ปัญญาของพระโสดาบันต่างจากปุถุชนยังไง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย จิตสิงห์, 12 พฤษภาคม 2011.

  1. Darkever

    Darkever เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +333
    ต้องเชื่อในพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์
    โดนหลักเหตุผล ว่าพระพุทธ มีความดีอย่างไร
    พระธรรมดีอย่างไร พระสงฆ์ดีอย่างไร
    และต้องกำหนดตัวเองว่า ถ้าตาย ขอไปนิพพาน

    ถามว่า ศาสนาอื่น เชื่อหรือไม่
     
  2. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ถ้าจะหาเหตุผลว่าดีอย่างไร
    ทุกศาสนาเขาก็มีเหตุผลว่าดีอย่างไรกันทั้งนั้นครับ ไม่งั้นคงไม่มีใครนับถือ
    แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่านิพพานเป็นอย่างไร ถ้าไม่รู้แล้วจะไปถูกหรือครับ

    ถ้าให้เปรียบเทียบคนไม่เข้าใจนิพพานในศาสนาอื่น
    มันก็น่าจะไม่ต่างกับการได้พบแดนสวรรค์ แดนของพระเจ้า มีแต่ความสุขทำนองนั้น

    ผมไม่เห็นว่าจะเป็นปัญญานำไปสู่นิพพานตรงไหนเลย
    มีแต่การเวียนว่าย ตาย เกิด
     
  3. Darkever

    Darkever เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +333
    "พระโสดาบัน คือชาวบ้านชั้นดี
    ความรัก มีเต็มที่ แต่ไม่ละเมิดศีล ไม่แย่งลูกเมียไคร

    ความโลภเต็มที่แต่ไม่ละเมิดศีล ไปขโมยไคร
    อยากโลภ ก็ขยันทำงาน

    ความโกรธเต็มที่ แต่ไม่ฆ่า ไม่แกล้งทำร้ายไคร

    ความหลงเต็มที่แต่ไม่ประมาท นึกถึงความตายเป็นอารมณ์

    เคารพเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยด้วยปัญญา ใคร่ครวญด้วยเหตุผล
    ว่าท่านดีอย่างไร น่าเคารพอย่างไร

    ตายเมื่อไหร่ ขอไปพระนิพพาน"

    โอวาท หลวงพ่อฤๆษีลิงดำ
     
  4. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    เปลี่ยนได้สิครับการเป็นพระโสดาบันคุณไม่ได้รู้ธรรมอย่างลึกซึ่งหรอก
    นะครับ และการรู้แบบรู้ทั้งหมดมันก็เป็นไปไม่ได้ด้วย คุณทำได้เพียง
    แต่รู้คร่าวๆ เท่านั้นเอง อย่างพระพุทธองค์สอนว่าการให้ผลของกรรม
    นั้นเป็นอจินไตยคือคิดไปไม่เกิดประโยชน์คิดให้ตายก็ไม่รู้ แต่รู่คร่าวๆ ได้
    ที่ทรงสอนช่องทางสร้างกรรม กรรม 12 ประเภท และอื่นๆ อย่างนี้
    เป็นความรู้คร่าวๆ ที่เพียงพอแล้วต่อการปฏิบัติ แล้วถ้าเรามีความรู้
    น้อยแล้วเราศึกษาข้อธรรมไปมีความเข้าใจอย่างหนึ่งแต่ยังไมปักใจ
    เชื่อ เราก็พิสูจน์ไปเรื่อยพอพบว่ามันไม่ใช่ เราก็เปลี่ยนความเข้าใจ
    ใหม่และเมื่อพบข้อผิดพลาดใหม่ เราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อาจไม่มีที่สิ้น
    สุดก็ได้ แต่ที่ต่างกันคือความรู้ความเข้าใจของเราจะลึกขึ้นเรื่อยๆ
    และเป็นแนวทางผิดพลาดน้อยลง
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ปุถุชนเห็น ทุกข์ละเอียดแค่ไหน
    ปุถุชนเห็น ทุกข์ แล้วทำไมยังทนรับมันอยู่
    ปุถุชนเห็น ทุกข์ แล้ว รู้เหตุไหม
    ปุถุชนเห็น ทุกข์ แล้ว ดับได้ไหม
    ปุถุชนเห็น ทุกข์ แล้ว รู้วิธีการเพื่อดับทั้งหมดหรือไม่

    นี่เรื่องทุกข์ตัวเดียว มันน้อยๆ เสียเมื่อไร มันทั้งชีวิต แค่หรี่ตาก็ทุกข์แล้ว ไม่เชื่อเอาลอง หรี่ตาอย่าหยุด

    แล้วนับประสาอะไรกับ ใจ ที่มันปรุงได้ร้อยแปด จนมันเป็น มนุษย์ขึ้นมานี่ มันจะมีทุกข์มากมายแค่ไหน

    เราอย่าไปคิดว่า สภาพทุกข์ เป็นเฉพาะ หยาบๆ เช่น ร้อนใจ ร้อนรน

    สภาพทุกข์ เราจะเห็นละเอียดไปตาม ปัญญา กลายไปจนว่า สภาวะทุกอย่างที่เกิดเป็นทุกข์

    ลองเจริญ มหาสติปัฎฐานให้ดีก่อน แล้วค่อยมากำหนดรู้สภาพทุกข์ ด้วยวิปัสสนา
     
  6. Darkever

    Darkever เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +333
    ถ้าคุณจะไปกทม ต้องไปถนนเส้นไหน

    ถ้าคุณเชื่อว่าเชียงไหม่คือกทม แล้วคุณตรงไปเชียงไหม่
    มันจะตรงไปกทมได้หรือ

    รถคันเดียวกัน วิธีขับรถก็เหมือนๆกัน คันเร่ง เบลก พวงมาลัย เหมือนกัน

    จะเอารถที่เหมือนกัน ขับเหมือนกัน มาเทียบกันอย่างไร ว่าเดินทางตรงไปคล้ายกัน
     
  7. dewvader

    dewvader Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +88
    ทำเพื่อเป็นกำลังให้เราใช้ต่อยอดต่อไปข้างหน้า สิ่งไหนที่ว่าดี ว่าควรก็ทำไป
    ทำโดยคิดว่าเป็นสารณประโยชน์ เพื่อความสุขของคนที่ได้รับก็ทำไป อย่าทำด้วยความอยาก ถ้ามันไม่ได้ตามอยาก กำลังใจจะตก แล้วมันจะไม่ทำต่อ แล้วก็ตั้งความปราถนาที่จะได้รับต่อไปในอนาคตกาล เมื่อถึงเวลาที่วาระบุญมาถึง สิ่งที่ได้ตั้งความปราถนาไว้ก็จะได้รับ สิ่งที่ไม่เข้าใจก็จะได้เข้าใจ
     
  8. Darkever

    Darkever เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +333
    ศาสนาอื่น มีศีลที่เหมือนๆศีลของพุทธ
    แสดงว่า ของเค้าดีจริงๆ แต่ถ้าตั้งจิตตั้งใจไปแค่สวรรค์
    มันจะไปนิพพานได้หรือ ดีแค่ไหน แต่ตั้งใจไว้ต่ำ จะไปสูงได้หรือ
    ทางตรงสู้นิพพาน มันเริ่มต้นที่เราตั้งใจจะไปนิพพาน
    ปัญญาที่พาตรงไปนิพพาน คือ นึกถึงมรณานุสติ ความตายเป็นอารมณ์
    นี้ คือปัญญามุ่งตรงตัดกิเลศมากน้อยเพียงไร
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ทีนี้ บางคนอาจจะถามว่า มันต้องรู้เยอะขนาดนั้นเลยหรือ ทุกข์ในโลกนี้มีมากมายหลายสาเหตุ
    ใครจะไปรู้ได้หมด

    พระศาสดาก็ทรงจัดหมวดหมู่เอาไว้ ให้ว่า ทุกข์ ทั้งปวง ยุบลงเป็นชั้นๆ ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร เรียกเป็นอย่างเดียว เป็นชั้นๆ คือ อุปาทาน บ้าง ตัณหาบ้าง เวทนาบ้าง

    ทีนี้ เราก็อย่าเพิ่งไปจำบาลี เมื่อ เราเจริญมหาสติปัฎฐานดีพอ เรามีสมาธิดีพอ มีศีลดีพอ เวลามีอะไรแปลกปลอมมา เราก็ทราบว่า นั่นคือ สภาพทุกข์ ที่เกิด
    เหมือนคน ทั่วไปเวลาเสียใจขึ้นมา อารมณ์ก็ผิดแปลกไปจากเดิม ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่อยากกอดมันไว้หรอก และ รู้ตัวกันทุกคน ว่าตัวเองมีทุกข์ เพียงแต่ว่า ไม่มีสติมากพอที่จะเดินออกจากกองทุกข์นั้น และ ไม่มีกำลังใจเพียงพอ ไม่มีปัญญาเพียงพอที่จะเดินออกจากกองทุกข์นั้น

    มันจึงต้องมา ศึกษา มาฝึก เพื่อที่จะทราบ เหตุ ที่ผูกพันกันอยู่ อุปมาว่า มีคนหนึ่งคน โดนเชือกผูกขึงอยู่ 10 เส้น
    จะดันทุรัง เดินดึงไปให้เชือกมันขาด ก็ไม่ได้ มันต้องแก้ทีละเส้นให้หลุดไป พอเหลือเส้นเดียว แล้วก็ใช้กำลังเดินออกให้ เชือกมันขาดไปเลยได้

    แบบนี้ แหละ เรียกว่า เราได้เข้ามาศึกษา เจริญสติ สมาธิ ปัญญา ก็เพื่อที่จะเดินออกจากกองทุกข์ ด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมา
     
  10. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    เคยได้ยินมาว่า
    พระโสดาบันท่านละความเห็นผิดในกายลงได้ ละอัตตาได้
    ละศีลแบบผิดๆ ทำอะไรเชื่อตามกันมา ละความเป็นเจ้าพิธีรีตอง
    ละความสงสัยในพระธรรม สงสัยในตัวตน
    ก็คือ มีปัญญาแยบคาย รู้เหตุรู้ผล รู้ทุกข์ตามจริงที่ปรากฏ
    ท่านจึงมีปัญญาเป็นปกติ ต่างกับปุถุชน

    การนับถือศีลแบบฟังเขาว่า ห้ามผิดจากนี้
    มันเป็นอัตตารึเปล่าครับ ไม่รู้แล้วทำ หรือ ทำเพราะไม่รู้
    ถ้าผมไปเพื่มเติมแก้ไข ข้อความที่คุณนำมา ให้เพี้ยนไปจากเดิม
    คุณจะใคร่ควร หรือ รีบสรุปทำตามๆรึเปล่าครับ
     
  11. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    แปลว่าความรู้เรื่องสังโยชน์ ที่พระโสดาบันละได้
    วันนึงอาจคลาดเคลื่อนได้อย่างนั้นหรือครับ
    ความเห็นถูกต้องในกาย ความลังเลสงสัย ศีลพตรปรามาส ที่เคยละได้ขาดแล้ว
    วันนึงมันจะกลายเป็นไม่ใช่ ไม่ถูกต้องหรือครับ
     
  12. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    เรื่องการเห็นทุกข์ทางกาย
    ผมลองหรี่ตาไม่หยุด มันทำไม่ได้ครับ บังคับให้หยุดไม่ได้
    ตรงนี้เรียกว่ารู้ทุกข์ทางกายได้รึยังครับ
    ปัญญาแบบนี้ คนทั่วไปก็เข้าใจนี่ครับ

    ทุกข์ทางใจ เขาว่าไม่ต้องไปคิดมาก เพราะทุกข์เกิดจากความคิด
    ผมลองไม่คิดดูด้วยการไปหาอะไรทำไปเรื่อยๆ ก็เพลินดี ไม่ไปคิดอะไรให้ทุกข์
    ตรงนี้เรียกว่าดับทุกข์ทางใจรึเปล่าครับ
    ปัญญาแบบนี้ คนทั่วไปก็เข้าใจนี่ครับ

    ปัญญาในสติปัฏฐาน กำหนดรู้สภาพทุกข์ทำยังไงครับ
     
  13. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    การตัดกิเลศขาดมันไม่ได้ใช้ความรู้แบบศึกษาเกิดความเข้าใจเอา หรือ
    พิสูจน์เอาแบบนั้นนะครับ มันเกิดจากวิปัสสนาญาณคือความรู้จริง
    วิปัสสนาญาณมันเป็นความรู้ที่มีอยู่แล้วรู้โดยที่ไม่ต้องเข้าใจเลยด้วย
    ซ้ำ คือมันจำได้ วิปัสสนาญาณมันมาของมันเอง คือมันเคยรู้มาก่อน
    แล้วมาระลึกได้ ที่เราปฏิบัติกันเพื่อความรู้โดยเกิดขึ้นเองและไม่ต้อง
    ใช้ความเข้าใจตัวนี้แหละ โดยการปฏิบัติจนมรรครวมลงเรียกมรรค
    สมังคี ส่วนกลับได้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ คือมันไม่ได้เกิดจาก
    ความเข้าใจหรืออะไรแบบนั้นหรอกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2011
  14. biww

    biww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +202
    ๑เห็นว่าโสดาบันเป็นไม่ยาก แค่รู้ทุกข์
    ความคิดเห็น พระโสดาบัน คือ ผู้เข้าสู่กระแสพระนิพพาน มี ๓ ประเภท
    ๑.๑ สัตตักขัตตุง คือ พระโสดาบันประเภทแรก ต้องเกิดอีก ๗ ชาติ และในชาติสุดท้ายจะเข้าพระนิพพาน
    ๑.๒ โกลังโกละ คือ พระโสดาบัน ต้องเกิดอีก ๓ ชาติจึงจะเข้าพระนิพพาน
    ๑.๓ เอกพิชี คือ พระโสดาบันที่จะเกิดอีกชาติเดียวก็จะเข้าพระนิพพาน
    (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย)

    "สะหาวัสสะ ทัสสะนะสัมปะทายะ ตะยัสสุ ธัมมา ชะหิตา ภะวันติ
    สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉิตัญจะ สีลัพพะตัง วาปิ ยะทัตถิ กิญจิ
    จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต ฉะ จาภิฐานานิ อะภัพโพ กาตุง"

    (สักกายทิฏฐิและวิจิกิจฉา หรือแม้สีลัพพตปรามาสอันใดอันหนึ่งยังมีอยู่ธรรมเหล่านั้น อันพระอริยบุคคล (พระโสดาบัน)นั้นละได้แล้ว พร้อมด้วยความถึงพร้อมแห่งการเห็น(นิพพาน) ทีเดียว อนึ่ง พระอริยบุคคลเป็นผู้พ้นแล้วจากอบายทั้ง ๔ ทั้งไม่ควร เพื่อจะทำอภิฐานทั้ง ๖ (คืออนันตริยกรรม ๕ และการเข้ารีด) : อ้างจาก รัตนสูตร

    ๒.คนทั่วไปก็รู้ทุกข์ได้เหมือนกัน
    ความรู้แจ้ง หรือความรู้เท่าทันในความทุกข์ คือ ปัญญา แบ่งออกเป็น ๓ พวก
    ๒.๑ สุตมยปัญญา : ปัญญาที่เกิดจากการฟัง
    ๒.๒ จินตามยปัญญา : ปัญญาที่เกิดจากการคิด
    ๒.๓ ภาวนามยปัญญา : ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สอนไว้ว่า ปุถุชน นั้นรู้ธรรมด้วยสัญญา (ความจำได้หมายรู้เอาตามพยัญชนะ (ทางภาษา) คือ สัจธรรมปฏิรูป (รู้เพราะได้ฟัง ได้จดจำไว้) ไม่ได้รู้จริง ยิ่งรู้ยิ่งมีทิฏฐิมาก (อวดตนว่ารู้มากกว่าผู้อื่น) ยิ่งรู้ยิ่งจม
    แต่พระอริยะเจ้า รู้ด้วยอรรถด้วยธรรม (ปรมัตตะสาระ) ดังพุทธภาษิต "อุทปาทิญาณัง อุทปาทิ ปัญญา"ญาณ ความรู้ภายในได้บังเกิด ปัญญาย่อมบังเกิด" คือ พระอริยะเจ้ารู้ทุกข์ อริยสัจด้วยการปฏิบัติ ยิ่งปฏิบัติยิ่งรู้ ยิ่งละ ยิ่งปล่อยวาง ย่งรู้ยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตน เรียกว่ารู้จริง​

    ปุถุชนรู้ด้วยสัญญา ( สุตมยปัญญา , จินตามยปัญญา ) เดี๋ยวก็เสื่อม เป็นโลกียปัญญา
    พระอริยะรู้ด้วยปัญญา (ภาวนามยปัญญา ) ไม่เสื่อม เป็น สมุเฉทวิรัติ ไถ่ถอนกิเลสตัณหาอย่างเดียว เป็น โลกุตตระปัญญา

    ๓.อยากทราบว่า ปัญญาของพระโสดาบันต่างจากปุถุชนยังไงครับ
    สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ตรัสถามพระอานนท์เถระว่า ดูกรอานนท์ เธอระลักถึงความตามวันละกี่ครั้ง ?
    พระอานนท์ : วันละ ๗ ครั้ง พระพุทธเจ้าข้า
    พระพุทธเจ้า : ยังประมาทอยู่ เราตถาคตระลึกถึงความตายทุกลมหลายใจเข้าออก
    ครั้งนั้น พระอานนท์ เป็นพระโสดาบัน ( ดังนั้น พระโสดาบัน ระลึกถึงทุกข์คือความตาย (มรณัมปิ ทุกขัง) วันละ ๗ ครั้ง พระอรหัตน์ ระลึกถึงความตาย ทุกลมหายใจเข้าออก ) ส่วนปถุชนระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง ?
    ส่วนตัวผมเองนะครับ นึกบ้างไม่นึกบ้าง ผมตอบอย่างไม่อายเลยครับ

    ๔.แล้วปัจจุบันนี้มีพระอริยะที่รู้จริงเรื่องทุกข์รึเปล่าครับ
    โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์
    สุภัททะ ! ในธรรมวินัยใด ที่ไม่มีอริยมรรคมีองค์แปดสมณะที่หนึ่ง (พระโสดาบัน) ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น ; แม้สมณะที่สอง (พระสกทาคามี) ก็หาไม่ได้ ; แม้สมณะที่สาม(พระอนาคามี) ก็หาไม่ได้ ; แม้สมณะที่สี่ (พระอรหันต์) ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น.
    สุภัททะ ! ในธรรมวินัยนี้แล ที่มีอริยมรรคมีองค์แปดสมณะที่หนึ่ง ก็หาได้ในธรรมวินัยนี้ ; แม้สมณะที่สอง ก็หาได้ ;
    แม้สมณะที่สาม ก็หาได้ ; แม้สมณะที่สี่ ก็หาได้ในธรรมวินัยนี้.
    สุภัททะ ! ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จะพึงอยู่โดยชอบไซร้
    โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย แล. อ้าง มหาปรินิพพานสูตร

    "สัมมาวิหาเรยัง อสุญโญโลโก อรหันเตหิ"
    ตราบใดยังมีผู้เจริญอริยมรรคมีองค์แปดอยู่ โลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์


    โดยส่วนตัวผมยังเชื่อนะครับ ว่ายังมีพระอริยะเจ้าอยู่ แต่ผมไม่ทราบนะครับว่าท่านใดบ้าง เพราะผมก็ดับความสงสัยเพียงโลกียะปัญญาเท่านั้นครับผม คือ เชื่อพุทธดำรัส"อกาลิโก" ธรรมมะไม่มีกาลสมัย

    ๕. เราจะรู้ได้ยังไงว่าปฏิบัติถูกทางไหม ?
    อปัณณกปฏิปทา : ข้อปฏิบัติอันไม่ผิดตามพระธรรมวินัย มี ๓
    ๕.๑ อินทรียสังวร : การสำรวมอินทรีย์ ๖
    ๕.๒ โภชเนมัตตัญญุตา : การสำรวมในการบริโภค
    ๕.๓ ชาคริยานุโยค : การทำความเพียวเพื่อเผาผลาญกิเลส
    (หลวงปู่มั่นใช้คำว่า "สละตัว อย่าสละธรรม")

    ส่วนการพิจารณาธรรม ใช้หลักตัดสินธรรมวินัย ๘
    ๑. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
    ๒. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อความไม่ประกอบทุกข์
    ๓. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อไม่สะสมกองกิเลส
    ๔. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อความอยากน้อย
    ๕. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อความสันโดษ
    ๖. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อความไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ

    ๗. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อความเพียรชอบ
    ๘. ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อความเลี้ยงชีพโดยง่าย
    เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

    "เอกายโน อยัง ภิกฺขเว มัคโค" มรรคคือทางปฏิบัติที่เป็นทางไปอันเดียว
    อ้างจาก มหาสติปัฏฐานสูตร
    คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เป็นธรรมะคณะเดียวกัน เกื้อกูลอาศัยกันเกิดเป็นมรรคผลนิพพาน แยกคณะกันไม่ได้ (หลวงปู่บุดดา ถาวโร สอนเรื่องี้ไว้ดีมากครับ ลองหาอ่านดู)

    พระอริยเจ้าบางองค์ บริบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ ทั้งคันถธุระ (คือเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก) และ วิปัสนาธุระ (คือ เชียวชาญในฌานสมาบัติและญาณทัสสนะ ) บางองค์ก็เชียวชาญเพียงธุระใดธุระหนึ่งเท่านั้น แล้วแต่บุญวาสนาบารมีที่ได้สั่งสมอบรมมา

    เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ แลกเปลี่ยนกันแบบเพื่อนกัลญาณมิตรครับผม......:cool:



     
  15. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่านี่กรุงเทพ
    ที่เชียงใหม่ก็มีกรุงเทพการช่าง กรุงเทพซ่อมนาฬิกา กรุงเทพก่อสร้าง กรุงเทพเทพก็มี

    แล้วเมื่อไหร่จะมีปัญญาไถ่ถอนความเห็นผิดเป็นของตัวเอง
     
  16. Darkever

    Darkever เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2011
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +333
    ก็บอกกล่าวไปแล้วว่า
    เคารพเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ด้วยปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ

    และศีลที่ปฏิบัตินั้น ถ้าทำ เพราะทำตามกันมา
    มันทำไม่ได้แน่นอน ยังไงๆมันต้องขาดจากศีลแน่นอน
    ศีลที่ชื่อว่าอธิศีล จะต้องทำแล้ว เห็นผลดี พิจารณา เชื่อมั่นแล้ว
    มันถึงจะประฏิบัติศีลนั่น ด้วยใจเต็มภาคภูมิ แปลว่าเต็มใจปฏิบัติ
    เพราะพิจารณา ลองไคร่ครวญแล้ว ว่าศีลเป็นของดีจริง

    แล้วการปฏิบัติตามๆกันมา เป็นอัตตา เป็นกิเลศแน่นอน
    เราจำเป็นต้องใช้กิเลศ เพื่อทำ ถ้าไม่มีกิเลศ มันจะมีจุดมุ้งหมายที่จะทำได้หรือ
    จุดมุ้งหมายที่ยอมทำลงไป เพราะกิเลศที่อยาก อยากจะพ้นทุกข์

    ครูบาอาจารย์ทำตามๆกันมา เป็นผลที่น่าพอใจ
    ถ้าไปเบี่ยงเข้าข้างทาง ไม่ดำเนินตามรอยเท้าครูอาจารย์ที่ทำมา
    ล้วมันจะมุ่งตรงไปเหมือนท่านได้อย่างไร

    ที่กล่าวออกมานั้น ไม่มีไปเพื่มเติมแก้ไข ให้เพี้ยแน่นอน
    เพราะครูบาอาจารย์จะกล่าวมาด้วยะรรมล้วนๆ
    ฝึกมาอย่างไรเต็มหัวใจ ก็กล่าวออกไปจากใจล้วนๆ

    จะเอาการคาดเดา โดนยังไม่ไลงมือทำ มาเถียงคำครูที่เค้าทำได้ผลแล้วได้ยังไง

    อันที่จริงแล้ว เค้าพิจารณาร่างกาย จนบรรลุอรหันต์ไปเลย
    ไม่มีจ่อ รอท่าเป็นโสดาบันหรอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2011
  17. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687

    ปัญญาเกิดจากความเข้าใจ รู้เห็นธรรมถูกตามจริง
    เกิดเป็นวิปัสสนาญาณขึ้นมา และการเห็น การเข้าใจธรรมนั้น
    พระโสดาบันล้วนเข้าใจตรงกันหมด เพราะความจริงก็คือความจริง เห็นเป็นอื่นไม่ได้

    ยกตัวอย่างเช่น คุณได้ยินเสียงตบมือ ผมก็ได้ยินเสียงตบมือ คนอื่นก็รู้และเข้าใจว่าเสียงตบมือเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นความจริงคลาดเคลื่อนกันไม่ได้

    การเข้าถึง ผล แล้วนั้นเป็นผู้ถึงกระแส ผมคิดว่ามันคงไม่เสื่อมแล้วละ
    เหมือนรู้แล้วว่าเสียงตบมือคืออะไร จะเอาเสียงอื่นมาหรอกเราว่านี่เสียงตบมือไม่ได้


    และเรื่องภูมิธรรม เมื่อรู้ก็ต้องอธิบายได้ เพราะเห็นสิ่งเดียวกัน
    ภูมิพระโสดาท่านละความเห็นผิดได้เหมือนกันหมด ไม่มีสองมาตราฐาน
    ผมเดาเอานะครับ
     
  18. bhodhithas

    bhodhithas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +591
    [FONT=&quot]การจำแนกอริยะบุคคล ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติถึงซึ่งการละสังโยชน์ และแน่นอนท่านเหล่านั้นย่อมต้อง[/FONT]<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->[FONT=&quot]รู้แจ้งในอริยะสัจสี่ และปฏิบัติตามอริยะมรรคมีองค์แปด [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]สังโยชน์คือกิเลสที่ผูกมัดสรรพสัตว์ไว้กับความทุกข์มี 10 ประการ[/FONT]

    [FONT=&quot]1.สักกายทิฐิ ยึดมั่นขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เป็นตัวตนของเรา[/FONT]
    [FONT=&quot]2.วิจิกิจฉา ลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์[/FONT]
    [FONT=&quot]3.สีลัพพตปรามาส ถือมั่นในศีลแบบงมงาย ไม่เคารพศีลจริงจัง[/FONT]
    [FONT=&quot]4.กามราคะ ความกำหนัดยินดีใน รูป รส กลิ่น เสียง และกายสัมผัส[/FONT]
    [FONT=&quot]5.ปฏิฆะ อารมณ์กระทบไม่พอใจ ขัดใจ หงุดหงิด ด้วยอำนาจโทสะ[/FONT]
    [FONT=&quot]6.รูปราคะ ติดในรูปธรรม อารมณ์แห่งรูปฌาน 4[/FONT]
    [FONT=&quot]7.อรูปราคะ ติดในอรูปธรรม อารมณ์แห่งอรูปฌาน 4[/FONT]
    [FONT=&quot]8.มานะ ทระนง ถือตัว ถือตน ถือเขา ถือเรา[/FONT]
    [FONT=&quot]9.อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่าน จิตสัดส่าย ใจวอกแวก[/FONT]
    [FONT=&quot]10.อวิชชา ไม่รู้แจ้งในอริยะสัจสี่ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค[/FONT]
    [FONT=&quot]- พระโสดาบัน = (คือผู้ที่) ละสังโยชน์ได้ 3 ข้อแรก[/FONT]
    [FONT=&quot]- พระสกิทาคามี = ละสังโยชน์ 3 ข้อแรก ทำให้เบาบางในข้อ 4+5[/FONT]
    [FONT=&quot]- พระอนาคามี = ละสังโยชน์ได้หมดจรดตั้งแต่ข้อ 1 ถึง 5[/FONT]
    [FONT=&quot]- พระอรหันต์ = ละสังโยชน์ได้ทั้งหมด 10 ข้อ[/FONT]


    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]อริยะสัจสี่[/FONT]
    [FONT=&quot]1. ทุกข์ การมีอยู่ของทุกข์ ความพลัดพรากเป็นทุกข์ ไม่สมหวังเป็นทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย วิตก โกรธ เกลียด อิจฉาริษยา อุปาทานในขันธ์ 5 ล้วนเป็นทุกข์[/FONT]
    [FONT=&quot]2. สมุทัย ต้นเหตุของการเกิดทุกข์ ได้แก่ 1) กามตัณหา-ความอยากในกามคุณ กามารมณ์ 2) ภวตัณหา-ความอยากในภพ อยากเป็นโน่นอยากเป็นนี่ 3) วิภวตัณหา ความไม่อยากเป็นโน่นเป็นนี่[/FONT]
    [FONT=&quot]3. นิโรธ ความดับทุกข์ หมดกิเลส ดับตัณหาทั้งสามอย่างสิ้นเชิง[/FONT]
    [FONT=&quot]4. มรรค วิธีปฏิบัติเพื่อถึงความสิ้นทุกข์ [/FONT]

    [FONT=&quot]มรรคมีองค์ 8 ประการ[/FONT]
    [FONT=&quot]1) สัมมาทิฐิ-เห็นชอบ คือเห็นแจ้งในอริยะสัจสี่ เห็นความเป็นจริง[/FONT]
    [FONT=&quot]2) สัมมาสังกัปปะ-ดำริชอบ ละกาม หยุดพยาบาท เลิกเบียดเบียน[/FONT]
    [FONT=&quot]3) สัมมาวาจา-เจรจาชอบ เว้นพูดเท็จ ส่อเสียด คำหยาบ เพ้อเจ้อ[/FONT]
    [FONT=&quot]4) สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ เว้นฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดกาม[/FONT]
    [FONT=&quot]5) สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ ด้วยสัมมาอาชีวะ ถูกศีลธรรม[/FONT]
    [FONT=&quot]6) สัมมาวายามะ-พยายามชอบ ระวังไม่ให้เกิดบาปในกมลสันดาน[/FONT]
    [FONT=&quot]7) สัมมาสติ-ระลึกชอบ ไม่ฟุ้งซ่าน มีสติรู้ถึง กาย เวทนา จิต ธรรม [/FONT]
    [FONT=&quot]8) สัมมาสมาธิ-ตั้งใจมั่นชอบ สำเร็จผลสมถะกรรมฐาน บรรลุฌาน[/FONT]
    [FONT=&quot]มรรค 8 ข้อนี้ย่อลงมาคือ [/FONT][FONT=&quot]“ไตรสิกขา” หรือ “ศีล สมาธิ ปัญญา” เป็นทางสู่ “นิพพาน” หรือ การไม่เกิดอย่างถาวรนิรันดร[/FONT]


    [FONT=&quot]
    [/FONT]
     
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 10 คน ( เป็นสมาชิก 8 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>เอกวีร์*, Darkever, jittinon, bhodhithas, pichak, เมตตาวิหารี, จิตสิงห์ </TD></TR></TBODY></TABLE>


    [​IMG]

    เร่เข้ามา เร่เข้ามา เจ้าข้าเอ้ย

    ใครแก้อุมงค์ของ "สิงหะเดโช จิตตะโต ปุจฉามนุสสานัง" ได้ เร่เข้ามา เร่เข้ามา<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. pichak

    pichak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +69
    สาธุ สาธุ
    -เวลานี้ไม่ทันจะเรียนรู้แล้ว กราบเมตตาขอครูบาออาจารย์ เผาเลย เข้าไปกราบแล้ว "ขอเผาเลยครับ"
     

แชร์หน้านี้

Loading...