยังมีอยู่ ได้ชื่อว่าเรายังมีสติอยู่กลับกลายเป็นของดี กลับกลายเป็นเครื่องส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติของเรา ไม่ให้หลงลืมสติมีความเจ็บปวดนี่แหล่ะ ที่จะทำให้เรามั่นใจว่า เราไม่หลับในขณะที่ทำความเพียร เราไม่หลงลืมสติขณะที่ทำความเพียร ฉะนั้นใครมานั่งเสียเวลาอยู่ ณ ลานธรรมแห่งนี้ หรือไปนั่งที่ไหนๆ ก็พยายามตั้งสติให้มันได้บุญมันจะได้เกิด อย่าไปเข้าใจผิดว่านั่งได้นานๆ นั่งยังงัยก็ได้ขอให้นั่งได้นานๆ แล้วมันจะเกิดบุญกุศลทุกครั้งนั้น เป็นไปไม่ได้ ให้คิดใหม่ทำใหม่ นั่งให้รู้กายรู้จิตอยู่ตลอดเวลา อย่าไปนั่งแบบไม่รู้กายไม่รู้จิตบุญกุศลไม่เกิด อย่างงั้นเค้าเรียกว่าหลับในท่านั่ง แทนที่จะไปหลับในท่านอน เปลี่ยนอิริยาบถนอน เปลี่ยนเป็นนอนในอิริยาบถนั่ง แล้วมันจะเดบุญกุศลได้อย่างไรถ้ามันไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่ต่างอะไรกับการไปนอนอยู่เฉยๆ เค้าอาศัยสตินี่แหล่ะเป็นตัวบ่อเกิดของปัญญา นั่งอยู่ที่บ้านก็ขอให้นั่งกันได้อย่างนี้ ที่นั่งหลับนั่งลืมตอนแรกก็ตั้งสติกันได้ดี เพราะรู้ว่านั่งหลับไปบุญกุศลไม่เกิด เสียสละมาแล้ว บุญไม่เกิดนี่ เสียเวลาเปล่าๆ พยายามเพียรตั้งสติให้ได้บุญจะได้เกิดจะได้สมใจอยาก ที่มาทำบุญแล้วได้บุญ
     
  8. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    ต่อไปนี้ จะให้ทำการแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ ให้กับญาติของเรา ให้อยู่ในท่าเดิมนั่นแหล่ะ ให้อยู่ในท่าสมาธิเหมือนเดิม ให้ว่าตามในใจ “ ขอบุญกุศล ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำความเพียร ณ วันมาฆบูชา ณ ลานธรรมอรกันตาหน่อแก้วฟ้า ฯ แห่งนี้ ขอถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆะบูชา และขอน้อมถวายให้องค์ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ขอถวายให้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และขอให้บุญกุศลส่วนนี้ จงเป้นพลวะปัจจัยหนุนส่งให้ข้าพเจ้า สู่พระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้ด้วยเทอญ และขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่เทวดาที่ปกป้องแวดล้อม คุ้มครอง รักษาข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า บรรพบุรุษของข้าพเจ้าและผู้มีพระคุณทุกท่าน รวมทั้งทุกดวงจิตดวงวิญญาณที่สถิตอยู่ ณ สถานที่นี้ อันได้แก่ เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา เทวดา อินทร์ พรหม เปรต อสูรกาย พญานาค ยักษ์ ครุฑ คนธรรพ์ ชาวเมืองบังบด ชาวเมืองลับแล เป็นต้น ที่สถิตอยู่ ณ สถานที่นี้ และที่ดูแลเรือกสวนไร่นา ธุรกิจห้างร้าน ตึกรามบ้านช่องและยาพาหนะของข้าพเจ้า ต่อไปนี้ครึ่งนาทีให้อธิษฐานจิตได้ตามใจปรารถนา โดยอ้างถึงบุญของเราที่ได้ทำในวันนี้ ขอให้คำอธิษฐานของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผล และขอให้บุคคลที่ข้าพเจ้าได้เอ่ยนามมานี้ได้รับผลบุญจากข้าพเจ้าด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเทอญ

    ต่อไปให้คลายจากสมาธิ จำให้ดีว่าการคลายสมาธิทำอย่างไร ให้กายใจเข้า หายใจออก 3 ครั้ง 5 ครั้ง ให้มีสติรู้สึกตัวขึ้นมา และค่อยๆ เคลื่อนมือขวามาวางที่เข่าขวาช้าๆ แบบมีสติเคลื่อนมือซ้ายมาวางที่เข่าซ้าย ช้าๆ อย่างมีสต อย่าให้ประสาทมันสะดุ้ง ให้มีสติทั้งการเคลื่อน การวางมือให้วางที่หัวเข่า หายใจออกหายใจเข้า 3 ครั้ง 5 ครั้ง ด้วยความมีสติ เพื่อคลายสมาธิ เข้าสู่ภาวะปกติตามเดิม หายใจเข้าหายใจออก 3 ครั้ง 5 ครั้ง ตามเดิม เพื่อคลายสมาธิ หากคลายสมาธิออกไม่หมดมันจะมีอาการซึมๆ ขึ้นมา เพราะอำนาจของความสงบยังค้างคาในจิตในใจ และค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

    เราได้ทำความเพียรกัน เป็นเวลา 2 ชั่วโมง 10 นาที ใน 2 ชั่วโมง 10 นาทีนี้ใครตั้งสติได้ตลอดเวลา ก็เอาความดีไปทั้งหมด 2 ชั่วโมง 10 นาที หากใครนั่งหลับนั่งลืมก็ได้บุญไปแค่ 5 นาที ได้ความดีไป 5 นาทีแค่นั้นเอง แต่สังเกตได้ว่าทุกคนตั้งใจตั้งสติได้ดีทุกคน แม้ว่าตอนต้นนั้นมีการหลับกันก็เพราะว่าไม่มีความเข้าใจถูกตามความเป็นจริง คิดว่าบุญนั้นเกิดขึ้นจากการนั่งแบบมีความสุข บุญนั้นที่ว่าสุขสุดๆ นั้นต้องนั่งแบบที่มีกายหายจิตหาย อันนั้นเป็นโมฆะสมาธิ หากใครนั่งแล้วมีความสุข แม้จะรู้ลมก็ตาม มีความสุขในสมาธิ แต่เป็นความสุขที่จมแช่อยู่อย่างนั้น นั่งเมื่อไหร่ก็เอาแต่ความสุขอย่างนี้หน้าเดียว มันก็กลายเป็นติดสุขออกปัญญาไม่ได้ ตัวนี้แหล่ะคือตัวภพชาติที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดเพราะว่าเราไปยึดในติดในสุขเสียแล้ว ให้รู้ภพรู้ชาติ ถ้านั่งหมายแค่สมาธิ ใช่ สุขจริง แต่มันไม่สิ้นภพชาตินี่สิ เพราะว่ามันไม่สามารถไปตัดในสิ่งที่เราคิดผิดเห็นผิด ให้มีคามคิดถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงคือ พยายามปรับมิจฉาทิฐิ ให้เป็นสัมมาทิฐิให้ได้ ก็คือพยายามนั่งให้มีสติสัมปชัญญะเมื่อมันนั่งเข้าไปอยู่ในความสุขเต็มที่แล้ว ให้ถอนจิตออกมา ให้ถอยจิตออกมา อย่าไปอยู่แต่ในความสุขอย่างเดียว พิจารณาตามความเป็นจริงว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา พิจารณาให้เป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม พิจารณาให้เป็นของสกปรกไม่สวยไม่งาม พิจาณาให้เห็นมรณานุสสติ คิดถึงความตายที่กายของเรานี้อยู่เนืองๆ นี่แหล่ะคือจะเป็นตัวบุญที่สูงสุดที่เราพึงจะได้รับ ในการนั่งทำความเพียรแต่ละครั้ง
     
  9. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    [​IMG]
    7.jpg
    การนั่งทำความเพียรขณะนี้ ได้ชื่อว่าทำทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งหมดไม่ใช่แค่ทำสมาธิอย่างเดียว เบื้องต้นทำทาน ที่กายที่ใจ แทนที่มันจะไปทำอย่างอื่น ที่ไม่เกิดบุญไม่เกิดกุศลทางอริยทรัพย์ เราทานกายทานใจเรามาทำความเพียรอยู่ในขณะนี้เรียกว่าทำทาน มานั่งทำความเพียรอยู่ที่นี่เราชื่อว่าได้รักษาศีล มีศีล 8 มีศีลที่สมบูรณ์ไม่ได้พุดไม่ได้จา จับอยู่แต่ที่องค์บริกรรมภาวนาอย่างเดียว มุสาวาสก็ไม่มี ลักทรัพย์ ฆ่าผู้อื่น ไม่ดื่มสุราเมลัย ไม่ประพฤติผิดในกาม ถือว่าศีลเราสมบูรณ์แล้ว สมาธิเราก็ทำ เรามีความสงบ มีสติสัมปชัญญะตั้งมั่นในจิต สมาธิก็ทำ ภาวนาก็ทำ องค์บริกรรมภาวนาพุทธโธนั่นแหล่ะ ลมหายใจที่แนบแน่นไป ลมหายใจที่เข้าไปสุดๆ แล้วมันดับก่อน ลมหายใจออกมัยจึงเกิด ลมหายใจออกมันสุดแล้วมันดับก่อนที่ลมหายใจเข้ามันจะเกิด รู้ได้อย่างนี้คือวิปัสสนาเกิดขึ้นแล้ว จึงบอกได้ว่าการนั่งอยู่ในขณะนี้ถือว่าได้ทำทั้งทาน ศีล สมาธิและปัญญา ครบทั้งหมด ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ทำได้ในเวลาเดียวกัน เราทำได้อย่างไร แล้ว

    จะบอกว่านี่เป็นบุญสูงสุด ในคนที่ทำความเพียรแล้วมีสติสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อมรู้ทั้งกายรู้ทั้งจิตการนั่งแล้วไม่รู้ทั้งหายไม่รู้ทั้งจิตไม่ได้ บุญกุสลอันนี้เป็นอริยทรัพย์ เกิดขึ้นแก่เราแล้วโดยสมบูรณ์ อาหารที่เรากินยังไม่ครบหมู่เลย แต่เราสามารถทำได้ทั้งทานศีล สมาธิ ปัญญา จงภูมิใจในความดีของเราที่ได้ทำความเพียรไว้ในครั้งนี้ วันนี้เป็นวันมาฆบูชาเป็นวันพระใหญ่เช่นเดียวกัน ณ ลานธรรมแห่งนี้ก็ยินดีที่ได้เห็นพ่อขาวแม่ขาวที่เข้ามาประพฤติปฏิบัติธรรมหวังความดี หาหลักจิตหลักใจเพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติ อยู่ที่ไหน ๆ ก็ปฏิบัติได้ ตราบเท่าที่มีกายและใจอยู่ด้วยกัน หากไม่มีกายและใจแล้ว สติสัมปชัญญะย่อมเกิดขึ้นมาไม่ได้ ทำความดีขนาดไหน จงทำความดีเสมอซึ่งลมหายใจเข้าหายใจออกให้ได้ เอาพุทธโธเข้าไปกำกับกับลมหายใจเข้าลมหายใจออกตลอดเวลา จึงจะนับได้ว่าแม้นจะเป็นลมหายใจอีกไม่กี่เฮือก ในปัจฉิมวัยนี้ก็ได้ชื่อว่าได้ทำประโยชน์สูงสุด ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เราทำได้แล้วโดยสมบูรณ์ แม้นตายไปก็ไม่เสียชาติเกิด ที่ไดบุญสูงสุดสมบูรณ์แล้ว ภพชาติข้างหน้าย่อมมีความสมบูรณ์ อย่างแน่นอน

    ดังนั้นจึงขอจบการบรรยายธรรมไว้เพียงเท่านี้ก็ขอให้ทุกท่านนั้นจงมีความสุข ความเจริญ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ขอให้มีดวงตาเห็นธรรม จงมีกำลังสติปัญญาพิจารณาธรรมให้เห็นจริงตามความเป็นจริง ขอให้ตกกระแสพระนิพพานในปัจจุบันชาติ ด้วยบุญกุศลที่พวกท่านกำลังกระทำอยู่นี้ แม้นว่ากำลังของมันไม่พอ ก็ขอให้ทำมันเนืองๆ สืบเนื่อง เป็นปกตินิสัย จากปกตินิสัย ให้เป็นขันธสันดานให้มันได้ ลมหายใจเข้าหายใจออกของเรามีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปขอยืมใคร มีอยู่แล้วตลอดเวลา เพียงแต่เราตั้งสติเอาพุทธโธ ไปแนบแน่นกับลมหายใจ ทำความดีเสมอซึ่งลมหายใจให้ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง ยกเว้นเวลาหลับ ทำให้ได้เมื่อนั้นแหล่ะคือบุคคลที่ทำความดียิ่งทำความเพียรยิ่งมีโอกาสที่จะตกกระแสพระนิพพาน ในขั้นใดขั้นหนึ่งหากไม่ตายลงไปเสียก่อน เพราะว่าความตายนี้มันเกิดขึ้นได้กับทุกผู้ทุกนาม ไม่ว่าเด็กเล็กเด็กแดง เพราะขึ้นชื่อว่าเกิดขึ้นมาแล้วมีความตายเสมอกันหมด อย่าประมาทอย่าเชื่อว่าเกดมาก่อนแล้วต้องตายก่อน เด็กอาจตายก่อนเราก็ได้ ขึ้นชื่อว่าเกิดขึ้นมาแล้วมีความตายเสมอกันทั้งหมด เห็นได้อย่างนี้เราจึงจะได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่ทำความเพียรเป็นยิ่ง และถ้าจะตกกระแสพระนิพพานก็ขอให้สมหวังกันทุก ๆ คน

    **** ท่าน พุทโธ ว.ญาณ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 *****
     
  10. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    4-2.jpg
    ปุจฉา ข้าพเจ้า :
    กราบนมัสการท่านพ่อเจ้าค่ะ ส่งภาพงานวันหล่อสมเด็จองค์ปฐมให้ท่านพ่อชมค่ะ


    วิสัชนา ท่านพุทโธ ว. ญาณ : เรื่องของ "ทาน" จงหนุนให้ถึงที่สุด ที่ไม่เบียดเบียนตนมากจนเกินไป ไม่นานสิ่งเหล่านั้น จะเข้ามาหนุน ศีล สมาธิ ปัญญาของเรา ให้เจริญงอกงามไพบูลย์ ต่อไป.

    เมื่อ "ทาน"ถึงที่สุดแล้ว จะทำหรือไม่ทำก็ได้ อยู่ที่โอกาสของเรา เพราะเหตุว่า "องค์แห่งมรรค" มีสติจดจ่ออยู่ตลอดเวลา ไม่อยากวุ่นวายกับผู้ใด ต้องปรับจิตเปลี่ยนใจ เพื่อเข้ามาดูรู้อยู่ภายในจิต เท่านั้น จะเป็นเหตุทำให้องค์มรรคบริสุทธิ์สมบูรณ์ โดยเร็ววัน.


    *** บันทึก ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2562 ***
     
  11. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    3.jpg
    ปุจฉา ข้าพเจ้า :
    เมื่อคืนลูกฝันว่า หลวงพ่อฤาษี พระราชพรหมญาน ท่านมาห้างๆ หนึ่งของลูกศิษย์ท่าน แถวๆ บ้านของลูก ลูกดีใจมากที่ได้เห็นท่านในฝันนะค่ะ ตอนนั้นลูกเข้าไปถวายปัจจัย หน้าซองเขียนว่า 10,000 บาท หลวงท่านพ่อมองหน้าเจนและพิจารณา เหมือนท่านเมตตามาก และจะสงเคราะห์ จากนั้น ท่านโยน น้ำเปล่า ที่เป็นแพ็คประมาณ 10 กว่าขวดให้ เหมือนขายที่เซเว่นทั่วๆ ท่านไปมาให้ลูก ลูกรับไว้ แล้วก็ตื่นค่ะ


    วิสัชนา ท่านพุทโธ ว. ญาณ : ลูกจะสำเร็จๆ และร่ำรวยๆ เพราะน้ำนั้น...ไม่ได้มีแค่ขวดเดียว. ดีแล้วๆๆ ตามสายบุญที่ได้ผูกพันกันมา.

    ปุจฉา ข้าพเจ้า : น้อมกราบท่านพ่อเจ้าค่ะ ท่านโยนแบบโยนข้างโต๊ะกลางท่าน แล้วลูกก็รับไว้ได้ค่ะ ได้รับทราบแล้วชื่นใจ เมื่อวานก่อนออกมา ก้ได้ไปจุดธูป แล้วสวคาถาสมเด็จองค์ปฐม และกราบทั้งสมเด็จปู่ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ขณะนั้นลมกรรโชกพัดแรงมากๆ เลยค่ะ น้อมกราบท่านพ่อเจ้าค่ะ สาธุ สาธุค่ะ

    วิสัชนา ท่านพุทโธ ว. ญาณ : บุญในครั้งนี้...ย่อมได้เสวยในบุญ อีกไม่นาน.


    *** บันทึก ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2562 ***
     
  12. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    2-1-3.jpg
    ปุจฉา ข้าพเจ้า :
    วันงานหล่อสมเด็จองค์ปฐม มีศักดา และมีน้องๆ อยู่ แถวๆ นั้น หลายคน ศักดา ถามลูกขึ้นมาว่า พี่เจน ทำอย่างไร พี่ถึงได้ดีขนาดนี้ แบบดีสุดขีด เขาคงเห็นว่าลูกสร้างพระมาก ลูกตอบว่า นอกจากทำบุญ ทาน อย่างเต็มกำลังทุกๆ ที่ เก็บเล็กเก็บน้อย ศีลอย่าให้พร่อง และสมาธิ ก็พยายามทำอยู่ ที่ทำอย่างดีที่สุดน่าจะดีขึ้นที่สุดคือ เรื่องอปุฐากท่านพ่อและนำพาท่านพ่อไปสนธรรม ตามที่ต่างๆ รวมั้งสร้างกุฏิ และถวายภัตตาหารพระที่มาปฏิบัติในแต่ละครั้งทั้งหมดทำเอง ว่าบุญนั้นสูงสุดยอด และลูกก้ได้ปฏิบัติเองด้วย และท่านพ่อ ก็เมตตาแผ่เมตตาใหพี่ทุกๆ วัน คงจะเป็นเหตุนี้ ที่ทำให้พี่รุ่งเรืองมาก

    ลูกตอบประมาณนี้ ลูกก็บอกเขาว่าบุญใดที่ลูกทำ ทุกๆ อย่าง ให้เขาได้ทำเสมือนหนึ่งพวกเขาทำเองทุกๆ ประการ เขาก็ สาธุ สาธุ เสียงดังมากค่ะ พวกเขาว่า ชีวิตผม ไม่ดีเลย แล้วชี้นิ้วโป้งลง แบบลงดิน


    วิสัชนา ท่านพุทโธ ว. ญาณ : ดีแล้วๆ เป็นการโน้มจิตใจในการใฝ่บุญกุศล ปัญหาลูกศักดา...ก็ได้ถามมา พ่อตอบไปแล้ว...และเข้าใจเป็นอย่างมาก ลูกศักดา ทำสมาธิไม่ได้ เพราะศีลยังไม่บริสุทธิ์ เลยทำให้เกิดนิวรณ์

    ปุจฉา ข้าพเจ้า : สาธุ สาธุค่ะ มาพบพระพุทธศาสนา ก็ 10 กว่าปีได้ แต่ที่จะยืนขึ้นอย่างสวยงาม ก็จะมีครั้งนี้ ค่ะท่านพ่อ จะเห็นได้ว่า กว่าที่จะมาได้ดี ทั้งทางโลกและทางธรรมนั้น ต้องใช้เวลามาก ขนาดลูกทำ ทุกๆ อย่าง ไม่ได้ขาด กว่าจะยืนมาได้อย่างทรนง ก็ใชช้เวลานานจริงๆ ค่ะ นับไม่ถ้วน ตามที่ท่านพ่อรับทราบมา ส่วนน้องๆ นั้น เขาทำไม่ได้ 1 ใน 10 ของลูกเลย จะให้เขาดีขึ้นแบบก้าวกระโดด นั้นจะยากมากอยู่ ลูกเข้าใจถูกใช่ไหมเจ้าค่ะท่านพ่อ


    วิสัชนา ท่านพุทโธ ว. ญาณ : ความขยันหมั่นเพียรในเรื่องของ ทาน ศีล ภาวนา เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต่างเข้ามาหนุนกัน ทั้งทางโลก และทางธรรม ให้สำเร็จสมประสงค์ตามที่เราต้องการ


    ปุจฉา ข้าพเจ้า : น้อมรับคำสอนของท่านพ่อเจ้าค่ะ ทาน ศีล ลูกไม่พร่อง ภาวนาลูกจะเพียรพยายามทำทุกๆ วันเจ้าค่ะ น้อมกราบท่านพ่อที่ห้ลูกมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ในวันนี้เจ้าค่ะ น้อมกราบท่านพ่อค่ะ วันนั้นที่ท่านพ่อนั่งตรงจุดนั้นดีมากๆ เลยนะค่ะ พอเขาทำบุญกับองค์พ่อแล้ว ก็มาหาท่านพ่อกัน มาก


    วิสัชนา ท่านพุทโธ ว. ญาณ : เป็นการเผยแพร่ธรรมไปในตัว เพื่อค้ำจุนพระพุทธศาสนา


    *** บันทึก ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2562 ***
     
  13. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,537
    2-1-0-12.jpg

    ปุจฉา ข้าพเจ้า :
    ใช่ๆ เจ้าค่ะ วันนั้น เห็นท่านพ่อ ให้ธรรม กับทุกๆ คน แบบไม่เป็นพิธีรีตองมาก เป็นบรรยากาศที่อบอุ่น ทางองค์พ่อคงจะนั่งฟังอยู่ด้วย ท่านพูดถึงเรื่องพระธาตุที่เอามารวมกันในบาตรด้วยค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะทราบ ท่านบอกว่า สมเด็จปู่องค์ปฐมฝากมาบอกว่า ถวายแล้ว ก็ให้ตัดไป เหมือนที่ท่านพ่อบอกสอนทุกประการค่ะ ท่านว่า สิ่งที่นำมา พวกผอบบรรจุพระธาตุ หากใครอยากเอากลับ ก็ให้เอากลับไปได้ ท่าน (องค์พ่อ) ไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านั้น ท่านพูดประมาณนี้ค่ะ


    วิสัชนา ท่านพุทโธ ว. ญาณ : ดีแล้ว ที่องค์พ่อได้พูดเช่นนั้น คนที่จะสร้างสมบารมีกันจริง ๆ ต้องทำให้ได้อย่างนี้ คือ มีเจตนาอันบริสุทธิ หากใครต้องการนำกลับ หรือ เสียดาย ก็ปล่อยโอกาสให้ทำเช่นนั้น

    สิ่งที่เราว่าไม่ดี เมื่อได้รับรู้ในสิ่งที่บกพร่อง อย่าให้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ... ต่อ ๆ ไปจะเป็นแต่เรื่อง "กุศลบุญ" เพียงอย่างเดียว


    ปุจฉา ข้าพเจ้า : น้อมรับคำสั่งสอนเจ้าค่ะ ลูกไม่ได้ติดตรงที่จะนำผอบกลับ แต่อยากให้นำผอบเข้าไปประดิษฐานพร้มพระธาตุ พร้อมกันตามที่อัญเชิญมาเจ้าค่ะ แต่เมื่อท่านนำไปรวมในบาตร เป็น 1 นั้นตามที่ท่านพ่อเมตตาสอนลูก ตอนนั้นลูกเข้าใจดีแล้วทุกๆ ประการเจ้าค่ะท่านพ่อ

    เรื่องนี้ สมเด็จปู่ คงฝากมาบอกลูกคนเดียว ลูกก็ยังคงเลวอยู่ ค่ะ ที่ไปยึดมั่น นั่น นี่ ลูกจะจำไว้เป็นบทเรียนเจ้าค่ะ


    วิสัชนา ท่านพุทโธ ว. ญาณ : สาธุ ๆดีแล้ว มันก็สามารถปลดเปลื้องให้กับลูกได้ ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิขึ้นมาทันที


    ปุจฉา ข้าพเจ้า : เจ้าค่ะปลดเปลื้องในทันทีที่ท่านพ่อได้สอนลูกมา ณ ขณะนั้นในบัดดลเลยค่ะ น้อมกราบ่านพ่อที่เมตตาชี้แนวทางให้ลูก

    วิสัชนา ท่านพุทโธ ว. ญาณ : ดีแล้วสาธุๆๆ


    *** บันทึก ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2562 ***
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2-5.jpg
      2-5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      202.9 KB
      เปิดดู:
      47
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2019
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...