ประวัติและหลักธรรมคำสอน หลวงพ่อผินะ ปิยธโร วัดสนมลาว....

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย เยาวราช, 18 กรกฎาคม 2006.

  1. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    ประวัติหลวงพ่อผินะ ปิยธโร (หลวงพ่อนะ) วัดสนมลาว

    แรกเริ่มเดิมชื่อ ทวาย หาญสาริกิจ
    บิดาชื่อ เทศ
    มารดาชื่อ ตุ้ย
    เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ค่ำ เดือน ๔ ปีกุน วันที่ ๑
    มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ ที่บ้านดอนลำโพง ม. ๑
    ต. หนองยายดา อ. ทัพทัน จ. อุทัยธานี
    การศึกษา ประถมปีที่ ๔ วุฒนักธรรมตรี
    อาชีพ รับราชการครู และทำงานการไฟฟ้า
    บิดามีอาชีพ รับราชการทหาร ทำนา ค้าขาย
    มารดามีอาชีพ ค้าขาย
    บิดาและมารดา สมรสกันเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๕
    มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันทั้งหมด ๕ คน คือ
    ๑. นายผินะ หาญสาริกิจ
    ๒.นายเสริมเกียรต์ หาญสาริกิจ
    ๓.นางสาวสุรัตน์ หาญสาริกิจ
    ๔.นายสงวน หาญสาริกิจ
    ๕.นายสุนทร หาญสาริกิจ
    เมื่อตอนเป็นเด็กชาย ทวาย หาญสารรกิจ มารดาบอกว่า "มีกรรม" ถ้าร้องไห้ทีไรเป็นต้องชักหน้าเขียวทุกครั้ง มารดาต้องอุ้มจึงจะหายชัก บิดาและมารดาหาที่รักษาอยู่ประมาณ ๓ ปี จึงได้มาพบกับอาจารย์ที่มีวาจาสิทธิ์รูปหนึ่งชื่อพระอธิการสินฯ ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองเต่า ต. โนนขี้เหล็ก อ. เมือง จ. อุทัยธานี โดยท่านหลวงพ่อสินฯ ตอนนั้นท่านอายุได้ ๗๐ พรรษา ซึ่งท่านเป็นที่เคารพนับถือของบรรดาประชาชนชาวจังหวัดอุทัยธานีเป็นอย่างมาก
    มารดาได้นำเด็กชาย ทวาย หาญสาริกิจ ไปถวายให้กับหลวงพ่อสินฯ จึงได้ตัดพ้อว่า ชื่อเจ้าทวายนี้เป็นกาลกิณี ควรที่จะเปลี่ยนเสียใหม่ ด้วยเหตุนี้ท่านหลวงพ่อสินฯจึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า "ผินะ" เป็นภาษาบาลี แยกได้เป็นสองพยางค์ คือ "ผิ-นะ" คำว่า"ผินะ" แปลว่า....ดูก่อนและคำว่า "นะ" แปลว่า หามิได้ (หมายถึง คมแห่งหญ้าคา)
    ท่านหลวงพ่อสินฯ ได้สั่งเด็กชาย ผินะ หาญสาริกิจ ว่า "ต่อไป***อย่าได้ชักอีก พอ***โตแล้วต้องมาบวแทน***" พร้อมกับถ่มน้ำลายใส่หัวแล้วลูบไล้ไปมาอย่างเอ็นดู และได้สั่งเป็นเคล็ดลับอีกว่า "ฝากแม่มันเลี้ยงไว้ก่อน โตแล้วจะเอาไปอยู่ด้วย" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กชายผินะ หาญสาริกิจ ก็มิได้ชักอีกเลย
    เมื่อโตขึ้นพอรู้เดียงสา และพอจำความพอได้บ้างแล้ว มารดาจึงได้เล่าเรื่องให้ได้ทราบไว้ ด้วยเหตุนี้ เด็กชายผินะ ไม่สนใจในการบวชเลย เป็นเด็กที่กลัวผีมาก ถ้าบ้านไหนมีคนตายก็จะไม่กล้าไปเวลามืดขึ้นบรรไดบ้านพอถึงขั้นสุดท้ายก็กระโดดข้ามเลยกลัวผีจะดึงขา ไปเที่ยวที่ไหนๆ กันกับเพื่อนๆ ก็ไม่กล้าอยู่ข้างหน้า อยู่ข้างหลังก็ไม่เอา นึกอยู่แต่ในใจว่าเมื่อคนตายแล้วเขาเอาไปไว้ที่วัด เข้าใจว่าผีอยู่ในวัดคงมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2011
  2. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    <TABLE width="90%"><TBODY><TR><TD class=smalltext>ปี พ.ศ. พระอุปัชฌาย์ พออุปสมบทได้เพียง ๕ วัน โยมมารดา มาขอร้องให้อยู่ต่ออีก ๒๐ วัน๒๔๘๑ เมื่ออายุครบบวชบิดาขอให้บวชให้ ๗ วัน เพราะว่าเวลาช่วงนั้น บิดาท่านเป็นไข้หนัก และได้ตายลงในเวลาต่อมา หลังจากที่ทำบุญ ๗ วัน อุทิศส่วนกุศลให้กับบิดาเสร็จแล้ว พระมหาอำนวยฯ ได้เป็นธุระในการอุปสมบท ณ วัดหนองเต่า ต. โนนขี้เหล็ก อ. เมือง จ. อุทัยธานี ให้นามว่า พระภิกษุผินะ นามฉายยาว่า มหาปญโญ มีพระมหาอำนวยฯเป็นพระกรรมวาจาจารย์พระครูอุดมฯซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ พออุปสมบทได้เพียง ๕ วัน โยมมารดามาขอร้องให้อยู่ต่ออีก ๒๐ วัน บอกว่าผมยังสั้นอยู่สึกออกมาแล้วเดี๋ยวจะอายหัวโล้น อยู่มาได้ ๑๑ วัน โยมมารดาของเพื่อนได้ตายอีก ทีนี้ เขามาเจาะจงเอาเฉพาะพระภิกษุ ผินะ มหาปญโญ ไปจูงศพให้ได้ จากที่บ้านศพไปยังที่วัดระยะทางก็ประมาณ ๒กิโลเมตร พอศพมาถึงวัด เขากลัวว่าจะเป็นโรคกรรมพันธุ์ (เพราะโรคฝีในท้อง หรือเรียกว่าวัณโรค) สัปเหร่อได้ทำการผ่าท้องศพ และทำความสะอาดพร้อมทั้งทำการสาธิตบรรยา เพราะโดยในสมัยนั้นไม่มียาฉีดป้องกันเหมือนอย่างในสมัยนี้ ศพจึงเหม็นมาก เมื่อเวลาจะสวดศพ พระภิกษุผินะ ฉันอาหารไม่ได้อยู่ตั้ง ๓-๔ วัน พอเวลาค่ำมืดลงก็ไม่กล้าลงจากกุฎิ เวลานอนก็นอนไม่ค่อยจะหลับ จึงได้ขอลาพระกรรมวาจาจารย์ ไปพักที่อื่นสัก ๕ วัน และจะกลับมาลาสิกขาเพศ จึงได้เดินทางออกจากวัดหนองเต่า ไปพักที่วัดบ้านกลาง ต. ในเมือง อ. เมือง จ. อุทัยธานี พอไปถึงยังวัดบ้านกลาง ท่านเจ้าอาวาสก็ได้อนุญาตให้อยู่ด้วย ต่อมาอีก ๑ ชั่วโมง ก็ได้ยินโยมมาอาราธนาไปสวดมาติกาบังสกุล ทีนี้พอเอาศพเข้ามาวัด ญาติโยมเขาก็ได้ผ่าสพอีก เหมือนกับวัดที่บวชมา ตอนนี้พระภิกษุผินะ เลยได้ขึ้นไปกราบลาท่านเจ้าอาวาสวัดบ้านกลางออกจากวัดไปเดี๋ยวนั้นเลย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    เมื่อเดินทางมาถึงยังแม่น้ำเเควตากแดด เห็นแม่ค้าขายผักกำลังเคาะกระบอกไม้ไผ่เรียกเรือมาให้ช่วยรับข้ามฟากทีพระภิกษุผินะ ได้ลงเรือไปก่อนและไปนั่งบนหัวเรือ โยมแม่ค้าคนแก่ก็ลงเรือมาอีก บัดนั้น ได้มีแม่ค้าขายผักเช่นกัน แต่เป็นหญิงสาว ได้ลงเรือเป็นคนสุดท้าย และเมื่อเรือได้ออกจากท่าแล้วทันนั้นไม้คานของหญิงสาวขายผักก็ได้ตกลงไปในน้ำ เธอได้ร้องอุทานว่า "อุ้ย...***พระตกน้ำ" พระภิกษุผินะ ได้บอกว่า "หนู...เก็บให้หลวงพี่ด้วย หลวงพี่มีอยู่อันเดียวเอาไว้เยี่ยว" เมื่อเรือมาถึงฝั่งจึงได้อายแก่หญิงสาวคนนั้นมากรีบเดินโดยเร็วจากไป หญิงสาวขายผักคนนั้นก้ได้ เดินตามมาติดๆ และร้องถามว่า "หลวงพี่จะไปไหน?"พระภิกษุ ได้ตอบว่า "ไม่รู้จะไปไหน เพราะหนีผีมา" หญิงสาวคนนั้นชวนว่า "หลวงพี่ไปอยู่วัดหนูไม๊?" มีหลวงตาอยู่วัดองค์เดียว และมีเด้กคนหนึงชื่อโต้ง
     
  4. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    หญิงสาวขายผักได้พาไปที่พักที่วัดเกาะเทโพ อ. มโนรมณ์ จ. ชัยนาท วัดนั้ดีมากๆ มีพระภิกษุในอารามเพียง ๑ รูปเท่านั้นจึงเล่าความในใจให้หลวงตาที่วัดนั้นฟัง "กลัวผีมาก" อยู่กับพระหลวงตาสัก ๕ วัน แล้วจะกลับไปสิกขาลาเพศ เพราะยังเป็นห่วงว่ามีน้องๆ อีกหลายคน โยมมารดาท่านไม่ยอมให้บวชนาน(โยมมารดาเปนคนมีเชื้อสายจีน) โยมมารดาบอกว่า "คนอื่นๆ ที่เขาไม่บวชก็ดีๆมีถมไป เสียเวลาทำมาหากินเปล่าๆ ท่านพระหลวงตาคำ (ทราบชื่อเมื่อภายหลัง)ได้บอกว่าการกลัวผีนั้นไม่ถูกต้อง ตับ, ไต, ไส้, พุงฯลฯ ที่ท่านดูและเห็นมานั้น ก็มีอยู่ด้วยกันทั้งนั้ทุกคน แล้วพระหลวงตาคำก็ได้สอนใน สติปัฎฐาน ๔ และให้เรียนภาษาขอมด้วย เมื่อได้รับคำแนะนำเช่นนั้น พระภิกษุผินะก็ได้นำมาปฎิบัติดู จึงได้รู้และเขาใจดีว่า "คน" กับ "ผี" ก็คืออันเดียวกัน คือให้น้อมเป้น "เอโก-ธัมดม" แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสิ่งที่ได้รู้เข้าไปนั้น คือ ปฐมฌาณ ก็นึกรังเกียจตัวเองขึ้นมา
    เวลาล่วงไป ๓๐ วัน ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐาน สมาทานถวายตนเป็นผู้ถือเพศพรหมจรรย์ไปจนตลอดชีวิต ทีนี้นึกขึ้นได้ว่า โยมมารดาคงคอยอยู่จึงได้กราบลาพระหลวงตาคำ กลับไปบ้านเพื่อพบกับโยมมารดา พอไปถึงบ้านพบโยมมารดา และได้เรียนท่านให้ทราบว่าจะไม่ลาสิกขาเพศอย่างเด้ดขาด โดยโยมมารดาหาว่าจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว โยมมารดาได้แต่ร้องไห้ พระภิกษุผินะ ได้ลาโยมมารดามาที่วัดหนองเต่า ต. โนนขี้เหล้ก อ. เมือง จ. อุทัยธานี เพื่อที่จะได้เรียนปริยัติธรรม จะได้เอาใบประกาศนียบัตรนักธรรมตรี เพื่อนำไปเป็นหลักฐานแสดงต่อทางสัสดีอำเภอ กรณี ยกเว้นการเป็นทหาร ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางไปที่วัดทุ่งแก้ว เพื่อไปพบกับท่านเจ้าคุณ เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งมีสักดิ์เป็นเจ้าคุณลุง เพื่อปรึกษาและรับข้อชี้แนะในการที่จะสอบนักธรรมตรีผ่านให้ได้ โดยไม่ต้องการที่จะเป็นทหาร
    ต่อมาได้สอบนักธรรมตรีได้ ก็ได้โล่งใจ จึงได้เอาประกาศนียบัตรนักธรรมตรี ไปยื่นต่อสัสดีอำเภอทัพทัน จ. อุทัยธานี ท่านสัสดีอำเภอทัพทัน ได้บอกกับพระภิกษุผินะ มหาปญฺโญว่าพระคุณเจ้าจะต้องผนวชไปอีก ๑๐ พรรษา จึงจะพ้นการเกณฑ์ทหารได้ พระภิกษุผินะ จึงได้ยืนยันว่า "ให้ถึง ๒๐ พรรษา เลย"
    ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้ไปกราบเรียนต่อเจ้าคุณลุง เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี เพื่อขออนุญาตเดินทางจาริกฯ เจ้าคุณลุงเจ้าคณะอุทัยธานี ก็ได้ออกหนังสือเดินทางจาริกฯ ให้ตอนนั้น ตั้งใจที่จะมาศึกษาค้นคว้าในพระไตรปิฎกกับท่านพระหลวงพ่อเภาฯ และพระหลวงพ่อคงฯ และเลื่อมใสในปฎิปทาของท่านพระหลวงพ่อเภาฯ ประกอบทั้งได้รับคำบอกเล่าว่า ท่านพระหลวงพ่อเภาฯ ได้สร้างเรือสำเภาให้เป็นอนุสรณ์สำหรับโยมมานดาของท่าน (ที่ฝันเห็น) ไว้ ณ บนยอดเขาวงกต อ. บ้านหมี่ จ. ลพบุรี จึงได้เดินทางจากจังหวัดอุทัยธานี ผ่านมายัง อ. โคกสำโรง มุ่งตรงมายังอำเภอบ้านหมี่ จ. ลพบุรี แล้วตั้งใจไปยังเขาวงกต ขณะมายังถึงทางเข้าเขาวงกต ได้พักอยู่ที่หน้าบ้านของ โยมสุข ซึ่งบ้านของแกอยู่บรเวณทางที่เข้าไปยังเขาวงกตแห่งนั้น (การเดินทางจากจังหวัดอุทัยธานีมาถึงที่บริเวณทางขึ้นเขาวงกตแห่งนั้ใช้เวลาทั้งสิ้น ๕ วัน ๖ คืน) จึงได้พบกับโยมสุขและได้สนทนากับโยมสุข
     
  5. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    มาตอนหนึ่ง โยมสุขได้พูดถึง มีอาจารย์รูปหนึ่งคงมีคาถาดี สามารถคุยกับมดรู้เรื่อง และก็ได้เสกให้มดหายไปหมดโดยสุขบอกว่าอยากจะเรียนคาถาหายตัวได้ เหมือนกันกับพระอาจารย์รูปนั้นที่เสกให้มดหายไป(จะได้หายตัวได้ และเข้าไปโขมยเงินในธนาคาร โยมสุขแกคิด) พระภิกษุผินะฯ ก็ได้ถามแก่โยมสุขว่าพระคุณท่านพระอาจารย์รูปนั้นมีนามว่ากระไร? โยมสุขก็ได้เล่าให้ฟังว่า เช้าวันหนึ่ง พระอาจารมั่น ภูริทตฺโต, พระอาจารย์เสาร์ฯ พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้ออกบิณฑบาต เสร็จแล้วดินทางมาถึงยังหน้าบ้านของโยมสุข และโยมสุขได้ใส่บาตรพระอาจารย์ทั้งสามรูปด้วย แต่แกก็ได้ดื่มเหล้ามาบ้างในวันนั้น พระอาจารย์ทั้งสามรูปได้เลือกเอาลานดินว่างๆตรงหน้าบ้านของโยมสุขเป็นที่นั่งฉันอาหารบิณฑาบตและพระอาจารย์มั่นฯ ได้ใช้ให้พระมหาบัวฯ ไปตามโยมสุขให้ไปพบที่นั่นถึง ๓ หน หนที่ ๓ โยมสุขได้บ่นว่า "พระรูปนี้หิวเหล้ารึไง" จะของเหล้าเรากินหรือ ? จึงได้ตามมาอยู่ด้วย" บ่นเสร็จ โยมสุขก็ได้เดินไปที่ลานดินบริเวณท่านพระอาจารย์ทั้งสามนั่งอยู่ เมื่อไปถึงที่นั่น โยมสุขก็ได้เห็นมดง่ามขึ้นที่สำหรับกับข้าวของพระอาจารย์มั่นฯ เต็มไปหมด โยมก็เพียงแต่มองดู เห็นและได้ยินพระอาจารย์มั่นฯพูดกับมดว่า "ไป ไปสู เจ้าจงฮีบไป่ เดี๋ยวคนเขาสิทำฮ้ายเอา" เสร็จแล้วมดก็ได้หายไปหมด โยมสุขคงคิดว่าแต่ว่า " บ๊ะ "
     
  6. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    พระรูปนี้คงไม่ธรรมดาเสียแล้ว" เมื่อมาถึงยังที่ท่านพระอาจารย์มั่นฯ นั่งรออยู่ ครั้นโยมสุขนั่งลงแล้ว ท่านพระอาจารยืมั่นฯ ได้เอ่ยถามโยมสุขขึ้นว่า "เฒ่าสุข เจ้ากินเหล้าเหมิดมื่อละทอได๋" ดยมสุขบอกว่า "กินวันละ ๒ บาท กับแกล้มด้วย" (สมัยนั้นเหล้าขวดละ ๑ สลึง) ทีนี้ท่านพระอาจารย์มั่นฯได้บอกกับโยมสุขได้ทราบว่า จะช่วยให้โยมสุขสบายมากและเร็วขึ้น โดยจะให้เงินแก่โยมสุขไว้ซื้อเหล้ากินวันละ ๒ บาท เอาไหม? โดยจะฝากเงินเอาไว้ให้ แต่มีข้อแม้ว่า เฒ่าสุขต้องถือศีล ๓ ข้อนี้ให้ได้เสียก่อน ศีล ๓ ข้อที่ว่านี้ต้องทำให้ได้ก่อนคือ ๑. ไม่ต้องทำบุญใส่บาตร และห้ามเข้าวัดฟังธรรม
    ๒. ให้ด่าโคตรพ่อโคตรแม่พระ (ด่าค่อยๆก็ได้ถ้าพระ
    ได้ยินเดี๋ยวจะฆ่าเอา)
    ๓. ให้กินเหล้าให้หมดวันละ ๒ บาท
    โยมสุขบ่น โอ๊ย...ไม่เอาเหลว แค่กินเหล้าก้ตกนรกหมดไหม้อยู่แล้ว แถมไม่ให้เข้าวัดฟังธรรม ให้ด่าพระอีก มันนรกชัดๆนั่นเหลว ไม่เอานอก ไม่เอาทั้งนั้น ทั้งเหล้าทั้งยาทั้งเงินหลวงพ่อไม่เอาดอก เมื่อโยมสุขเปล่งอุทานออกมาเช่นนั้น พระอาจารย์มั่น จึงได้ใหโยมสุขรับศีล ๕ และสมทานศีล ๕ แต่วันนั้น
     
  7. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    ครั้งต่อมา หลังจากที่ท่านพระอาจารย์มั่นฯ พระอาจารย์เสาร์ฯ พระมหาบัวฯ ได้บิณพบาตเสร้จแล้ว ได้กลับไปนั่งยังบริเวณหน้าถ้ำตรงทางขึ้นเขาวงกต วันนั้น โยมสุขได้เอามันเพิ่ม (มันเสาร์) ที่ต้มแล้ว ไปถวายให้กับพระอาจารย์ทั้งสามรูป เมื่อประเคนเสร็จแล้วท่าน พระอาจารยืมั่นฯ ได้เลื่อนจานมันเพิ่มไปทางมหาบัวฯ และเอ่ยว่า "ถ้ามีน้ำตาลจิ้มคงสิดีน๊อ" เสร้จแล้วท่านอาจารย์มั่นฯ ได้สั่งให้โยมสุขไปหยิบเอาน้ำตาลที่อยู่ในปิ่นดตแขวนอยู่ที่ไม้พระองค์ มีอยู่เถาหนึ่งซึ่งมี ๕ ชั้น โยมสุขได้เดินไปที่ไม้พระองคืที่มีปิ่นโตแขวนอยู่ได้หยิบปิ่นดตขึ้นดู รู้สึกเบาและก็ได้เปิดดูก้ไม่เห็นมีน้ำตาลเลย จึงได้มาเรียนพระอาจารย์มั่นว่าฯ "ไม่มีน้ำตาลในปิ่นโตในเถาเลยสักชั้นเดียว ขอรับ" ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย้นว่า ไบ๊ ของมีอยู่เป็นหยังว่าบ่มี เฒ่าสุข" ไป๊ ท่านพระอาจารยืมั่นฯ หันไปสั่งทางพระมหาบัวน ไมหาท่านไป่เอ่ามา" พระมหาบัวน ได้เดินขึ้นไปหยิบปิ่นโตที่แขวนอยู่ ได้หยิบปิ่นโตและหยิบออกมาจากเถา ๑ ชั้น ก็เห็นมีน้ำตาลทรายเต็มชั้นไปหมด ดยมสุขเห็นเช่นนั้นก็นึกแปลกใจเป็นอย่างมาก จึงได้รำพึงแต่ในใจว่า "อึ๊ ของไม่มีกลับเป็นมี" เมื่อพระมหาบัวนั่งลงแล้ว ท่านพระอาจารย์ทั้งสามรูปก็ได้ฉันอาหารบิณฑบาตจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นฯ ได้เอ๋ยกับโยมสุขขึ้นว่า "มื่อหนี่ ข่อยสิให้เจ้าฮับศลี ๘ เมื่อเจ้าฮับแล้ว ต้องเข่าไปในถ้ำ ให่นั่งซือๆหายใจเข้าออก จ่มว่า พุทโธ พทโธ เทิงมื่อเด้อ" โยมสุขได้ตรึก นึกอยู่ในเรื่องที่ว่า" ของไม่มีแต่มีขึ้นมาได้" ก็เลยเกิดปิติ จึงรับคำของพระอาจารยืมั่นที่จะเข้าไปปฎิบัติในถ้ำ และนั่งอยู่ ณ ที่อันควรในความมืด ได้ภาวนาตามที่ท่านอาจารย์มั่นสั่งประมาณสักพักใหญ่ๆ ได้เกิดแสงสว่างขึ้นในดวงตา และโยมสุขได้เห็นเป็นอ่างน้ำใบหนึ่ง มีเลือดเต็มไปหมดก็ค่อยๆ กลายเป็นสีน้ำล้างเนื้อ และน้ำนั้นก็ค่อยๆวนจนเล็กลงเท่าไข่ ทันใดนั้นก้เห็นเป็นเด็กหญิงอยู่ในไข่ สักประเดี๋ยวก้โตขึ้นเป็นสาว อีกพักเดียวต่อมาก็กลายเป็นเมียโยมสุขนั่นเอง อยู่ไม่นานนักก็เป็นคนแก่ชราและก้ตายไป ทีนี่ก็มีขึ้นอืดมีกลิ่นเหม็นอบอวลไปหมด เหม้นจนโยมสุขทนไม่ไหว และก็ได้ออกมาจากถ้ำ กราบขออนุญาตจากพระอาจารย็มั่นฯ ว่า ขอให้แกได้บวชในพระพุทธศาสนาจะได้ไหม? พระอาจารย์มั่นบอกว่า "บ่ได้ดอก ถ้าบวชเดี๋ยวตาย ได้แค่ถึงสลี ๘ ไปก่ะแล้วกั่น" ตั้งแต่นั้นดยมสุขก็ได้ถึงศลี ๘ ตลอดชีวิต และปฎิบัติธรรมตลอดมา
     
  8. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    <TABLE width="90%"><TBODY><TR><TD class=smalltext>เมื่อท่านพระภิกษุผินะ มหาปญฺโญ ได้สอบถามโยมสุขว่าท่านพระอาจารย์ทั้งสามรูปนั้น อยู่ที่ไหน ? ได้สอบถามโยมสุขว่าทานอาจารย์ทั้งสามรูปได้เดินทางกลับไปยังสำนักแล้วอยู่ทางจังหวัดสกลนครโน่นแหละ" ดั่งนั้นพระภิกาผินะ จึงได้เดินทางต่อมายังวัดถ้ำตะโก เขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกกับท่านพระหลวงพ่อเภาฯ และท่านพระหลวงพ่อคงฯ แต่ท่านพระอาจารย์ทั้งสองรุปได้มรณะภาพเสียแล้ว คงเหลือแต่พระหลวงพ่ออุ่มฯ กับหลวงพ่อคำฯ และได้ศึกษาพระไตรปิฎก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ อยู่ที่วัดถ้ำตะโก อ. ท่าวุ้ง จ. ลพบุรี แห่งนี้
    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ขณะที่ศึกษาพระไตรปิฎกอยู่นั้น สงครามมหาเอเชียบรูพาก็ได้เริ่มขึ้น (สงครามญี่ปุ่น) กำลังมีศึกสงครามไม่ทราบว่าใครเอาข่าวไปบอกดยมมารดาว่า "พวกทหารญี่ปุ่นเอาพระเครื่องไปต้มให้ทหารเค้ากิน" โยมมารดาเข้าใจผิดคิดว่าพวกญี่ปุ่นจับเอาพระไปต้มกินโยมมารดาถึงกับคุ้มคลั่งคุมสติไม่อยุ่สงสารพระลูกชายและคิดกลัวว่าเขาจะจับพระลูกชายไป ถึงกับล่ามโซไว้ทีเดียว ทีนี้ พระภิกษุผินะฯ ได้กับไปที่บ้านเกิดพักที่วัดเกาะเทโพ อ. โนรมณ์ จ. ชัยนาท
    ได้ออกจากวัดถ้ำตะโก จ.ลพบุรี เดินทางไปวัดหนองเต่า จ. อุทัยธานี ได้ไปปรึกษากับน้องๆอีก ๔คนที่อยู่ที่บ้านว่า เพื่อที่จะไม่ให้ยึดติดในสมบัติ อันที่จะเป็นห่วงกังวลเสียเปล่าๆ ให้ขายสมบัติของโยมบิดา โยมมารดา ทั้งหมดเสีย และจะได้เอาเงินไปรักษาพยาบาลดยมมารดา จึงได้พาน้องๆทั้ง๔คน คือ คนที่ ๒ บวชเป็นพระภิกษุ, คนที่ ๓ ได้บวชชี, คนที่ ๔ บวชเป็นสามเณร, คนที่ ๕ บวชเป็นตาปะขาว วันรุ่งขึ้น ก้ได้โยมมารดาขึ้นเกวียนไปที่แม่น้ำแควตากแดดซึ่งอยู่ห่างจากวัดหนองเต่าไป ๓๐ กิโลเมตร ดังนั้นทั้ง ๖ ชีวิต ก็ได้จ้างเรือล่องมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ น. จนกระทั่งถึงเวลา ๐๙.๐๐ น. ของวันรุ่งขึ้นจึงได้มาถึงยังจังหวัดสิงห์บุรี
    ขณะนั้น ได้ปลดโซ่ที่ล่ามโยมมารดาออก แล้วจึงได้ซื้อเข่งไม้ไผ่ที่เขาใช้สำหรับใส่พลูเอาใบตองกล้วยรองก้นเข่ง แล้วพาโยมมารดาเดินทางต่อไปยังเขาสมอคอน ถึงวัดถ้ำตะโก อ. ท่าวุ้ง จ. ลพบุรี ขณะนั้นมีพระภิกษุรูปหนึ่งชำนาญและรู้จักสมุนไพรประกอบยา และมีฐานะเป็นน้องของท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโก ชื่อพระอาจารย์ผ่องเป็นภาระดูแลรักาโยมมารดาให้อยู่ประมาณ ๑๕ วัน อาการของโยมมารดาก็หายเป็นปกติ แต่เวรกรรมของท่านยังไม่หมด ก็ได้มีโรคแทรกซ้อนขึ้นอีก คือ มีฝีขึ้นที่บริเวณขากรรไกร เข้าใจว่าเป็นฝีธรรมดา สุดท้ายฝีก็ได้แตกอก มีเลือดไหลออกมามาก พร้อมกับกระดูกหลุดออกมาจากขากรรไกรยาวประมาณ ๑ นิ้ว เมือเห็นอาการป่วยของโยมมารดาแล้วจึงคิดว่าไหนๆโยมมารดาคงไม่รอดแน่ ในที่สุดจึงได้เรียกน้องๆทั้ง ๔คน มาเพื่อปรึกษากันว่า เอาปัจจัยที่ขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับโยมมารดา ถวายวัดเพื่ออุทิศส่วนกุสลไปให้กับโยมบิดาที่เสียชีวิตไปก่อน น้องๆทั้งหมด ๔ คนก็ไม่ขัดข้อง ได้อนุโมธนา แต่โยมมารดาค้านว่า "ถ้าถวายวัดทั้งหมดแล้วจะเอาอะไรไปใช้กัน" บรรดาพวกลูกๆก็บอกว่า ทรัพย์สมบัติที่โยมบิดา โยมมารดาให้มาก็ใช้ไม่หมดแล้ว (คือ ร่างกายที่สมบรูณ์)
    ดั่งนั้นจึงได้เอาปัจจัยทั้งหมดใส่มือโยมมารดา ให้อธิษฐานเป็นมหากุศล แล้วก้ได้นิมนต์ท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโก มารับเอาปัจจัยดังกล่าว ท่านสมภารก็ได้จัดการเอาปัจจัยที่ได้รับถวายนั้น นำไปวื้อนาเข้าเป็นสมบัติของสงฆ์ อีกที่หนึ่ง ตอนนั้นราคาไร่ละ ๓๐๐ บาท
    ต่อมาโยมมารดาก็ได้เสียชีวิตลง จึงได้ทำบุญอุทิศส่วนกุสลให้กับโยมมารดาที่ล่วงลับไป หลังจากทำบุญ ๗ วันอุทิศส่วนกุศลให้กับโยมมารดาแล้ว ก็ได้วิตกวิจารณ์ดูว่าโยมมารดาที่ตายไปแล้วนี้ไปอยู่ ณ ที่ใดทำบุญกรวดน้ำไปให้จะได้รับหรือเปล่า จึงได้ออกติดตามค้นหาโยมมารดา แต่นั้นเป็นต้นมาและได้เดินทางออกจากวัดถ้ำตะโก อ. ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี มาแต่เพียงลำพังผู้เดียว เที่ยวเสาะแสวงหาโยมมารดา จนกระทั่งมาถึงยังถ้ำประทุน ที่บ้านหนามจั้น จ. ลพบุรี จึงได้พบกับพระหลวงตาอ่อนฯ (เป็นชนชาติเขมร) ก็ได้เข้าไปกราบขอโอกาสอนุยาต โดยก้มกราบเอามือลูบเท้าม่านพระหลวงตาอ่อนฯ ว่า
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  9. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    <TABLE width="90%"><TBODY><TR><TD class=smalltext>พระภิกษุผินะฯ "หลวงตาครับ ผมอยากทราบว่าอะไร
    เป้นของผมครับ ?"
    พระหลวงตาอ่อน "ไม่รู้ซิ ท่านถามแบบนี้ไม่รู้หรอกมัน
    เป็นปรมัตถื ไม่ได้เรียนมา"
    (หลวงตาอ่อนฯ ก็ย้อนถาม พระภิกษุผิ
    นะฯว่า..."แล้วท่านคิดว่าท่านเป็นใคร
    ละ?")
    เมื่อสนทนากับหลวงตาอ่อนฯได้พอสมควรจึงขออนุญาตขอโอกาสกราบลาท่าน เดินทางต่อไปยังที่เขาพระพุทธบาท อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรีจึงได้พบกับพระหลวงตาอ่อนฯ(ท่านเป็นคนไทย) มากราบไหว้พระพุทธบาท จึงได้เข้าไปกราบขออนุญาตขอโอกาส และกราบลงแทบเท้าท่านเอามือลูบที่เท้าท่านแล้วน้อมขึ้นใส่กระหม่อม และได้เอ๋ยถามท่านว่า
    พระภิกษุผินะฯ "หลวงพ่อครับ ช่วยดูหน่อยครับว่า
    อะไรเป็นของผม"
    พระหลวงพ่ออ่อน "แล้วใครเป็นคนถามผม?"
    พระภิกษุผืนะฯ "ผมเอง"
    พระหลวงพ่ออ่อนฯ "คนที่ถามผมเป็นท่าน"
    ฯลฯ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    พระเจ้า ๕ พระองค์ คือ นะโมพุทธายะ บอกวิธีใช้แนะนำให้รู้จักพระเจ้า ๕ พระองค์และความเป็นมาของวัดสนมลาววิหารโดยย่อ ซึ่งเป็นวัดวิปัสสนาสายพระอาจารย์ มั่น
    วัดนี้ร้างมา ๓๐๐ กว่าปี พระบรมไตรโลกนาถสร้างไว้ให้พระสนมลาว ปี พ.ศ. ๒๐๒๙ หลวงพ่อผินะได้มาบูรณะ พ.ศ. ๒๕๒๘ ขระนี้กำลังสร้างธรรมวิหารไว้ปฎิบัติศาสนกิจ พระเณรต้องศึกษาสรีระวิทยาเพื่อแก้สัญญาพิปลาศ ไม่ยึดถึงตัวตนเขาเรา ให้พิจารณาให้เห็นไตรลักษณ์ว่า เป็นอนิจจัง
    ทุกขัง อนัตตา
    - วัตถุมงคลรูปหัวใจดาว ๕ แฉก หมายถึง พระเจ้า ๕ พระองค์ ทางโลกเปรียบดั่งทหาร อีกด้านดาว ๘ แฉก หมายถึง พระอรหันต์ ๘ ทิศ ทางโลกเปรียบดั่งตำรวจ ถ้าเมืองใดขาดทหาร-ตำรวจ คงจะวุ่นวาย หัวใจดาวนี้มีไว้ให้ผู้มีจิตศรัธาในพุทธศาสนาไว้เป็นที่พึ่งทางใจใช้ทางแคล้วคาด-ดับไฟให้เคี้ยวเกลือว่า "พุทธา นะโมยะ " พ่นหายแลฯ
    ศาลาธรรมวิหารที่กำลังสร้าง ชั้นล่างให้เก็บน้ำ-พัสดุ ชั้น ๒ ใช้ประชมสงฆ์-ธรรมสาธิต ชั้น ๓ มีรูปปั้นภิกษุ-ภิกษุณี เช่นแม่ชีโคตะมี-นางพิมพา-รูปนันทา-สามเณรสานุฯ ชั้น๔ มีพระอรหันต์ ๘ ทิศ มีพระโมคคัลลา-พระสารีบุตร-พระสิวลี-พระอุบาลี-พระอุปคุต-พระสัจจะนิครณ-พระมหากัญจายะนะ-พระอานนท์ ชั้น ๕ มีพระราม-(ครุฑ) โตเทยยะ (ม้า) สุภะ (เสือ) นาฬาคิริง (ช้าง) ป่า-เลไลย์ (กวาง) ติสสะ (กระทิง) วิปสิทธิ์ (ราชสีห์) โสณะ (วัว) โกเทยยะ (พญานาค) ชั้น ๖ เก็บพระไตรปิฎำ มีพระโพธิสัตว์ มี ๕ องค์ มีพระกุกุสันโท (ไก่=น้ำ) พระโกนาคมโน (พญานาค=ดิน) พระกัสสัปโป (เต่า=ไฟ) พระโคนาคมโน (วัว=ลม) พระสรีอริยะเมตไตร (ราชสีห์=ใจ) รวมความว่าเป็นธาตุทั้ง ๕เรียกว่า "พุทธานะโมยะ"
    กัปล์หน้าเรียกว่า มหากัปล์ (อะพะอาวานะวะวิกรรมนิ) คือ อากาศ-ไฟ-ดิน-น้ำ-ลม-อวกาศกรรม-วิญญาณ-ดับ ตามที่บรรยายเพื่อให้ผู้ไม่รู้ให้หายข้องใจว่าเป็นธาตุแล้วดับไป อุปทาน ย่อมดับไปดั่งพุทธภาษิตที่ว่า "อุปาทาน ขฺธาติทุกขา" คือ ความยึดถือทำให้เกิดทุกข์ "ปุญฺญาย ปริสุชฌติ" คือ คนย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา
    ข้าพเจ้าตามหาแก่นธรรม มา ๕ ประเทศ ๖๐ กว่าพรรษา พระพุทธศาสนาให้พุทธมามะกะละชั่วทำดี เรียกว่า กุสลกรรม ทุกชีวิตเกิดมาใช้กรรมเก่า สร้างกรรมใหม่ ได้ชื่อว่า "กมฺมุนา วตฺตติโลโก" (สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม)
    ข้าพเจ้าเชื่อว่าผลกรรมนำไปเกิดเปรียญข้าวเปลือกมีข้าวสารอยู่ภายในเมื่อเอาเปลือกออกเรียกเปลือกว่าแกลบข้าวสารเอาไปปลูกอย่างไรก็ไม่งอกอีกฉันใด พระขีขณาสพ อันมาจากปุถุชนละอุปาทานเสียชื่อว่า พระอรหันต์แต่ขันยังไม่ดับ เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน แต่ถ้าดับสิ้นทั้งกิเลสและขันธ์เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน
    พระนิพพานเป็นอมตธรรมที่ออกจากสมมุติเป็นวิมุต ไม่ไช่ว่าจะต้องไปอยู่ในพระนิพพานๆ นี้ว่างเปล่าดังพุทธพจน์ว่า "นิพฺพานนำปรมํ สุญญํ" ไม่มีโลกธาตุใดๆ ในพระนิพพาน
    ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญตนค้นหาว่าอะไรเป็นเราในขันธ์ ๕ พระพุทธเจ้าบอกว่า สัตว์บุคคล ตัวตน เราเขาไม่มีอันนี้ถูกแล้ว สัตว์ทั้งหลายตายแล้วเกิดจนกระดูกทับถมกันเป็นภูเขา เวียนว่ายตายเกิดถึง ๔ อสงไขชาติแสนกัปส์ ขอให้ท่านทั้งหลายไปอ่านในชาดกพระเจ้า ๕๐๐ ชาติ
    คนเราตายเหมือนมันเหมือนกอยตายแต่เถาหัวยังอยู่ เรียกว่า ตายในสมมุติ แต่ว่าไปเกในตระ***ลใดก็เป็นธรรมพืชนั้นๆ ถ้าไม่หมดอุปาทานก็ต้องเกิดต่อไปอีก ถ้ายังละอุปาทานไม่ได้
     
  11. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    ปรมัตถ โวหาร เป็นโมนัย ปิบัติ”<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p> สพฺเพเต ธมฺมา นามรูปํ อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา”<o:p></o:p>
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวไว้ว่า นาม-รูป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน สัตว์-บุคคล-เราเขา-ไม่มี ชายหญิงทั้งหลายเอ๋ย<o:p></o:p>
    อาศัย สมมุต ให้ละ สมมุต เสีย<o:p></o:p>
    อาศัย ตัณหา ให้ละ ตัณหา เสีย <o:p></o:p>
    อาศัย เมถุน ให้ละ เมถุน เสีย<o:p></o:p>
    จะได้หลุดพ้น โลกีย์ ถึงโลกอุดร ไม่ต้องเกิด-แก่-ตายเวียนว่าย ในวัฎสงสาร<o:p></o:p>
    หญิง-ชาย อุปมาดังว่า บุปผา ยุพาพาน จะไม่ยืนนานสักควารแผ่นดิน จะไม่เป็นไปตามปราถนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า แม่น่ำยังมีเวลาเต็ม แต่ใจชาย-หญิง ไม่มีเวลาเต็ม จึงกล่าวว่า สู จงมาดูโลกนี้อันมืดตระการ ไม่รู้อะไรเป็นเรา หลงอยู่ช้านาน สังขาร หลอกลวง เอาห่วงผูกคอ ถูกจองจำกลับยินดี สู้ไพรี ไม่มีอาวุธ เหมือนนอนหลับฝันไปตื่นแล้ว ไม่มีอะไรติดไป<o:p></o:p>
    กายเรานี้ ประดุจดั่ง หลุมฝังศพ หรือสุสานเคลื่อนที่ของผีตายโหง วัว-ควาย-เป็ด-ไก่ ทั้งหลายที่รับประทานไปล้วนตายโหง จงคิดพินิจตามจะเห็นด้วยปัญญา<o:p></o:p>
    ดังว่า อุบลนาฯ เกิดจากตม ทั้งใบและดอก เบ่งบานโสภาละกลิ่นตมเสียฉันใด เป็นที่นิยมแห่งหมู่ภุมรินทร์ เพราะไม่มีกลิ่นตม พร้อมทั้งสายบัวและใบ กดลงไปไม่เปียกน้ำฉันใด ผู้มีปัญยาก็ฉันนั้น ชื่อว่าอาศัยเมถุน ก็ละเมถุนเสีย ฉันนั้น นี่และเรียกว่า อสุภกรรมฐาน พ้นแก่งอันกันดาร พ้นจากหมู่อันพาล รู้จักเลือกกินเลือกใช้ เหมือนดั่งคนกินผลไม้-ทุเรียน-รางสาด เป็นต้น กินเปลือกและเม็ดเข้าไป หาว่า ผลไม้ไม่ดี นี้เรียกว่า โมนัย ปฎิบัติขอจบ ปรมัตถ ย่อๆ เพียงเท่านี้<o:p></o:p>
     
  12. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    <TABLE width="90%"><TBODY><TR><TD class=smalltext>หลวงพ่อผินะ มหาปญโญ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p> จิตตานุสสติ<o:p></o:p>
    จิตเอ๋ยจิตเขลา นอนในกายเน่า เฝ้าสมบัติดิน หลงกินอสุจิ ตริไม่เห็นเลย หลงชมเชยว่างาม เดินตามทางรถ จึงตกหลุมกองทุกข์ เป็นสุขและสนุกเภทบ้า อวดกล้าสู้ตาย ไม่หน่ายนี้โลก นี่งโงกจนแก่ หลงแลว่าตน รูปคนคือผี เห็นดีสิ่งใด ภายในเหม้น นักหลงรักจูบกอด ตาบอดใจบ้า ยอมเป็นข้าความรัก เหนื่อยหนักไม่รู้ หลงอยู่ช้านาน สมภารไม่บอก เชื่อหลอกหมู่มาร สังขารหลอกลวง เอาห่วงผูกคอ ใครหนอทำให้ จิตต์ใบ้ใจบ้า หันหน้ามาดู พระครูบอกสั่ง อย่าหลงทางเดิน อย่าเมินเหยียบขวาก อย่าลากเรียวหนาม จงตามพระไป ไกล พระจะโง่ มักโอ่เสียขอ อย่าเอาทองแต่งลิง อย่าอวดหยิ่งแก้บ้า จะขายหน้าแก่ผี อย่าอวดดีแก่โลก จะทุกข์โศกเสียเปล่า อย่าหลงเดาผิดๆ อย่าคิดโดยโง่ อย่าโตแต่เปลือก อย่าเสือกหาทุกข์ อย่าสุขในบาป อย่าคาบเหล็กแดง อย่าแต่งแผ่นดิน อย่ากินของร้อน อย่านอนในไฟ จงไปอย่างแร้ง ให้แสวงหาบริสุทธิ์ ให้หยุดอย่างพระ ให้ละความโง่ ให้โตเต็มโลก ข้ามโอฆสงสาร นิพพานไม่ไกล รีบไปอย่านาน สู่สุขสำราญ นะท่านทั้งหลายเอ๋ย<o:p></o:p>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    กายานุสสติ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p> กายเอ๋ยกายเรา ไม่นานเหรอ จะไม่พอ ๑๐๐ปี อยู่ได้อย่างนานเพียง๘๐ ปี ต้องดับชีวีในแผ่นดิน วิญญานต้องทอดทิ้งไป ทอดทิ้งร่างกาย เมืองพุงพระวาย ของขี้ร้ายดุจดั่งท่อนฟืน เนื้อหนังและเส้นเอ็น ไม่ว่าเผ่าใด กินกันไม่เป็นตายแล้วต้องเอาไฟเผา เมื่อยังดีถือว่ากายเขาและตัวเราเมื่อตายแล้วต้องเอาไปเผาเรียกว่ากายผี ไม้ตายก็ยังดี ใช้ได้กันตั้งมากมาย ใช้ทำรถและทำเรือน ทำเกวียนและทำฟืน ใช้ทำอื่นๆ ได้ตั้งหมื่นคนา กายา คือ ร่างกาย หญิงชายตายแล้วไม่มีประโยชน์เท่าขุมขน ไม่มีคนจะต้องการ ดูเถิดแต่นางงาม ผู้มีนามศิริมา มีรูปร่างงามดั่งโสภา มีราคาตั้งหมื่นพัน เท่าไรก็เท่านั้น เศรษฐีตักเงินพัน มามอบให้ ยามตายต้องกันข้าม หามศพนางงามออกเหหันร้องเรียนไปว่าผู้ใดที่จะซื้อ ผู้จะซื้อก็ไม่มี ผลสุดท้ายให้เปล่าๆ ผู้จะเอาก็ไม่มี ปัญหาแสดงธรรม ชักนำอย่ามัวเมา ชายหนุ่มและหญิงสาว อย่ามัวเมาว่ากายงาม แท้จริงกายนี้อนิจจัง ไม่เที่ยงไปเสียทุกสิ่ง ลองคิดพินิจตามจะเห็นจริงด้วยปัญญา อันที่จริงร่างกายนี้ เป็นอนิจจัง หมั่นขัดสีดอกจึงฉวีงาม ยุวายุวะตรี ท่านผู้มีปัญญาอภัยด้วย เชิญเถิดเชิญหลับตาชาวพารารีบตื่นนอน<o:p></o:p>
     
  14. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    สรรเสริญพระองค์<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p> หลวงพ่อผินะ ปิยธโย<o:p></o:p>
    พระองค์ทรงก่อสร้าง บอกหนทางให้สัตว์เดิน ศีล สมาธิ ปัญญาจำไว้หนาอย่าละเมินจะได้สอนซึ่งตัวเอง อนิจจังนั้นไม่เที่ยง จงหลีกเลี่ยงเสียให้พ้น ทุกขังขังทุกข์ไว้ ย่อมเป็นไปทุกตัวคน อนัตตาใช่ตัวตน อย่ากังวลว่าเราเป็น รีบทำความดีเสียแต่เดี๋ยวนี้ เมื่อยามฉุกเฉินจะเสียที จะร้องเรียกหาพระอรหัง พระอรหังที่ไหนจะตั้งอยู่ในใจคนชั่ว เมื่อยังดีประมาท ศาสนาไม่เกรงกลัว ถือว่าศาสนานี้มีทั่วโลกกัลป ทำความดีตั้งแต่เสียเดี๋ยวนี้ เมื่อยามจะตาย ไม่ตรงเรียกหาพระอรหัง พระอรหังท่านมาเอง ถ้าพลาดท่าเสียทีตกลงไปสู่นรกขุมใหญ่ช้า นานไม่นับได้ สัตว์เดียรฉานก็หลายหลากมากนักหนาเสียเกิดมา พบศาสนาของพระศาสดาก็ไม่นับพา ขันธ์ทั้งห้าหยิบยืมเขามา อย่านิ่งนอนใจ ถ้าหากเจ้าของเขาทวง ขอผลัดนัดไว้ อนัตตาใช่ตัวเรา อย่ากังวลว่าร่างกายเป็นเราค้นดูเถิดมีแต่วิญญานเที่ยวซ่านไป ถึงตัวเราเฉาโฉด จะโทษใคร เมื่อยังดีจิตต์เบิกบาน อยู่ข้างทางโลกีย์ ถ้าหากศาสนาครบถ้วน ๕๐๐๐ ปี เมื่อไรจะมืดมิดไม่มีสี ใครผู้ใดสอนใครได้ก็ไม่มี ผู้รู้อัถถะเมธี จะค่อยถอยลดหมดลงไป สัปบุรุษ จะทรุดทราสัปปร้าจะมากมี
     
  15. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    สัติปัฎฐาน ๔ ย่อ กาย-เวทนา-จิตต์-ธมฺ (ธรรม)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p> ๑. อนิจจสัญญา = ความกำหนดไว้ว่าไม่เที่ยง<o:p></o:p>
    ๒. อนตฺตสญญา = ความกำหนดหมายว่าไม่ใช่ตน<o:p></o:p>
    ๓. อสุภสญฺญา = ความกำหนดหมายว่าไม่งาม<o:p></o:p>
    ๔. อาทีนวสญญา = ความกำหนดหมายว่าเป็นโทษ<o:p></o:p>
    ๕. ปหานะสัญญา = ความกำหนดหมายว่าในการเสียสละ<o:p></o:p>
    ๖. วิราคะสญฺญา = ความกำหนดหมายในธรรมอันปราศจากราคะ<o:p></o:p>
    ๗. นิโรธสญฺญา = ความกำหนดหมายในธรรมอันเป็นที่ดับ <o:p></o:p>
    ๘. สพฺพโลเกอนภิรตสญฺญา = กำหนดหมายไม่ยินดีในโลกทั้งปวง<o:p></o:p>
    ๙. สพฺพสํขาเรสุอนิจจาสญฺญา = มาเที่ยงในสังขารทั้งปวง<o:p></o:p>
    ๑๐.อานาปานุสสติ = สติกำหนดหมายลมหายใจเข้าออกเสมอกันเป็น<o:p></o:p>
    อารมณ์<o:p></o:p>
    ...................................................................................<o:p></o:p>
    หลวงพ่อผินะท่านกล่าวเอาไว้<o:p></o:p>
     
  16. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ * ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำเนิดย้อมใจ ๑
    * เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ ๑
    * เป็นไปเพื่อความสะสมกองกิเลส ๑
    * เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ ๑
    * เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษยินดีด้วยของมีอยู่ คือ มีนี่แล้วอยากได้นั่น ๑
    * เป็นไปเพื่อความกลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๑
    * เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ๑
    * เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก ๑
    * ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่าไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนพระศาสดา
    * ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อคลายความกำหนัด ๑
    * เป็นไปเพื่อไม่สะสมกองกิเลส ๑
    * เป็นไปเพื่อความอยากอันน้อย ๑
    * เป็นไปเพื่อความสันโดษยินดีด้วยของมีอยุ๋ ๑
    * เป็นไปเพื่อความเพียร ๑
    * เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ๑
    * ธรรมเหล่านี้รู้ว่าเป็นธรรม เป้นวินัย เป็นคำสอนของพระสาสดา
    .............................................................
    โดยหลวงพ่อผินะ ท่านสอนไว้
     
  17. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    อุดมคติเตือนใจ พลั้งปากเสียงศีล พลั้งตีนตกต้นไม้
    เสียเงินไม่ว่า ไม่ยอมเสียหน้ายี้กัง
    เกิด มาเพียรก่อสร้างความดี แก่ เฒ่ากุศลมีเสาะบ้าง
    เจ็บ ป่วยพยาธิมีทั่วกันนา ตาย แต่กาย ชื่อยังชั่วฟ้าดิน
    สลาย
    คน จะงามงามน้ำใจใช่ใบหน้า คน จะสวยสวยจรรยาใช่
    ตาหวาน
    คน จะแก่แก่ความรู้ใช่อยู่นาน คน จะรวยรวยสินทานใช่
    บ้านโต
    "หลวงพ่อผินะ มหาปญโญ
     
  18. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    คนเราตายเหมือนมันเหมือนกอยตายแต่เถาหัวยังอยู่ เรียกว่า ตายในสมมุติ แต่ว่าไปเกในตระ***ลใดก็เป็นธรรมพืชนั้นๆ ถ้าไม่หมดอุปาทานก็ต้องเกิดต่อไปอีก ถ้ายังละอุปาทานไม่ได้
     
  19. เยาวราช

    เยาวราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,298
    ค่าพลัง:
    +2,481
    <TABLE width="90%"><TBODY><TR><TD class=smalltext>คำพูดที่หลวงพ่อผินะได้กล่าวไว้ มนุษย์เกิดมาจากตรงนี้......(คำไม่สุภาพ)
    พระโพธิ์สัตว์ก็เกิดมาจากตรงนี้....(คำไม่สุภาพ)
    พระพุทธเจ้าก็เกิดมาจากตรงนี้.....(คำไม่สุภาพ)
    ไม่มีสูง ไม่มีต่ำ ไม่มีเรา ไม่มีเขา
    ไม่มีหญิง ไม่มีชาย มีแต่รูป เวทนา
    สัญญา สังขาร และวิญญาน
    "ไว้เพื่อพิจารณา "

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. prarahu

    prarahu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    842
    ค่าพลัง:
    +2,664
    อนุโมทนาสาธุตรับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...