ปัจจุบันธรรมหรือธรรมโม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 11 มิถุนายน 2012.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เมื่อพูดถึงปัจจุบันหรือที่เรียกว่าธรรมโมนั้น
    ซึ่งเป็นธรรมที่อยู่เหนือกาลเวลา ไม่ขึ้นกับกาลเวลา
    ไม่เป็นอดีต ไม่กังวลถึงอนาคตใช่หรือไม่?
    ใช่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะอะไร?
    ดีเบตได้ตามสบายเท่าที่เข้าใจได้

    แต่ในความเข้าใจของผู้ปฏิบัติและศึกษาใหม่ปัจจุบันนั้น
    มีความเข้าใจไปว่า การรู้กาย รู้ใจ คือรู้ปัจจุบัน
    ให้รู้ผัสสะที่เหตุการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
    แล้วเป็นปัจจุบันธรรมหรือธรรมโมตรงไหน?

    ในเมื่อสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้น
    พร้อมกลายเป็นอดีตไปในชั่วพริบตา
    แบบนี้จะจัดเป็นปัจจุบันธรรมหรือธรรมโม ได้ตรงไหน?
    ควรเรียกสภาวะธรรมนั้น ให้ถูกต้องว่าอย่างไร?

    กระทู้นี้ ไม่มีวัตถุประสงค์ ที่จะชี้ถูกชี้ผิดในข้อธรรม
    แต่ประสงค์ให้ทำความเข้าใจธรรม
    ในเรื่องปัจจุบันธรรมหรือธรรมโม
    ที่มีอยู่เป็นอยู่ในขณะปฎิบัติธรรมอยู่

    ที่พอจะชี้แจงให้รู้เห็นตริตรองตามความจริง นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
    เพื่อให้รู้จักสภาวะธรรมโมที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว

    สนทนาธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  2. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    นั่นสิคะ แล้วเราจะเรียกสภาวะธรรมนั้นว่าอย่างไร ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2012
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น เมื่อเราเข้าไปรู้ สิ่งต่างๆนั้นดับไปและกลายเป็นอดีตลงไปแล้ว แม้เป็นเช่นนั้นก็ตาม ก็เรียกว่า ได้ธรรม เพราะเห็นความจริงที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะไม่ทันกาลที่ว่า เกิดปั๊บดับพร้อมไป ก็ได้ชื่อว่ามี สติปัญญา ที่จะสามารถระลึกได้ ไม่ไหลไปตามกระแสโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
    ธรรมที่จะทันกาลไปทั้งหมด เป็น ธรรมสูงสุดแล้ว เราจึงไม่จำเป็นต้องหวังว่าจะต้องให้ทันกาลไปเสียทั้งหมด ขอเพียงระลึกได้ ตื่นขึ้นได้ว่า เราได้คิด ได้พูด ได้ทำอะไรลงไป ให้รู้เนื้อรู้ตัว เป็นธรรมทั้งหมด

    การระลึกบ่อยๆ นี้แหละจะเป็นทางให้ กุศล คือ สติ เจริญขึ้น สมาธิ เจริญขึ้น แล้วจะนำไปสู่ ปัจจุบันธรรม แยกแยะ อุปาทานได้
     
  4. ลูกบัวผัน

    ลูกบัวผัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +295
    ขอยกมากระทู้นี้แล้วกัน

    คำว่าเพียร เมือผู้ที่บอกว่าดีแล้ว ย่อมถ่ายทอดได้ทันที ต่างจากการพูดจาเกินจริง

    ความหมายของความเพียร ของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องยกครูมาอ้าง เพราะที่ถาม คือถามความหมายเฉพาะตน หรือ ปัตจัตตัง

    ที่ตอบมา ไม่ได้ตรงคำถามเลย ไปเอาความเพียร ของพระศาสดามาทำไม

    ทำไมไม่เอาความเพียร ของตัวเอง มาแสดงล่ะ

    ท่านผู้มากไปด้วยความเพียร?
     
  5. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    การรู้กายเป็นการรู้ปัจจุบัน เห็น ก็ปัจจุบัน เป็นต้น
    ผัสสะกระทบรู้ได้ทันที

    การรู้ใจ หมายถึง ตามรู้ เพราะนามต้องเกิดขึ้นก่อน แล้วเราถึงจะไปรู้
    เป็นการรู้นามที่ดับไปแล้ว เค้าใช้คำว่า ตามดู เพราะจิตที่เราไปรู้นั้น
    เป็นอดีตที่ดับไปแล้ว จิตที่เป็นปัจจุบันไปรู้จิตที่เป็นอดีต
     
  6. วัชรพงษศ์

    วัชรพงษศ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2012
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +15
    กระผมจะพยายามตอบตามความรู้ที่มีแต่โดยสัมมาทิฏฐินะครับ

    กระผมขอตอบตามความรู้บ้างเท่าที่มีแต่โดยสัมมาทิฏฐิเป็นสำคัญเรียงตามคำถามเลยนะครับ

    เมื่อพูดถึงปัจจุบันหรือที่เรียกว่าธรรมโมนั้น
    ซึ่งเป็นธรรมที่อยู่เหนือกาลเวลา ไม่ขึ้นกับกาลเวลา
    ไม่เป็นอดีต ไม่กังวลถึงอนาคตใช่หรือไม่?
    ใช่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะอะไร?
    ดีเบตได้ตามสบายเท่าที่เข้าใจได้


    ขอตอบครับ คุณธรรมจักมีบังเกิดได้ก็ด้วยมีคุณธรรมในลมหายใจปัจจุบันเป็นสำคัญ โดยมีศีลแลสติละลึกได้สัมปะชัญญะความรู้ตัวทั่วพร้อมเป็นปฐม
    ก็เนื่องด้วย
    เราละชั่วในอดีตไม่ได้ เราละชั่วในอนาคตไม่ได้เพียงแต่ปวารณาสำหรับพระอริยสงฆ์ที่กระทำได้แต่ต้องไม่ประมาทในธรรม
    แต่เราละชั่วในลมหายใจปัจจุบันได้ โดยสัมมาทิฏฐิ
    เราเปลี่ยนแปลงความดีในอดีตไม่ได้เพียงแต่ละลึกถึงเพื่อให้เกิดศรัทธาสร้างความดีในบุญกิริยาวัตถุ เราทำความดีในอนาคตไม่ได้เพียงแต่ปวารณาสำหรับพระอริสงฆ์แลบุคลผู้มีคุณธรรมสูงส่งแต่ต้องไม่ประมาทในธรรม
    แต่เรากระทำความดีในลมหายใจปัจจุบันได้โดยสัมมาทิฏฐิ
    เราเปลี่ยนแปลงจิตที่บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์หรือที่เป็นอัพยากฤต แลจิตที่เป็นกุศลแลอกุศลกรรมในลมหายใจในอดีตไม่ได้
    เราทำจิตใจให้บริสุทธิ์ในลมหายใจในอนาคตไม่ได้เพียงแต่ปวารณาสำหรับพระอริยเจ้าแลบุคลผู้มีคุณธรรมสูงส่งแต่ต้องไม่ประมาทในธรรม
    แต่เรามีศีลแลสติทุกกิริยา มีปัญญารู้เท่าทันความเกิดแลระงับการเกิดขึ้นแลดับไปของกิเลสทุกการกระทำ มีคุณธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิทุกลมหายใจได้ ในลมหายใจปัจจุบันได้โดยสัมมาทิฏฐิ

    แต่ในความเข้าใจของผู้ปฏิบัติและศึกษาใหม่ปัจจุบันนั้น
    มีความเข้าใจไปว่า การรู้กาย รู้ใจ คือรู้ปัจจุบัน
    ให้รู้ผัสสะที่เหตุการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
    แล้วเป็นปัจจุบันธรรมหรือธรรมโมตรงไหน?


    การรู้กาย การรู้ใจรู้ลมหายใจปัจจุบันนั้นต้องเป็นลมหายใจปัจจุบัน เพราะลมหายใจที่แล้วเป็นสิ่งที่ต้องอาลัยอาวรแลลมหายใจอนาคตนั้นก็ยังมิได้บังเกิดขึ้นนี้สัญญาความจำได้หมายรู้แลกองสังขารการปรุงแต่งแต่สิ่งที่บุคลจะได้พบเจอคือลมหายใจปัจจุบันทุกขณะจิต ทำความดีได้ ละชั่วใด้ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ได้ก็ด้วยลมหายใจปัจจุบัน สิ่งที่อยู่กับตัวเราเหมือนเงาตามตัวตั้งแต่เกิดจนสิ้นลมหายใจ คือลมหายใจปัจจุบัน แลกองกุศลแลอกุศลที่ได้กระทำมาจักให้ผลตามกาลสมควรเช่นนั้นเอง

    เป็นปัจจุธรรมได้เพราปัจจัยที่บุคลนำหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์พระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติน้อมเข้ามาในกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริตในธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิโดยชอบธรรมแลไม่บิดเบือนในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้

    ในเมื่อสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้น
    พร้อมกลายเป็นอดีตไปในชั่วพริบตา
    แบบนี้จะจัดเป็นปัจจุบันธรรมหรือธรรมโม ได้ตรงไหน?
    ควรเรียกสภาวะธรรมนั้น ให้ถูกต้องว่าอย่างไร?


    สิ่งที่เกิดขึ้นแลเป็นอดีตไปแล้วเรียกว่าสังขารขันธ์หากมีความจำได้หมายรู้ในอดีตนั้นเรียกว่าสัญญาขันธ์ หากมีหากการปรุงแต่งจิตในธรรมมารมณ์ที่เกิดมาแล้วนั้นเรียกว่าสังขารขันธ์เช่นเดียวกัน ว่าสิ่งที่เกิดไปแล้วนั้นเป็นการกระทำที่เป็นกรรมเช่นไร เมื่อมีกิเลส เข้ามาในวิญญานขันธ์แล้วไปสู่จิตเจตสิกแล้วมิอาจเอาชนะกิเลสในจิตได้จึงทำให้เกิดเป็นการกระทำคือกรรมขึ้นมา เมื่อมีกิเลสแล้วไม่สามารถเอาชนะกิเลสในใจได้ก็มีกรรม เมื่อมีกรรมก็มีวิบากกรรม เมื่อมีวิบากกรรมก็มีผู้รับผลแห่งการกระทำนั้นคือผู้ก่อกรรม กรรมจักให้ผลตามกาลสมควร แต่เรื่องกรรมเป็นอจิณไตยคือห้ามสงสัย เพียงแต่ตระหนักได้สำเนียกอยู่ในความความเพียรประกอบกุศลกรรม แลเพียรละจากอกุศลกรรมเพียรทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ มีความละอายแลเกรงกลัวต่อต่อบาป ลมหายใจที่แล้วเป็นอดีตชาติ ลมหายใจปัจจุบันเป็นปัจจุบันชาติ ลมหายใจอนาคตเป็นอนาคตชาติ (กล่าวอุปมา) ด้วยเหตุนี้แลเราจึงสามารถทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตให้บริสุทธิ์ในลมหายใจปัจจุบันได้โดยไม่ผิดวิสัยเช่นนั้นเอง

    ธรรมโมเพราะมีคุณธรรมในลมหายใจปัจจุบันกาลโดยสัมมาทิฏฐิ


     
  7. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    สว่างคาตาเลยครับ
    ไม่เอาอดีต
    ไม่ก่อปัจจุบัน
    ไม่ทำลายอนาคต

    สิ่งดีๆเอามาได้อยู่หรือไม่
    สิ่งไม่ดีก็เอามาเป็นอุทาหรณ์ได้ไหม

    ขอท่านเจริญในธรรมครับ
     
  8. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    รู้ตาม-->รู้ทัน--->รู้เท่า
     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การคบคิด จะคบคิดอยู่โดยไม่ต้องตรึกนึกขึ้นมา คบคิดแก้ไขเฉพาะขณะนั้น เมื่อเสร็จสิ้นก็หยุดการคบคิด ไม่สืบต่อเนื่องไปในอดีต หรือ อนาคต

    การนึกคิด จะต้องตรึกนึกเรื่องราวขึ้นมา ไม่ว่าจากอดีต หรือ เรื่องราวที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม ซึ่งมีการต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย

    แต่มีหลายคนที่เข้าใจว่า การคบคิด และ การนึกคิด เป็นสิ่งเดียวกัน โดยไม่มีการใตร่ตรองให้รอบครอบ จึงก่อให้เกิดการเสียประโยชน์ไป

    การจดจ่ออยู่ในปัจจุบัน เป็นการคบคิด และ เมื่อคบคิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็วางการคบคิดนั้นลง โดยไม่มีการต่อเนื่อง ต่างจากการนึกคิดโดยสิ้นเชิง

    การหยุดอยูในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่จะทำให้ลดความเป็นทุกข์ได้มากทีเดียว ไม่มีความสุข หรือ ความทุกข์ ไม่มีการปรุงแต่งถึงอดีต หรือ อนาคต อย่างที่ได้กระทำตามความเคยชิน

    สาธุครับ
     
  10. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    สิ่งที่รู้ก็สักแต่ว่ารู้ สิ่งที่กระทบก็สักแต่ว่ากระทบ ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อว่าจะเป็นอย่างไร

    เจริญในธรรมครับ
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    PANTIP.COM : Y12220815
    ^
    ^
    ลองไปอ่านที่พันทิพเค้าตอบดูนะ

    อาจได้ข้อคิดเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ลูกบัวผัน ท่าทางจะเมาน้ำตาลเอาจริงๆ

    อ้าวไม่รู้หรือว่านั่นเป็นความเพียรที่พูดไป

    ซึ่งทำตามที่พระพุทธองค์ที่ทรงตรัสสั่งสอนไว้

    ทำตัวสู่รู้จังนะ ว่า ไม่ได้ทำอย่างที่ "ทำมาพูด"

    เฮ้อ!!! อวดรู้ไปหมด รู้ดียิ่งกว่าเจ้าตัวเสียอีกแหนะ

    ที่ไม่ชอบโต้ตอบในทันทีทันใด

    เพราะไม่ต้องการให้กิเลสพาไป

    ที่อ้างพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เพื่อให้เอาเยี่ยงอย่าง

    อย่าอวดเก่ง ไม่เหมือนพวกชอบโชว์สด เดาสวด อวดธรรม

    เก่งจังนะ ที่รู้วิธีสร้างความเพียรเป็นของตัวเองขึ้นมาได้(คิดเองมั๊ง)

    โดยไม่ต้องอาศัยคำสั่งสอนของพระบรมศาดา เป็นเครื่องนำทางเลย

    มิน่าทำไมคนในบอร์ดนี้จึงเก่งจัง อริยะทั้งนั้น รู้เองก็ได้ด้วย

    อยากจะคุยโม้อะไร ก็เต็มที่เลยนะลูกบัวผัน

    เพราะถามไปแล้วว่า ลูกบัวผันเมาน้ำตาลทั้งวันั้นน

    เพียรยังไง?

    คิดแต่จะโชว์ ไม่เคยคิดจะตอบคำถามบ้างเลยนะ

    เจริญในธรรมทุกๆท่า
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    จากความจำ มีพระพุทธพจน์ตรัสกับพระราหุลว่า

    "แม้ลมหายใจดับ ก็รู้อยู่"

    แบบนี้ ทำยังไงดีหละ แม้ลมหายใจในปัจจุบันก็หายไป?

    แสดงว่าลมหายใจปัจุบันที่ละเอียดบริสุทธิ์

    นำพาให้ หยุุดเรื่องปรุงแต่ง(กายสังขาร) มา

    "รู้อยู่ที่รู้"ใช่หรือไม่?

    สนทนาธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    อ้าว!!!

    ที่พูดมาไม่รู้สึกว่าขัดกันเองหรือ?

    "จิตที่เราไปรู้นั้น"

    เราที่ไปรู้จิตหนะ ใคร? ใช่จิตของตนมั้ยทีไปรู้?

    ถ้าไม่ใช่จิตของเราที่ไปรู้ แล้วอะไรที่ไปรู้หละ?

    เห็นเป็นรูป รู้เป็นนาม(ตำราว่าไว้อย่างนั้น)

    แค่ตรงนี้ แก้อรรถให้ตกด้วย

    เพราะเป็นการปฏิเสธ เหตุผลที่ยกมาแบบขาดเหตุผล

    แล้วที่อธิบายมาหนะ เป็นธรรมโมตรงไหน?

    แล้วจิตที่เป็นปัจจุบัน กับจิตที่เป็นอดีตตรงไหน?

    จิตคือธาตุรู้ ใช่หรือไม่?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    อ้าว!!!

    ที่พูดมาก็ยังไปรู้อยู่ที่เรื่องนี่

    ทำไมต้อง รู้ตาม รู้ทัน รู้เท่าหละ

    ก็ยังออกรู้ ธรรมโมตรงไหน?

    แล้วรู้อยู่ที่รู้ แบบที่หลวงปู่ฝากไว้ไม่ดีกว่าหรือ?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

    ปล. ขอให้ตอบอยู่ในประเด็น อย่าให้ใครว่าได้ว่าสู้ที่พันทิพไม่ได้
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
     
  17. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ใช่ธาตุรู้ อธิบายมาเลยค่ะ หาคนเก่งมานานแล้วเรื่องนี้
    ธาตุรู้ รู้ได้แบบไหน เวลาไหนเป็นอย่างไร
    อธิบายมาเลยค่ะ เรียนเชิญนะคะ

    ที่เราอธิบายมานั้น มันเป็นปัจจุบัน

    รออ่านอยู่นะ ขอบอก
     
  18. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    จิตนั่นรู้อารมได้ เป๋นธาตุรู้ มีจิต มโน วิญญาณเป็นผู้สั่งเหมือนลิงที่เกาะต้นไม้เปลียนกิ่งไปเลื่อยๆ ลิงก็คือขันธ์5มี 3ส่วนนี้อยู่ในนั่น กิ่งไม้คือ นาม-รูป มีเจตสิก เป็นอาการของจิตที่ร่วมอยู่กับจิต เมื่อจิตเกิด เจตสิกย่อมมี จิดดับไปเจตสิกก็หายไป ถ้าให้ เจตสิกดับไปอย่างเดียวเเบบนี้ก็ต้องกลับไปดูการทำงานเจตสิกที่เขียนว่าทำงานร่วมกับจิต การทำจิตให้ผ่องเเผ้วจริงๆคือการไม่มีเจตสิกมาร่วมด้วยเเล้วจำทำไงละ - - ก็ต้องรู้ว่าอะไรเกิดก่อน เจตสิก เกิดก่อนจิต นั่นเเละ เราถึงจะรู้ได้ว่าใครเป็นผู้สังเกตุตัวจริง ไม่ใช่จิตที่เกิดดับตลอดวันตลอดคืน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2012
  19. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    เปลี่ยนตรงผู้สังเกตุตัวจริงใหม่ ผมไม่ยืนยันว่า ตัวสังเกตุ จิตเจตสิกตัว นี้เนี่ยจะเป็น จิตเดิมจิตเเท้
    เพราะมัน เป็นทั่ง ผู้เผลอ กับ ทั่งผู้รู้ มันก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน ต้องเห็นจิตปลอมก่อน
    เเล้วมันจะมาสังเกตุของปลอมอีกที

    เมื่อไหรเริ่มรู้ต้องสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก วิราคะ นิโรธโน้มไปในการสละ
    มันถึงจะปล่อยลิงตกต้นไม้ได้ ปล่อยวางขันธ์5 ลิงมันไม่ได้ปล่อยกิ่งนะ เเต่มันจับกิ่ง1ไว้อยู่ เป็นวิญญาณฐิติ ไม่เวียนไปไหน ถ้าไม่รู้ตัวคือสัญโญคะ ถ้าเเยกออกมันจะมีความตั้งมั่นของสติ-มีสมาธิ คอยเฝ้าดูมันไว้มันก็จะ อยู่กับที่ เช่นอยู่กับลมหายใจก็คือ รูป เมื่อมีจิตตั้งมั่นจะเห็นไว้ขึ้นเท่านั่น ต่อเมื่อเราเห็น นิพิทา วิเวก บ่อยๆนี้เเละมันก็จะ นิโรธ คือลิงมันจะตกไปช่องว่างของ นาม-รุป หรือที่ว่า วิญญาณ-นามรูป
    จะเกิดตัวจริงของเราขึ้นมาเด่นๆเเทน จะเกิดญาณในการรู้ขึ้น เเบบที่พระองค์ชอบตรัสว่า

    ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้น แล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความ เป็น อย่างนี้มิได้มี ฯ

    จิตเเท้ๆคือวิมุติญาณทัสสนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2012
  20. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    มึนเลยอ่านคุณ แมวเหมียวอธิบาย
    เรารู้แต่
    มโนวิญญาณธาตุคือธาตุรู้ ก็รู้ได้ 3 กาลงัย
    รอเจ้าของทู้อธิบายต่อ

     

แชร์หน้านี้

Loading...