ประวัติ ท้าวอมรินทร์เทวาธิราช (พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย วิปัศย์, 8 กรกฎาคม 2012.

  1. วิปัศย์

    วิปัศย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +1,443
    [​IMG]


    พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์


    พระอินทร์เป็นตำแหน่งของพระราชาแห่งเทพทั้งปวง ในสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตำแหน่งนี้จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ไปตามผลแห่งบุญกรรมที่ได้กระทำไว้ พระอินทร์องค์ใดสิ้นบุญ ก็จะมีองค์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ กล่าวได้ว่า พระอินทร์นั้นมีหลายองค์ แต่ละองค์ก็มีอายุขัยเป็นไปตามบุญกุศลที่ตนได้กระทำมา

    เรื่องราวของพระอินทร์น่าจะเป็นบทเรียนที่ช่วยให้รู้และเข้าใจถึงการทำ ประโยชน์เพื่อส่วนรวม ว่าท่านคิดอะไรถึงได้ทำเช่นนั้น นอกจากนี้การได้เรียนรู้วิธีคิดและการกระทำของพระอินทร์ เป็นสิ่งที่เราสามารถกระทำตามได้ไม่ยาก ไม่ใช่เรื่องห่างไกลและเฟ้อฝันเลย เพราะตัวท่านเองก็ได้ประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ในขณะที่ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงพระอินทร์สมัยพุทธกาลเท่านั้น

    อดีตชาติของพระอินทร์

    ณ หมู่บ้านมจลคาม แคว้นมคธ มีมาณพคนหนึ่งชื่อว่า มฆมาณพ มีใจใฝ่ให้ทาน รักษาศีลอยู่เสมอ ทั้งยังชอบแผ้วทาง ทำงานสาธารณประโยชน์ต่างๆ เช่น ปรับพื้นที่ให้เรียบเสมอกัน สร้างศาลา ปลูกต้นไม้ ขุดสระน้ำ ทำถนนหนทาง ทำสะพาน จัดทำจัดหาตุ่มน้ำ และสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม มีปกติชอบความสะอาดเรียบร้อย ต้องการให้ท้องถิ่นดูสะอาดน่ารื่นรมย์

    คิดดี คิดถูก คิดเป็น นำมาซึ่งความสุข

    ขณะที่มฆมาณพทำงานในหมู่บ้าน ก็ใช้เท้าเกลี่ยฝุ่นในที่ซึ่งยืนอยู่ให้เรียบ คนอื่นเข้ามาแย่งที่ก็ไม่โกรธ กลับถอยไปทำที่อื่นให้เรียบต่อ แต่ก็ยังมีคนมายึดที่ที่เกลี่ยเรียบไว้แล้วนั้นอีก ถึงกระนั้นมฆมาณพก็ไม่โกรธ กลับเห็นว่าคนทั้งปวงมีความสุขด้วยการกระทำของตน ฉะนั้นกรรมนี้ ย่อมส่งผลกลับมาเป็นบุญที่ให้สุขแก่ตนแน่

    มฆมาณพก็ยิ่งมีจิตขะมักเขม้น ตั้งใจที่จะทำพื้นที่ให้เป็นที่น่ารื่นรมย์มากยิ่งๆ ขึ้น จึงใช้จอบขุดปรับพื้นที่ให้เรียบเป็นลานให้แก่คนทั้งหลาย ทั้งยังเอาใจใส่ให้ไฟให้น้ำในเวลาที่ต้องการและได้แผ้วถางสร้างทางสำหรับคนทั้งหลาย

    ต่อมามีชายหนุ่มอีกหลายคนได้เห็นก็มีใจนิยมมาสมัคร เป็นสหายร่วมกันทำทางเพิ่มขึ้น จนมีจำนวนนับได้ ๓๓ คน ทั้งหมดช่วยกันขุดถมทำถนนยาวออกไป จนถึงประมาณโยชน์หนึ่งบ้างสองโยชน์บ้าง

    เมื่อประพฤติธรรม ย่อมไม่หวั่นภัยใดๆ

    ฝ่ายนายบ้านเห็นว่าคนเหล่านั้นประกอบการงานที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควร จึงเรียกว่าสอบถามและสั่งให้เลิก แต่มฆมาณพและสหายกลับกล่าวว่า พวกตนทำทางสวรรค์ จึงไม่ฟังคำห้ามของนายบ้าน พากันทำประโยชน์ต่อไป นายบ้านโกรธและไปทูลฟ้องพระราชาว่า มีโจรคุมกันมาเป็นพวก พระราชามิได้พิจารณาไต่สวน หลงเชื่อมีรับสั่งให้จับมฆมาณพและสหายมา แล้วปล่อยช้างให้เหยียบเสียให้ตายทั้งหมด

    ฝ่ายมฆมาณพเห็นเช่นนั้นก็ได้ให้โอวาทแก่สหายทั้งหลาย ไม่ให้โกรธผู้ใดและให้แผ่เมตตาจิตไปยังพระราชา นายบ้าน ช้างและตนเอง ให้เสมอเท่ากัน ชายหนุ่มทั้งหมดได้ปฏิบัติตาม ช้างไม่สามารถเข้าใกล้ด้วยอำนาจเมตตา

    พระราชาเห็นดังนั้นจึงรับสั่งให้ใช้เสื่อลำแพนปูปิดคนเหล่านั้นเสีย แล้วปล่อยให้ช้างเหยียบอีก แต่ช้างกลับถอยไป พระราชารับสั่งให้นำคนเหล่านั้นมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสสอบถาม เมื่อทรงทราบความจริง ก็ทรงโสมนัสและทรงแต่งตั้งมฆมาณพให้เป็นนายบ้านแทนนายบ้านคนเดิม ซึ่งตอนนี้ถูกลงโทษให้เป็นทาส

    บุญเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย

    สหายทั้ง ๓๓ คน นอกจากจะได้พ้นโทษออกมา ยังได้รับพระราชทานกำลังสนับสนุน ก็ยิ่งเห็นอานิสงส์ของบุญ มีใจผ่องใสคิดทำบุญให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ได้สร้างศาลาเป็นที่พักของมหาชนเป็นถาวรวัตถุที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง

    ศาลานั้นได้แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ ส่วนหนึ่งเป็นที่อยู่ที่พักสำหรับคนทั่วไป ส่วนหนึ่งสำหรับคนเข็ญใจ ส่วนหนึ่งสำหรับคนป่วย ทั้ง ๓๓ คนได้ปูลาดแผ่นอาสนะไว้ทั้ง ๓๓ ที่ โดยตกลงกันไว้ว่า ถ้าอาคันตุกะเข้าไปพักบนแผ่นอาสนะของผู้ใด ก็ให้เป็นภาระของผู้นั้นจะรับรองเลี้ยงดู มฆมาณพยังได้ปลูกต้นทองหลาง (โกวิฬาระ) ไว้ต้นหนึ่งในที่ไม่ไกลจากศาลา ภายใต้ต้นทองหลางได้วางแผ่นหินไว้ด้วย

    มฆมาณพและสหายบำเพ็ญสาธารณกุศลเช่นนี้ตลอดชีวิต เรียกว่า บำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการ ครั้นสิ้นอายุได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    วัตตบท ๗ ประการ ได้แก่

    ๑. เลี้ยงมารดาบิดาตลอดชีวิต
    ๒. ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต
    ๓. มีวาจานุ่มนวลสุภาพตลอดชีวิต
    ๔. มีวาจาไม่ส่อเสียดตลอดชีวิต
    ๕. มีใจปราศจากความตระหนี่ ยินดีในการแจกทาน ครองเรือนตลอดชีวิต
    ๖. มีวาจาสัตย์จริงตลอดชีวิต
    ๗. ไม่โกรธ แม้ว่าถ้าโกรธก็ระงับได้ทันทีตลอดชีวิต

    ทรงมีหลายชื่อ

    ชื่อที่เรียกพระอินทร์มีหลายชื่อ แต่ละชื่อบอกถึงคุณสมบัติหรือกุศลที่ทรงได้ทำมาในอดีต

    ท้าวมฆวาน - เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ชื่อว่า มฆะ
    ท้าวปุรินททะ - เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ทานในเมือง
    ท้าวสักกะ - เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ทานโดยความเคารพ
    ท้าววาสะ หรือวาสพ - เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ที่พัก
    ท้าวสหัสสักขะ หรือ สหัสสเนตร หรือ ท้าวพันตา - ทรงคิดรู้ความทั้งพันชั่วเวลาครู่เดียว
    ท้าวสุชัมบดี - ทรงมีชายาชื่อสุชา
    ท้าวเทวานมินทะ หรือพระอินทร์ - ทรงครอบครองราชสมบัติเป็นอิสริยาธิบดีแห่งทวยเทพชั้นดาวดึงส์

    ความเพียร

    ในคราวที่สุวีวรเทวบุตรขอพรกับพระอินทร์ ว่าขอให้ตนได้เป็น "ผู้ที่เกียจคร้าน ไม่ขยันหมั่นเพียร ไม่ทำกิจที่ควรทำ แต่ก็ได้รับความสำเร็จทุกอย่างตามที่ปรารถนา"

    พระอินทร์ทรงตรัสเพื่อให้คิดว่า

    "คนเกียจคร้านบรรลุถึงความสุขอย่างยิ่งในที่ใด ก็ให้ท่านจงไปในที่นั้นเอง และช่วยบอกให้ข้าพเจ้าได้ไปในที่นั้นด้วย"

    ถึงกระนั้น สุวีรเทวบุตรก็ยังขอพรว่า "ขอพระองค์ได้โปรด ประทานพรความสุขชนิดที่ไม่มีทุกข์โศก โดยไม่ต้องทำอะไรเลย"

    พระอินทร์ตรัสว่า "ถ้าจะมีใครดำรงชีวิตอยู่โดยไม่ต้อง ทำอะไรในทิศทางไหน นั่นเป็นทางนิพพานแน่ ให้ท่านจงไปและช่วยบอกข้าพเจ้าให้ไปด้วย"

    ขันติธรรม

    ในสงครามคราวหนึ่งฝ่ายเทวดาชนะอสูร ท้าวเวปจิตติอสุรินทร์ถูกจับได้และถูกพันธนาการมายังสุธัมมสภา ขณะที่เข้าและออกจากสภา ก็ได้บริภาษด่าพระอินทร์ด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่างๆ แต่พระอินทร์ก็ไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย

    พระมาตลีเทพสารถีจึงทูลถามพระอินทร์ว่า "ทรงอดกลั้น ได้เพราะกลัว หรือว่า เพราะอ่อนแอ"

    พระอินทร์ตรัสว่า "เราทนได้ไม่ใช่เพราะกลัว ไม่ใช่เพราะอ่อนแอ แต่วิญญูชนเช่นเราจะตอบโต้กับพาลได้อย่างไร"

    พระมาตลีแย้งว่า "พาลจะกำเริบถ้าไม่กำหราบเสีย เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญาพึงกำหราบเสียด้วยอาชญาอย่างแรง"

    พระอินทร์ "เมื่อรู้ว่าเขาโกรธแล้วมีสติสงบลงได้ นี่แหละ เป็นวิธีกำหราบพาล

    พระมาตลีก็ยังแย้งว่า "ความอดกลั้นดังนั้นมีโทษ พาลจะเข้าใจว่าผู้นี้อดกลั้นเพราะกลัว ก็จะยิ่งข่ม เหมือนโคยิ่งหนีก็ยิ่งไล่"

    พระอินทร์ "พาลจะคิดอย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของตนสำคัญยิ่ง และไม่มีอะไรจะยิ่งไปกว่าขันติ ผู้ที่มีกำลัง อดกลั้นต่อผู้ที่อ่อนแอ เรียกว่าขันติอย่างยิ่ง เพราะผู้ที่อ่อนแอ ต้องอดทนอยู่เองเสมอไป ผู้ที่มีกำลังและใช้กำลังอย่างพาล ไม่เรียกว่า มีกำลัง ส่วนผู้ที่มีกำลังและมีธรรมะคุ้มครอง ย่อมไม่โกรธตอบ

    ผู้โกรธตอบผู้โกรธ หยาบมากกว่าผู้โกรธทีแรก ส่วนผู้ที่ไม่โกรธตอบผู้โกรธชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ที่รู้ว่าเขาโกรธ แต่มีสติสงบได้ ชื่อว่าประพฤติประโยชน์ทั้งแก่ตนและผู้อื่น แต่ผู้ที่ไม่ฉลาดไม่รู้ธรรมก็ย่อมจะเห็นผู้ที่รักษาประโยชน์ตนและผู้อื่น ทั้งสองฝ่ายดังกล่าว ว่าเป็นคนโง่เสีย"

    ความไม่โกรธ

    ครั้งหนึ่งพระอินทร์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลถามว่า "ฆ่าอะไรได้อยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรได้ไม่โศก"พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า "ฆ่าความโกรธ"

    ในครั้งหนึ่งได้มียักษ์ตนหนึ่งผิวพรรณเศร้าหมอง รูปร่างน่าเกลียด ขึ้นไปนั่งบนอาสนะของพระอินทร์ พวกเทพชั้นดาวดึงส์พากันโพนทนาติเตียน แต่ยิ่งโพนทนาติเตียน ยักษ์นั้นก็ยิ่งงามยิ่งผ่องใส จนพวกเทพพากันประหลาดใจว่า น่าจะเป็นยักษ์กินโกรธ

    พระอินทร์ทรงทราบความนั้นแล้วได้เสด็จเข้าไป ทำผ้าเฉวียงพระอังสะข้างซ้าย คุกเข่าขวาลง และประคองอัญชลีเหนือพระเศียร ประกาศพระนามของพระองค์ขึ้น ๓ ครั้งว่า พระองค์คือ ท้าวสักกะจอมเทพ ยักษ์นั้นกลับมีผิวพรรณเศร้าหมอง รูปร่างน่าเกลียดยิ่งขึ้นจนหายไปในที่นั้น พระองค์ขึ้นประทับบนอาสนะของพระองค์แล้วตรัสอบรมพวกเทพ และตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงโกรธมาช้านาน ความโกรธไม่ตั้งติดในพระองค์ แม้จะโกรธชั่ววูบเดียวก็ไม่กล่าวผรุสวาจา ทรงข่มตนได้

    คราวหนึ่งพระองค์ทรงอบรมเทพทั้งหลายว่า ให้มีอำนาจเหนือความโกรธ อย่าจืดจางในมิตร อย่าตำหนิผู้ไม่ควรตำหนิ อย่ากล่าวส่อเสียด อย่าให้ความโกรธเข้าครอบงำ อย่าโกรธตอบผู้โกรธ ความไม่โกรธและความไม่เบียดเบียนมีอยู่ในพระอริยะทั้งหลายทุกเมื่อ ความโกรธทับบดคนบาปเหมือนภูเขา

    จะเห็นได้ว่าคุณธรรมที่พระอินทร์ทรงประพฤติปฏิบัติทั้งขณะที่เป็นมนุษย์และ เทวดา เป็นสิ่งที่เราสามารถกระทำตามได้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์โดยหวังผลคือ ความสุขของส่วนรวม

    แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าคุณธรรมต่างๆ เหล่านี้ นับวันจะเลือนหายไปในสังคมไทยของเรา เพราะคิดแต่จะเจริญรอยตามวัฒนธรรมฝรั่ง โดยหารู้ไม่ว่า ได้เพาะเมล็ดพันธ์แห่งความเห็นแก่ตัว ความไร้คุณธรรม ลงไปในความอยากมีอยากเป็นตามกระแสของสังคมศิวิไลซ์ที่เน้นวัตถุนิยม

    ฉะนั้น หากเราช่วยกันนำคุณธรรมที่ดีงามต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งบรรพบุรุษของเราเคยทำมาแล้ว ให้กลับคืนมา สังคมอันดีงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยธรรม ก็ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน


    ลานธรรมเสวนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2012
  2. baimaingam

    baimaingam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +880
    ขออนุโมทนาสาธุครับ...
    ...หันหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...
     
  3. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    มโนมยิทธิ วันที่09-07-2555 หลังจากสวดมนต์เสร็จ เวลาประมาณ21.00น นั่งสมาธิต่อจนถึง22.00น
    สิ่งที่ได้จากการนั่งสมาธิเมื่อจิตสงบมาก ในจิตขณะนั้น เห็นมหาเทพผู้หนึ่ง
    รัศมีกายสีสว่างเขียวนวลสวยมาก แต่งทรงชุดอย่างเทพชั้นสูง มี4กร อาวูธประกอบด้วย พระขรรล์ แว่นสอง จักร คะทา ประทับนั่ง ณบัลลังอาสนะผ้ากำพลสีแดง
    เมื่อเห็นเช่นนั้นจิตกระผมมีความปิติมาก จึงขอสือสารกับท่านดังนี้

    ผม; ขอทราบด้วยขอรับว่าท่านคือมหาเทพผู้ใด
    มหาเทพ; เราคือองค์อัมรินทรา มีนามว่า พระสยามินทราเทวาธิราช
    ผม;ปกติท่านอยู่วิมานใด
    มหาเทพ; ดูก่อน เจ้ามานพน้อย ตอนนี้เจ้าคิดว่าเจ้าและเราอยู่ที่ใดละ
    ผม; ถ้าดูจากสภาพแวดล้อม ที่นี่สวยงามมากประดุจอยู่กลางนภากาศดาววดึงส์ มีอัญมณีมากมายเพชรนิลจินดาประดับเกลื่อนไปทั่วทิพย์วิมาน และอีกด้านหลังท่านมหาเทพก็มีจตุมุขมหาเจดีย์ สถานที่แห่งนี้น่าจะใช่ดาวดึงส์หรือไม่ขอรับ
    มหาเทพ;ถูกต้อง เราอยู่ที่นี่ซึ่งก็คือ ตาวะติงสาดาวดึงส์ ส่วนที่เจ้าเห็นด้านหลังคือพระจตุรมุขมหาเจดีย์ จุฬามณี ที่บรรจุพระเขี้ยวแก้วของพระโคดมพุทธเจ้า เจ้าก็เคยเข้าไปกราบสักการะมาแล้วมิใช่หรือ
    ผม; ใช่ครับนานแล้วตอนนั้นแต่มีพระอริยะสงฆ์รูปหนึ่งพากระผมมา
    ผม; เรียนท่านมหาเทพ กระผมมีเรื่องสงสัยมากใคร่เรียนถามท่านขอรับ
    มหาเทพ; เรื่องอะไรจงบอกเราซิ
    ผม;ในกาลก่อนมีการเล่าถึงองค์อัมรินทรา ที่มีกระทำผิดใช้อิทธิฤทธิ์เพื่อการบำเรอ กาม กิเลส ตัณหานั้นจริงเท็จหรือไม่ขอรับ
    มหาเทพ; ดูก่อน เจ้ามานพน้อย เราจะตรัสความจริงให้ฟังว่า ในอนาเขตแห่งตาวะติงสาดาวดึงส์นี้ กว้างใหญ่มากนักเกินกว่าจะกำหนดอาณาเขตได้ เจ้าจงกำหนดจิตพิจารณาไปให้ทั่วดูเถิด เจ้าจักเห็นว่า ในชั้นดาวดึงส์นี้ มีแสงสว่างเกิดขึ้นหลายที่ แต่ละที่ดุจเสมือนเมืองๆหนึ่งและก็มีความสว่างสวยงามต่างกัน และในแต่ละเมืองๆหนึ่งนั้นมีอาณาบริเวณมากน้อยไม่เท่ากัน เหล่าเทพเทวดาของแต่ละเมืองก็มีมากน้อยไม่เท่ากัน และในแต่ละเมืองเหล่านั้นย่อมต้องมีผู้เป็นราชาหัวหน้าปกครอง ซึ่งก็หมายถึงพระอินทร์หรือองค์อัมรินทรานั่นเอง
    ฉะนั้นแล้ว ในชั้นตาวะติงสาดาวดึงส์แห่งนี้ ย่อมมีองค์อัมรินทราหลายพระองค์แต่ละพระองค์ก็มีหน้าที่ปกครองเมืองวิมานของเขาเอง
    ผม;หมายความว่า องค์อัมรินทราในดาวดึงส์นี้มีหลายพระองค์ ก็ด้วยหากมนุษย์ผู้ใดสามารถประพฤติ วัตตบท7ได้สำเร็จเป็นอย่างน้อยก็สามารถได้มาจุติเสวยสุขเป็นองค์อัมริมทราได้อย่างนั้นหรือขอรับ
    มหาเทพ; ถูกต้อง ด้วยผลบุญยังให้เขาเหล่านั้นมาจุติเกิดพร้อมด้วยเทพบริวารและของใช้อันเป็นทิพย์บังเกิดขึ้นเป็นเมืองวิมานของเขาเหล่านั้น ซึ่งหมายความว่า หากผู้ใดประพฤติวัตตบท7ข้อได้ และหากได้สั่งสมบุญอื่นเพิ่ม ยิ่งมาก เมืองวิมานของเขาก็จะยิ่งสวยงามมากมีบริวารมากมีอาณาเขตมากเพิ่มขึ้นตามลำดับ
    มหาเทพ;ที่นี้เรื่องที่เจ้าถามเราด้วยเหตุนี้ ด้วยที่พระอัมรินทราบางพระองค์กระทำผิดมีมิจฉาทิฏฐินั้น เป็นความจริงเช่นนั้น ก็ด้วยเหตุที่ว่า องค์อัมรินทราเหล่านั้นยังขาดภูมิธรรมที่สูงพอ ในการละกิเลส หรือตอนมีชีวิตเป็นมนุษย์มิได้เคยปฏิบัติธรรม ไม่ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม และพรหมวิหารธรรม ครั้นเมื่อได้มาจุติเป็นองค์อัมรินทรา การปกครองเหล่าเทพและการใช้มีอิทธิฤทธิ์ ก็ด้วยขาดปัญญาจึงทำให้หลงไปตามกิเลส กระทำผิดใช้อิทธิฤทธิ์ในทางที่ผิดได้เช่นกัน
    ผม ;แล้วเหล่าพระอัมรินทราเหล่านั้นจะต้องรับโทษหรือไม่อย่างไร
    มหาเทพ;ด้วยผลกรรมย่อมให้ผลทันที หมดจากความเป็นเทพและต้องตกลงไปยังนรกภูมิทันทีเพื่อรับกรรมที่ตนได้ก่อกระทำไว้ เอาละสมควรแก่เวลาแล้วเราจะต้องกลับแล้ว
    เจ้ามีข้อสงสัยประการใดอีกหรือไม่
    ผม;ขอเรียนถามท่านว่า ใครดูแลในอาณาเขตทิพย์วิมานแห่งนี้หรือ รวมทั้งพระจตุรมณฑบมหาเจดีย์พระจุฬามณีแห่งนี้ ใช่ท่านหรือไม่ขอรับ
    มหาเทพ; ใช่เราดูแลที่นี่
    ผม;ขออนุโมทนาบุญด้วยเป็นล้นพ้นที่สุดขอรับ และในตอนนี้ กระผมเข้าใจและคลายความสงสัยในเรื่องนี้หมดสิ้นแล้วขอรับ และโอกาสนี้ลูกขอกราบสักการะบูชาพระองค์พระสยามินทราเทวาธิราชเจ้า ด้วยเศียรเกล้าพระพุทธเจ้าข้า

    ======
    เรื่องก็มีเท่านี้ครับ
     
  4. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    วันที่ 11 กรกฏาคม 2555 ผมได้รู้สึกหรือจะฝันก็มิทราบได้ ว่าได้อยู่ ณ ดาวดึงส์เทวสวรรค์ ตอนตื่นนอนในช่วงเช้า ไม่ทราบความหมายในเหตุการณ์นี้ครับ มาเห็นข้อความที่โพสนี้ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยคนครับ
     
  5. porch

    porch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    507
    ค่าพลัง:
    +907
    โมทนาด้วยครับอ่านแล้วตัวเราอยากสะสมบุญให้มากต้องรักษาศีลให้ดีเลยครับ
     
  6. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,913
    ค่าพลัง:
    +1,513
    วัตตบท ๗ ประการ ได้แก่

    ๑. เลี้ยงมารดาบิดาตลอดชีวิต
    ๒. ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต
    ๓. มีวาจานุ่มนวลสุภาพตลอดชีวิต
    ๔. มีวาจาไม่ส่อเสียดตลอดชีวิต
    ๕. มีใจปราศจากความตระหนี่ ยินดีในการแจกทาน ครองเรือนตลอดชีวิต
    ๖. มีวาจาสัตย์จริงตลอดชีวิต
    ๗. ไม่โกรธ แม้ว่าถ้าโกรธก็ระงับได้ทันทีตลอดชีวิต

    ผมไม่ได้ปรารถเป็นพระอินทร์ แต่ขอประพฤ วัตตบท ๗ ประการ ตามเห็นว่าเป็นกุศลครับ
     
  7. dragoona

    dragoona เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2005
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +129
    ***** ตลอดชีวิต *****
    โอ้ว เป็นอะไรที่สุดยอดของยอดๆ มากๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...