ประสบการณ์ธุดงค์

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย Norlnorrakuln, 14 มิถุนายน 2014.

  1. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    เจริญสุขสวัสดีท่านสาธุชนทุกท่าน

    พระสงฆ์สายปฎิบัติกรรมฐานนั้นภายหลังจากออกพรรษาแล้ว ส่วนมากนิยมออกท่องเที่ยวธุดงค์รุกขมูลไปตามสถานที่ต่างๆที่เป็นสัปปายะเป็นโคจรของผู้ปรารภธรรมอันเป็นเครื่องนำออกจากสังสารทุกข์ แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่สภาวะแวดล้อมป่าไม้ในบ้านเมืองของเราบัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว การจับจองบุกรุกป่าเพื่อประโยชน์ตนก็มีมากขึ้น บ่อยครั้งที่เราต้องเดินหาช่องทางฝ่าลวดหนามเข้าไปเพื่อแสวงหาร่มไม้หรือถ้ำสถานที่เหมาะๆเพื่อปรารภความเพียร และต้องไม่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านมากนัก ทั้งนี้เพื่อวันรุ่งขึ้นเราจะได้ออกรับบิณฑบาตรเลี้ยงชีพไม่ลำบากธาตุขันธ์

    มีระเบียบและวินัยสงฆ์เป็นที่ยึดถือปฎิบัติสืบต่อกันมาว่า พระสงฆ์ผู้ใหม่ในธรรมวินัยมีพรรษาหย่อนกว่าห้าพรรษาแล้วไม่ควรท่องเที่ยวไปผู้เดียว ต้องมีครูบาอาจารย์ตามไปด้วย สมัยนั้นเราเป็นผู้ใหม่มีพรรษาสองได้เข้าไปศึกษาสายหลวงพ่อชาวัดหนองป่าพง แต่เป็นสาขาย่อยของท่านในเขตจังหวัดอุบลราชธานี อ.เอ๋ ท่านเป็นพระผู้มีพรรษาห้าได้พาเราเข้าไปฝึกภาวนาในถ้ำแอ่น ซึ่งอยู่ในอำเภอบุญฑริกติดเขตชายแดนฝั่งลาว ครั้งนั้นเราอยู่กันสามรูป ถ้ำแอ่นมีลักษณะเป็นเงิบหินใหญ่ยื่นออกมา ทุกวันพระเราจะสมาทานธุดงค์ข้อเนสัชชิกกัน นี่เป็นระเบียบข้อปฎิบัติในสายหลวงปู่ชา เนสัชชิกก็คือการสมาทานเว้นจากอิริยาบทนอน ซึ่งเป็นวิธีฝึกจิตที่เข้มข้นมากสำหรับพระใหม่ในตอนนั้นเป็นอะไรที่ทรมานจริงๆ แต่เมื่อเรามีศรัทธาทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี คืนนั้นหลังจากสวดมนต์ทำวัตรแล้ว พวกเราก็นั่งเรียงกันเจริญจิตภาวนา ตอนนั้นใช้ภาวนาพุทธโธมีสติในลมหายใจเข้าออก เวลาผ่านไปเที่ยงคืนกว่าแล้วเมื่อจิตสงบ เป็นครั้งแรกที่เกิดนิมิตมันเป็นภาพเหมือนจริงมากทั้งที่เรามีสติครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่าง เราเห็น อ.เอ๋ ท่านเดินเข้ามาจากหน้าถ้ำหันซ้ายหันขวาพร้อมบ่นว่าปวดหัว ปวดหัวเหลือเกิน คล้ายกับว่าท่านต้องการระบายให้เรารับรู้อาการเจ็บปวดของท่านด้วยพิษไข้มาละเรียกำเริบ ท่านเดินตรงเข้ามาหาเราในมือมีเชือกเส้นหนึ่งตวัดรัดคอเราแล้วทำท่ากระชาก เราโน้มไปตามแรงดึงของท่าน จิตในขณะนั้นนึกสงสัยอยู่ว่านี่มันเรื่ิองจริงหรือหลอกกันแน่ ก็ในเมื่อท่านนั่งสมาธิอยู่ข้างๆเราแล้วจะมี อ.เอ๋ ที่ไหนอีกคนมาดึงเราได้ไง จิตผู้รู้ก็บอกว่าถ้าลืมตาสมาธิจะเคลื่อนนะให้อดทนไว้

    แต่อำนาจความสงสัยมันมีมากกว่าเราจึงค่อยๆลืมตาชำเลืองดู ปรากฎว่าท่านก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ส่วนภาพนิมิตนั้นก็หายไป จริงอย่างในจิตผู้รู้บอกเลยสมาธิเคลื่อนแล้วก็นับหนึ่งใหม่ คือเริ่มภาวนาพุทโธใหม่ และคืนนั้นก็ไม่ปรากฎภาพนิมิตอีกเลย

    เรามาพิจารณาย้อนหลังพบว่าในขณะที่จิตสงบนั้นคำภาวนาพุทโธหายไปเอง มีแต่สติรู้ตื่นอยู่เป็นอารมณ์ที่สงบละเอียดประณีตมาก กายก็ทรงตัวอยู่โดยมีความสมดุลไม่เอนเอียงไปซ้ายขวา จึงเกิดความเชื่อมั่นในพุทธองค์ที่กล่าวว่า "ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น" มันช่างเป็นวิธีการที่แยบยนจริงๆ เพราะเราสังเกตุหลายครั้งแล้วหากครั้งใดที่กายเอนซ้ายเอนขวาหลังงองุ้มเมื่อไหร่ ก็ไม่เกิดสมาธิจิตสงบแน่

    ภาวนาในถ้ำแอ่นเกือบสองเดือน ทุกวันต้องออกไปบิณฑบาตรที่หมู่บ้านหนองแสงระยะทางเกือบสิบหกกิโล ไปตั้งแต่ตีสี่กว่าจะถึงถ้ำก็เกือบสามโมงเช้าก็ถือว่าเป็นการเดินจงกรมระยะไกลได้ออกกำลังไปในตัว ยังดีที่มีตลาดนัดชายแดนให้ได้พักแข่งขาบ้าง ตลาดนัดช่องตาอู มันก็เหมือนตลาดนัดขายของทั่วไปนั้นแหล่ะเพียงแต่เขามีของป่ามาขายตามฤดูกาล ก่อนนั้นเขายังไม่ได้ทำถนนลาดยางขึ้นไปแต่ตอนนี้มีถนนแล้ว พ่อค้าแม่ขายจากฝั่งไทยเลยได้ขับรถขึ้นไปค้าขายได้สะดวก ถ้าจำไม่ผิดเขาเปิดสองวันคือวันพุทธกับวันเสาร์ เราก็อาศัยสองวันนี้แหล่ะได้บิณฑบาตรใกล้หน่อย จะว่าไปแล้วมันก็ทรมานสังขารอยู่พอสมควรนะ ต้องหิ้วถังแกลอนน้ำมันไปขอน้ำดื่มจากค่ายทหาร ตอนนั้นใช้แกลอนห้าลิตรล้างสะอาดแล้วไปขอน้ำดืม ช่วงนั้นลำห้วยบนเขาเริ่มแห้งแล้วเพราะไม่ใช่ฤดูฝน บริขารแปดได้ใช้ครบทั้งหมดเลย ธัมกรกคือที่กรองน้ำเราก็ใช้ผ้าปิดสักหน่อยแล้วไปตักน้ำในลำห้วยมาเทใส่ ก่อนจะดื่มก็ต้องต้มให้สะอาดสักหน่อย คือไม่อยากรบกวนพวกทหารมากเกินไป ภิกษุต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ

    ในบรรดาธุดงค์วัตรสิบอย่างนั้นหลักๆต้องสมาทานถือผ้าสามผืน,บิณฑบาตร,ฉันอาสนะเดียว ข้อที่เหลือแล้วแต่โอกาสอันเหมาะสม ทีนี้ใช้ผ้าสามผืนนานๆเข้ามันก็มีขาดมีแหว่งไปบ้างก็ต้องใช่เข็มเย็บปะกันไปตามมีตามได้ รู้สึกว่าตอนนั้นเหมือนเราเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งคือต้องใช้สัญชาตญานในการดำดงค์ชีวิตจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นไม้ชนิดใดกินได้กินไม่ได้เป็นยาหรือว่าสมควรเก็บไว้ใช้ย้อมผ้า การขับถ่ายกินอยู่หลับนอน ทุกอย่างล้วนแตกต่างจากชีวิตฆราวาสโดยสิ้นเชิง สิ่งเหล่านี้แหล่ะเป็นการฝึกฝนอบรมจิตใจของตนเองทีละเล็กทีละน้อย

    เรื่องของการทำบริขารนั้นก็เป็นอุบายธรรมอย่างหนึ่งในการฝึกจิตได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการตัดเย็บย้อมจีวร การทำร่มกลด การถักถลกบาตร ขารองบาตรฯลฯ ล้วนเป็นอุบายให้จิตเกาะอยู่กับบุญกุศลไม่ส่งใจไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องภายนอก ซ้ำยังเป็นตัวช่วยผ่อนคลายไม่ให้เกิดความตึงเครียดในการปฎิบัติได้อีกด้วย

    เมื่อพักภาวนาในถ้ำแอ่นได้พอสมควรแล้ว ก็ถึงเวลาเปลี่ยนสถานที่บ้าง ในเขตจังหวัดอุบลยังพอมีป่าช้าให้พักอาศัย อ.เอ๋ เลือกป่าช้าใกล้เขตตลาดในตัวอำเภอบุญฑริก "เสยยังนิกขิปามิ โสสาสนิกกังขัง สมาธิยามิ" การอยู่ป่าช้าก็เป็นหนึ่งในข้อปฎิบัติธุดงค์วัตรเช่นกัน เราพรรษาสองในตอนนั้นจะว่ากลัวผีก็กลัวอยู่นะ จะว่าไม่กลัวมันก็พอทนไหวเพราะไปกันสามรูป สภาพป่าช้าโดยทั่วไปแล้วไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลย แต่พอตกกลางคืนมันก็พูดยากนะบรรยากาศมันยังไงชอบกลอยู่ เริ่มมองหาอีกสองรูปที่เหลือกะว่าถ้าผีมันโผล่มาคงวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือได้ทันท่วงที ตุ๊กแกก็ดันมาแหกปากรองอยู่ต้นไม้ข้างๆเสียด้วย เอาหล่ะนั่งภาวนาในกลดสู้กับมัน สักพักนกแสกนกกลางคืนก็บินออกมาวนเวียนอยู่เหนือกลดเสียงดังพึบพับๆ เท่านั้นยังไม่พอเสียงใบไม้ก็ร่วงหล่นลงมากว่าจะตกถึงพื้นมันต้องกระทบกิ่งไม้ก่อนใบชาติใบควงที่มันใหญ่ๆนะเวลามันร่วงเหมือนเสียงผีมันวิ่งมาแต่ไกลเลย ตอนนั้นยังไม่รู้อะไรเราก็ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปเรื่อย คืนนั้นไม่กล้าออกจากกลดดีที่ตอนกลางวันใช้พลังงานไปมากเลยไม่ปวดหนักปวดเบา ผ่านคืนแรกไปได้แทบไม่ได้หลับเลยจิตมันตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา นั่งโงกง่วงไปได้พักเดียวมันก็มีกำลังอีกแล้ว คืนสองชักเริ่มชินขอขี้เกียรติบ้างเถอะ ปรากฎว่ามันมาจริงๆ

    ผีมันมาทดสอบในนิมิตขณะที่เราหลับเผลอสติไป มันมาในรูปแบบคนรู้จัก เดินเข้ามาแล้วเลิกมุ้งกลดขึ้นไม่พูดพร่ำทำเพลงเลยเอามุ้งนั้นแหล่ะอุดปากอุดจมูกเราก็หายใจไม่ออกน่ะซิ ดิ้นรนทรมานอยู่นาน แรงมันเยอะมากจะทำไงดี พยายามจะลืมตาตื่นให้ได้ จึงตัดสินใจรวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายหมุนสะบัดตัวเลยตื่นขึ้นมาหายใจเหนื่อยเกือบไปแล้วเรา ขนาดแผ่เมตตาให้แล้วนะยังไม่วาย เพิ่งมารู้ที่หลังพวกนี้บางทีมันไม่รับบุญของเราหรอก เราเข้าไปภาวนาในถิ่นเขา เขาร้อนก็เลยมาแสดงบางอย่างเพื่อให้เราออกไป ให้ใช้บทสวดพุทธคุณนี่แหละออกเหมือนกัน "อิติปิโสภะควา อรหังสัมมา สัมพุทโธ" ยังไม่จบคำว่าพุทโธเลยกระเด่งออกไปหมด เคยใช้ในการเดินธุดงค์ครั้งต่อๆไปได้ผลดีมาก พวกผีอำผีสิงหนีออกหมด
     
  2. Apollo14

    Apollo14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +199
    รออ่านต่อครับ พระอาจารย์:cool:
     
  3. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    เรียนท่านอาจารย์

    การปลีกวิเวกเข้าพื้นที่ป่าเขา มีเหตุการณ์ให้เรียนรู้กันอย่างมากมาย สมัยก่อนที่ผมยังยึดถือความวิเวก ท่องเที่ยวไปตามป่าเขานั้น พวกสถานที่อย่างเช่น ถ้ำต่างๆ เหล่านี้ หากได้เลือกเป็นที่แรมคืน มักจะถูกรบกวนเสมอ คล้ายกับว่าสภาพภูมิประเทศแบบถ้ำนี้ จะเป็นแหล่งรวมของสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งหลาย

    สถานที่เหล่านี้ หากมองในอีกทางหนึ่ง ถือว่าเป็นสนามฝึกที่เหมาะสมสำหรับใช้อบรม บ่มเพาะกำลังใจ ให้มีความก้าวหน้าไปได้อย่างดี ในส่วนของผู้ที่มาทดสอบกำลังใจนั้น หลายครั้ง หลายหน ตั้งใจว่าจะเปิดหน้าแลกหมัด ดวลกันประเภทใครดี ใครอยู่ แต่เมื่อพิจารณาด้วยเหตุผลแล้ว พบว่าในทุกสถานการณ์ พุทธานุภาพและพรหมวิหารธรรม ก็เป็นสิ่งที่ช่วยเหลือให้แคล้วคลาดปลอดภัยมาได้ตลอด

    บทสวดพุทธคุณนี้ดีนักหนา อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ ก็เห็นสอดคล้องด้วยตามนั้น สำหรับผม ยึดถือไว้ประจำใจเสมอว่า บรรดาอานุภาพหรือพลานุภาพ อื่นๆ ใดๆ ก็ตาม เหล่านั้น จะมีสิ่งใดที่จะมีอำนาจเหนือกว่าพุทธานุภาพ เป็นไม่มี

    ขอขอบคุณท่านอาจารย์ ที่ได้นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อยังประโยชน์ให้แก่สาธุชนทั้งหลายต่อไป
     
  4. เมริดา

    เมริดา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +13
    สาธุ..ค่ะ ขอบพระคุณค่ะ กับธรรมทานประสบการณ์ธุดงค์ของหลวงพี่มีประโยชน์มากๆๆค่ะ
    อ่านแล้วก็ได้เติมปัญญาฆราวาสคนนึงได้เกิดปัญญา...รออ่านอยู่นะคะ
     
  5. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    การเดินจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย เพราะเราจะได้ไม่ยึดติดในที่อยู่ แต่การเดินทางเราต้องมีเหตุและผลของการเดินทางที่ชัดเจนว่าเราไปเพื่ออะไร?เพื่อไปเพิ่มดีกรีความเข้มขลังของตัวเองงั้นรึ?หรือไปเพื่อเรียกศรัทธาแสวงหาเอกลาภเสียงสรรเสริญเยินยอ?หรือเพื่อแสวงหาวัตถุมงคลเหล็กไหลไพรดำ?หรือไปเพื่อแสวหาครูอาจารย์เรียนวิชาอาคมขมังเวทย์ ฯลฯ เมื่อถามใจตนเองได้ดังนี้แล้วเราก็จะ็พบว่าแท้ที่จริง การสมาทานธุดงค์เที่ยวจาริกไปตามสถานที่ต่างๆนั้นเพียง็เพื่อไปฝึกฝนอบรมจิตของตนเอง ไปเพื่อเจริญจิตภาวนานั้นโดยถ่ายเดียว สมดั่งพุทธดำรัสตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า "กิจอันใดที่พระตถาคตเจ้าจะพึงกระทำแก่พวกเธอทั้งหลายกิจนั้นเราได้ทำแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั้นเรือนว่าง นั้นโคนต้นไม้ นั้นล้อมฟาง นั้นเงื้อมผา นั้นท้องถ้ำ ท่านจงทำกิจของตนเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด"

    มีครั้งหนึ่งหลังจากออกพรรษาที่จังหวัดสกลนครแล้ว เราก็เที่ยวไปบนเทือกเขาภูพานอยู่ตำบล ส่องดาวอำเภอวาริชภูมิได้สักสองอาทิตย์ ก่อนนั้นเราได้อธิษฐานธุดงควัตรข้อเนสัชชิกตลอดชีวิตคือด้วยความทีเรายังใหม่กำลังมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในการปฎิบัติ จึงขาดปัญญาพิจารณาถึงความเหมาะสม เทือกเขาภูพานเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาก หินน้อยใหญ่บนภูนั้นเหมือนถูกตกแต่งไว้นั่งภาวนาโดยเฉพาะๆเลย วันนั้นนั่งจนหลับไป(ท่ากบ)จิตตกภวังค์เร็วมาก ภวังค์จิตนั้นมันก็คือสภาวะที่จิตหยั่งลงไปสู่ภพภูมิมีทั้งของจริงและไม่จริง มารู้ที่หลังครูบาอาจารย์ท่านมิให้ทรงอารมณ์เช่นนั้น(โง่อยู่หลายปี) ครูบาอาจารย์ทางนิมิตท่านก็เมตตามีทั้งแสดงปริศนาธรรมให้ดู และแบบให้พรประสิทธิ์บนกระหม่อม ให้คาถา แต่เราคงไม่กล่าวรายละเอียดมากเพราะเป็นสิ่งที่รู้เฉพาะ เรื่องของสถานที่แต่ละแห่งนั้นไม่ว่าที่ไหนจะมีกลิ่นไอของความดีและความไม่ดีรวมอยู่เราต้องรู้จักพิจารณาเลือกสถานที่สัปปายะจริงๆก็จะทำให้จิตเรามีความเจริญก้าวหน้า ยิ่งเป็นสถานที่ที่มีครูบาอาจารย์บรรลุธรรมด้วยแล้ว สถานที่แห่งนั้นก็จะมีพลังงานความบริสุทธิ์อยู่มาก หากเป็นสถานที่ที่มีการจองเวรเข่นฆ่ากัน เช่น ตามเขตชายแดน ราวป่าท้องถ้ำอันเป็นที่อยู่ อาสัยของพวกมิจฉาทิฎฐิแล้วเราก็ควรไปเพื่อเจริญเมตตาบารมีแผ่บุญกุศลไปให้พวกเขาเป็นส่วนมาก ไม่ควรเคร่งครัดปฎิบัติภาวนาแบบเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ โดยไม่คำนึงถึงภูมิสถานที่นั้นๆมิควรเลย อีกวาระหนึ่งเรานั่งภาวนาบนพื้นราบที่เป็นพลาญหิน บริเวณนั้นเขาว่ากันว่าแรงมากใครจิตไม่ดีเป็นต้องหอบกลดหอบบาตรวิ่งหนีไป บางคนเป็นบ้าเสียสติก็มี พอจิตสงบปั๊บเร็วมากเหมือนมันมีแต่หัวลอยมา เป็นหัวคนแก่ มาหอมแก้มเรา มาหอมตรงนั้นที ตรงนี้ที เราก็เฮ้ยอะไรว๊ะ มันลอยมาเราก็ใช้สองมือจับเหวี่ยงออก เหวี่ยงออก ดูจิตตนเองอยู่ จึงรู้สัมผัสของเขาที่มากระทบเราในขณะนั้นตีความได้ว่า เขามาแสดงความดีใจกึ่งทดสอบเรา ทีแรกก็ตกใจแหละเพราะว่าไม่เคยเห็น สะดุ้งจนต้องลืมตาถอนจิตออกมาเพราะว่ามันชัดเจนมาก ทั้งภาพทั้งความรู้สึกที่หัวพุ่งเข้ามา พุ่งเข้ามาติดหนึบอยู่กับตัวเราจนต้องใช้มือแกละออก นี่กระมังสาเหตุที่ทำให้พระให้คนเสียสติ เราเพียงรู้แล้วก็วาง รู้แล้วก็ละไปไม่นึกคิดปรุงแต่งติดตามว่าเขาเป็นใครมาจากไหน อะไรยังไง ปรากฎว่าคืนนั้นก็ผ่านไปไม่มาอีกแล้ว คืนต่อมาขยับไปนั่งบนก้อนหินใหญ่ พอจิตสงบปั๊บมันเบามากจิตลอยออกไปที่กลางกระหม่อมมีความรู้สึกว่าลอยขึ้นไปสูงมาก ร่างกายหายไปจากความรู้สึก เหลือสัญญาอยู่น้อยมากจำไม่ได้เลยข้อมูลเกี่ยวกับร่างกายเหมือนเราไม่มีตัวตน มีแต่ความเบาลอยขึ้นไปเรื่อยๆ มันเป็นสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งแต่เราขอไม่เล่ารายละเอียด พอตอนลงมาความรู้สึกเริ่มจากศีรษะไล่มาจนถึงปลายเท้า แล้วจึงปรากฎลมหายใจ มันเป็นอาการของอัปนาสมาธิซึ่งไร้ความรู้สึกทางกายโดยสิ้นเชิง ต้องรอให้ถอนออกมาเอง ถ้าแบบนี้ให้เราท่านลองสักเกตดูนะเราจะยกจิตให้พิจารณากายไม่ได้เลย เพราะกายมันหายไปใช่ไหม มีแต่ความโล่งโปร่งเบา จะว่าอยู่ในองค์ฌานแบบแช่สงบนิ่งอยู่ก็ไม่ใช่เพราะจิตมันไม่รวมอยู่กับที่ แต่กลับเคลื่อนไปสัมผัสภพภูมิตามกำลังของสมาธิ สมาธิแบบนี้มันหลบเวทนาไม่สู้เวทนา คือมันกระโดดทิ้งความรู้สึกทางกายไปไม่เกิดปัญญาแต่อย่างใดเลย เพียงแต่ได้กำลังความสดชื่นเหมือนเราเดินทางไกลกระหายน้ำพอได้ดื่มน้ำเย็นๆเข้าไปรู้สึกสดชื่นเบาสบายไปทั่วร่าง มีพลังเดินทางต่อไป

    นี่ก็เช่นกันสมาธิแต่ล่ะระดับเป็นของดีไว้พักจิตพอหายเหนื่อยแล้วเราก็ต้องเดินทางต่อ คือรู้จักยกจิตมาสู่ฐานกายเพื่อเจริญวิปัสสนาญาณให้เห็นแจ้งในธาตุขันธ์ในสังขารร่างกาย ด้วยความเป็นอนิจจังของไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปมีแล้วหายไป ไม่ควรที่เราจะเข้าไปปรุงแต่งโต้ตอบเวทนาเหล่านั้นที่เกิดขึ้นทางกาย ด้วยความเป็นสุขหรือทุกข์แต่ควรเฝ้าสังเกตุมองดูให้ทั่วสารพางค์กายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยอุเบกขาจิตจริงๆ
     
  6. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    สาธุ ขอกราบอนุโมทนาในธรรมทานกับประสบการณ์ธุดงค์ด้วยค่ะ อ่านแล้วได้รับประโยชน์และอิ่มใจในบุญของท่านสมมติสงฆ์ตามไปด้วย จะติดตามอ่านต่อไปค่ะ
     
  7. เมริดา

    เมริดา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +13
    (deejai)...รออ่านอยู่นะคะ...หลวงพี่ สาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2014
  8. sjsbud

    sjsbud สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +16
    สาธุ..สนุกดีค่ะ ชอบตอนที่่หัวคนแก่ มาติดหนึบ ตลกดีได้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติอีก ขอบคุณค่ะท่านนักรบธรรม รออ่านอยู่นะคะ...
     
  9. Apollo14

    Apollo14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +199
    มารออีกแล้วครับ:cool::cool:
     
  10. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    ขออนุโมทนาในการบอกเล่าประสบการณ์ของท่านอาจารย์

    เรื่องการเสาะแสวงหาธรรมในสถานที่วิเวก บางหน บางครั้ง มีเหตุการณ์คับขันมากมาย ที่ต้องอาศัยสติสัมปะชัญญะ เพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์และเกิดความปลอดภัยแก่ตนเองและหมู่คณะในที่สุด

    สมัยก่อนที่ผมทำการปลีกวิเวก เพื่อฝึกฝนตัวเองอยู่นั้น คราหนึ่งเดินทางไปตามป่าเขาบริเวณเทือกเขาตะนาวศรี ลัดเลาะไปตามชายแดนไทย เมียนมาร์ แถบแถวนั้น มีชุมชนชาวกะเหรี่ยงกระจัดกระจาย แต่เมื่อเข้าไปในป่าลึกเข้า ชุมชนก็ห่างหายไป แต่เรื่องอาหารการกิน คณะของเราไม่ค่อยเน้นกันเท่าไหร่ เนื่องจากอาศัยธรรมปิติ เป็นเครื่องช่วยหล่อเลี้ยงสังขารกายและสภาพจิตใจไปเรื่อยๆ

    ชายแดนเทือกเขาตะนาวศรี ลักษณะเป็นภูเขาหินปูน แถวนี้จึงมีถ้ำ โพรง หลืบ ให้พักพิงได้มากมาย เวลาพลบค่ำวันหนึ่ง เราเลือกได้ถ้ำหนึ่งเป็นที่แรมคืน ในเวลานั้น ความร้อนวิชากำลังมีอยู่กับผมเต็มที่ จึงไม่กังวลกับเรื่องอื่นๆมากนัก เห็นว่าพักแรมเพียงหนึ่งคืน รุ่งขึ้นก็ต้องเดินทางต่อไป ตลอดคืนนั้น ได้ตั้งใจเข้าสมาธิตลอดทั้งคืน ดังนั้น เมื่อได้เวลาสมควร จึงนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์ จับลมหายใจเข้าออก ตามพื้นฐานที่ครูบาอาจารย์ได้สั่งสอนมา วูบเดียวกายทั้งหมดหายไปแล้ว เหลือเพียงจิตโดด จึงแช่อยู่ในอารมณ์นั้น

    เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ จิตถอนกำลังสมาธิลงมาหน่อยนึง มาที่อุปจารสมาธิ รับทราบทางจิตว่า รอบๆตัวมีผู้มาเยือนอยู่จำนวนหนึ่ง ลักษณะอารมณ์เตรียมเข้าห้ำหั่นเต็มที่ แปลกใจว่ารอบๆ นั้น คณะของเราหายไปไหนกันหมด เหมือนกับเหลือแต่เราอยู่คนเดียวในที่นั้น ใจเกิดประหวั่นขึ้นมาหน่อยนึง ร่ำๆอยากจะออกจากสมาธิ แล้วหนีไปให้ไกลๆ

    ระหว่างนั้น มีเสียงพูดบอกมาในใจว่า “คุณ ห้ามออกจากสมาธิเด็ดขาดนะ หากคุณออกจากสมาธิเมื่อไหร่ เขาเอาคุณตายแน่” ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง ตัดสินใจเอาว่าตายเป็นตาย เพราะเมื่อเลือกเดินทางปลีกวิเวกมาอย่างนี้แล้ว ชีวิตนี้ก็ขอมอบแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ที่ปวารณาฝากตัวไว้เป็นศิษย์ ดังนั้น เรื่องตายเป็นเรื่องธรรมดา ถ้ามันจะตาย ก็ปล่อยให้ตายไป ตัดสินใจได้ดังนี้แล้ว จึงไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทำการรวบรวมกำลังใจใหม่ วูบเดียวกายทั้งหมดหายไปอีกครั้งหนึ่ง เหลือเพียงจิตโดดๆ จึงแช่อยู่ในอารมณ์นั้นตลอดทั้งคืน จากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนใกล้รุ่งสาง จึงยกจิตมาสู่ฐานกายเพื่อเจริญวิปัสสนาญาณให้เห็นแจ้งในธาตุขันธ์ของสังขารร่างกาย แล้วจึงออกจากสมาธิ ลุกจากที่นั่งไปดำเนินภารกิจประจำวันตามปกติต่อไป

    เหตุการณ์ครั้งนั้น ต้องขอขอบคุณท่านผู้หวังดี ที่ได้มากล่าวเตือน ให้ระวังรักษาอารมณ์สมาธิ ไม่ให้สมาธิแตกซ่านจากเหตุรบกวน เพราะไม่อย่างนั้น อาจจะเกิดอันตรายขึ้นอย่างมากกับตัวผมเองก็ได้ แต่เมื่อพิจารณาดูโดยถี่ถ้วนแล้ว น่าจะเป็นเพราะบารมีพุทธานุภาพ ที่ยึดถือเป็นสรณะ ที่ช่วยให้ผมได้อยู่รอดปลอดภัยจากเหตุรบกวนต่างๆ มาได้โดยตลอดนั่นเอง

    ก็ขอขอบคุณท่านอาจารย์ ที่ได้นำเรื่องราวประสบการณ์ธุดงค์ มาเล่าเรียงให้ได้อ่านกัน โอกาสหน้าหวังว่า คงจะได้อ่านประสบการณ์ธุดงค์ จากท่านอาจารย์ต่อไปนะครับ
     
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    กราบอนุโมทนาในวัตรปฏิบัติของพระคุณเจ้าเจ้าค่ะ โยมอ่านไปก็เหมือนได้ไปอยู่ในบรรยากาศนั้นๆด้วย มีอาการขนลุกเป็นระยะๆ ปิติไปกับพระคุณเจ้าผู้มีความเพียรในการขจัดขัดเกลากิเลสอย่างอุกฤษฎ์
     
  12. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    ขออนุญาตท่านอาจารย์เจ้าของกระทู้ สำหรับใช้พื้นที่ในกระทู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันต่อไปนะครับ

    ในสมัยก่อนเก่า ที่ผมยังปลีกวิเวก เพื่อฝึกฝนตนเองอยู่นั้น ตามธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อครั้งยังเป็นพระนวกะ หรือผู้ที่ยังใหม่ ที่มีพรรษาน้อยกว่าห้าพรรษา จึงมีความจำเป็นอยู่เอง ที่จะต้องจาริกไปโดยอยู่ในความชี้แนะของครูอาจารย์หรือผู้ที่มีพรรษามากกว่าห้าพรรษาเป็นผู้นำไป เมื่อถึงเวลาออกพรรษา ก็เป็นเวลาอันสมควร ที่เหล่านักปฏิบัติกรรมฐานจะเที่ยวจาริกไปตามสถานที่อันควรต่อไป

    การสมาทานธุดงควัตรนั้น สำหรับผมที่สมัยนั้นยังเป็นพระนวกะ กล่าวได้ว่าธุดงควัตรทั้ง 13 ประการ จัดว่าเป็นสิ่งที่ยากลำบากไปหมดทั้งสิ้น แต่ด้วยความมีจิตศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา จึงทำให้สิ่งที่หนัก สิ่งที่ลำบาก กลายเป็นสิ่งที่เบาลงได้อย่างน่าประหลาดใจ และเมื่อเวลาผ่านไป ก็เกิดเป็นความเคยชินและรู้สึกว่าเป็นของปกติธรรมดา ไม่ได้ลำบากมากจนเกินไปนัก

    สมัยก่อนการท่องจาริก ปลีกวิเวกไปตามป่าเขาลำเนาไพร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป่าเขาบริเวณเทือกเขาตะนาวศรี ลัดเลาะไปตามชายแดนไทย เมียนมาร์ แถบแถวนั้น เมื่อก่อนยังมีสภาพเป็นป่าดิบชื้น เขตร้อน ที่มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติอยู่มาก ประกอบกับโรคภัยไข้เจ็บ ไข้ป่า ประเภทไข้มาลาเรีย ก็ยังมีแพร่ระบาดชุกชุมในพื้นที่ ยิ่งสมัยนั้น หน่วยวิจัยมาลาเรียของกระทรวงสาธารณสุขหรือของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ยังไม่มีกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ เหมือนในสมัยปัจจุบัน ดังนั้น หากใครเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยไข้ป่าขึ้นมา ก็ต้องรักษาพยาบาลกันไปตามมีตามเกิด

    สำหรับผู้ปฏิบัติกรรมฐานก็เช่นเดียวกัน ไม่มีข้อยกเว้น การจาริก ปลีกวิเวก มุ่งปฏิบัติธรรม ตามป่าเขาลำเนาไพร ความเจ็บไข้ได้ป่วย ย่อมเป็นของคู่กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะพยายามระมัดระวังตัวอย่างมากแล้วก็ตาม ดังนั้น หากเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยของกายสังขาร ก็ต้องทำการดูแลประคับประคองกันไปตามสภาพแวดล้อมจะอำนวย แต่ก็ดูเหมือนจะมีตัวช่วยอยู่อย่างหนึ่ง คืออานาปนสติกรรมฐาน ที่จัดว่าเป็นกรรมฐานที่ใช้ระงับกายสังขารได้เป็นอย่างดี โดยเวลาที่รู้สึกไม่สบายนั้น เวทนามันมีมาก หากใช้อานาปนสติเข้ามาระงับอาการทางกาย จับลมหายใจเข้าออกจนอารมณ์ใจเป็นฌาน หรือแม้แต่เพียงอุปจารสมาธิ จะทำให้มีความรู้สึกว่าอาการไข้ไม่สบายหรือทุกขเวทนามันบรรเทาอาการลง ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว อาการไข้ไม่สบายก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้หายไปไหน แต่เป็นเพราะว่าจิตของเราไม่ยอมรับรู้อาการทางกาย จึงทำให้รู้สึกสบายขึ้นได้ เป็นการหลบอารมณ์ทางด้านทุกขเวทนาทางกายเป็นการชั่วคราว

    การปฏิบัติกรรมฐานในสถานที่ที่มีความวิเวกนั้น เมื่ออารมณ์ใจเข้าสู่ความสงัดแล้ว ภาพต่างๆมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลอกล่อใจของพระนวกะ ผู้ยังใหม่ได้เป็นอย่างดี หากหลงไปยึดติดในภาพที่เกิดขึ้น ก็แสดงว่าใจของเราจะพลาดจากสมาธิไปแล้วนั่นเอง แต่ว่าก็เป็นธรรมดา เมื่อยังใหม่อยู่ ย่อมมีความเผลอเรอที่จะไปติดในภาพที่เกิดขึ้น ต้องใช้เวลาอยู่นานพอสมควรจึงจะสามารถรวบรวมกำลังใจ เอาชนะความสนใจยึดติดนั้นๆ ไปได้ เมื่อทำการเอาชนะใจของตัวเองได้แล้ว การฝึกก็ดำเนินต่อไป ภาพสิ่งใดจะเกิดก็ปล่อยให้เกิดไป มีหน้าที่รักษาลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างเดียว ในไม่ช้าก็เกิดอารมณ์เป็นฌาน

    เมื่อจิตเกิดอารมณ์เป็นฌานแล้ว ก็ต้องทำการซักซ้อมให้อยู่ตัว ตั้งใจไว้ว่าในเวลานี้ จะยังไม่เอาดีทางไหน จะเอาดีในทางการเล่นฌานนี่ล่ะ เอาให้มีความคล่องตัว แล้วอย่างอื่น ค่อยว่ากันทีหลัง

    สำหรับฌานฝ่ายโลกีย์ที่เกิดมีขึ้น สำหรับพระนวกะ ผู้ยังใหม่ก็จัดว่าเป็นของที่ต้องระวังรักษาไว้อย่างมาก เนื่องจากจัดว่าผู้ฝึกปฏิบัติก็ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา เป็นสมมติสงฆ์อยู่ เรื่องฌานจึงมีโอกาสเสื่อมสลายไปได้ทุกเมื่อ ไม่มีความคงทน ดังนั้น หน้าที่สำคัญคือจะต้องพยายามรักษาอารมณ์ใจให้เกาะติดอยู่กับสิ่งที่เป็นกุศลไว้โดยตลอด และพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ไปยึดติดกับนิมิตล่อหลอกต่างๆ ที่จะทำให้พลาดจากการปฏิบัติเพื่อความดีไปเสีย

    สำหรับผมในตอนนั้นแล้ว ถึงกับจัดลำดับเอาไว้ว่า สมาธิที่น่ากลัวที่สุด นั้นก็คือ อุปจารสมาธิ นั่นเอง เพราะเห็นว่ามีสิ่งที่ล่อหลอกผู้ปฏิบัติใหม่ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีความชำนาญในสมาธิมากขึ้นและรู้วิธีในการจัดการนิมิตต่างๆแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ เนื่องจากพบว่า อุปจารสมาธินี้ เป็นสมาธิที่สำคัญในการใช้ต่อยอดสำหรับฝึกวิชชาพิเศษอย่างอื่นๆ ได้อีกมากมาย เป็นของมีประโยชน์ หากรู้จักใช้ให้ถูกวิธี

    แต่กว่าจะถึงในขั้นตอนดังกล่าวนี้ พระนวกะ ผู้ยังใหม่ เช่นผมในเวลานั้น ก็ถูกอุปจารสมาธิล่อหลอกเอาจนแทบจะเสียผู้เสียคนไปเหมือนกัน จัดเป็นประสบการณ์ที่ยังซาบซึ้ง ตรึงใจ ไม่ลืมเลือนตราบจนถึงทุกวันนี้
     
  13. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    อีกวาระหนึ่งที่เขาภูพานหลังจากออกปริวาสกรรมแล้วเราก็ตั้งจิตอธิษฐานเดินทางไปให้ถึงพระธาตุพนม ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระธาตุประจำปีเกิด ก็พอดีเลยโอกาสมาถึงแล้ว แต่ความเชื่อนั้นถ้า ประกอบด้วยปัญญาต้องไม่งมงาย ความจริงจะตรงปีเกิดหรือไม่ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเราต่างหากมีศรัทธาต่อหลักธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยเพียงใด ก็อย่างที่บอกตอนนั้นยังใหม่อยู่มันก็บ้าไปตามเรื่องตามราวของมัน พระอุรังคธาตุ โอ้โหกระดูกบริเวณหัวใจของพระพุทธเจ้า ไม่ไปไม่ได้แล้ว เลยตัังจิตแน่วแน่ว่าเราจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่การจะไปด้วยยานพาหนะนั้นเห็นเป็นการไม่สมควร อย่ากระนั้นเลยเราควรทำความเพียรไปด้วยกำลังปลีแข้งของตนดีกว่า นึกถึงสมัยครั้งพุทธกาลพระภิกษุเมื่อทราบข่าวว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ สถานที่แห่งใดก็จะรีบเดินทางไปเข้าเฝ้า เราก็ดุจเดียวกันความรู้สึกที่อยากไปกราบพระธาตุพนมเป็นครั้งแรกก็อย่างนั้น ออกเดินทางสี่โมงเย็นระยะทางกว่าสามสิบกิโลเมตร กว่าจะถึงก็เกือบๆตีหนึ่ง ระหว่างเดินทาง ญาติโยมก็เอาโน้นนี่นั้นมาถวายตลอดเขาคงไม่รู้หรอกว่ามันหนักขนาดไหน นี่แอบระบายให้ฟัง ลำพังบริขารพระย่ามกลดบาตรก็เกือบๆยี่สิบกิโลแล้ว แต่ก็ฉลองศรัทธาไปถือว่าเขาคงอยากได้บุญร่วมกับเรา ไม่ทิ้งหรอกพะรุงพะรังแบกไปด้วยจะฉันเข้าไปได้ไงแอปเปิลเอยปลากระป๋องเอยขนมเอยฯลฯ ก็มันเลยเวลามาแล้ว แหมโยมนี่ก็ช่างจะถวายของนะ แต่เป็นพวกน้ำไม่เท่าไหร่ดื่มบ้างล้างหน้าบ้างมันก็หมดไป แต่ถ้าเป็นปัจจัยพวกเงินทองของมีค่านั้นถ้าเคร่งครัดตามพระวินัยจริงๆแล้วไม่ควรเป็นอย่างยิ่งเลยเราก็ปฎิเสธไปตามความเหมาะสม แต่บางกรณีมันก็เลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน มีโยมสุภาพสตรีคนหนึ่งเขาฉลาดในคำพูดคำจามาก บอกเป็นลูกศิษย์สายครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง "พระคุณเจ้าอย่าได้มีความคิดว่าสิ่งนี้เป็นของมีค่า ให้คิดเสียว่านี้เป็นเพียงกระดาษสิ่งสมมุติซึ่งท่านสามารถใช้มันให้เกิดประโยชน์เกิดบุญกุศลได้" ซึ่งความจริงข้อนี้ก็ปรากฎเมื่อเราต้องเป็นผู้ก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ต้องเดินทางโดยสารรถยนต์ ฯลฯ แต่การใช้ปัจจัยเหล่านี้ก็เพียงเพื่อประโยชน์ในกิจพระศาสนา ไม่ยังจิตแห่งการสะสมเพื่อหวังผลเชิงพาณิชย์อันเป็นฆ่าสึกต่อพรหมจรรย์เป็นบ่อเกิดแห่งโลภะจริตเหตุทำจิตให้เศร้าหมอง เราทรงอารมณ์จิตแบบนี้แล้วออกเดินเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เจอโยมอนาถาเราก็สละให้เขา เจอวัดสำนักสงฆ์กันดารก็แวะพักยอดใส่ตู้บริจาคทำบุญค่าน้ำค่าไฟไป

    ระหว่างทางก็มีท้อบ้างแต่ก็ไม่ถอย ท้อเพราะอะไร ท้อเพราะเห็นสังขารร่างกายเรามันไม่เป็นอย่างที่ใจคิดบังคับมันไม่ได้ มองดูขาดูบ่าของตนเองมันแข็งไปหมด นึกถึงสมัยครั้งพุทธกาลพระสงฆ์ท่านเดินได้ไงวันล่ะหลายๆโยชน์ โยชน์หนึ่งก็สิบหกกิโล นี่เราแค่สองโยชน์มันจะตายแล้วหรือ เอาจะตายก็ให้มันตายไปเลย นึกได้ดังนั้นกำลังใจมันก็มา เห็นไฟที่เขาประดับองค์พระธาตุแต่ไกลใจก็ชุ่มชื้นนั่นไงนั่นไงพระฉัพรรณรังสี เราเห็นแล้วมันเกิดปีติขนลุกขนพองไปทั่วสารพางค์กาย คิดฟุ้งปรุงแต่งไปเรื่อยกะว่าไปถึงแล้วจะถามอะไรพระองค์ท่านดี เอ๊แล้วพระองค์ท่านจะแสดงธรรมอะไรให้เราฟังบ้างนะ

    ไปถึงก็วนหาทางเข้าอยู่นานปรากฎว่าเขาปิดประตูตั้งแต่หกโมงแล้ว ก็ไม่เป็นไรหาที่นั่งหลับพิงกำแพงอยู่แถวนั้นเอง นึกถึงพวกขอทานที่เขาสติไม่ค่อยดีน้ำท่าไม่อาบมีเสื้อผ้าขาดวิ้นมีกลิ่นเหม็นเน่าชอบแบกสพายของพะรุงพะรังท่องเที่ยวไป อ้าวนี่เรามันพวกเดียวกันหรือเปล่าว่ะเนี่ยะ สำรวจตนเองอยู่อะไรหนอเป็นข้อแตกต่าง ก็สติไงเรายังมีสติดีอยู่เราไม่ได้บ้าเราเป็นผู้มีจุดหมายที่แน่นอน ชนทั้งหลายแบกของหนักคือขันธ์ห้าท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่อันไร้แก่นสาร จะต่างอะไรกับคนบ้าที่ท่องเที่ยวไปในคามนิคมไร้จุดหมาย หาสิ่งใดเป็นสาระประโยชน์เป็นแก่นสารในชีวิตมิได้เลย ในเมื่อทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง แม้ธาตุขันธ์อันวิจิตรงดงามแห่งองค์พระบรมศาสดาก็ยังเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว เราจะมัวอาลัยในธาตุขันธ์ของตนทำไม มันจะเน่าจะเหม็นเพราะไม่ได้อาบน้ำ หรือจะไหม้จะดำเพราะเดินตากแดดนานๆก็ปล่อยมันไป ขอให้ใจเราอย่าได้เน่าได้เหม็นเพราะความหมักหมมของกิเลสอันยังมิได้ถูกชำระ อย่าให้ใจเราต้องถูกไฟแห่งราคะ โทสะ โมหะ แผดเผาจนดำจนไหม้เกรียมจนไม่เหลือเชื่อแห่งกุศลคุณงามความดี กลายเป็นคนบ้าขาดสติเดินหลงโลกหลงทางเลย สิบนิ้วน้อมกราบนมัสการองค์พระธาตุพนมด้วยใจชุ่มเย็นในกุศลราศรี ปรารภปัญญาสัมมาทิฎฐิอย่างนั้น ไม่ได้ไปเพื่อขอพรมงคลโลกีย์อื่นใด พักอยู่พระธาตุพนมสองคืนจึงเดินทางต่อ ที่จริงประสบการณ์ธุดงค์ของเรามันไม่ได้หวือหวา เกิดปาฎิหารย์อะไรน่าสนใจนักดอก เพียงนักภาวนาสมัครเล่นธรรมดาๆเท่านั้น หากจะพอเป็นประโยชน์เป็นกำลังใจให้แก่เพื่อนสหพรหมจรรย์และผู้สนใจบ้าง ก็ขออนุโมทนา และจะได้นำมาลงให้อ่านกันอีกตามโอกาสเหมาะสม
     
  14. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    ขอขอบคุณท่านอาจารย์ ที่เข้ามาเล่าประสบการณ์ให้รับฟังกันอีกครั้งหนึ่งนะครับ

    สำหรับตอนนี้ มาว่ากันถึงประสบการณ์ปลีกวิเวกของพระนวกะ ผู้ยังใหม่ ต่อไปนะครับ

    ในวาระของการปลีกวิเวกนั้น สิ่งสำคัญคือการเสาะแสวงหาสถานที่ที่เหมาะแก่การปฏิบัติเจริญภาวนา ในช่วงแรกของการท่องจาริกไปนั้น ต้องพยายามไม่ให้อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านมากนัก เพื่อที่จะได้ออกบิณฑบาตรเพื่อดูแลธาตุขันธ์ได้อย่างไม่ลำบากจนเกินไปนัก แต่หากไม่มีชุมชนอยู่ใกล้เคียงก็ไม่เป็นไร เพราะได้อาศัยธรรมปิติ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงดูแลทั้งจิตใจและกายสังขารไปเรื่อยๆ นั่นเอง

    สำหรับผู้ปฏิบัติเจริญภาวนากรรมฐาน เมื่อมีโอกาสอยู่ในที่สงัด พึงทำใจให้สงบเข้าสู่ความสงัดได้เป็นปกติแล้ว พระนวกะ ผู้ยังใหม่ ก็ต้องคอยระวังรักษาสภาพจิตใจให้ถอยห่างจากเครื่องกั้น ที่คอยขัดขวางไม่ให้เข้าถึงความสงบของจิตใจ คือ นิวรณ์ ทั้ง 5 ประการ ได้แก่ กามฉันทะ พยาปาทะ ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกุจจะ และวิจิกิจฉา สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นอันตรายต่อความสงัดแห่งจิตใจอย่างยิ่ง เมื่อใดก็ตาม เมื่อใจสงบแล้ว ก็จะกล่าวว่าได้ละจากนิวรณ์ทั้ง 5 ประการเป็นการชั่วคราว เป็นความปลอดโปร่งโล่งใจมาแทนที่ แต่ในความโล่งของจิตที่เป็นฌานนี้ ก็ยังมีสิ่งรบกวนที่คอยสอดแทรกมาอยู่เสมอ นั่นก็คือ

    -ภูมิที่ 1 ยังมีวิตก วิจารณ์ คอยแทรกเข้ามารบกวน

    -ภูมิที่ 2 ยังมีปิติ คอยแทรกเข้ามารบกวน

    -ภูมิที่ 3 ยังมีอุเบกขาสุข คอยแทรกเข้ามารบกวน

    -ภูมิที่ 4 ยังมีลมหายใจ คอยแทรกเข้ามารบกวน

    -ภูมิที่ 5 ยังมีรูปสัญญา คอยแทรกเข้ามารบกวน

    -ภูมิที่ 6 ยังมีอากาศสัญญา คอยแทรกเข้ามารบกวน

    -ภูมิที่ 7 ยังมีวิญญาณสัญญา คอยแทรกเข้ามารบกวน

    -ภูมิที่ 8 ยังมีมโนสัญญา คอยแทรกเข้ามารบกวน

    -ภูมิที่ 9 ดับสัญญาและเวทนาได้ทั้งหมด

    สำหรับผู้ปฏิบัติ โดยเฉพาะพระนวกะ แม้จะมีความคล่องในสมาธิ ฌาน เพียงใด แต่ถ้ายังไม่บรรลุถึงภูมิที่ 9 แล้ว ก็อย่าพึงนิ่งนอนใจ กล่าวได้ว่าต้องสำรวมกายใจไว้ตลอด เพื่อเป็นการรักษาอารมณ์สมาธิ กำลังใจให้คงอยู่ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง

    ในระหว่างการปลีกวิเวก ท่องจาริกไปในป่าเขาลำเนาไพรนั้น เหตุการณ์ต่างๆ ที่ประสบพบเจอ ก็ไม่ได้หวือหวาอะไรมากนัก เคยได้ยินถึงเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับในดงลึกมาก็มาก แต่ก็ยังไม่ได้พบเจอต่อหน้าด้วยตัวเองสักที อาจจะเป็นเพราะว่า ตัวเรา ไม่มีกรรม ที่จะทำให้ต้องไปประสบพบเจอกับสิ่งต่างๆเหล่านั้นก็เป็นได้

    เรื่องนี้ ได้เคยสนทนากับ อ.ชัย ท่านที่เป็นผู้มีพรรษาสูงกว่าและเป็นผู้นำในคณะท่องจาริก ปลีกวิเวกในครานี้ ท่าน อ.ชัย ถามว่า คุณยอยุทธ คุณมีความประสงค์อยากจะพบ อยากจะเห็น สถานที่ตามที่มีเรื่องเล่าขานในดงลึก เกี่ยวกับขุมสมบัติเมืองบังบด เมืองบาดาล หรือเมืองลับแล ทำนองนี้บ้างไหม? ได้แต่เรียนท่านไปว่า ผมไม่มีความประสงค์จะไปดู จะไปพบ จะไปเห็นครับ เพราะบรรดาสมบัติพัตสถานต่างๆก็ดี บรรดาเรื่องราวของพวกเมืองบังบด เมืองลับแล เมืองบาดาล ก็ดี ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ หากไปเกี่ยวข้องด้วย ก็จะต้องวนเวียนอยู่ในวัฏฏะไม่รู้จบ เป็นเรื่องไร้สาระอย่างยิ่ง จึงไม่มีความสนใจในเรื่องเหล่านี้ครับ ท่าน อ.ชัย จึงบอกว่า เรื่องอย่างนี้ ไม่ต้องไปสนใจหรอก ต่อไปข้างหน้า ถ้าจิตเข้าถึงก็จะรู้เอง เรื่องนี้ไม่สำคัญ จึงเรียนถามท่านว่าเรื่องอะไรที่สำคัญ ท่านก็บอกว่าเรื่องที่สำคัญที่สุด คือ การระวังรักษากำลังใจของคุณไว้ให้มั่น และอย่าละทิ้งจุดมุ่งหมายที่ได้ตั้งไว้อย่างเด็ดขาด สำหรับคุณไม่ว่าจะปรารถนาพุทธภูมิหรือว่าปรารถนานิพพาน ก็ไปได้ทั้งนั้น ท่าน อ.ชัย ท่านกล่าวมาอย่างนี้ ตอนนั้นยังหนุ่ม ยังมีกำลังใจฮึกเหิมอยู่มาก ได้ฟังแล้วก็ได้แต่น้อมรับคำสอนเอาไว้ เพื่อใช้เป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติเพื่อพรหมจรรย์ต่อไป

    ผมขอจบเรื่องราวการปลีกวิเวก เพื่อปฏิบัติกรรมฐาน ของพระนวกะ ผู้ยังใหม่ ในกระทู้ “ประสบการณ์ธุดงค์” ไว้เพียงเท่านี้ก่อน หากมีโอกาสเหมาะสมในภายภาคหน้า จะได้มาเล่าประสบการณ์ให้ท่านผู้อ่าน ได้อ่านกันเป็น “บันเทิงธรรม” อีกครั้งนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...