ประสบการณ์การนอนทำสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย pinit417, 17 ธันวาคม 2016.

  1. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2017
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    พื้นที่ขาวๆ ถ้าปรากฏ ให้แยกพิจารณา ก่อนเข้า เข้า แล้วก้ตอนออก

    ถ้าไม่ได้กำหนด สามขั้นตอน มันจะมีอารมณ์ เข้า
    เพราะส้มหล่น ไม่ได้เข้าพร่อมสติ สัมปชัญญะ

    ถ้าเข้าด้วย ส้มหล่น พอจะนอน จะโดน สภาวะ
    ตัณหา หลอกให้สร้างสภาวะ จะเข้าไม่ได้อีก
    จะเสียกำลังใจ พอเสียกำลังใจ มันจะหลอกซ้ำ
    ด้วย สภาวะที่สร้างขึ้นมาหลอก เหมือนว่าเข้าได้
    ออกได้ พอได้ที่ จะเกิดกาเหนภพแห่งสัตว์ที่ไม่
    เปนไป้พื่อลด ละ กิเลส จะเสร็จโจร

    แต่ถ้า เข้า อยู่ ออก เห็นสภาวะแยกกัน
    นอกจากจะชำนาผฝฯแล้ว ยังไม่ติดข้อง
    เกิดกูเก่ง เพราะ เข้า อยู่ ออก จะแสดง
    ใหจิตทรายด้วยว่า เปนภพ ภพเกิด ภพดับ
    เกิดด้วยเหตุ ดับก้เพราะเหตุ

    แต่จริงๆแล้ว การทำสมาธิด้วยการนอน
    ที่มีสติ สัมปชัญญะ ที่เปน กายคตาสติ
    ตอนที่เหนกายอยู่ในสภาวะ รำงับ ให้แยก
    พิจารณาจิต เปนผู้ดู กายไม่ใช่จิต และ
    จิตไม่ใข่กาย จะเหนกายเปนก้อนธาตุ

    มีจิตแผ่สำรวจไปที่กาย มีอาพาธ ขัดยอก
    ผ่อนคลาย จะเหนกระบวนการของขันธ์มัน
    ทำงาน

    ถ้าเวทนากายตรงไหนกล้า มันจะกุมจิต กรุ้มรุม
    จิต จนจิตจมไปในกาย

    ตามเหนดารยกจิตไว้ในกาย

    ดารยกกายไว้ในจิต

    ทั้งกาย ทั้งจิต ไม่ใช่เรา ของเรา เปนเพียงธรรม
    ที่แปรไปตามปัจจัยการ อาหารสี่

    แสงขาว หรือ โอภาส แบ้วความฝุ้งซ่าน
    ของจิต จะชักชวรให้ตกจากสมาธิ มีจิตตั้งมั่น
    มีสัมปชัญญะรู้เนื้อ รู้ตัวไม่ได้

    และที่วัดได้ เวลาลูกร้อง จิตที่ถูกภพ โอภาส
    แสงขาว สังเกตุเลย มันจะเกิดความพอใจ ไม่
    พอใจ ทำร้ายจิต ดีไม่ดี ไดสติอีกที ลูกกระเด็น
    ไปติดข้างฝา

    แต่ถ้า เปนสติตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัว พอลูกร้อง
    จิตจะแผ่คลุมกาย และดีดผึง พร้อมทำงาน
    ไม่มีติดใจ คาใจ ในรสของภพชาติใดๆ

    เพราะพร้อมที่จะเข้า จะอยู่ จะออก เพราะ
    ทราบในเหตุ สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับ

    ถ้าชำนาญ จะพักเข้า ออก ได้แบย
    ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ไม่จำเปนต้อง
    นอนยาว เดินอยู่ ก้ฟึบเข้า ออก พักกาย
    พักใจได้

    แล้วจะเหนเลยว่า การนอน เปนเพียง มิจฉาทิฏฐิ
    อย่างหรึ่ง ที่หลอกสัตว์โลก มาช้านาน น่าเอน็จ
    อนาถ เปนกรรมวิบากหมักดองจนเปนอุปนิสัน
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    อนึ่ง นักปฏิบัติส่วนใหญ่ ตะพยายาม ดีดจิต
    ให้หลุดไปจากกาย ให้หมดความรู้สึกถึงการมีกาย

    เพราะนักสมถะ บางเหล่า นิยมพูดว่า ฌาณสี่ ต้องทิ้งกาย

    ตรงนี้ ต้องฝาก พี่ น้อง หนู ป้า น้า อา ศึกษา
    กายคตาสติสูตร ว่าด้วย การใช้ฌาณสี่ ยกจิต
    แผ่พิจารณากาย ไม่ลืมการมีอยู่ของกาย แต่ก้ไม่
    จมกาย และไม่จมจิต นั้นมีอยู่

    เพื่อที่จะ ได้ลองวางจิตนมสิดาร กายคตาสติ
    ของพระสัมมาสัมพุทธ สักตั้ง
     
  4. Pehda

    Pehda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +227
    อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าไม่โดนขัดจังหวะจะเป็นยังไงต่อ

    เฮ้ย ลืมไป
    ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้ -_-'
     
  5. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม แล้วจู่ๆมีสิ่งมาขัดขวาง ทั้งๆที่ไม่น่าจะมี
    สิ่งนี้แหละที่ผมเรียกว่ามาร เพราะขัดจังหวะ แต่ไม่ใช่พญามาร หรือธิดามาร
    เป็นเหตุที่มารส่งมาเพื่อขัดขวางเราเท่านั้น

    เคยหลายครั้ง อย่างเช่น ถ้ากำลังนั่งสมาธิ คิดว่ากำลังจะดีแล้ว
    แต่แล้วสิ่งที่ไม่น่าจะมีก็มี...เสียงมาเคาะประตูขัดจังหวะ
    จะทำใหเอาหูทวนลมทำเป็นไม่ได้ยินก็ไม่ได้ เพราะเล่นเคาะไม่เลิก
    จำใจต้องละสิ่งที่ทำอยู่ เพื่อลุกขึ้นไปเปิดประตู
    ครั้นเสร็จแล้วกลับมาทำใหม่ก็ไม่ได้ดั่งเดิมแล้ว

    ตอนที่มารมาผจญพระพุทธเจ้า ก็แบบนี้เอง คือต้องการให้ลุกจากที่
    แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ลุกและท่านขับไล่มารไปได้

    เคยมีอยู่ครั้ง ระหว่างที่รอ
    ก็เลยจับเวลา นับเลขในใจ กำหนดว่า นับหนึ่งครั้งคือหนึ่งวินาที อยากจะรู้ว่า รอกี่นาที
    (ตอนนั้นไม่มีนาฬิกา)
    ก็ไม่ทราบว่า การตั้งใจนับเลขนี้ ไปเข้าตามารได้ยังไง
    ขณะที่กำลังนับ กะว่าถ้าถึงห้านาทีก็จะเลิกนับ
    แต่ยังไม่ทันครบ จู่ๆมีเสียงมาถาม ยืนทำอะไร, ยืนมองอะไรอยู่(ถามด้วยความสงสัย)
    ทำเฉยหูทวนลม คิดว่าจะจบ ปรากฏว่ามีเสียงถามย้ำมาอีก
    จำเป็นต้องเลิกนับ แล้วหันไปพูดตอบ(พอหันไปพูดตอบก็คือเสียสมาธิแล้ว ที่ตั้งใจจะนับจึงนับไม่ครบ แล้วมารประเภทนี้เราเลี่ยงหรือทำเฉยไม่ได้)
    เขาบอกว่าเห็นเรายินนิ่งๆ มองพื้น นึกว่าเพ่งกสิณ
    (พอหลังจากนั้น ก็ไม่ได้ทำอีก หรือถึงทำ ก็คงไม่เหมือนเดิม เพราะถูกขัดจังหวะ
    เสียพิธีแล้ว)
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    พอไปตรึกว่า เปนมาร หรือ ภาวนาแบบ สาว แบะท่ารอมาร ก้จะเข้าใจว่า ตน ผู้ทำกุสล
    มี อกุสล มาพจญ

    ยิ่งมีมาพจญ มิจฉาทิฏฐิ ที่แอบแฝงเบื้อง
    หลัง ก้ยิ่ง กยิ่มใจ รัดแน่น เรานี้หนาทำอะไร
    ก้ได้ผลตรงข้าม มีคนมาขวางร่ำไป

    เพราะตรึกผิดวิธี

    ลองไปภาวนาใหม่ เวลา มีอะไรมาขวาง ให้
    พิจารณาถึง การมา การมี ว่าเปนเรื่องของขันธ์

    แล้วค่อย พิจารณา จิตที่อนุโลมส่งออก

    ถ้าทำถูก การออกไปต้อนรับ โอภาปราสัย
    จะเปนเพียง การทำงานของกองขันธ์
    ไม่ใช่จิต ที่พิจารณาอยู่

    ขันธ์มี ยังครองขันธ์อยู่ ขันธ์ก้ย่อมมีหน้าที่
    มี อาชีวะประจำขันธ์

    แต่ ไม่ได้เกี่ยวอะไร กับ ธรรมอันเอก ที่ตั้งมั่นอยู่
    ไม่เคลื่อน ไม่มีมา ไม่มีไป

    ถ้าแยกธาตุ แยกขันธ์ได้ จะค่อยๆ เหน สัมมา
    ทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิที่สัตว์ทั้งหลายที่ขาดการสดับ
    ไม่รู้จักฝึกหัดอบรมให้ น้อมมาที่ธรรม อนุโลมไป
    ตามสัจจญาณของการครองขันธ์ที่เปนของชั่วคราว หยิบยืม หรือ ฉวยมาจากโลก3
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2016
  7. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ก็พระพุทธเจ้าท่านยังแสดงว่า มารมันมีหลายประเภท
    มีทั้งกิเลสมาร มัจจุมาร เทวปุตตะมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร
    กรณีที่มนุษย์หรือสิ่งใดมาทัก ต้องยกความผิดให้ เทวปุตตะมาร
    คงจะเข้าไปดลหัวใจมนุษย์คนนั้นให้มาขัดขวาง
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    พระพุทธองค์ เผขิญมารผจญ ในพระไตรปิฏกก้ระบุชัด ถึงการพิจารณา รับรู้ มีกริยาอาการ
    ตอบโต้ มีการจรดพระหัตถ์ มีการอธษฐาน

    ไม่ใช่ การทำจิตให้เที่ยง ไม่ฮือ ไม่อือ

    ดังนั้น

    อย่าไปวาดภาพ จิตเที่ยง จับอารมณ์โยนทิ้ง
    ปัดทิ้ง เอาจิตเที่ยงเฉยโง่

    เพียงแค่ มีการพิจารณา ถึงการปรากฏ
    ของผัสสะ มีการรับรู้ มีการเท่าทันทิฏฐิ
    ก้จะทราบถึง อุปทาน ตัณหา มีที่จิตหรือไม่
    มีพยาบาทวิตก วิหิงสาวิตกหรือไม่

    ถ้าไม่มี ก้ทราบอยู่เอง ถึงความพอเพียง
    ที่จะยืนยันได้ถึง การพ้นกิเลส

    ไม่ใช่ไปปัดผัสสะทิ้ง เอาเฉยโง่ เพราะเข้าใจผิด ว่า จิตคืออัตตาตัวตนแช่แป้ง
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    เทวบุตรมาร จะมี ก้ต่อเมื่อ จะภาวนาเพื่อเปนสัพพัฯญู

    ถ้าไม่ใช่ฐานะ ก้ แค่ อภิสังขารมาร คือ ความคิด
    ของตนคนภาวนา วาดภาพขึ้นมาเอง ให้ราคาตัวเอง

    อนึ่ง ขันธ์5 เปนของกลาง

    ความคิดเกิดที่คนภาวนา แต่การปรากฏของ การ
    ทำงานของกองขันธ์ จะปรากฏที่ธรรมภายนอกได้

    ยิ่งถ้าธรรมภายนอก ไม่มีสติกั้น อวิชชาก้ย่อมทำให้
    ปรากฏได้

    การอยู่ใกล้ ธรรมอันไม่มีสมาธิ จึงเปนอัปมงคล

    แต่กระนั้น การฉลาดในการกำหนดรู้อายตนะ
    ให้ถูกวิธี ก้ชื่อว่า เปนผู้อยู่คนเดียว(สันโดษ)

    ผู้หมั่นเจริญกายคตาสติ จึงชื่อเปนผู้ปิด การสบช่องของมาร(ใดๆ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2016
  10. SMING

    SMING เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +430
    ...เพื่อที่ร่างกายจะหลับได้ แต่ตั้งสติมั่นอยู่ที่พุทโธไม่ขาด และ ณ ขณะหนึ่งผมรู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังเข้าสู่การหลับสนิท สิ่งที่ผมเห็นคือพื้นที่ขาวๆ...สิ่งที่เห็นเป็นสิ่งที่จิตปรุงขึ้นมา
    ...แต่สิ่งที่แปลกอย่างคือช่วงที่จิตกำลังเคลื่อนเข้าสู่พื้นที่สีขาวนั้น กลับเหมือนได้ยินเสียงตัวเองบอกจิตให้เคลื่อนมาพื้นที่สีขาวนั้น ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงเกิดขึ้นได้อย่างไร..เสียงเกิดขึ้นได้จากในสภาพที่เป็นทิพย์ จะรู้หรือบอกขึ้นมาเอง...เหมือนเราฝัน
    บางทีที่เป็นนิมิตฝัน จิตมันจะรู้เองโดยอัตโนมัตว่าใคร อะไร ทำอะไร ยังไง เช่นเดียวกัน...
    หรือแม้กระทั่งในสมาธิ...
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    โอภาส แปลตามตำรา ก้แสงขาว จุดแสงขาว วงแสงขาว

    โดยปฏิบัต จะหมายเอา อาการคมชัดของการ
    แนบแน่นในการรู้ คล้ายๆปิ๊งขึ้นมา คล้ายการ
    รู้สึกมีพละในการตั้งใจแน่วแน่ ซึ่งจะมีขอบเขต
    กรอบการตรึก การเพ่ง การพิจารณา

    เราจะใช้คำว่า โอภาส เพื่อให้ผู้ปฏิบัติค้น
    คว้าธรรมแวดล้อมอื่น ซึ่งจะมี 10ตัว มาเปนชุด
    ของมัน

    เราจะใช้ โอภาส เพื่อให้แยกแยะ วิจัยธรรม รวมจิต
    กับ จิตรวม ไม่เหมือนกัน
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ถ้า แสงสว่างเหนบ่อย

    และ หากวาวจิตไปที่พื้นได้

    ลองสังเกต จิต หลังจาก เกิดแสง

    กับ

    จิตที่พึ่งถอยออกมาจากพื้น

    ว่า อันไหนฝุ้งซ่าน หิวอารมณ์ ไม่อยาก
    ทำอะไรให้แปรปรวนไป ตามเสมอ

    แล้วลองพิจารณาใหม่ ที่ปรารภว่า สนใจ จิตรวม
    นี่สนใจจริงๆ หรือ ละทิ้งกันแน่


    ปล. ถ้าฟังแบ้ว ขัดใจ ไม่เข้าใจ
    ก้ไม่ต้องสนใจพิจารณาก้ได้ ฝึก
    ไปอย่างนั้นไป ก้แล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2016
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    กิริยาตรงนั้นที่เล่าใน#rep 1 ไม่สนใจเลยดีแล้วครับ
    เพราะเป็นลักษณะการปรุงแต่งของ จิต
    ไปยึด ไปวน ไปสน ไปพิจารณา ไปตรึก
    ไปพยายามทำอีก จะหลงตัวเองว่าบรรลุธรรมได้
    ที่สำคัญ จะเพี้ยนอย่างคาดไม่ถึง
    (ไม่ใช่คุณนะแต่เล่าให้ฟัง
    ใครเจอสภาวะนี้ให้ระวังนะครับ)

    ส่วนถ้าจะยกจะระดับสมาธิให้มากกว่านี้
    ให้ผ่านช่วงแสงสีขาวสว่างจร้าแต่ไม่เย็นได้นั้น
    (เป็นวงกลมแว๊บหายเวลามอง เส้นสายแว๊บๆ
    พวกนี้สมาธิเล็กน้อย อย่าพึ่งไปสน)
    ให้เข้าและออกสภาวะนี้บ่อยๆครับ
    อย่าไปพยามรักษาหรืออยู่ให้นาน
    เพราะมันเป็นการจมหรือแช่
    ทำบ่อยๆ ทางปฎิบัติเค้าเรียกว่าจิตพิการครับ

    ให้เข้าออกบ่อยๆ จิตถึงจะมีกำลังผ่านไปได้
    ซึ่งกำลังตรงนี้ยังจะช่วยให้ผ่าน
    ความคิดผุดต่างๆที่มักขึ้นมาขวางด้วยครับ
    โดยแสงจะค่อยๆลดความสว่างลง
    แล้วก็จะกลับมาค่อยๆสว่างขึ้นได้อีกในกำลังสมาธิที่สูง
    ขึ้นได้ของมันเองครับ

    ถึงตรงนี้ จะมีกำลังเพียงพอสำหรับ
    การเดินปัญญาในเวลาลืมตาปกติได้ครับ
    และถ้าถึงช่วงที่แสงค่อยๆสว่างขึ้นมาใหม่ได้
    หากเข้าออกบ่อยๆได้อีกในช่วงนี้
    จิตจะมีกำลังในการรักษาอารมย์ไว้วิปัสสนาได้
    หากยกเรื่องอะไรพิจารณาได้ จะสามารถตัดกิเลส
    เรื่องนั้นได้ถึงในระดับละเอียด
    ( กิริยาที่บอกคือเวลาเราลืมตาปกติ
    เรื่องนี้จะไม่มาเกาะกินใจเราได้เลย
    เหมือนมันไม่มีในโลกนี้
    เพราะจิตถ้ามันทิ้งอะไรได้
    มันจะทิ้งเลย คือตัดตัวไปเชื่อม
    ที่จะทำให้ปรุ่งแต่งนั่นเองนั่นเอง)

    ปล.ท่านอนถ้าจะเข้าสมาธิระดับสูงได้โดยไม่หลับ
    ลมหายใจจะต้องกระทบกับอวัยวะร่างกายเราด้วยครับ
    จะเอาแบบท่านิพพานที่ลมกระทบหน้าอก
    หรือจะนอนหงายยกมือวางบนอกให้ลมโดนนิ้วก็ได้
    ถ้าไม่ทำแบบนี้ประกันได้ว่า ยังไงก็ไม่เกินปฐมฌาน
    (แสงขาวสว่างจร้าแต่ไม่เย็นก็สมาธิระดับปฐมฌานครับ)
    และท้ายสุดก็จะลงมาช่วงจิตเป็นทิพย์ คือรับรู้อะไรได้เร็ว
    ชัด ใกล้ รวมทั้งนามธรรมต่างๆ
    แล้วก็ตามด้วยการหลับรู้สึกตัวอีกทีเช้าแล้วซะส่วนมากครับ

     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ไปเรื่อยๆ ครับ จขกท

    ที่ปรารภเหมือนจะตัดบท มะใช่อะไร. เปนเพราะ ทางคุณพยายามใช้คำว่า
    ไม่รู้เรื่องบ่อยๆ. ยิ่งมีปริยัติในส่วนเหตุ เลยเกรงว่า. จะโดนทับถมด้วยปริยัติ
    จนเสียเวลาไปค้น แล้วผลิกแนวทาง แบบนี้ก้ไม่เอา. ทางผมต้องรีบตัดบท

    แต่ท่า. รับปริยัติเพื่อ. พิจารณาร่วมกับที่ฝึกอยู่แล้ว. แบบนี้ก้จะเสวนาต่อ

    โดยทางปฏิบัติ อานาปานสติ จะต้องอาสัย. คำบาลี เปนโจทย์กระตุ้น
    ให้นักปฏิบัติ ตรึกอยู่บริบทจองธรรมะ. ผมจึงคุ้นเคยที่จะ ให้คำบาลี
    ปรากฏเพื่อ. อนุเคาระห์กรรมฐาน

    ที่นี้ ทางพุทโธ. ทางครูส่วนใหญ่จะห้าอ่านปริยัต. ยกเหนเปนปฏิปักษ์
    ทับขันธ์ ทับการภาวนา. ก้มักจะมี นิสัย ปฏิเสธ. การรับฟังปริยัติ
    อันนี้เราเข้าใจกันอยู่แล้ว.

    ดังนั้น เวลารับฟังปริยัติ ต้องไม่เปลี่ยนวิธีการฝึก. แต่ก้อย่าขาด
    การสดับ. ถึงขนาด เอาการปิดกั้นเปนใหญ่ จะโดนกิเลสหลอกเอาได้

    คุณ จขกท. ก้เพียงแต่ ฟังคำปริยัติ แล้วไสลผ่าน. จิตให้อยู่กับบริกรรมไว้
    ได้เลย


    ทีนี้ฟังต่อ

    ทางบริกรรมพุทโธ. จะมี มุขนัยนอกจาก. วางตำราลงก่อนแล้ว ยังมี
    การระบุเรื่อง. กำลังของจิต. ก่อนยกสู่วิปัสสนา. พูดกันจนกลายเปน
    มุข กดข่มวิปัสสนายานิก. อันนี้ก้ต้องระวัง

    และเปิดใจนิดนึง. คำว่ากำลังๆ. ที่พร่ำกล่าวกัน. แต่ละคนรู้ไหมคืออะไร

    แทบจะไม่รู้ แต่บริกรรมจนจิตแนบแน่นให้ได้ก่อนเดี๋ยวรู้เอง

    ตรงเนี่ยะอยากให้เปิดใจรับปริยัติหน่อยนึง

    จิตมีกำลัง. จริงๆ. ก้แค่ โพชฌงค์7.

    จิตมีกำลังตัด. มีคำว่า. ตัดเพิ่ม. ก้แค่ การภาวนาโพชฌงค์ที่อาสัยวิเวก
    น้อมไปเพื่อการสละคืน จิต! ไม่เหลือ

    กล่าวให้ฟังเพื่ออะไร

    เพื่อว่า. บริกรรมจนจิตเหนอาการของจิตที่มีวิเวก. ก้จะได้น้อมไปเพื่อการสละบ้าง

    ไม่เช่นนั้น จิตรวม จิตมีกำลัง. ก้ยังเดินจงกรม ยังบริกรรม อยู่นั่น
    เข้าทำนองที่ หลวงตามหาบัวด่าเอา. ภาวนาโง่ยังกับหมาตาย

    คือ หมามันตาย จิตมันละกายไปแล้ว. นักภาวนาก้ไม่นอมโน้มจิต
    ไปสู่โพฌชงค์7. เอาแต่อัดบริกรรม. เอาแต่จิตรวม จิตพุทโธ แล้ว
    ไปรอวาสนามีคนไปแก้จิต แทนที่จะ มีปฏิภาณยกการภาวนาโดยลำพัง


    ปล. ตรงสลัดคืนจิตไม่เหลือ...ตรงนี้ กลุ่มบริกรรม
    พุทโธ ได้ยินแล้ว ถ้าไม่ของขึ้น ก้ คง งง เพราะ
    ว่าถูกสอนให้จับเอาไว้ บ้างไปรอปล่อยเอาโน้น
    อรหัตถมรรค จึงค่อยทำลายจิต ปล่อยจิต

    จริงๆ ถ้า ฟังปริยัตเสียหน่อย ปล่อยจิตมันเกิด
    ได้ตลอด ปุถุชนก้ปล่อยได้ แต่จะเปนแบบปล่อยๆ
    จับๆ ซึ่งพระพุทธสอนให้ตามเห็นเนืองๆ ไม่ต้องกลัวบรรลุ เพราะยังไม่พาดธรรมมานุปัสสนาอะไร
    เลย ไม่ใช่ รอปล่อยขาดผึงเอาโน้นอรหัตถมรรค
    อรหัตถผล ทำให้ภาวนาพุทโธ พอมาเสวนากับ
    วิปัสสนายานิก เอะอะ ก้อ้าง กูไม่ชิงสุกก่อนห่าม
    เอาพุทโธแน่นก่อน ค่อยวิปัสสนา (ถ้า ภาวนา
    เปนก้อีกเรื้อง แต่ส่วนใหญ่ อ้างเพื่อยกตน หนาสันตี!)

    ปล.2. ไม่ได้ว่าจขกทหน่าคร้าบ. แต่ ผมเจอมาเยอะ ร้อยละ99
    พวกพุทโธอ้างเลห์ อวดข้อวัตร อวดวงกรรมฐาน หนาสันตี ที่อ้าง
    จะไม่วิปัสสนาเด็ดขาด ถ้าจิตไม่รวมใหญ่ โง่บาทโซป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...